ข้อมูลจากเว็ป เสี่ยโยนะครับที่เสี่ยไปเอาข้อมูลจากคมชัดลึกมา ผมก็ copy มาอีกทีครับ ^__^
คมชัดลึก
:ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงไป
โครงการจัด
ซื้อเครื่องบินขับไล่รุ่น Gripen-39 C/D หรือ "กริพเพน" เฟส 2
ทดแทนเครื่องบินรบรุ่น เอฟ-5 ซึ่งประจำการมานานกว่า 30
ปีจึงต้องชะลอไว้ก่อน แต่เฟสแรก 6 เครื่องที่จะประจำการในปี 2554
ก็จะมาถึงตามกำหนดการเดิมกรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
จึงนำคณะสื่อมวลชนเหินฟ้าไปเยี่ยมชมการเตรียมพร้อมรับ "ฝูงบินรบกริพเพน"
ถึงกองบิน 7 สุราษฎร์ธานี
พร้อมพานายทหารระดับสูงของกองทัพอากาศมาชี้แจงแนวทางแก้ปัญหาด้วย
พล.
อ.ท.ประจิน จั่นตอง รองเสนาธิการทหารอากาศ ชี้แจงว่า
กองทัพอากาศมีแผนเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว
แต่ยังต้องรอดูการแปรญัตติงบประมาณในเดือนสิงหาคมนี้ก่อน
แต่
ขณะนี้มีความชัดเจนว่า จะได้กริพเพน 6 เครื่องเท่านั้น
จึงอาจมีการปรับปรุงเครื่องเอฟ-5 ของกองบิน 7 จำนวน 7 เครื่อง
เพื่อนำมาปฏิบัติภารกิจร่วมกับกริพเพน โดยภายในเดือนสิงหาคมนี้
จะมีความชัดเจนเรื่องแนวทางปรับปรุง และวงเงินงบประมาณ
การปรับปรุงครั้งนี้จะใช้คำว่า "ปรับสภาพ" เพื่อ "ยืดอายุ" ให้เอฟ-5 สามารถทำภารกิจได้ไปจนกว่าเครื่องกริพเพนในเฟส 2 จะมาถึงน.
อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ
ย้ำถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า
สิ่งสำคัญที่เราจัดซื้อครั้งนี้ไม่ใช่แค่กริพเพน
เพราะลำพังกริพเพนอย่างเดียว ความสามารถก็สูงกว่าเอฟ-16 เล็กน้อยเท่านั้น
ประสิทธิภาพ
การมองเห็นของกริพเพน สามารถตรวจจับอากาศยานของฝ่ายตรงข้ามได้ไกลโพ้น
โดยเครื่องบินซาบ (SAAB) ที่ติดตั้งระบบแอร์บอร์น เออร์ลี่ วอร์นนิ่ง
สามารถใช้เรดาร์ตรวจจับฝ่ายตรงข้ามได้ไกลถึง 250 ไมล์
ส่วนตัวกริพเพนเองก็มีเรดาร์ที่ตรวจจับได้ 40 ไมล์
พูดง่ายๆ คือ ในรัศมีตั้งแต่ขอบอ่าวไทยยันเวิ้งทะเลอันดามันไม่มีอากาศยานเล็ดลอดจากเรดาร์ของกริพเพนได้แน่
ส่วน
แผนการส่งมอบกริพเพนจะเริ่มจากเครื่องบินซาบลำแรกที่จะส่งมอบที่สวีเดนใน
เดือนธันวาคม 2553
ก่อนจะทยอยส่งมอบเครื่องบินกริพเพนที่จะมาถึงประเทศไทยในเดือนมกราคม
และมีนาคม 2554
รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ ทิ้งท้ายว่า
"เราจะส่งนักบินไปฝึก 10 คน และช่างเทคนิคอีก 180 คน
ซึ่งการฝึกคนมีความสำคัญที่สุด เพราะต่อให้เทคโนโลยีดีเลิศแค่ไหน
แต่ถ้าคนของเรารับไม่ได้ กริพเพนก็เป็นเพียงแค่เศษเหล็กเท่านั้น"น.
ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย ในฐานะ "ว่าที่ผู้ฝูงกริพเพน"
ซึ่งพ่วงดีกรีอดีตนักเรียนนายเรืออากาศสหรัฐ "อันดับที่ 1"
และปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกนโยบาย กองนโยบาย
และแผนกรมยุทธการทหารอากาศ กล่าวถึงภารกิจควบคุมฝูงบินดิจิทัลฝูงใหม่ว่า
การ
คัดเลือกนักบินกริพเพนทั้ง 10 คนขณะนี้เราคัดเลือกได้หมดแล้ว
โดยคัดเลือกจากนักบินรบที่มีชั่วโมงบินตั้งแต่ 500-700 ชั่วโมงขึ้นไป
และเป็นคนที่กลับมาแล้วจะสามารถรับเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แถมเทคโนโลยีบางตัวก็ยังใช้งานง่าย และไฮเทคกว่าเอฟ-16 ของมะกันด้วย !!
ขณะ
ที่ น.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บังคับการกองบิน 7
กล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับกริพเพนว่า กองบิน 7
จะใช้งบประมาณลงทุนรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างเก่า และก่อสร้างโรงเก็บ
และโรงซ่อมเครื่องบิน รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยประมาณ 700 ล้านบาทนอก
จากนี้ ยังต้องแบ่งพื้นที่เพื่อรักษาความปลอดภัยเสียใหม่ โดยจะแบ่งเป็น 3
โซน คือ 1.โซนสีแดง ซึ่งอยู่ชั้นในสุดเป็นเขตยุทธการ 2.โซนสีเหลือง
อยู่ชั้นกลาง เป็นเขตราชการ และ 3.โซนสีเขียว เขตพื้นที่รอบนอก
นอก
จากนี้ ยังจะติดตั้ง "ระบบอิเล็กทรอนิกส์" ไว้คอยตรวจจับสิ่งผิดปกติ
รวมทั้งติดตั้ง "ระบบต่อสู้อากาศยาน"
เพื่อคุ้มครองฝูงบินดิจิทัลอย่างเต็มพิกัด
ทีมข่าวความมั่นคง
http://www.komchadluek.net/detail/20090 ... B8%AA2.htmhttp://www.thaiarmedforce.com/forum/viewtopic.php?f=7&t=16&start=105
น่าจะมีลุ้น สีโทนใหม่ สำหรับ F-5E ที่ทำการปรับสภาพ...เท่าที่ สังเกตุ ทอ. จะปรับสีใหม่ของ บ. เมื่อมีการปรับปรุงอะไรบางอย่าง...เช่น ฝูง 103 จาก เสือเทา เมื่อมีการปรับปรุงใหม่ ก็เปลี่ยนเป็น เสือเหลือง...ฝูง 102 จาก ดาวใส เป็น ดาวทึบ...ฝูง 403 จากงูเห่าคลิบเหลือง เป็นงูเห่าคลิบเทา...และสีปัจจุบันของ F-5E ฝูง 701 ไม่รู้หมดสต๊อคไปรึยัง ?
เป็นไปได้ไหม...ที่อาจจะเป็นเครื่องจาก ฝูงบิน เดโชชัย มาทดแทน ครับ..
หรือ...ผมว่า ทอ. น่าจะลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม ทอ.สิงค์ฯ ดูว่า...สนใจจะขายถูก ๆ บ้างหรือไม่...เพราะ ผมไม่ค่อยเชื่อว่า บข.20 ล็อต 2 จะมีการอนุมัติภายใน 2 ปีนี้ ( 2554 ) น่าจะไปปี 2555 เป็นอย่างต่ำ กว่าจะได้ประจำการล๊อต 2 ผมว่า ประมาณ 2560 ล่ะมั๊งครับ...
ปี 2552 บ.ขาดทุนกันถ้วนหน้า การเก็บภาษีบริโภค VAT ในปี 2552 น่าจะน้อยกว่าหลายปีที่ผ่านมา...เพราะประชาชน ชะลอการบริโภค
ปี 2553 ภาษีเงินได้นิติบุคคล น่าจะเก็บได้น้อยกว่า ปี 2552 เนื่องจากผลขาดทุนต่อเนื่องของ หลาย บ.ในปี 2552 รัฐเริ่มมีภาระเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้
ปี 2554 เศรษฐกิจอาจจะเริ่มดีขึ้น (หรือยังไม่ดีขึ้น ก็ได้เหมือนกัน) มีการเก็บภาษีบริโภค ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคล ยังเก็บไม่ได้มาก เพราะ บ.ที่กำไร ยังใช้ผลขาดทุนจากปี 2553 มาเครดิตภาษีจากกำไรในปีนี้ รัฐมีรายได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน รัฐก็มีภาระดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้น เพราะมีการกู้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
ปี 2555 ภาษีเงินได้นิติบุคคล เก็บได้มากขึ้น หลาย บ. มีกำไรมากขึ้น แต่รัฐก็มีภาระดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้น หรือบางส่วนอาจจะต้องมีการคืนต้นเงินกู้ แต่น่าจะพอเริ่มพิจารณางบประมาณในวงเงินที่สูงได้ เช่น ซื้อ บข.20 ฝูงที่ 2