หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


Leopard-2 ม้าศึกสุดแกร่งของกองทัพเยอรมัน

โดยคุณ : MIG31 เมื่อวันที่ : 20/01/2016 14:00:50

Leopard-2 หรือในทีนี้ขอเรียกว่า Leo-2 เป็นรถถังหลักของกองทัพเยอรมันที่สร้างในช่วงสงครามเย็นและใช้งานอยู่ถึงทุกวันนี้

Leo-2 เป็นรถถังที่เรียกได้ว่าพร้อมสมบูรณ์ที่สุดและเกือบดีที่สุดก็ว่าได้   การออกแบบตัวรถ พลังขับเคลื่อน อำนาจการยิง การป้องกัน นับว่าหาข้อติได้ยาก ภายใต้การออกแบบด้วยประสบการณ์อันยาวนานของบริษัทในเยอรมันซึ่งรวมทีมที่มีประสบการณ์ยาวนานและลือชื่อมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่2 ภายใต้สภาวะสงครามเย็นระลุและกองทัพรถถังโซเวียตจำนวนมหาศาลที่พร้อมดาหน้าเข้าใส่ยุโรปตะวันตก รถถังหลักLeopard-2คือปราการสำคัญในการป้องกันที่หลายประเทศในยุโรปเลือกใช้

คุณภาพชนิดที่ว่ากองทัพทหารม้าทั่วโลกฝ่ายนิยมอาวุธนาโต้ต่างเลือกใช้ชนิดขายดีทั้งมือ1และมือ1ด้วยยอดผลิตจำนวนกว่า3พันคัน  โดยในกลุ่มรถถังยุค80เรื่อยมาจนถึงปลายสงครามเย็นยังไม่มีรถถังรุ่นใดของฝั่งนาโต้ขายได้ดีเท่านี้

ฟังดูอาจเวอร์ไปนะครับ แต่โดยรวมรถถังLeo-2 นั้นมีส่วนในการนำแนวคิดการออกแบบและชิ้นส่วนไปใช้ในรถถังรุ่นใหม่ๆทั่วโลก เช่นเครื่องยนต์ MTU MB-serise ปืน120มม.ของไรเมนทัล  พวกนี้เป็นหัวใจหลักในรถถังของมหาอำนาจหลายๆคันด้วยกัน

Leo-2 นั้นเริ่มมีการพัฒนาในราวปี1979 เพื่อทดแทนLeopard-1 ที่เริ่มล้าสมัยทั้งเกราะป้องกันและอำนาจการยิง ซึ่งก่อนหน้านั้นในปี1969 เยอรมันและสหรัฐร่วมมือกันวิจัยรถถังMBT-70 (Kpz-70 เยอรมัน)  เพื่อทดแทน M-48 M-60 ซึ่งผลปรากฏว่าคุณภาพไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ด้วยคุณลักษณะการยิงขณะเคลื่อนที่ การโหลดกระสุนอัตโนมัติ พร้อมต้นแบบ7คันที่เยอรมันลงทุนไปกว่า830ล้านมาร์ก โครงการเลยถูกยกเลิกและต่างคนก็นำสิ่งที่ได้ไปวิจัยรถถังของตนเอง

แต่แท้จริงนั้นราวปี1970 ขณะโครงการMBT-70ใกล้จะยุติ  ก่อนนั้นเล็กน้อยมีการเสนอโครงการอัพเกรดรถถังLeopard-1 ในชื่อ Vergoldeter Leopard KPz Eber / Keiler ภายในปี1968 ซึ่งการอัพเกรดรถถังLeo-1นี้ได้รับการทดสอบโดยข้อตกลงร่วมระหว่างกระทรวงกลาโหมกับบริษัท Krauss-Maffei AG จนได้ต้นแบบสมบูรณ์ในปี1969 สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำมาเป็นโครการอัพเกรดอย่างจริงจัง

เนื่องจากกลาโหมสนใจที่จะพัฒนาLeopard-2K(ต้นแบบ) มากกว่าซึ่งได้สร้างจนเสร็จสิ้นในปี1972-74 โดยมีต้นแบบ16คัน รหัสPT1-17(หมายเลข12ไม่ได้สร้าง) โดย3บริษัทคือ Krauss-Maffei, Porsche และ Wegman ซึ่งนำเอาป้อมปืนของรุ่นLeo-1A3-A4 มายำรวมกัน ในจำนวนต้นแบบ17คัน ระบบอำนวยการยิงบางส่วนมาจากMBT-70 กล้องวัดระยะมาจากEMES-12  ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบ105และ120มม.  ในต้นแบบคันที่11 ใช้ป้อมปืนกลscheitellafettierte 20มม.  ของรถIFV Marder มาติดตั้ง นอกจากนั้นยังมีรุ่น Leopard-2FK ซึ่งจะใช้ปืน152มม. สำหรับยิงกระสุนนำวิถีของสหรัฐอย่าง MGM-51 ชิลเลลักห์ ด้วย แต่สุดท้ายยกเลิกไป

Leopard-2K

ปี1974 เยอรมันขายต้นแบบPT-7 ไปให้สหรัฐศึกษารวมถึงเอาต้นแบบไปทดสอบที่แอริโซน่า ก่อนจะทำตัวอย่างเข้าสู่การผลิตจริง

เยอรมันส่งตัวถังต้นแบบLeopard-2AV ไปทดสอบที่สหรัฐอีกครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพน่าพอใจทั้งการเสริมเกราะที่ตัวรถ การควบคุมไฟ  การป้องกันทุ่นระเบิด ประกอบกับศึกษายุทธวิธีในการรบของสงครามยมคิปปูห์ในปี1973 ทำให้พึ่งพอใจในประสิทธิภาพค่อนข้างมาก  ก็ยังมากกว่าเป้าหมายMLC-50 สำหรับยานเกราะสายพาน45.4ตัน  (Military Load Classification) เป็นระดับ60 ราวๆ55ตัน





