เป็นการ รวบรวมข่าว ตั้งแต่ปี 57 ถึง ปัจจุบัน โดยการเทียบเคียงกัน เหตุการณ์ ระหว่าง
โครงการร่วมมือรถไฟความเร็วสูง ไทย จีน กับ โครงการจัดหา เรือดำน้ำ ของ กองทัพเรือ
เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ตั้งกระทู้ ที่มองว่า 2 เรื่องนี้ มันน่าจะเกี่ยวข้องกัน
ซึ่งเป็นข้อสงสัยว่า ทำไม โครงการ เรือดำน้ำ ถึงต้องมีการยืนยัน ว่าต้อง ประเทศจีน เท่านั้น
ทั้งหมด เป็นข้อมูลข่าว ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ ผู้ที่อ่าน จะใช้วิจารณญาณ ของตนเอง ในการพิจารณา
โดยถ้า ทั้ง 2 โครงการ เกี่ยวข้องกัน ผู้ตั้งกระทู้ ก็มองว่า ประเทศไทย ไม่ได้ประโยชน์อะไร และ โครงการ รถไฟฟ้าความเร็วสูง ไทย จีน จะเป็นโครงการที่อาจจะส่งผล ต่อ ความมั่นคง ของประเทศไทย เอง เพราะเป็น เส้นทางเชื่อมต่อ ระหว่าง ไทย ลาว และ จีน ซึ่ง เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสำคัญของ จีน ในอนาคต
และเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสถานะของ ประเทศไทย ก็จะไม่แตกต่างกับ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทย มีต่อ ประเทศญี่ปุ่น ที่ เมื่อ ญี่ปุ่น มีการแผ่อิทธิพลใน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้...ประเทศไทย ก็ไม่มีอำนาจ จะคัดค้าน หรือ ต้านทาน อะไรได้...
แต่ทั้ง 2 โครงการ อนาคต เป็นอย่างไร ในปัจจุบัน คงไม่สามารถจะรู้ได้...ก็คิดว่า ข้อมูล ที่รวบรวม มานี้ ก็คงจะมีประโยชน์บ้างในเรื่องความรู้ เกี่ยวกับ โครงการรถไฟฟ้า ไทย จีน ครับ
ลำดับเหตุการณ์ ปี 2557 ถึง มี.ค. 2560
มูลค่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไทย จีน
ประเทศไทย ได้ประโยชน์อะไร ?
ไม่ต้องห่วงหรอกจีนไม่ล่มสลายง่ายๆแบบญี่ปุ่นหรอกครับ ญี่ปุ่นมันประเทศเล็ก แต่จีนมีทั้งประชากรพันล้านประเทศใหญ่มีบทเรียนจากสงครามโลกและพยายามเลี่ยงสงคราม รถถังจีนผมพอโอเค เพราะพม่าเขมร ปากีสถานก็มี แต่เรือดํานํ้าจีนขอเหอะไม่เอาได้ไหมไม่ไว้ใจจริงๆ ผมกลัวว่า ต่อให้มีเลือกตั้ง สว 250คนอาจเลือกนายก ชุดเดียวกับ คสชอาจสานต่อเรือดํานํ้าจีนก็เป็นได้
ถ้าให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้สงสัยจะผิดกฏบอร์ดแน่ๆครับ 555 การเมืองล้วนๆ
ก็(แอบ)เชื่อ ว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะบิ๊กบอส แก่ก็เป็นทั้งรองนายก ทั้ง รมต.กลาโหม
เป็นพี่ใหญ่ ที่ทุกคนเกรงใจ >>>> แต่ก็อดเชื่ออีกไม่ได้ หลังถูกบีบ ถูกกดดัน ทั้งเทียร์3 ทั้งกฎการบิน สิทธิมนุษยชน
จากการมาของ คสช. รวมไปถึง นโยบายขั้วอำนาจใหม่ หวังที่จะคบ-ค้าอาวุธ ทั้ง 3 ขั้ว..
