หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


กองทัพเรือไทยได้บทเรียนอะไรบ้างจากการรบที่เกาะช้าง

โดยคุณ : zeroman เมื่อวันที่ : 03/07/2009 18:24:32

เห็นน้องๆ โพสต์เกี่ยวกับการรบที่เกาะช้าง  เลยนึกได้ว่า น่าจะถามเรื่องนี้   ท่านคิดว่ากองทัพเรือได้บทเรียนอะไรบ้างจากการรบในครั้งนี้  ผมเคยอ่านที่กองทัพเรือฝรั่งเศสวิจารณ์กองทัพเรือไทยในครั้งนี้ว่า   ทหารเรือไทยมียุทธวิธีที่ดีแต่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้ต้องเสียเรือไปหลายลำ และการประสานงานระหว่างกองทัพเรือและกองทัพอากาศยังไม่ดี อีกทั้งกระจายกำลังมากเกินไป ทำให้เมื่อเกิดการรบที่จุดใดจุดหนึ่ง   หน่วยอื่นมาช่วยเหลือไม่ทัน    สำหรับท่านอื่นๆ คิดว่าอะไรเป็นข้อเด่นของกองทัพเรือไทย และอะไรเป็นข้อด้อยที่จะต้องปรับปรุง สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ครับ  มาร่วมวิเคราะห์กันหน่อย




ความคิดเห็นที่ 1


ในช่วงนั้นกองทัพเรือไทยเองก็เพิ่งจะได้รับมอบเรือรบใหม่ๆที่มาจากแผนการปรับปรุงกำลังทางเรือในช่วงหลังปี ๒๔๗๕ ครับ เช่นเรือตอร์ปิโดเล็กชุด ร.ล.คลองใหญ่, เรือตอร์ปิโดใหญ่ ชุด ร.ล.ตราด, เรือสลุป ชุด ร.ล.ท่าจีน(ลำที่1) ,เรือปืนหนัก ชุด ร.ล.ศรีอยุธยา และเรือดำน้ำ ชุด ร.ล.มัจฉาณุ เป็นต้น รวมถึงการจัดตั้งกำลังอากาศนาวีครับ

อย่างไรก็ตามกองทัพเรือไทยในยุคนั้นก็ยังคงเป็นกองเรือขนาดเล็กครับ ซึ่งมีเรือเก่าที่ใช้มาตั้งแต่สมัย ร.๕, ร.๖, ร.๗ อยู่มาก ถ้าเทียบกับประเทศมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสแล้ว

ในส่วนของยุทธนาวีเกาะช้างเองนั้น ส่วนตัวได้ให้ข้อสังเกตุถึงการรบระหว่าง ร.ล.ธนบุรี และกองเรือฝรั่งเศสที่มีเรือ Lamotte Picqute เป็นเรือธงนั้น สังเกตุว่าในช่วงที่ไทยมีการต่อเรือปืนหนักชุดนี้นั้น(ปลายช่วงปี 1930s) แทบจะไม่มีชาติใดต่อเรือแบบดังกล่าวแล้วครับ

ซึ่งเรือปืนหนักรักษาฝั่งหรือ Coastal Defence Ship นั้นมักจะเป็นเรือที่มีระวางขับน้ำใกล้เคียงประมาณเรือลาดตระเวนเบา แต่มีเกราะและปืนใหญ่หลักขนาดใหญ่พอๆกับเรือประจัญบานครับ ซึ่งเหมาะสำหรับประเทศเล็กๆในยุโรปที่มีพื้นที่ทางทะเลไม่ใหญ่มากนัก หรือประเทศมหาอำนาจสำหรับใช้ในน่านน้ำอาณานิคม ตัวอย่างประเทศที่ต่อเรือแบบนี้ก็เช่น เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน โดย ร.ล.ศรีอยุธยา และ ร.ล.ธนบุรี ซึ่งมีระขับน้ำเพียง 2,200 และติดปืน 8นิ้วนั้นจัดว่าเล็กที่สุดครับ