ความคิดเห็นที่ 1


ขอชี้แจงตรงนี้เล็กน้อยว่า MLC หรือมาตรฐานการจัดน้ำหนักชั้นยานเกราะของนาโต้ตามข้อตกลงSTANAG-2021 เป็นการระบุว่ายานเกราะหรือพาหนะทางสงครามนั้นต้องมีน้ำหนักมาตราฐานเดียวกันในทุกประเทศสมาชิก เพื่อให้สามารถลำเลียงพลข้ามสะพาน ถนน ในแต่ล่ะประเทศเวลาระดมเข้าสู่สงครามโดยที่การเคลื่อนพลเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่มีปัญหา

ถนนหลวง สะพาน  จะมีป้ายบอกน้ำหนักที่เคลื่อนผ่านได้ รวมถึงในแผนที่เหล่าเสนาธิการทหารจะรู้ได้ทันทีว่ากองทัพจะเคลื่อนอาวุธใดไปทางไหนได้บ้าง ได้เร็วเท่าไหร่  โซเวียตจึงจำกัดน้ำหนักยานเกราะโดยเฉพาะรถถังหลักไม่เกิน50ตัน เพื่อบุกทะลวงถนนทุกสายในยุโรปตะวันตกได้นั้นเอง

ทีนี้บ้านเราเกี่ยวมั้ย? ก็ไม่เชิงซะทีเดียว หลายคนคงเคยได้ยินได้อ่านเรื่องรถถังหนักๆจะมาติดหล่มในบ้านเรา  หลายท่านอาจมองว่าตลกเพราะเค้าคำนวณ ground pressure มาแล้ว ไม่ติดหรอก แต่นั้นคือตอนออกแบบ ของจริงคือการลำเลียง การข้ามสะพาน ถนน ซึ่งประเทศไทยเรานั้นยังไม่มีมาตรฐานสูงพอ โดยเฉพาะเส้นทางตามชายแดนรอบประเทศ(สะพานอบต.ทั้งหลาย) ซึ่งปัญหานี้รถถัง Abram เคยไปตกสะพาน ถนนริมคลองถล่มรถตกคลองในอิรักมาแล้ว

 

กลับมาที่Leo-2 ซึ่งมีการปรับปรุงป้อมให้แข็งแกร่งขึ้นจากLeo-1 ป้อมต้นแบบหมายเลข14 ถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยการยิงเช่นเลเซอร์วัดดระยะ กล้อง EMES-13 ป้อมส่วนหน้ามีความหนาเฉลี่ย350มม. โดยบริษัทWegmann โดยสหรัฐเองเสนอให้เสริมเกราะคอมโพสิตทำมุมในการป้องกันตัวป้อมเข้าไปอีก  รวมถึงเสนอให้ติดตั้งเครื่องยนต์สำรองAPU เป็นต้น ส่วนปืนใหญ่ต่อสู้รถถังยังวางใจปืน105มม.และ102มม. อยู่ในตัวเลือก

ในปี1977 จุดสำคัญอย่างนึงคือการส่ง Leopard2AVปืนใหญ่105มม. มาทดสอบในสหรัฐเปรียบเทียบกับXM-1(ต้นแบบ M1 Abram ) ที่แมรี่แลนด์ ผลสรุปว่าLeo-2 เหนือกว่าอยู่ในหลายจุด  แต่ทั้งสองชาติก็ยังขัดแย้งกันในการเลือกใช้ปืนใหญ่ประจำรถ  โดยเยอรมันต้องการใช้ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบขนาด120มม. ขณะที่สหรัฐยังวางใจปืน105มม. M-68 (ตอนหลังก็ต้องเปลี่ยนมาใช้120มม.ตามเยอรมัน ในราวปี1985) รวมถึงเครื่องยนต์ที่สหรัฐจะใช้เครื่องแก๊สเทอร์ไบน์ แต่เยอรมันจะใช้เครื่องดีเซล

สรุปในปี1977  การสร้างรถถังLeo-2 A0-A4 นั้นใช้บริษัทถึง1500บริษัท  ในการผลิตรถถัง8ล็อต  ล็อตล่ะ300กว่าคัน  โดยล็อตแรกจะส่งปลายปี1979  งบประมาณโครงการ359ล้านมาร์ก ไม่รวมที่ลงทุนในโครงการMBT-70 กับสหรัฐ 

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 12/01/2016 16:35:01


ความคิดเห็นที่ 2


Leopard-2 เป็นรถถังหลักใช้พลประจำ4คน ปืนใหญ่ต่อสู้รถถัง120มม.  ทำการยิงขณะเคลื่อนที่ได้ สามารถทำการรบภายใต้สภาวะสงครามเคมี นิวเคลียร์ ชีวะได้สูงสุด48ชั่วโมง น้ำหนักพร้อมรบในรุ่นA4คือ55ตัน  รุ่นA5คือ59ตัน รุ่นA6คือ59.9-61.7ตัน รุ่นA6Mคือ62.5ตัน

อาวุธประจำรถ

ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบ120มม. L-44 ของบริษัท Rheinmetall  ที่มีคุณภาพสูงใช้กว้างขวางในรถถังชั้นนำหลายชาติ โดยยิงกระสุนหลักๆในการทำลายยานเกราะเช่น

DM-13/23/33 ซึ่งเป็นกระสุนพลังงานจลล์KE ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงในฝั่งนาโต้

พอรุ่นA6 ใช้ปืน120มม. L-55 ซึ่งเพิ่มความเร็วลำกล้อง+กระสุนแบบDM-33/53 ซึ่งมีอำนาจเจาะเกราะสูงสุดในตอนนี้  ปืนกลร่วมแกนMG-3 7.62มม. และต่อต้านอากาศยาน อย่างล่ะ1กระบอก