ประเทศญี่ปุ่น แม้จะเล็กกว่า ประเทศจีน แต่ก็เคย รุกราน และควบคุมอำนาจ ประเทศจีน มาแล้วในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2
แต่สิ่งที่ ญี่ปุ่น มีความน่ากลัวน้อยกว่า ประเทศจีน ในการมีบทบาทการมีอำนาจควบคุมต่อประเทศไทย คือ ประเทศญี่ปุ่น อยู่ห่างจากประเทศไทย มาก ถ้าจะแสดงอำนาจต่อประเทศไทย ก็ต่อเดินทางกันมาไกล ขนกันมาไกล...แต่ ประเทศจีน อยู่ใกล้ประเทศไทย แค่ ไม่กี่ กิโลเมตร...อยู่เหนือ เชียงใหม่ แค่นั้นเอง...
และถ้า ประเทศจีน ไม่มีนโยบายเรื่องการทำสงคราม แล้ว ประเทศจีน จะพัฒนาอาวุธให้ทันสมัย และเสริมสร้างอาวุธ ไปทำไม ? ดังนั้น โอกาสการเกิดสงคราม มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากับ มิตร หรือศัตรู
ประเทศจีน อาจจะเปลี่ยนรูปแบบ การครอบครองประเทศบริวารรอบข้าง จาก การรุกราน เป็นการมีอำนาจทางเศรษฐกิจ และการมีอำนาจ ควบคุมยุทโธปกรณ์ ทางการทหาร แทน..
และ ประเทศจีน ก็คงต้องมียุทธศาสตร์ ทางการทหารไว้แน่นอน สำหรับประเทศบริวารรอบข้าง ไม่ว่า พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเกาหลีเหนือ กรณี เกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบเสียหายอย่างสำคัญต่อผลประโยชน์ที่ ประเทศจีน มีอยู่ในประเทศนั้นๆ
ซึ่งเทียบได้ว่า ไม่แตกต่าง จาก ประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะเป็นมิตรกัน แต่ก็ยังต้องจัดหา ยุทโธปกรณ์ ที่ใกล้เคียงกัน สมดุลย์ กัน...
และจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ก็จะเห็นการทำงานของ รัฐบาล ที่มีความรอบคอบอยู่ในเกณฑ์ ต่ำ เนื่องจาก ไม่มีการถูกทัดทาน หรือ คัดค้าน จนขาดความรอบคอบ และรอบด้านพอ...และ ไม่มี อำนาจต่อรองในกิจการทางเศรษฐกิจกับประเทศภายนอกเลย...
ดังนั้น ถ้า กรณีโครงการรถไฟฟ้า และ การจัดหาอาวุธ จากประเทศจีน ในปัจจุบัน มีความสัมพันธ์กัน...จึงเป็น สิ่งที่ น่ากลัว ว่า...รัฐบาล มีความรอบคอบ เพียงพอแล้วหรือ ?
รัฐบาล มีความรอบคอบเพียงพอแล้วหรือ ที่จะให้ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ อยู่ในความควบคุมของประเทศมหาอำนาจ ที่อยู่เหนือประเทศไทย ใกล้ ๆ เชียงใหม แค่นั้น...ซึ่ง นอกจาก ระบบโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ยังจะควบคุมถึง ระบบอาวุธในความมั่นคงของประเทศอีกส่วนหนึ่ง ควบกันไปด้วยอีกด้วย.....
และจากแผ่นภาพ จะแสดงให้เห็นว่า...นอกจาก ประเทศจีน จะไม่ได้ ลงทุนสักบาท แล้ว ประเทศจีน ยังขนทุนบางส่วนของไทย และกำไรกลับประเทศ และเสมือนประเทศไทย เอาเงินตัวเอง กู้ ตัวเอง แต่กลับไปจ่ายดอกเบี้ยให้ จีน และแถมเงินทุนของตัวเองให้ ประเทศจีน ซะอย่างนั้น...และ ประเทศไทย ก็ไม่ได้มีการเติบโต จากการมีเงินลงทุนใหม่ แต่กลับมีการ ขนเงินลงทุนออก นอกประเทศแทน...
