Launching of the Republic of Singapore’s First Type 218SG Submarine
https://www.thyssenkrupp-marinesystems.com/en/press-releases/d/uid-b186b48c-a34e-5a97-1fd8-a8bee769f83d.html
https://aagth1.blogspot.com/2019/02/tkms-type-218sg-rss-invincible.html
เรือดำน้ำ Type 218SG ที่อู่เรือบริษัท Thyssenkrupp Marine Systems(TKMS) เยอรมนีใน Kiel ทำพิธีปล่อยลงน้ำเมื่อ ๑๘ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น
ได้รับการตั้งชื่อเรือว่า RSS Invincible โดยเรือดำน้ำชั้น Invincible นับเป็นเรือดำน้ำยุคที่สามของกองทัพเรือสิงคโปร์
นับจากเรือดำน้ำชั้น Challenger สี่ลำซึ่งเดิมคือเรือดำน้ำชั้น Sjoormen ของสวีเดนที่เข้าประจำการในปี 1997-2002
และเรือดำน้ำชั้น Archer สองลำสองลำซึ่งเดิมคือเรือดำน้ำชั้น Vastergotland สวีเดนที่เข้าประจำการในปี 2011 และ 2013
โดยเรือดำน้ำชั้น Invincible ที่สิงคโปร์สั่งจัดหา ๔ลำจะเข้าประจำการแทนเรือชั้น Challenger และชั้น Archer ครับ
TKMS เยอรมนียังมีความร่วมมือกับ DSTA สิงคโปร์ในความร่วมมือการผลิตชื้นส่วนที่จะนำมาทดสอบและทดลองใช้กับเรือดำน้ำของสิงคโปร์ด้วยครับ
ข้อมูลคุณสมบัติสำคัญของเรือดำน้ำ Type 218SG
ความยาวเรือโดยรวม: ประมาณ 70m
ระวางขับน้ำ: ประมาณ 2,000tons ที่ผิวน้ำ 2,200tons ขณะดำใต้น้ำ
กำลังพลประจำเรือ: 28นาย
ระบบขับเคลื่อน: ดีเซล-ไฟฟ้า เสริมด้วย AIP
ความเร็วสูงสุด: ที่ผิวน้ำ 10knots ขณะดำใต้น้ำ 15knots
ระยะเวลาปฏิบัติการ: ประมาณ 28-42วัน โดยไม่ใช้ท่อ snorkel
อาวุธ: ท่อยิง Torpedo หนักขนาด 533mm จำนวน 8ท่อยิง
เดิมผมคิดว่าสิงคโปร์จะยังตงประจำการ Archer class อยู่ ถ้าปลด ผมว่าน่าสนใจสำหรับ ทร ไทย ทีเดียวเชียว ไม่ทราบเรื่องอะไหล่/การซ่อมบำรุงจะเป็นปัญหาขนาดไหน
เดิมเรือดำน้ำชั้น Vastergotland สวีเดนมีอยู่ ๔ลำ ซึ่งเรือ ๒ลำที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นเรือดำน้ำชั้น Archer ขายต่อให้สิงคโปร์นั้นประกอบด้วย
RSS Archer เข้าประจำการในกองทัพเรือสิงคโปร์ปี 2011 เดิมคือ HMS Halsingland ที่เข้าประจำการในกองทัพเรือสวีเดนปี 1988
กับ RSS Swordsman เข้าประจำการในกองทัพเรือสิงคโปร์ปี 2013 เดิมคือ HMS Vastergotland ที่เข้าประจำการในกองทัพเรือสวีเดนปี 1987
ฉะนั้นอายุการใช้งานของเรือดำน้ำชั้น Archer ทั้งสองลำในปี 2019 นั้นจะมีอายุตัวเรือแท้จริงที่ ๓๑-๓๒ปีเลยทีเดียว
ด้านเรือดำน้ำชั้น Sodermanland สองลำที่ประจำการในกองทัพเรือสวีเดนที่ปรับปรุงจากเรือดำน้ำชั้น A17 Vastergotland มีแผนที่จะปลดประจำการในช่วงปี 2019-2020 นี้แล้ว
โดยกองทัพเรือสวีเดนจะนำเรือดำน้ำชั้น A26 ใหม่สองลำคือ HMS Skane และ HMS Blekinge เข้าประจำการภายในปี 2022
ดังนั้นถ้ากองทัพเรือไทยจะจัดหาเรือดำน้ำชั้น Archer ก็จะถูกประชาชนโจมตีคัดค้านว่าซื้อ "เรือดำน้ำมือสาม" จึงยากที่การจัดหาลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้ครับ
เข้าใจประเด็นที่คุณเอกชี้มานะครับ ผมฟังข่าวที่เกี่ยวกับการหาเสียง ดีเบตอะไรนั่นน่ะ มีการพูดถึงเรื่องการลดขนาดกองทัพเลิกเกณท์ทหาร ฯลฯ. ฟังแล้วหดหู่มากครับ ชาวบ้านทั่วไปฟังแล้วก็เฮโลกันว่านั่นไง เศรษฐกิจไม่ดี เอาเงินไปซื้ออาวุธ
เรื่องพวกนี้เค้าปิดห้องคุยกัน ถ้ารักประเทศชาติจริง เค้าไม่เอามาพูดออกสื่อแบบนี้หรอก
โดยส่วนตัวผมมองว่า สิงคโปร์ ตอนซื้อเรือชุดนี้ เค้ามีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าต้องการอะไรจากเรือชุดนี้ และก็ไม่ยึดติดกับความหน้าใหญ่ ว่าต้องใช้ของมือหนึ่ง ทั้งๆที่มีเงิน เรียกว่าใช้เงินเป็น.