ล่าสุดก็ไรเมนทัล ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับอิสราเอลเพื่อนำจรวดนำวิถียิงจากลำกล้องปืนรุ่นLAHAT ซึ่งมีระยะยิงไกล6000เมตร เข้าใช้งาน

โดยรุ่นA-4 มีกระสุนภายในเป็นกระสุนต่อสู้รถถังKE จำนวน30นัด กระสุนทวิประสงค์MP จำนวน12นัด ส่วนรุ่นA5-A6 จะมีกระสุน37นัด  โดยใช้กำลังพลประจำรถในการโหลดกระสุน  ในขณะที่รถถังใหม่ๆหลายรุ่นใช้แบบอัตโนมัติกันแล้ว

 เครื่องยิงระเบิดควัน8นัด จำนวน2ชุดด้านซ้าย-ขวาของป้อม

พลประจำรถจะมีปืนป้องกันตัวเองอย่างMP2A  ปืนพกP-8 ปืนยิงพลุHK-P2A อย่างล่ะ2กระบอก

ระบบอำนวยการยิง

ระบบstabilization ควบคุมความเสถียรของลำกลองปืนใหญ่ ในรุ่นA4 ใช้ระบบไฮโดรลิครุ่น WNA-H22 ส่วนรุ่นA5ใช้ระบบไฟฟ้า( EWNA)ความนิ่งชนิดวางแก้วน้ำปลายกระบอกปืนขณะวิ่งไม่มีกระฉอก โดยระบบWNA-H22  ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลผล Panzerprüfgerät RPP 1-8 (ในรุ่นA-4)

ระบบอำนวยการยิง EMES-13 ถูกพัฒนาในปี1973ซึ่งจะติดตั้งในรถถังLeo-2ชุดแรกที่จะส่งมอบ  และในปี1976 บริษัท ฮิวจ์ของสหรัฐซื้อไปใช้งานในรุ่นEMES-15  ซึ่งของสหรัฐนอกจากเลเซอร์วัดระยะแล้วสามารถติดตั้งกล้องมองกลางคืนPZB-200 เสริมเข้าไปได้ด้วย 

EMES-15 นั้นผลิตโดยSTN-Atlas ตัวกล้องมีกำลังขยาย12เท่า ทำงานประกอบกับเลเซอร์วัดระยะ กล้องมองกลางวัน/กล้องจับภาพความร้อน ซึ่งมีใช้ในLeo-1A5 รวมกับกล้องตรวจการณ์ของผบ.รถรุ่น PERI-R17 เป็นกล้องแบบPeriscope  มองได้แต่กลางวันกำลังขยาย2-8เท่า  กลางคืนต้องใช้กล้องจากชุดยิงEMES-15 ในการตรวจเป้าหมาย

แต่ในรุ่นPERI -R17A2 มีการติดตั้งกล้องจับความร้อนเพิ่มเข้าไปด้วย มีใช้ในรุ่นLeo-2A5

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 12/01/2016 16:38:15


ความคิดเห็นที่ 3


เลเซอร์วัดระยะรุ่นCE628 ของ Zeiss Eltro-Optronics ที่ประกอบเข้ากับชุดอำนวยการยิงEMES-15 วัดระยะตั้งแต่200-10000เมตร โดยค่าผิดพลาดในระยะไกลสุด10เมตร  วัดระยะเป้าหมาย3ครั้งใน4วินาที  แล้วทำการส่งเข้าคอมพิวเตอร์ประมวลผลเข้าสู่ระบบอำนวยการยิงแบบอัตโนมัติ หากเกินระยะ4000เมตร ระบบจะไมนำมาประมวณผล พลยิงต้องประมวณผลเอง

กล้องจับความร้อน ของบริษัทZeiss Eltro Optronics  โดยออกแบบตามมาตรฐานสหรัฐ  มีกำลังขยาย12เท่า  ในการตรวจการณ์ระยะไกลสุด  ซึ่งระยะตรวจการณ์กลางคืนจะอยู่ที่3000เมตร

ศูนย์เล็งปืนFERO-Z18 ถูกติดตั้งขนานกับลำกล้องปืนใหญ่เหมือนTZF-3ที่ใช้ในLeo-1 พอรุ่นLeo-2A5 มีการเสริมเกราะNERA ด้านหน้าจึงทำการแยกมาไว้เหนือลำกล้องปืน  ในรุ่น FERO-Z18A6 จะบอกชนิดกระสุนด้วย

ในรุ่นA7 นั้นจะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับ Drone LUNA ได้อีกด้วย

เกราะของป้อมปืน

เป็นแบบคอมโพสิตซ้อนทับหลายชั้นซึ่งเป็นความลับ ลักษณะเหมือนเกราะที่เรียกว่าโชแบมของอังกฤษแต่ไม่ได้เหมือนของอังกฤษ หลัๆก็พวกเหล็กกล้า เซรามิค ในรุ่นA-5 เสริมเกราะNERA เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกัน.ในด้านหน้าเพื่อลดอำนาจเจาะเกราะของกระสุนและระเบิดชนิดต่างๆก่อนเข้าสู่เกราะหลัก

ตัวเกราะส่วนหน้าป้อมเมื่อเจอกระสุนKE  Leo-2A4 จะหนาราวๆ590-690มม. Leo-2A5หนา850-930มม. หนาสุดในชุดนี้เป็นStrv-122(Leo-2A5) ที่ผลิตในสวีเดนหนา 920-940มม.