ปี 2559 ประเทศไทย ขาดดุลย์การค้า ประเทศจีน กว่า 6.4 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการขาดดุลย์เติบโต ต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี 57
ปี 57 ประเทศไทย ขาดดุลย์ ประเทศจีน ประมาณ 3 แสนล้านบาท นับจากนั้น เป็นต้นมา ประเทศไทย ขาดดุลย์ต่อประเทศจีน มีอัตราเติบโตมาอยางต่อเนื่องในแต่ละปี จนในปี 59...ในขณะที่ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อัตราการขาดดุลย์ ต่อ ประเทศจีน มีอัตราแนวโน้ม ที่ลดลง และรักษาระดับ ขาดดุลย์การค้า ไม่ให้เกิน 3 แสนล้านบาท...
ถึง ผมจะ มโน...แต่ ก็ มโน แบบมีข้อมูลรองรับ...และส่วนใหญ่ ผลลัพภ์ ที่ออกมา...ก็จะมีตรงกับ ที่ ผมมโน หลายครั้ง...เช่น โครงการ เรือดำน้ำจีน และอาวุธต่าง ๆ ของทุกเหล่าทัพ ผมก็เคย มโน มาตั้งแต่ ปี 57 แล้ว...
ประเทศไทย ควรจะระมัดระวัง เป็นสำคัญต่อความสัมพันธ์กับ ประเทศจีน...ระวัง ไทย จะกลายเป็น กบในหม้อต้มน้ำ...
ประเทศไทย ไม่ได้เคยมีบุญคุณอะไรกับ ประเทศจีน...และ ประเทศจีน ไม่เคยให้ ประโยชน์อะไรกับ ประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ หรือในทางการเมืองโลก...ดังนั้น ประเทศจีน ก็ไม่มีความเกรงใจไทย เช่นกัน...ถ้า ประเทศจีน เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ในประเทศไทย...เอาตัวอย่าง เรื่องเล็ก ๆ ที่มีการ วิสามัญ ลูกเรือจีน บนเรือสินค้าจีน ที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ...ที่ก็บีบ ไทย จนน่าเขียว เหมือนกัน ไปหาข่าวเก่ามาอ่านกันครับ...
และจากกรณีนี้ ถ้าทั้ง 2 โครงการ เป็นผลสำเร็จ....ผมคิดว่า ผมไม่เสียผู้ใหญ่หรอกครับ...ผมแค่รอเวลา ที่ผลลัพภ์ มันแสดงออกมาแค่นั้นเอง...
ประเทศจีน ไม่เคยให้ ประโยชน์อะไรกับ ประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ หรือในทางการเมืองโลก...ดังนั้น ประเทศจีน ก็ไม่มีความเกรงใจไทย อันนี้ผมว่าก็แทบจะทุกประเทศครับที่เป็นแบบนี้
สำหรับรถไฟผมว่า คสช น่าจะรับรู้ความเขี้ยวของจีนแล้ว เช่น โครงการเงินกู้จีนในเรื่องรถไฟที่สูงมากและไม่ยอมลดจนเราต้องหันมาลงทุนกู้เงินภายในประเทศเอง เพราะฉะนั้นการจัดซื้อครั้งนี้จึงมองไม่เห็นเหตุผลที่จะตอบแทนจีนเรื่องอะไร นักท่องเที่ยวจีนเหรอ จีนจะสั่งซื้อสินค้าเกษตรก็เปล่า การเปลี่ยนขั่วการเมืองคุ้มหรือ เลยมองในมุมเดียวครับว่าน่าจะเป็นผลประโยชน์กลุ่มบุคคล