จริงๆแล้วถ้าจัดใด้ รวมเรื่องอื่นๆเข้ามาในวาระนี้ใด้ ยุทธศาสตร์ร่วมระหว่างไทย-สิงคโปร์ เราอาจใด้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมาก ต่อให้เรือมีอายุใช้ใด้อีกแค่ 15 ปีจากนี้ไป.
เรื่องเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทยกับความเข้าใจของประชาชนทั่วไปเป็นประเด็นปัญหามานานแล้วครับ
เพราะไม่ว่ากองทัพเรือจะทำการประชาสัมพันธ์ เปิดการแถลงชี้แจงต่อสื่อมวลชน มาหลายครั้งเป็นเวลานานพอสมควรก็ตาม
แต่ผลสุดท้ายเรือดำน้ำไม่ว่าจะมือสอง หรือสั่งต่อใหม่ แม้แต่จะสร้างเองในไทย สรุปคือประชาชนก็ไม่เอาเรือดำน้ำอะไรทั้งนั้น
คือมันไม่ใช่ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจสิ่งที่ ทร.ชี้แจงครับ แต่ประชาชนคิดว่าตน "ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจ" สิ่งที่ ทร.ชี้แจงต่างหาก
เห็นที่พูดๆถึงนโยบายจะลดกำลังพลกองทัพไทยจากราว ๓๓๕,๔๒๕นาย ให้เหลือเพียงประมาณ ๑๗๐,๐๐๐นาย นี่
ในส่วนกองทัพเรืองมีการแสดงการวางโครงสร้างที่จะลดกำลังพลจากประมาณ ๗๑,๐๐๐นาย เหลือเพียงราว ๕๐,๐๐๐นายเท่านั้น
อันนี้ก็ไม่ทราบครับว่ากำลังพลของ ทร.ที่จะหายไป ๒๑,๐๐๐นาย ตามแนวคิดที่ว่านี้ จะเพียงพอต่อการป้องกันชาติทางทะเลหรือไม่
บางทีก็คิดว่ากองทัพเรือน่าจะศึกษาเรื่อง public relations จากกองทัพมิตรประเทศหลายๆที่เพิ่มเติมครับ ว่าจะพัฒนาเพื่อการสร้างความเข้าใจที่ดีให้ประชาชนไปได้มากกว่านี้หรือไม่
ผมอยากเห็นฝ่ายการเมือง และฝ่ายทหาร/กลาโหม เห็นไปในทางเดียว/ร่วมมือร่วมใจกันสักทีว่า การพัฒนาเทคโนโลยี+ทักษะทางการช่าง+การบูรณาการทหารอาชีพควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในกองทัพเป็นเรื่องจำเป็น และไม่ใช่เรื่องแยกเขาแยกเรา มองให้ทะลุว่าสถาบันทหารสามารถป็นแหล่งสร้างแรงงานฝีมือทางการช่างที่จะไปขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของชาติใด้ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกาจ้างแรงงานเข้ามาทำงานในโรงงานผลิตยุทธโธปกรณ์หลายล้านคน ในระหว่างสงคราม จนจบสงคราม มีแม่บ้านที่ไม่มีความรู้อะไรเลย กลายมาเป็น พิมพ์ดีดเป็น ประกอบชิ้นส่วนปืน ระเบิด วิทยุ เป็น ชาวนาหนุ่มๆ มาเรียนเครื่องกลึงเครื่องปัมพ์โลหะ ฯลฯ ต่อยอดมาหลายสิบปี คนเหล่านี้ภายหลังกลายไปเป็นกำลังผลิต ออกแบบ พัฒนา ในบริษัทยานยนต์ บ อาวุธ อย่าง GM / Raytheon /MD ฯลฯ ใด้สนับสนุนให้เรียนต่อในสายอาชีพที่ถนัด สายเลือดทหาร ความรักสถาบัน รักชาติเข้มข้นไม่คลาย วินัย ความรู้ทางเทคโนโลยีที่สั่งสมรุ่นต่อรุ่น ประเทศเลียหายอะไร ? มีแต่ใด้