ตัวป้อมรุ่นA4 มีน้ำหนัก16ตัน  ส่วนรุ่นA6-6M หนัก21ตัน ตัวป้อมหมุน360องศา ภายในเวลา10วินาที

ระบบขับเคลื่อน Leo-2

ใช้ระบบรองรับน้ำหนักแบบทอร์ชั่น-บาร์ และระบบไฮโดรลิค ในชุดรับน้ำหนักแต่ล่ะล้อ

เครื่องยนต์ดีเซล  MTU MB-873 KA-500 ระบายความร้อนด้วยน้ำ พละกำลัง1500แรงม้า เสริมด้วยเทอร์โบชาร์จ2ตัว สร้างความเร็วได้ถึง68กม./ช.ม.  ซึ่งสามารถใช้น้ำมัน2ชนิดในอัตราส่วน6/4คือดีเซล60%และสารไวไฟอื่นๆ40%  ตัวรถที่มุมเอียง35องศา  เครื่องยนต์ยังสามารถหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในได้อย่างทั่วถึง โดยเชื้อเพลิงภายในจำนวน900ลิตร

อัตรากินน้ำมันขณะจอดนิ่งๆ12.5ลิตร/ชั่วโมง  ถ้าซิ่งบนถนนเรียบๆระยะทาง100กิโลเมตรใช้น้ำมัน340ลิตร  ในพื้นที่ภูมิประเทศระยะทาง100กิโลเมตร ใช้น้ำมัน530ลิตร

เกียร์อัตโนมัติส่งกำลังRenk HSWL-354 ด้วยเกียร์เดินหน้า4เกียร์ให้ความเร็วสูงสุด72กม./ชม.  ถอยหลัง2เกียร์ให้ความเร็วสูงสุด31กม./ชม.  และเครื่องยนต์ที่ออกแบบเป็นบล็อคสามารถถอดประกอยในสนามรบภายในเวลา15นาที  เครื่องยนต์กำเนิดพลังงานสำรองAPU ขนาด7.5 kW-17 kW

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 12/01/2016 16:42:42


ความคิดเห็นที่ 4


รุ่นต่างๆของรถถัง Leopard-2

สำหรับกองทัพเยอรมันนั้นปัจจุบันใช้รุ่นA6/7/6M ส่วนรุ่นA-4 ถูกขายออกไปและรุ่นA-5 บางส่วนถูกยกเลิกเพื่อลดความแตกต่างใน3รุ่นข้างต้น ซึ่งในปี1969ประเทศเยอรมัน เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ นอร์เวย์ ลงนามร่วมกันในการสร้างและใช้งานรถถังLeo-2 เพื่อลดความซับซ้อนในการจัดหาอาวุธ

Leopard2AV  มีรุ่นทดสอบป้อมปืนและตัวถังอย่างเดียวที่ถูกเรียกรวมไปด้วย

Leopard2A0

ผลิตในปี1979-1982 จำนวน380คัน โดย209คันสร้างโดย Krauss-Maffei และ171คันโดยบริษัท MaK  ใช้ระบบอำนวยการยิงEMES-15 กล้องผบ.ตรวจการณ์PERI R17 ศูนย์เล็งFERO Z18 ระบบStabilizer WNA-H22 คอมพิวเตอร์ประมวลผลRPP 1-8 กล้องมองกลางคืน PZB-200 จำนวน200คัน

Leopard2A1 สร้างจำนวน750คัน  ตั้งแต่ปี1982-1984 โดย450คันล็อตแรกจบภายในปี1983 ส่วนอีกล็อตจำนวน300คันจบในปี1984 โดยประกอบด้วยกล้องจับความร้อน  ชุดพลขับมาตรฐานนาโต้ เพิ่มความหนาห้องเครื่อง ผบ.รถถูกเพิ่มความสูงอีก5ซม.สำหรับกล้องตรวจการณ์ เครื่องวัดความเร็วลม กล้องจับความร้อน

Leopard2A2 เป็นการเอารุ่นA-0 ทั้งหมดมาใส่กล้องมองกลางคืนPZB-200

Leopard2A3 สร้างจำนวน300คัน ในธันวาคมปี1984ถึงธันวาคมปี1985 ใช้ลายพราง3สี วิทยุรุ่นใหม่SEM 80/90 (VHF) เป็นต้น

Leopard2A4

 สร้างจำนวน4ล็อต จำนวน695คัน ในเดือนธันวาคมปี1984ถึงมีนาคมปี1987 ในจำนวน370คันถูกติดตั้งคอมพิวเตอร์คำนวณการยิงรุ่นใหม่ เพิ่มจำนวนความจุกระสุนในด้านซ้ายของรถ ระบบดับเพลิงที่ดีขึ้น

Leopard2A5

เป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพและยืดอายุใช้งานออกไปแบ่งเป็น2ล็อตคือปี1995-1998(225คัน) 1999-2002(125คัน) เป็นการเอารุ่นA4 มาทำใหม่หมด เสริมเกราะNERA ด้านหน้าและด้านข้าง กล้องผบ.รถPERI R17A2 (สามารถใช้งานกลางคืนได้) คอมพิวเตอร์ประมวลผลรุ่นใหม่  ระบบปรับลำกล้องปืนไฟฟ้า  กล้องมองหลัง ฝาปิดห้องพลขับเปิดด้วยนิวเมติค  ด้านในเป็นSpall liners แบบเคฟลาห์  รวมถึงแผนที่ดาวเทียม และความพร้อมก่อนจะนำไปติดตั้งปืน120มม. L-55 โดยส่วนใหญ่เอารถLeo-2รุ่นแรกๆมาทำ

Leopard2A6

หลักๆเป็นการเพิ่มอำนาจการยิงเช่นปืน120มม. L-55 โดยเอารถถังLeo-2A5 จำนวน160คันมาอัพเกรด กับอีก65คันเป็นรุ่นLeo-2A4 โดยในปี2001 รถถังLeo-2A6 ถูกส่งไปบรรจุในกองพันรถถังที่403

Leopard2A6M เสริมเกราะ STANAG 4569 ระดับ4 ป้องกันกับระเบิดรถถังขนาด10กก.  ที่นั่งพลขับถูกติดตั้งที่นั้งแบบซับแรงกระแทกของบริษัทAutoflug ในเยอรมันโดยมีฮอลแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ สวิตฯร่วมพัฒนาด้วย