ผมว่าเขารอบคอบแล้วล่ะครับรัฐบาลน่ะ เพียงแต่ไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งก็เท่านั้นเอง การซบจีนครั้งนี้มันไม่มีนัยยะอะไรมาก นอกจากอยากจะอยู่ยาวๆ โดยมีแบ็คเป็นพี่เบิ้มก็เท่านั้นเอง
ตรรกะมันไม่ผ่านนะ ถ้า จะกินโครงการเรือดำน้ำ กินโครงการรถไฟไม่มากกว่ารึ ที่ต่อรองกับจีนโครงการรถไฟ ก็ดูว่าไม่ได้อิงผลประโยชน์จีนเป็นหลัก ถ้าจะว่าไป โครงการรถไปจากแหลมฉบังไปจีน น่าทำทันทีด้วยซ้ำ จีนส่งสินค้าจากเซี่ยงไฮ้ ไปลอนดอน 10 กว่าวัน ถูกกว่าไปทางเรือ เร็วกว่าหลายเดือน ระบบรถไฟ ไม่ได้ใช้ของจีนตลอดเส้นทาง หากเส้นทางรถไฟได้เกิดจริง สินค้าไทย ส่งไปจีนตอนใน ใกล้กว่าจากโซนตะวันออกของจีน ส่งต่อเข้าเอเซียกลาง ยุโรป ตอ ได้ตลาดใหม่ๆอีกมาก ขอให้กระทู้เรือดำน้ำเป็นของเรือดำน้ำเถอะครับ ผมอ่านไปอ่านมา รถไฟจะดำน้ำซะแล้ว ฮา
ก็เป้าหมาย คือ โครงการรถไฟฟ้า ความเร็วสูง ต้องการเป็น ประเทศจีน เ่ท่านั้น ไงล่ะครับ...นั่น คือ วัตถุประสงค์หลัก...ส่วน โครงการเรือดำน้ำ เป็นวัตถุประสงค์ร่วม...มันถึงถูกจำกัด ไม่ให้เป็น เรือดำน้ำจากประเทศอื่น ไงล่ะครับ...สำหรับความเห็นในกระทู้นี้ครับ
เพราะ โครงการรถไฟความเร็วสูง จะเป็นประเทศไหนก็ได้ครับ ที่จะเสนอร่วมลงทุนและให้ผลตอบแทนในหุ้นส่วนที่ดีที่สุด...แต่ เมื่อ กำหนดเป้า คือ ประเทศจีน เท่านั้น จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่...โดยไม่ให้จาก ประเทศอื่น หรือแหล่งทุนอื่น ได้เข้าร่วมเสนอ...
และเมื่อไม่สามารถให้มูลค่าโครงการ เงื่อนไขสูงตามความต้องการของ จีน ได้...ก็จึงต้อง หันเห ไปทางการจัดซื้ออาวุธ จาก ประเทศจีน เพื่อชดเชยผลตอบแทนที่ จีน จะน้อยลงไป ไงล่ะครับ...มันถึงมาเป็น หัวเรื่องตามกระทู้...
และ สมมติ ถ้ามันจะมีผลประโยชน์อะไรของกลุ่มบุคคลในทั้ง 2 โครงการ...มันก็คงไปปรากฎอยู่ใน ส่วนความรับผิดชอบของ จีน ทั้งหมดแหล่ะครับ...แล้วใครจะตรวจสอบได้ล่ะครับ...
จากเดิม โครงการ รถไฟ ไทย จีน มูลค่าตอนแรก ประมาณ 220,000 ล้านบาท แล้วปรับลดลงมาเหลือ 189,999 ล้านบาท...แล้วจากเดิม เป็นการร่วมทุน คือ จีน ต้องเอาทุนมาลงด้วย...ก็เปลี่ยนเป็น ทุน ของไทยทั้งหมด...ตอนนี้ ก็เปลี่ยนจาก การร่วมทุน เป็น ไทย จ้างและซื้อจาก จีน แทนไงล่ะครับ....