หดหู่ที่กับไอ้พวกที่ออก tv ... อยู่มาก็นาน เห็นโลกมาก็มาก ไม่คิดเอาประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง หรือไม่ก็ไม่มีศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์ในการขับเคลื่อนประเทศเลย โชว์วาทะกรรมเอามันไปวันๆ
ผมเห็นด้วยเต็มที่กับการลดอัตรากำลังพลที่ประจำการภาคสนาม แต่การคุยเรื่องนี้มันไม่มีไครเค้าเอาออกมาพูดผ่านสื่อนะครับ. เค้าร่วมมือร่วมใจคิดกันออกมาให้ดี แล้วทำไปแบบเนิบๆ ถ้า ปชช คิดเป็น. สนใจ. ติดตาม จะรับรู้ใด้เลยว่า เราในฐานะ ปชช จะภาคภูมิใจในความเป็นชาติของเรา กองทัพของเรา อธิปไตยของเราที่เพื่อนบ้านให้ความเกรงใจ และถ้อยทีถ้อยอาศัยกับเราไม่ใช่มากร่างข่มกัน
มีโอกาสใด้คุยกับเสธ ทบ เมื่อปลายปีที่แล้ว ท่านยกย่องว่า ทร พัฒนาไปใกลมากในการพึ่งพาตนเอง และเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ในการทีพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหาร/วิชาการในหน่วยงาน ความที่ ทบ มีขนาดใหญ่ กำลังพลมาก การขับเคลื่อนในการเข้าสู่การพัฒนา/พึ่งพาตนเองเลยอาจดูเชื่องช้าไปบ้าง แต่ 4-5 ปีที่ผ่านมาก็มีความก้าวหน้าไปมาก ผมเห็นแบบนั้นเหมือนกับท่าน.
ผมเลยสงสัยว่า. แล้วนักการเมืองที่ออกมาพูดเรื่องอาวุธ/ทหาร มันไปทำอะไรกันอยู่ ถึงออกมาพูดเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ/กองทัพแบบบ้องตื้นอย่างนั้น.
กองทัพอาจพยายาม ปชส มากขึ้นใด้ แต่ถ้ามีนักการเมืองคอยชี้เป้าทุกครั้งที่จะมีการใช้ งป พัฒนา/จัดหาอาวุธ มันก็จบครับ เอา ปชช+นักข่าว ที่มีความสนใจ/ความรู้เรื่องการทหารน้อย-ไม่มีเลยมาเป็นแนวร่วม มันก็ลงคลองอย่างเดียว
ในส่วนของกองทัพ กรณีอย่าง GT 200 นี่ก็ตัวทำเสียภาพพจน์มากๆ ทบ ติดหนี้คนทั้งประเทศที่ไม่ยอมทำให้กระจ่าง และไม่มีคนรับผิดชอบ จะเป็ตราบาปที่สาธารณชนจะหยิบมาเป็นข้อค่อนแคะไปอีกนาน
ขอเข้ามาร่วมอึดอัดกับพวกนักการเมืองที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเรียกกระแสให้ได้คะแนนเสียงโดยไม่สนผลกระทบอะไรเลย
...
ครับ อึดอัดมาก
ดูข่าว ปากีสถานกับอินเดียตอนนี้ไว้เลยครับ ถึงวันเพื่อนบ้านกวาดล้างชนกลุ่มน้อย ยิงจรวดเข้ามา เอา บ รบมาทิ้งระเบิดตกใส่ชายแดนก็มองตาปริบๆ ประท้วง ฟ้อง UN เอาละกันเนอะ
หรือจะรอจนวันทึ่ชาวบ้านของประเทศเพื่อนบ้านเอารถไถมาปลูกมันใน พท ปท ไทย ก็ให้ ผญบ เดินไปไล่เอาละกัน
ฮ่า. ทำท่าน superoy หงุดหงิด
จริงอย่างที่ท่านว่าครับ ไอ้ที่ผมพรำ่มานั่นมันระบายความหงุดหงิดที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรือดำนำ้สักกะนิด
ขออภัย ติดลมไปหน่อย.