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 12/01/2016 16:51:32


ความคิดเห็นที่ 5


ในระหว่างนี้ Leo-2 มีการปรับปรุงประสิทธิภาพมาถึง3ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดในรุ่นA4 แต่เป็นการทดลองเช่น การใช้กล้องจับความร้อน แผนที่ดาวเทียม ระบบวางแผนและข้อมูลการรบ Integrated Management and Information System (IFIS)  ครั้งที่สองในรุ่นA5 เช่นเสริมเกราะ ทดสอบปืน120มม.L-55 กล้องผบ.รถใช้งานกลางคืนได้

และครั้งที่3ปี2008  ได้แก่การทดลองปืน140มม.  ระบบควบคุมและสั่งการ IFIS  การสื่อสารทางวิทยุที่ดีขึ้น เสนอให้กลาโหมในปี1995

Leopard 2 UrbOp(PSO)  

สำหรับทำภารกิจรบในเมืองโดยบริษัทKrauss-Maffei Wegmann เป็นผู้นำเสนอ โดยนำLeo-2A6 จำนวน150คันมาดัดแปลง ในจำนวนนี้เป็นรุ่นA4 50คัน เช่นเสริมใบดันดินด้านหน้า  เสริมเกราะด้านหน้าและด้านข้าง กล้องมองรอบคันที่ให้ภาพคมชัดทั้งกลางวัน/กลางคืน  โทรศัพท์ด้านนอกตัวรถ เครื่องยนต์APU ป้อมปืนกลรีโมทและเพิ่มเติมคือเครื่องยิงลูกระเบิด40มม.  แอร์ปรับอากาศ ส่วนปืนแรกเริ่มใช้120มม.L-44 แต่ก็เสนอปืน120มม.L-55 เพิ่มเติมโดยมีการนำเสนอในปี2009 ซึ่งแนวคิดนนี้ถูกนำไปใช้ในรุ่นA7

Leopard2A7

ซึ่งไม่เน้นรบในเมือง รถถังจำนวน20คันเป็นของเก่าจากฮอลแลนด์ที่แคนาดาใช้และถูกส่งมาเยอรมันอีกที ซึ่งนำรุ่นA6M มาเป็นพื้นฐาน  ใช้เครื่องยนต์APU Steyr M12 TCA  17kw  ซึ่งระบายความร้อนได้ดีขึ้น รวมถึงการใช้ชุดพรางSaab Baracuda ที่ลดการแพร่ความร้อนและพรางสายตาได้ดี  ระบบเชื่อมโยงข้อมูลแบบโครงข่าย ระบบแสดงผลภายในSOTAS-IP การเสริมเกราะด้านข้าง โดยรถถังA7 จำนวน14คันถูกส่งไปบรรจึกองพันรถถังที่203

Leopard-2 เวอร์ชั่นของKMW

Leopard 2A6EX

 เป็นรถรุ่นA4 ผลิตในปี1998/1999 เป็นตัวสาธิตจำนวน1คัน ในชุดอุปกรณ์เดียวกับStrv-122ของสวีเดน  หลักเช่นเสริมเกราะ การปรับสายพานด้วยไฮโดรลิค เครื่องยนต์APU รวมถึงขุมกำลังEuro-Power Pack คือชุดเครื่องยนต์Euro-Power Pack ประกอบด้วยเครื่องดีเซล MTU 883  ชุดเกียร์ HSWL-295 TM ของ Renk  รวมถึงใช้ปืน120มม. L-55 เปิดตัวในปี2002

Leopard2PSO (Peace Support OperationsหรือภารกิจUN) /2A7+ อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าว่าออกแบบเพื่อตอบสนองภารกิจในเมือง

ส่วนรุ่นA7 นำเสนอในปี2010 ซึ่งได้รับการรับรองจากกลาโหมเยอรมัน  หลักๆนอกจากปืนแล้วยังรวมถึงใช้กล้องจับความร้อนรุ่นSPECTUS Cassidian Optronics  กล้องผบ.รถรุ่นPERI RTWL ซึ่งมีใช้ในรถIFV PUMA ซึ่งผบ.รถสามารถเลือกเล็งเป้าหมายและสั่งการยิงได้ทันทีรวมกับอำนาจการยิงของปืนใหญ่120มม.L-55 เพียงพอในการต่อสู้รถถังในระยะไกล

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 12/01/2016 16:56:49


ความคิดเห็นที่ 6


Leopard-2 เวอร์ชั่นของIBD Deisenroth Engineering

ซึ่งมุ่งเน้นการอัพเกรดรถถังLeo-2A4 ด้วยชุดเกราะโมดูลหลากหลายแบบตามความต้องการ นำเสนอในปี2008ในชื่อ Leopard-2A4 Evolution ซึ่งประกอบด้วยชุดเกราะAMP-B/SC เป็นต้น ชุดเกราะดังกล่าวมีน้ำหนักที่120กก./ตร.ม.

Leopard-2 เวอร์ชั่นRheinmetall

นำเสนอในปี2010 นำส่วนของLeo-2A4 Evolution มาเป็นรากฐานแล้วเสริมเรื่อง การป้องกันทั่วทั้งคันยันหลังคารถ ระบบป้องกันจรวดแบบ ROSY  การเชื่อมโยงข้อมูลและสั่งการรบ การมองเห็น ระบบการยิงอาวุธนำวิถีแบบSACLOS แม้อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นดิจิตอล-อัตโนมัติแต่ก็คงการสั่งการแบบอนาล็อกไว้ เป็นต้น

Leopard-2 เวอร์ชั่นAselsanของตรุกรี

ถูกนำเสนอในปี2011ในชื่อLeopard 2 Next Generation บนพื้นฐานรุ่นA4 ระบบส่วนใหญ่เช่นอำนวยการรบเป็นของบริษัทในตรุกรี  การป้องกันใช้เกราะของAMAPจากเยอรมัน

Stridsvagn-121/122หรือLeopard-2 เวอร์ชั่นสวีเดน

สวีเดนเริ่มศึกษารถถังรุ่นใหม่ในราวปี1984-1987 ก่อนประกาศโครงการ MBT-2000 และเริ่มจัดการทดสอบรถถัง Leclerc T-72  M1A2 และLeopard-2 ในปี1993 ผลปรากฏว่าLeo-2 ชนะการทดสอบด้วยคะแนน91% M1A2 86% และLeclerc 63%

สวีเดนจึงเริ่มจัดหารถถังLeo-2A4 จำนวน160คัน ในปี1994 ในชื่อStrv-121 โดยใช้กระสุนผลิตในอิสราเอล

Strv-121 เป็นLeo-2A4 ต่างจากของเยอรมันตรงลายพรางและวิทยุ

Strv-122 เป็นรุ่นLeo-2A5 เสริมเกราะAMAP ระบบสื่อสารเป็นต้น

Panzer-87 หรือLeopard-2 เวอร์ชั่นสวิตเซอร์แลนด์

ช่วงที่เยอรมันพัฒนาLeo-2 นั้นสวิตฯได้เริ่มโครงการจัดหาและพัฒนายานเกราะของตนเอง ซึ่งมีที่ปรึกษาเป็นบริษัทจากเยอรมัน ในปี1979 ประกาศแผนสร้างNeuen Kampfpanzers (NKPZ) หรือรถถังหลักแบบใหม่ แต่ไปๆมาๆมองว่าไม่คุ้มค่าจะสร้างต่อจึงเช่ารถถังM1 Leo-2 มาทดสอบในปี1982 สุดท้ายLeo-2 ก็ได้รับการคัดเลือกนอกจากประสิทธิภาพแล้วยังรวมถึงข้อเสนอในการสร้างในประเทศ ซึ่งให้ได้มากกว่าM-1ของสหรัฐ

ในปี1984 กลาโหมสวิตฯจึงจัดหารถถังLeopard-2A4 จำนวน380คัน โดย35คันผลิตในเยอรมันรถถังLeopard-2 นั้นเป็นรถที่สืบตำนานพญาเสือ(Tiger)อันโด่งดังในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 การออกแบบที่ละเอียดทุกจุด ความสัมพันธ์ระหว่างพลังขับเคลื่อน อำนาจการยิง ความแข็งแกร่งของเกราะ เพื่อไว้ปะทะกับฝูงรถถังโซเวียตที่พร้อมดาหน้าเข้ามาในยุคสงครามเย็น ซึ่งไม่ต่างจากยุคสงครามโลกครั้งที่2ที่ฝ่ายนึงคือความสมบูรณ์แบบ ฝ่ายนึงเน้นปริมาณเข้าใส่กัน

แต่ทุกบทพิสูจน์คือการได้ลงสนามจริง สถานการณ์จริง ซึ่งรถถังM-1 Challenger-2 Merkava-3/4 เคยเจอมาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังไม่รอดพ้นความสุญเสียไปได้ ในขณะเดียวกัน Leopard-2 นั้นเคยเข้าร่วมคือรักษาสันติภาพเท่านั้น  แต่ถ้าเอาภาพรวมนับว่าหาคู่ต่อสู้แลกหมัดต่อหมัดได้ยากเลยทีเดียว

ส่วนถามว่าเหมาะกับบ้านเราไหม ?  อย่างว่าของดีไม่ได้หมายความว่าจะถูกนะครับ ขนาดประเทศผู้ผลิต ผู้ใช้หลายๆเจ้ายังต้องหาซื้อมือสองมาอัพเกรดใช้ จนถึงไม่ได้อัพเกรดเลยก็มี

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 12/01/2016 16:59:51


ความคิดเห็นที่ 7


ช่วงสงครามเย็นเยอรมันผลิตมาเยอะมาก หลายพันคัน พอสงครามเย็นจบก็แช่เย็นเก็บไว้ หรือปล่อยขายให้ชาวบ้าน ถึงได้มีการซื้อมือสองกันว่อนตลาด

ปัจจุบันเยอรมันไล่ซื้อกลับมาอัพเกรดใช้เอง ฮา

 

โดยคุณ toeytei เมื่อวันที่ 12/01/2016 20:06:17


ความคิดเห็นที่ 8


ชอนรุ่น evolution น่าจ้างเค้ามาวิจัยร่วมกัน โดยย่อขนาดลงมาให้น้ำหนักต่ำกว่า 60 ตัน สำหรับใช้ในไทย ผลิตสัก 300-400 คันน่าจะคุ้มค่าวิจัยพัฒนา
โดยคุณ rayong เมื่อวันที่ 13/01/2016 08:56:07


ความคิดเห็นที่ 9


ทำข้อมูลมาให้ครับ

สำหรับ เยอรมัน ผลิต Leopard 2 มาจำนวน 2,125 คัน

ปัจจุบัน เยอรมัน คงเหลือใช้งานเพียง 225 คัน ซึ่งเป็นการ อัพเกรดจาก A4 มาจนถึง A7

ส่วนที่เหลือก็ขายเป็นมือสอง เกือบทั้งหมด

ตามข้อมูลของแผ่นภาพ ใช้ข้อมูลในสื่ออินเตอร์เนต จึงคาดว่า อาจจะคงเหลือในคลังประมาณ 400 - 500 คัน

ซึ่งไม่รู้ว่า ที่มีการขายผ่านมานั้น เยอรมัน ขาย Batch จากล่าสุด ไป หลังสุด หรือไม่นะครับ

ก็น่าจะเห็นได้ว่า แม้แต่ เยอรมัน ก็ใช้ รถถังเก่า นำมา อัพเกรด ใหม่ เหมือนกัน

 


โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 13/01/2016 18:06:11


ความคิดเห็นที่ 10


เห็นแล้วเสียดายคล้ายเรือดำน้ำหกลำ ของมือสองดีๆไม่ค่อยเอา ชอบเอาไอ้ที่ต้องซ่อม พอของมือหนึ่ง ตอนแรกก็เลือกที-90เอส ไปๆมาๆกลายเป็นออฟลอท ซึ่งไม่มีการผลิตจริง ทำไมหนอ นึกถึงเรือดำน้ำหกลำ ตั้งหกลำ แม้จะใช้จริงแค่สี่อะไหล่สองโคตรคุ้ม ถ.เลโอฯอีก เห็นดีลร์อินโดฯแล้วซี๊ดดด บ.อัลฟ่าเจ็ทอีก 

โดยคุณ makropolo เมื่อวันที่ 16/01/2016 21:48:54


ความคิดเห็นที่ 11


ลองทำข้อมูลใหม่ ถ้า เยอรมัน ขาย ของเก่าก่อน เรียงลำดับลงมา


โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 17/01/2016 10:33:14


ความคิดเห็นที่ 12


แก้ไขใหม่อีกสักรอบ....ถ้าใช้ข้อมูลของ Sipri.org

กับ ข่าวเมื่อเดือน เม.ย. 2558 ที่ ทบ.เยอรมัน จะเพิ่ม รถถังประจำการ Leopard 2 เพิ่มจาก 225 คัน เป็น 328 คัน...โดยจะเป็น รถถัง ใช้ในการรบ 320 คัน และเป็น รถถังเพื่อทดสอบ 8 คัน


โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 17/01/2016 12:02:28


ความคิดเห็นที่ 13


เดี๋ยวนะครับ ตกลงตอนแรกเราเลือกT-90Sเหรอ?.....ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มันห่วยกว่าBM Oplotด้วยนะ? (เอาไปเทียบกับT-90MSโน่น)

 

ส่วนเรื่องรถถังเยอรมันกับทบ.ผมว่าเลิกคิดได้เลยมั้งครับ เรื่องเครื่องบิน ฮ. เรือดำน้ำ ปตอ. จรวด อะไรพวกนี้ค่อยว่ากัน

โดยคุณ Phu2000 เมื่อวันที่ 17/01/2016 17:05:48


ความคิดเห็นที่ 14


ไม่เคยมีข่าวว่า ทบ.เลือก T-90S นะครับ เคยมีแต่ T-90S เป็น 1 ใน 3 ตัวเลือกสุดท้าย (แต่แพงสุด)

ตามนี้

http://www.thaifighterclub.org/webboard/11851/%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5-9-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%96-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%97-%E0%B8%9A--%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99-.html

โดยคุณ tow เมื่อวันที่ 17/01/2016 20:28:16


ความคิดเห็นที่ 15


สำหรับรถถังเยอรมันถ้าเราต้องการจริง ๆ เขาก็คงขายให้ เพียงแต่เขามีมาตรฐานของเขาอยู่ ในอดีตเคยเสนอ TH301 มาแข่งในยุค STINGRAY ซึ่งเสนอมาพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมตั้งโรงงานผลิดให้เลย และอีกตัวที่เคยส่งมาทดสอบ คือ LEOPARD 1A5

โดยคุณ cumulus เมื่อวันที่ 18/01/2016 06:20:16


ความคิดเห็นที่ 16


เข้าใจว่าTH-301/TAMมายุคเดียวกับLeopard 2A5 นะครับ พร้อมๆกับOF-40, Vickers Mk.3 และอื่นๆ

 

สุดท้ายType69-IIงาบไป

โดยคุณ Phu2000 เมื่อวันที่ 18/01/2016 07:17:31


ความคิดเห็นที่ 17


แทม โดน สตริงเรย์ งาบ............... จริง    แต่ ลีโอพาร์ด เนี่ย  ไม่ใช่เพราะ ที -69 ดอกครับ ................  ตัวจริงที่จะรับมือ ที-55 ของเวียตนามคือ คุณน้า เอ็ม-48 เอ5 ที่รับเพิ่มมาอีกในเวลานั้น รวมเป็นหลักร้อย  ............. ส่วน ที-69  อันนี้เป็นรถถังใช้แล้ว ราคาค่าตัวใช้คำว่า พอให้ชาวโลกรู้ว่าเป็นการซื้อขาย  จุดประสงค์แท้จริงนั้น อยู่ที่เขมรแดงที่จีนหนุนหลังให้รบพุ่งกับเฮงซัมรินครับ  ตามลิสต์ บอกว่าไทยรับมาร้อยคัน  แต่ตอนไปอยู้ใต้ ราวปี 40-46 นั้น วิ่งควันขาวโขมงอยู่ราว สามสิบครับ..................

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 18/01/2016 09:50:23


ความคิดเห็นที่ 18


ขออภัยเรื่องที่มาของภาพหนังสือสมรภูมิครับ (ไม่แน่ใจว่าของท่านเชษฐารึเปล่า)

โดยคุณ Phu2000 เมื่อวันที่ 19/01/2016 12:32:31


ความคิดเห็นที่ 19


                      ตามข้อมูลที่คุณ Phu2000 นำมาเสนอน่าจะเป็นคอลัมน์ข่าวซุบซิบ(ทำนองนี้) ผู้เขียนเลยหยิบเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดมารวมกันแล้วสรุปแบบรวบยอด ในตอนนั้นที่จำได้เพราะเชียร์ TH301 เต็มที่เลย แต่ก็แพ้ให้กับ STINGRAY จากข้อมูลที่สมาชิกในนี้นำมาบอกเล่าจากคะแนนการทดสอบ TH301 ชนะทุกอย่าง ยกเว้นเป็นรถถังที่เครื่องอยู่ด้านหน้า จึงเป็นเหตุผลให้ STINGRAY ชนะและได้รับเลือก และจะมีตัวอื่นอีกแต่จำช่วงระยะเวลาไม่ได้ ส่วน VICKERS MK.3 จะเป็นตัวที่คุณกบเชียร์ เพราะยิงปืนแล้วเขวี้ยงปลอกทิ้งได้ด้วย

                       ส่วนด้านบนจะเป็นโครงการจัดหารถเพื่อทดแทน จิ๊ปกลางขนาด 3/4 ตัน ตามความต้องการ ทบ.อยากได้ฮัมเมอร์ แต่ทาง บ.ผู้ผลิต ไม่ยอมส่งรถมาทดสอบ เพราะถือว่ารถตัวเองมีมาตรฐานตามกองทัพอเมริกาแล้ว จากข้อมูลที่พอจำได้(อาจคลาดเคลื่อน) รถที่เข้ารอบมีของ เบนซ์ยูนิม็อกซ์ ฮิโน และอิซุซุ ยูนิม็อกซ์ เลยได้รับเลือก ด้วยเหตุผลที่อีก 2 แบบ ไม่มีความชำนาญการผลิตรถเพื่อการทหารครับ

โดยคุณ cumulus เมื่อวันที่ 19/01/2016 13:19:26


ความคิดเห็นที่ 20


ยังสงสัยครับว่าตอนนั้นทบ.ต้องการอะไรกันแน่ เพราะช่วงนั้นที่ทดสอบมีทั้งรถถังเบาอย่างสติงเรย์และSk105 (อีกตัวเลือกเคยได้ยินว่ามีCCVLรุ่นส่งออกด้วย) รถถังหลักอย่างTH-301, Leo1A5, Vickers Mk.3, OF-40 ทั้งๆที่ปกติมันไม่น่าแข่งกันข้ามชั้นขนาดนี้?

เดิมทีผมเข้าใจว่ารถถังเบามาแข่งกันเพื่อทดแทนM41 ส่วนรถถังหลักแข่งกันในโครงการจัดหาเพิ่มเติมไม่ได้แทนของเก่า แต่ตอนนี้งงครับ

โดยคุณ Phu2000 เมื่อวันที่ 19/01/2016 19:17:25


ความคิดเห็นที่ 21


ลองดูข้อมูลที่ทาง Juldas กรุณานำมาลงไว้ที่เว็ปนี้(แต่ผมยังค้นไม่เจอ) ตอนนั้นผมก็เข้ามาร่วมแสดงความเห็นด้วย แต่มีผู้นำไปโพสต์ในพันทิปพร้อมให้เครติดไว้ อาจจะมีข้อมูลเรื่องการจัดหาอยู่บ้าง

http://pantip.com/topic/30028943

โดยคุณ cumulus เมื่อวันที่ 20/01/2016 10:36:53


ความคิดเห็นที่ 22


ก็บอกแล้วงัย ว่ารถถังเบาเสร็จ สตริงเรย์...................... รถถังหลัก เสร็จ เอ็ม-48 เอ5....................  ไม่เชื่อก็ไปถามท่านประธิน สิงห์รัฐสภาหมัดหนัก  ที่ตามจับพ่อค้าอาวุธแถวชายแดนสิครับ คุณภู..........

 

แทมเยอรมัน เข้าข่ายรถถังหลัก เพราะ 30 ตัน ส่วน เอสเค 105 หน้าตามันคล้าย อาร์แอมอิ๊ก 13   รถถังสลัดปลอกหน้าตาประหลาด ไม่เข้าแก็บ ทบ.     ก็เลยเสร็จ คาดิแหลกเกด ไป ............... ส่วนเอ็ม 48 เอ5 สั่งเพิ่ม 75 คัน  มันมากกว่า ยอดจัดรถถังปราบเรือดำน้ำจากจีนนะครัช ท่าน   ทั้งเอ็ม 48 เอ5 รถถังปราบเรือด. ไม่จำเป็นต้องทดสอบ เพราะอย่างแรก เราใช้อยู่แล้ว 50 คัน  ส่วนอย่างหลัง คนใช้ตัวจริงเค้าแฮปปี้ เราแค่ร่างทรงครับ และราคาที่ซื้อน่าจะถูกกว่า ฮัมวี่ ซึ่งในเวลานั้นมีดราม่ากับ ยูนิม็อก ด้วยซ้ำมั้งครับ.......  อันนี้ขอตั้งตัวเป็นเอกสารอ้างอิง เลยก็แล้วกันครับ

 

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 20/01/2016 12:56:39


ความคิดเห็นที่ 23


พูดถึงเจ้าTAM ไม่นานมานี้เราก็พึ่งไปดูแล้วทดสอบ

 

.....ล้อเล่นน่ะครับ เราไม่เกี่ยวข้องประการใด

จริงๆแล้วเป็นอาวุธที่ผมเสียดายที่สุดเท่าที่กองทัพบ้านเราเคยสนใจมา แต่อย่างว่าล่ะไม่มีใครรู้อนาคต TAM สามารถทำหน้าที่ยานเกราะสายพานได้ทุกแบบ

ล่าสุดให้อิสราเอลอัพเกรดให้ ใช้ปืน120มม. ภายในถอดมาจากเมอร์คาว่า  เป็นรองก็เรื่องเกราะ  น่าจะบากหน้าไปขอซ์้อมาสร้างในประเทศจริงๆ มากกว่าสตริงเรย์อีก

ถ้าเราได้แบบTAM-2C  แค่พลังหมัด120มม. ก็เป็นด่านหน้าทางใต้และตะวันตกไว้รับแขกก่อนล่าถอยได้อยู่แล

โดยคุณ MIG31 เมื่อวันที่ 20/01/2016 14:00:50