?/ADMIN
ผมว่าเรื่องนี้มีวิธีคิดหลายชั้นครับ ประเทศเราเป็นเมืองน้อยอยู่กลางการชิงอำนาจกันระหว่างเมืองใหญ่ทั้งหลาย เราจำเป็นต้องวางตำแหน่งของเราให้เหมาะสม เหมือนก้อนขี้ผึ้งที่อยู่หว่างกลางกองไฟสองกอง ใกล้ข้างไหนมากไป ก็มีแต่จะเหลวไปหมดก็เท่านั้น ที่ผ่านมา จีนยังมีอิทธิพลในภูมิภาคน้อย หลังการล่มสลายของโซเวียต จีนก็เริ่มมีอิทธิพลสูงขึ้นเป็นลำดับ ถ้าเรายังวางตำแหน่งตัวเองแบบอีง US เยอะๆ เท่ากับตำแหน่งของเราไม่สวยแน่ ก็ต้องหาทางถ่วงมาอิงจีนบ้าง
ส่วนจีนหนะ ต้องการผลประโยชน์จากเราเต็มๆแน่นอน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไรหรอกครับ ใครๆเขาก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น อเมริกาเองก็คิด เพราะฉะนั้น ถ้าเอาโครงการต่างๆ ของจีนมาวิเคราะห์แล้วบอกว่า ดูแปลกๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยครับ เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ คำถามคือ แล้วฝ่ายเรา จะแข็งขืนได้แค่ไหน อย่าลืมนะครับว่า เราต้องวางตำแหน่งของเราให้อยู่ตรงกลางพอดี ฝ่ายเรามีทางเลือกมากแค่ไหน เมื่อมหาอำนาจคลืบคลานเข้ามา ซึ่งท่านก็บอกเองว่า จีนอยู่ห่างจากเราไม่ไกลเลย ถ้าเราทำแข็งขีนมาก ก็อันตรายมากจริงไหมครับ
ฉะนั้น ท่าที ที่เรามีต่อจีน จึงต้องเป็นแบบนี้ คือ ทำเหมือนเป็นมิตรด้วยไว้ก่อน อะไรเสียเปรียบไปบ้างบางทีก็ต้องทน แล้วหาทางเจรจา ให้ไอ้ที่เสียเปรียบนั้นหนะ เสียน้อยที่สุด ถ่วงเวลาให้นานที่สุด รอสถานการณ์เปลี่ยนแปลง อุปมาเหมือนหญิงสาวที่ยอมขึ้นห้องกับเสี่ย แต่ถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม เธอค่อยๆ บรรจงถอดผ้าทีละชิ้นๆ ถอดชิ้นนึงก็ ป๋าขา หนูอยากได้ไอโฟนหนะค่ะ อยากได้เฟอรารี่หนะค่ะ ไปเรื่อยๆ
นี่อาจจะเป็นที่มาของ นโยบายที่เรามองกันว่าโง่ เช่น ยอมสร้างสร้างรถไปความเร็วสูง แต่ทำทีละท่อนๆ ไม่เชื่อมต่อซะที หรือยอมซื้อเรือดำน้ำ แต่ค่อยๆซื้อทีละลำ แล้วขอปรับโน่นปรับนี่ ไม่เซ็นต์สัญญาซักที อะไรอย่างนี้ก็ได้
จากคลิป
2.40 สเปคระบุมีความปลอดภัยขณะดำที่ 60 m แต่อ่าวไทยลึกเฉลี่ย 44 m คู่แข่งอื่นอยู่ที่ 40 m
3.18 s-26t ทำความเร็วที่ 18 not เป็นเวลา 10 นาที ระยะทำการ 8 พันไมล์
รายอื่นทำได้ที่ 20 not เป็นเวลา 1 ชม. ระยะทำการมากกว่า 1 หมื่นไมล์
3.48 ระบบ aip s-26t ทำได้ที่ 10 วัน (ไม่ตรงตามที่โฆษณาว่า 21 วันนะฮะ)
รายอื่นทำได้มากกว่า 14 วัน
4.10 อายุใช้งาน s-26t อยู่ที่ 25 ปี รายอื่นมากกว่า 35 ปี
4.21 battery s-26t มีอายุ 200 รอบ รายอื่นมากกว่า 1.2 พันรอบ
