ทำไม ทหารพราน ช่วงนั้นใส่รองเท้า นันยาง เก๋าตั้งแต่รุ่น พ่อ หละครับ ทำไมไม่ใส่ร้องเท้า combat เหมือนปัจจุบัน
และใส่ถุงเท้าบอล อีก ไม่มีเครื่องแบบ สมัยนี้หรอ ครับ
ภาพ จาก thaimsot กระทู้ เนิน 1428
กรณี กบระเบิดดังกล่าว มันใช้ได้เฉพาะกับประเภทแรงอัดครับ เช่น พวกระเบิดตัดขา เอ็ม 14 สตอร์ พวกทำลายด้วยสะเก็ด ไม่มีผลจะรองเท้าอะไรก็ตาม หรือแม้แต่เท้าเปล่า
เห็นว่าเมื่อก่อนนี้สงครามของทหารพรานเป็นแบบจรยุธ และรบนอกแบบเป็นส่วนใหญ่ครับ เลยต้องการความคล่องตัว และเงียบเป็นหลัก ใช้นันยางนี่เดินป่าเงียบดีครับ เวลาเดินบนพื้อหิน ไม่มีเสียงกุกกักให้ได้ยิน มักจะส่งหน่อยเสือพรานลาดตระเวณและซุ่มโจมตีครับ ใส่ถุงเท้าหุ้มสูงกันทากได้ พวกนี้ลาดตระเวณทีเห็นว่าไปหลายวัน เข้าป่าลึกอีกต่างหาก เครื่องแต่งตัวเลยไม่เหมือนทหารประจำการเท่าไหร่ ขนาดว่าอัตราการจัดอาวุธยังเป็น AK 47 เลยนี่ครับ อันนี้ก็อ่านๆมาจากหนังสือนะครับ
คงไม่เฉพาะทหารพราน
ส่วนใหญ่ถ้าขึ้นดอยกัน ก็ใส่อย่างนี้ละครับสะดวก ปลอดภัย
สวมใส่ก็ไว แถวแม่สายนี่มีขายเป็นว่าเล่นครับ สมัยก่อนมีรองเท้าผ้าใบ
ของพม่าขาย เป็นลายพรางทนมาก ขายคู่ละ 80 บาท
ไม่เฉพาะทหารพรานหรอกครับ และไม่ใช่อดีตด้วย
ผมว่ามันเป็นแฟร์ชั่นครับ เลือกใช้ให้เหมาะสมตามภารกิจภูมิประเทศ ส่วนตัวแล้วก็เคยทำครับ ข้อดีอีกอย่างคือถ้าโดนทากดีดตัวเข้าใส่จะเห็นง่ายกว่าครับ แต่ส่วนมากจะเป็นทำนอง จบสงครามแล้วค่อยนับศพครับ เหอะๆๆ มาดึงออกตอนจบแล้วเช็คยอดจำนวนแข่งกัน ถึงขั้นพนันกันเลยนะนั้นนะ 55555555
แต่ทั้งนี้ทังนั้นการเลือกใช้ยุทโธปกรณ์ให้เหมาะสมกับภารกิจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าให้มันเป็นแฟร์ชั่น เข้าทำนองว่า ที่ตัวเองทำไปนะยังไม่รู้ข้อดีข้อเสียของมันเลย เรียกได้ว่าทำตามๆกันไป
ยกตัวอย่างหนึ่งในภารกิจ จชต หากต้องเข้าพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้านตามภารกิจงานด้านมวลชน วันหนึ่งๆต้องเข้าบ้านไม่ต่ำกว่า 10 บ้าน ก็ลองนึกดูครับว่า ต้องถอดต้องใส่คอมแบตสิบกว่ารอบ เป็นยังไง ทางเลือกเลยออกที่คอมแบตแบบซิบข้างครับ สบายถอดใส่ง่าย และไม่จำเป็นต้องสมบุกสมบันมาก แต่นี้แลกมาด้วยเงินส่วนตัวครับ พวกน้องๆพลทหาร ก็แล้วแต่ความเมตตาของผู้บังคับบัญชา ถ้าหย่วนๆ กันหน่อยก็อนุญาตเรื่องใส่รองเท้าผ้าใบ แต่ถ้าไม่ก็ไม่ได้เพราะมันผิดระเบียบแบบเต็มๆครับ ก็ว่ากันไปตามบุญตามโชควาสนา
อีกนิดครับ ผมชอบแนวความคิดหนึ่งครับ เรื่องเสื้อเครื่องแบบ จะสังเกตุว่าปัจจุบัน ทหารตะวันตกที่ปฏิบัติงานในตะวันออกกลางเริ่มนำเสื้อแบบใหม่ครับ ที่ผสมระหว่างผ้ายืดระบายความร้อนง่ายกับผ้าหนาทนทาน คือในส่วนของเนื้อผ้าบริเวณตัวจะเป็นผ้ายืดครับ เพราะต้องสวมเสื้อเกราะทับในส่วนนี้ เพื่อเพิ่มการระบายความร้อน ส่วนในส่วนของแขนไหล่ ยังเป็นผ้าหนาทนทานแบบเดิมครับ ผมว่ามันโอเคนะครับ ไม่ต้องใส่ซ้ำซ้อนกัน อย่างปัจจุบัน ก็เสื้อยืดด้านในหนึ่งตัว เสื้อเครื่องแบบสนามหนึ่งตัวแล้วตามด้วยชุดเกราะ ก็ลองนึกถึงสภาพการระบายความร้อนครับ
แต่คงจะเกิดยากหน่อยเพราะมันผิดระเบียบแบบเต็มๆ(นอกจากแก้ระเบียบ) ถ้าคนไม่เคยใส่เสื้อเกราะเกือบทั้งวันทั้งคืนก็คงจะนึกภาพไม่ออกหรอกครับ ผมก็ไม่ได้ใส่ทั้งวันทั้งคืน แต่สงสารน้องๆพลทหารที่ใส่คิดเป็นระยะเวลาที่นานกว่ามากครับ จากจะช่วยลดภาระ เสื้อเกราะมันจะกลายเป็นสร้างปัญหาไปครับ อีกหนึ่งเรื่อง เรื่องเสื้อเกราะครับ คือความจริงเสื้อเกราะมันควรจะมีไซน์และปรับได้ครับ แต่ของหลวงเป็นแบบตายตัว และปรับจัดยากครับ ใครโชคดีร่างกายพอดีก็ดีไปใครโชคร้ายร่างกายดันเจือกไม่เท่าเสื้อเกราะเองก็ซวยไป บางคนใส่แล้ว มันปิดลงมาเลยเข็มขัด เวลาก้มตัวมันจะดันเสื้อเกราะค้ำคอ ก็ลองนึกภาพสภาวะล้มลุกคลุกคลานเข้าปะทะละกันครับว่าเสื้อเกราะมันจะสร้างปัญหา หรือลดปัญหามากกว่ากัน