ส่วนเรื่องที่ท่าน งง ตอบแบบสั้นๆคือในความเห็นส่วนตัวผม เคยพอ และยังพออยู่ แต่กำลังจะไม่พอในอนาคตอันใกล้ (ผมเห็นว่า อีก 5-10ปี) และเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าตัวเม็ดเงิน งป คือแนวคิดนักการเมือง/ฝ่ายบริหารครับ
เหตุการณ์ที่ท่านกล่าวถึงการทิ้งระเบิด ผมเดาเอาว่าท่านน่าจะหมายถึงข่าวอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ปี 2544 ผมก็สงสัยอยู่ว่ามันมีจริงเหรอ? อ่านแล้วก็เคลิ้มตาม แต่มันก็มีข้อโต้แย้งอยู่หลายกระแสเหมือนกัน....
แต่อย่างที่ท่านติงมา ผมเอาไว้คุยที่อื่นละกันครับ
จะไปหงุดหงิดอะไรเลยกับนโยบายของแต่ละพรรค เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าตัดงบกองทัพหรอก มันก็แค่นโยบายหาเสียงเรียกกระแสในการเลือกตั้ง เพราะช่วงนี้ต้องตรงๆว่าทหารทำตัวให้ ปชช.และสื่อมวลชน รู้สึกน่ามั่นไส้อย่างมาก กระแสตัวท่านผู้นำ เองก็นะอย่างทีได้อ่านๆกันในโซเชี่ยลนั้นแหละ นักการเมืองก็เป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย เผลอๆจะเอาใจกองทัพด้วยการจัดซื้ออาวุธเพิ่มให้ด้วยอีกต่างหาก เหมือนสมัยอดีตนายกอภิสิทธิและนางสาวยิ่งลักษณ์นั้นแหละ ได้อาวุธใหม่ๆมาเพียบเหมือนกัน เรื่องงบประมานกองทัพพูดกันมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัยแล้วว่ามันเป็นเรื่องของ พรบ.งบประมานกองทัพที่อิงงบประมานแผนดินและงบเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับ GDP ของประเทศ แต่ที่โวยวายกันคือ รัฐบาลท่านตั้งงบประมานแผ่นดิน 2562 ไว้ที่ 3 ล้านๆบาท แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลแชร์งบที่ ร้อยละ 10 -12 เปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา แล้ว ท่านประวิทย์ แจงว่างงบกลาโหมปีนี้ตั้งเป้าที่ 300,000 ล้านบาทหรือมากกว่า ก็เลยกลายเป็นประเด็นตามกระแสอาการมั่นไส้กองทัพไป
เศรษฐกิจไทยทุกวันนี้ไม่ได้แย่หรือเลวร้าย แค่ไม่อู่ฟู่ เท่านั้นเอง ยังไปต่อได้ GDP ขยายตัวร้อยละ 3.0 ถึงร้อยละ 4.5 ทุกๆปี
แต่ถ้ารัฐบาลท่านประยุทธ์ ยังใช้เงินเก่งแต่หามาโป่ะหนี้ ไม่เก่งเท่าที่ใช้ อนาคต ประเทศไทยก็ชิปหายเหมือนกันนะ
เรื่องของการลดกำลังพล เห็นด้วยเป็นบางหน่อยงานที่น่าจะยุบหรือควบรวมให้ความกะทัดรัดขึ้น
แต่ที่เห็นด้วยอย่างมากคือลดอัตรานายพลลงมา แบ่งกรมกันออกมาเยอะแยะมากมาย แล้วแต่ละกรมก็มี ระดับ ผบ.กรม และรอง ผบ.ระดับนายพลทั้งนั้น ไม่แปลกใจที่นายพลกองทัพไทยมีกันเกือบ 1,500 กว่า เฉลี่ยนายพล 1 คนต่อ ทหารในบังคับบัญชา 200 คนจากสมัยก่อนระดับเจ้ากรมยศแค่ พันเอกพิเศษ เดี๋ยวนี้ระดับ นายพลตรี ขึ้น
บางกรม มี ผบ. ระดับนายพลโท 1 คน แต่มีระดับรอง ผบ. ยศนายพลตรีอัดเข้าไปกัน 3 ถึง 4 คน. ตั้งขึ้นมากินเงินเดือนกันคน 8 หมื่นบาทอัพขึ้นทั้งนั้น