4.40 หนีจากเรือ อย่างปลอดภัย s-26t 100 m รายอื่นมากกว่า 180 m
5.02 s-26t ตรวจจับเป้าหมายได้ 64 เป้า แต่ติดตามเป้าได้เพียง 4-6 เป้า ยิงตอปิโด้พร้อมกันได้แค่ 2 ลูก (แต่มี 6 ท่อเพื่ออะไร)
รายอื่น ตรวจจับเป้าหมายได้มากกว่า 100 เป้า และติดตามเป้าได้มากกว่า 100 เป้า ยิงตอปิโด้พร้อมกันได้มากกว่า 4 ลูก
\\
อยากให้ สตง เข้ามาดูความผิดปกติอย่างมาก
อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบหนะครับ ว่า สตง. ไม่ใช่หน่วยงานที่มีความชำนาญด้านอาวุธ ดังนั้น ถ้าจะให้ สตง. ตรวจสอบในเชิงประสิทธิภาพการรบหรือในเชิงคุณค่าทางยุทธศาสตร์ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ว่า ดีลนี้คุ้มค่าเงินหรือไม่ สตง. ไม่สามารถทำได้ครับ
สตง. จะตรวจสอบในเชิงการจัดซื้อจัดจ้างครับว่า การจัดซื้อเรือ ส. ในครานี้ เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการหรือไม่เท่านั้น ซึ่งการตรวจสอบด้วยวิธีนี้ อย่างดีที่สุดคือ ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้นครับ ซึ่งถ้าแค่นี้ ทร. ก็สามารถชี้แจงได้อย่างแน่นอนครับ
แต่ถ้าจะให้ สตง. ตรวจ เชิงประสิทธิภาพการรบ ทางเขาก็อาจจะทำได้ แต่ในการตรวจ ทาง สตง. จะต้องมีตัวเรือจริงๆ มาก่อน เพื่อทำการตรวจให้ตรงตามข้อมูลครับ เช่น สเป็กเรือ ส. จีน อ้างว่า สามารถทำความเร็วบนผิวน้ำเท่านี้น๊อต ใต้น้ำเท่านี้น๊อต สตง. ก็จะตรวจสอบโดยการ เอ้า ไหน ลองวิ่งให้ดูซิว่า ทำได้ตามสเป็กจริงไหม ถ้าทำไม่ได้ตามสเป็ก แล้ว ทร. ตรวจรับเรือมาได้อย่างไร ใครเป็นคนรับมา ฯลฯ
ซึ่งก็หมายความว่า ต้องมีตัวเรือจริงๆ มาให้ตรวจก่อนครับ
ขอ เดา (มโน) แบบ เสียผู้ใหญ่...รถไฟฟ้าไฮสปิด กรุงเทพ - ระยอง....ที่กำลังเร่งเปิดประมูล...
ผมว่า....ประเทศจีน...ได้ อ่ะ...
(เห็นข่่าวปีที่แล้ว เกาหลี สนใจ)
และผมก็คิดว่า ส่วนต่อขยายจาก นครราชสีมา ไป หนองคาย ก็คง ประเทศจีน อีกนั่นแหล่ะ...(ประเทศไหน มันจะเชื่อมระบบรถไฟฟ้า จากประเทศจีน ได้เท่า ประเทศจีน ล่ะน่ะครับ...ว่าไหม ?)
ผมขอ เดา (มโน) แบบ เสียผู้ใหญ่....
ซึ่งความเห็นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ กระทู้ นี้ ครับ...ว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐาน กับ ความมั่นคง ไม่ควรไปผูกกับ จีน มากนักครับ...
ถ้า สมมติ...ผม เดา (มโน) ถูกทั้งหมด...5 5 5 5 5 5
ผมยังไม่ได้อ่านนะแค่ดูผ่านๆแต่ KS-1 กำหนดราคาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วแล้วครับ...ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย