Friday, September 4, 2015 - 00:01
เห็นภาพข่าวการสวนสนามครั้งสำคัญของกองทัพประชาชนจีนเมื่อวันวานที่ผ่านมาที่คุณพี่ ไพศาล พืชมงคล ท่านก๊อปเอามาจาก CCTV มาโชว์ไว้ในเฟซบุ๊กของท่านแล้ว ต้องเรียกว่า...ไม่ว่าใครที่คิดไปงอแง วอแว กับคุณพี่จีน ย่อมมีสิทธิ์ หนาวว์ว์ว์ ไปด้วยกันทั้งนั้น!!!
-------------------------------------------------
คือบรรดาอาวุธที่กองทัพจีนรูปซิปงัดออกมาโชว์นั้น แม้จะเห็นแค่แวบๆ แต่ประเภทที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเรียงรายกันเป็นบ้องๆ ปานประดุจข้าวหลามยักษ์ เคียงข้างแถวรถถังที่รูปลักษณ์ทันสมัยสุดๆ คงหนีไม่พ้นบรรดา ขีปนาวุธ ไม่ว่าพิสัยใกล้ พิสัยกลาง พิสัยไกล ที่ถ้าถูกงัดมายิง มาใช้ เพื่อให้บรรลุความออกัสซั่มขึ้นมาเมื่อไหร่ ย่อมสามารถสร้างความฉิบหาย วายวอด ให้กับใครต่อใคร ได้อย่างน่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
---------------------------------------------------
อย่างประเภทขีปนาวุธ Dong Feng 210 ที่ลือๆ กันมานานแล้ว ว่าจะมีความรวดเร็ว แม่นยำ สมกับคำร่ำลือจริงๆ หรือไม่ คือสามารถแล่นออกจากฐานยิงแล้วใช้เวลาแค่ไม่เกิน 20 นาที ก็สามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินคุณพ่ออเมริกันที่อยู่ห่างออกไปในระยะ 3,000 กิโลเมตร ได้แบบนัดไหน-นัดนั้น และยิ่งถ้าหากติดหัวรบนิวเคลียร์เข้าไปด้วย ย่อมมีสิทธิ์ฉิบหาย วายวอด หนักขึ้นไปใหญ่ ไม่ว่าจะรัศมีทำการระดับเกาะญี่ปุ่น ริมฝั่งเวียดนาม ไปจนถึงข้ามทวีปไปไกลถึงกรุงนิวยอร์ก ว่ากันว่า...คุณพี่จีนมีเอาไว้มือ หรือซุกไว้ในกางเกง ไปด้วยกันทั้งนั้น...
------------------------------------------------------
การเติบโตทางพลังอำนาจของกองทัพจีน แม้ทุกวันนี้ยังคงต้องวิ่งไล่ดมฝุ่นกองทัพสหรัฐอยู่ประมาณร้อยลี้ สองร้อยลี้ ก็ตาม แต่ถือเป็นเรื่องที่น่าคิด น่าติดตาม อยู่ไม่น้อย เพราะถึงกับเคยทำให้นักวิชาการอเมริกันอย่างศาสตราจารย์ เอ็ดวิน โอ.ไรสเชอร์ และ ยอห์น เค.แฟร์แบงค์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต้องทุ่มเทเวลานับเป็นปีๆ เพื่อศึกษาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของประเทศจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกอย่างเป็นระบบ ดังที่ระบุไว้ในคำปรารภหนังสือเรื่อง East Asia, The Great Tradition ตั้งแต่เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วเอาไว้ประมาณว่า “ในปี ค.ศ.1854 แค่เรือรบอเมริกันกองเล็กๆ กองหนึ่ง ก็สามารถบังคับญี่ปุ่นให้ต้องเปิดท่าเรือของตนทั้งประเทศ แต่เพียง 90 ปีผ่านมา อเมริกาต้องใช้พลังอำนาจของทั้งประเทศ ที่ระดมมาอย่างเต็มอัตรา ถึงจะบีบบังญี่ปุ่นให้เลิกระบบจักรพรรดิได้ เช่นเดียวกับจีน ที่อาศัยเพียงแค่ปืนใหญ่ไม่กี่กระบอก จากเรือสินค้า ก็สามารถยึดเมืองท่าของจีนโดยไม่มีความผิดใดๆ แต่ผ่านไปไม่ถึงศตวรรษ ในปี ค.ศ.1950 กองทัพจีนก็สามารถยันกองทัพภาคพื้นดินของอเมริกา ได้อย่างนองเลือดที่สุดในสงครามเกาหลี อำนาจมวลชนในเอเชียตะวันออกที่กำลังทวีมากขึ้นทุกทีนั้น อาจกลายเป็นอำนาจที่แน่นอน เด็ดขาด เมื่อไหร่ก็ย่อมได้...”
-------------------------------------------------------
แน่ล่ะว่า...ถ้าหากศาสตราจารย์อเมริกันทั้งสอง ยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ อาจถึงขั้นต้องตกตะลึง อ้าปากค้าง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะแม้ว่ากองทัพจีนอาจยังล้าหลังกว่ากองทัพสหรัฐอยู่ประมาณ 10 ช่วงตัว แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่จีนเกิดฮึดสู้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่จีนหรืออเมริกาเท่านั้น ที่หนีไม่พ้นต้องฉิบหาย วายวอด ลงไปด้วยกันทั้งคู่ แต่โลกทั้งโลก...ที่ไม่รู้อีโหน่ อีเหน่ อะไรด้วยเลย มีสิทธิ์ที่จะฉิบหายตามจีนและอเมริกาไปด้วยกันทั้งโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด ยิ่งเมื่อได้เห็นแสนยานุภาพของกองทัพจีนที่ถูกนำเอามาอวดโชว์ในทุกวันนี้ อดไม่ได้ที่จะต้องหวนไปนึกถึงคำพูดของคุณปู่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์หรือ ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเตน ก็แล้วแต่ ที่พูดเอาไว้คล้ายๆ กันว่า “ผมไม่รู้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้น...เขาจะรบกันด้วยอาวุธอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ผมค่อนข้างมั่นใจว่า หลังจากนั้น เขาจะสู้กันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน...”
-------------------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากเอา หัวรบนิวเคลียร์ ของคุณน้ารัสเซีย ที่ว่ากันว่าน่าจะยังเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 7,500 หัวรบมารวมกับหัวรบนิวเคลียร์ของจีนที่น่าจะเกิน 500 หัวรบไปนานแล้ว เทียบกับหัวรบนิวเคลียร์ของคุณพ่ออเมริกาที่มีอยู่ประมาณ 7,000 หัวรบ โลกทั้งโลก...มันคงแทบไม่เหลือเศษซากใดๆ แม้แต่น้อย ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดนอตหลุด นอตหลวม ขึ้นมาจริงๆ เพราะตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คุณน้า วลาดิมีร์ ปูติน ท่านก็เพิ่งจะลงนามในคำสั่งว่าด้วย หลักปฏิบัติทางการทหารยุคใหม่ ของกองทัพรัสเซีย ที่ระบุเอาไว้ชัดเจนเลยว่า ภายใต้ภัยคุกคามรัสเซียที่เกิดจากกองกำลังนาโต้ อันมีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำนั้น ถ้าหากกองกำลังเหล่านี้ คิดจะใช้อาวุธนิวเคลียร์กับรัสเซียขึ้นมาเมื่อไหร่ รัสเซียก็พร้อมแล้วที่จะตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์เช่นกัน...
--------------------------------------------------------
เจอเข้ากับบรรยากาศในลักษณะเช่นนี้...โลกทั้งโลกคงหนีไม่พ้นต้องคอยสวดมนต์ ภาวนา ไว้ให้หนักๆ อธิษฐานขออย่าให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ต้องเกิดอาการนอตหลุด นอตหลวม ขึ้นมาเลย ส่วนประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ถ้าหากหันมาไฝ่กุศล คิดดี ทำดี ยึดมั่นในศีลธรรม คุณธรรม กันให้มากขึ้นๆ แล้ว ก็อย่าถึงกับต้องไปวิตกอะไรมากมายนัก เพราะอย่างที่ เสธ.น้ำเงินอภิมหานักยุทธศาสตร์และนัก ปจว.รายสำคัญท่านได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของท่านเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ไม่ว่าใครจะมีอาวุธอะไรก็แล้วแต่ แต่ภายใต้กระบวนการทดสอบและพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับร้อยๆพันๆ ปี อาวุธอย่าง BF-s 001 ABCD และอาวุธ KM-002 EFGH ที่ไทยประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเองนั้น ไม่ว่าใครก็ประมาทมิได้!!! ไม่ว่าเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามลำไหน ต่อลำไหน ถ้าต้องเจอกับการปล่อยขีปนาวุธ KM-002 ที่ย่อมาจาก Komloy หรือ โคมลอย ไปทั่วท้องฟ้า อาจถึงขั้นไปไม่เป็นเอาง่ายๆ ยิ่งถ้าเจอกับ BF-s 001 อันย่อมาจาก Bangfai San หรือ บั้งไฟแสน ด้วยแล้วล่ะก็...ไม่ใช่แค่ต้องตกตะลึง พรึงเพริด เท่านั้น ยังสามารถลากเสื่อซื้อข้าวเหนียว ไก่ย่าง ส้มตำ มาแกล้มระหว่างกำลังชมพิธีโชว์แสนยานุภาพ ได้อย่างสนุกสนาน เมามันซ์ซ์ซ์ ยิ่งกว่าพิธีสวนสนามของกองทัพจีนเป็นไหนๆ...
-----------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จากกวี Homer... “The sword itself often incites a man to fight.- ตัวของดาบเองนั่นแหละ...ที่เป็นตัวยั่วยุให้คนต่อสู้กัน...”
ที่มา http://www.thaipost.net