อย่างไรก็ตามเรือปืนหนักรักษาฝั่งก็มีจุดอ่อนเหมือนกับเรือประจัญบานที่เริ่มจะหมดยุคและล้าสมัยลงในช่วงปี 1940s ครับคือ มีความเร็วต่ำจากขนาดเรือเมื่อเทียบกับเกราะและอาวุธ ถ้าสู้กับเรือที่มีความเร็วสูงกว่าและยิงซ้ำได้เร็วกว่า รวมถึงใช้ Torpedo ด้วยแล้วจะเสียบเปรียบ และยังมีจุดอ่อนเรื่องการต่อสู้อากาศยานด้วยครับ ซึ่งผลการรบระหว่าง ร.ล.ธนบุรี และหมู่เรือฝรั่งเศที่มีอากาศยานสนับสนุนนั้นก็มีผลตามที่ทราบๆกันครับ  

โดยคุณ AAG_th1 เมื่อวันที่ 22/06/2009 09:27:37


ความคิดเห็นที่ 2


การเตรียมพร้อม ที่ยังดีไม่พอครับ

เพราะถือว่าอยู่ในช่วงสงคราม  แต่การเตรียมการเตรียมพร้อทของเราในตอนนั้นยังไม่ดีพอครับ


การประสานงานที่ดีของเหล่าทัพอีกอย่างครับที่ยังไม่ดีพอ
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 22/06/2009 11:18:34


ความคิดเห็นที่ 3


ท่านกบ...เดี๊ยดด เดี๋ยว ท่าน ส.ห. ตัวอักษรสีแดง...ก็มาหิ้ว ตัวอักษรพิมพ์ท่านไปหร๊อก...แล้วจะหาว่าไม่ เตือน...กั๊ก กั๊ก กั๊ก..(แซวเล่นนะคร๊าบ)...

ท่าน Tik ครับ...ความเห็นผมแค่มุมมองในความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ...แต่จากข้อมูลในหนังสือเก่า (จำชื่อไม่ได้) บอกว่า ร.ล.ศรีอยุธยา กำลังเข้าอู่ซ่อม...เมื่อได้ทราบข่าวว่า ร.ล.ธนบุรี ถูกโจมตีอย่างหนัก...ก็รีบให้ เคลียร์เรือ เพื่อจะออกไปช่วย...

และในบริเวณผลัดนั้น มี ร.ล.ระยอง (เรือเร็วตรวจการณ์ตอร์ปิโด) ที่น่าจะอยู่ใกล้จุด ยุทธนาวี ด้วย...แต่ก็ไปไม่ทัน เหมือนกัน....

ก็ตามที่ท่านกบ ว่าไว้...เรื่องการข่าว...ที่ตามข้อมูลว่า ฝรั่งเศส ได้รับทราบข่าวจาก บ.ตรวจการณ์ ว่ามีเรือจอดอยู่ จำนวน 1 ลำ (ร.ล.สงขลา) ก็กะจะรุม ร.ล.สงขลา แค่ลำเดียว...แต่มาถึงบริเวณ กลับ เจอเรือ 2 ลำ คือมี ร.ล.ชลบุรี ด้วย...แต่ กองเรือฝรั่งเศส ก็สามารถจมเรือได้ ทุกลำ ซึ่ง ร.ล.ธนบุรี ตามที่หลัง...ก็ยังพลาดท่า...

เรียกได้ว่า ใจ ของ ทหารเรือไทย เกิน 100%....แต่คงเป็นเรื่อง ยุทธวิธี การรบ ที่น่าจะยังขาด...และ การประมาท ในเรื่องประสิทธิภาพของอาวุธ...ที่ ปืนเรือ เป็นหัวใจสำคัญของเรือในการต่อต้านฝ่ายตรงข้าม มีสภาพไม่สมบูรณ์ ในขณะที่อยู่ในภาวะสงคราม

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 23/06/2009 04:15:18


ความคิดเห็นที่ 4


ได้อ่านยุทธนาวีเกาะช้าง มาหลายเวอร์ชั่น

(เลือกที่จะ)จดจำประโยคประทับใจไว้แค่ประโยคเดียว

"เลอมองปิเก้..อยู่นั้น เอามัน"

โดยคุณ monsoon เมื่อวันที่ 22/06/2009 14:08:12


ความคิดเห็นที่ 5


ความเห็นผม น่าจะเป็น เรื่องความไม่สมบูรณ์ของ เรือรบ และการขาดยุทธวิธี ทำให้ใช้ประสิทธิภาพของเรือรบ ไม่เต็มที่ครับ...

ตามบทความของ พล.ร.ท.พัน รักษ์แก้ว ในหนังสือ เมื่อธนบุรีรบ...ในส่วนของปืนเรือ ของ ร.ล.ธนบุรี มีปัญหา เรื่องการตกของกระสุนปืน...ซึ่งมีการทราบปัญหาแล้ว...แต่ยังไม่ได้ทำการแก้ปัญหานั้น...ประจวบเหมาะกับ พอดีกับการผลัดเปลี่ยนกำลัง...ทำให้ เรือออกรบ โดยสภาพของ อาวุธหลักของเรือ หรือหัวใจในการทำลายฝ่ายตรงข้าม คือ ปืนเรือ ไม่สามารถใช้งานอย่างหวังผลได้...

ซึ่งผมก็มีความเห็นว่า กว่าจะปรับระยะหวังผลได้...เรือ ก็ถูกทำลาย โดยฝ่ายตรงข้ามแล้ว...และสูญเสียผู้บังคับบัญชาไปแล้ว...ทำให้ เป็นการสู้รบโดยขาดยุทธิวิธี...

สภาพความไม่สมบูรณ์ของอุปกรณ์การรบ...

ในขณะที่ ได้รับการสนับสนุนทางอากาศจาก ทอ. แต่เครื่องบินของ ทอ. เอง ก็ไม่มีวิทยุติดต่อสื่อสารกันได้...ยังใช้ภาษามือติดต่อระหว่างเครื่องอยู่...และผมก็ไม่แน่ใจว่า ทอ. เอง ก็ต้องบินหาเป้าหมายด้วยรึเปล่า...ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงเสียเวลาไปพอสมควร...ทำให้ไปไม่ทันกองเรือฝรั่งเศส....ในขณะที่ ฝ่ายตรงข้าม มีเครื่องบินที่สมรรถนะด้อยกว่า...แต่สามารถส่งข่าวสารข้อมูลให้กับกองเรือได้...

ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีข้อกังขากันอยู่ว่า...มีการทิ้งระเบิดฝ่ายเดียวกันเอง...เพราะขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน นั่นเอง....

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 22/06/2009 20:08:53


ความคิดเห็นที่ 6


การไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพหลักในการรบของ ร.ล.สงขลา กับ ร.ล.ชลบุรี ได้...

เรือทั้ง 2 ลำ เป็นเรือเร็วตรวจการณ์ตอร์ปิโด มีความเร็วกว่า 30 นอต...แต่ก็ไม่ได้ใช้ความเร็วของเรือ และอาวุธตอร์ปิโด ซึ่งเป็นคุณลักษณะเด่นของเรือ ได้มีโอกาสตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม....แต่เป็นการต่อสู้ด้วยปืนเรือ... 

ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถ้าดูจากรูปแผนที่ในวิกีพีเดีย...ในความเห็นผมว่า...ฝรั่งเศส ในเรือสลุป เป็นเรือ...ล่อ...และโจมตีฉาบฉวย ก่อกวน ให้กองเรือไทย สับสน...ส่วน เรือลามอต ปิเกต์ เป็นเรือหลักในการ จมเรือฝ่ายข้าม คือ เล็ง และยิง...ซึ่งเรือ ลามอตฯ จะอยู่แนวหลังห่างจาก จุดการต่อสู้...จะสังเกตุจาก เรือฝ่ายไทย จำนวน 2 ลำ...ร.ล. ธนบุรี และ ร.ล.สงขลา (ไม่แน่ใจ) ถูกยิงจากปืนเรือ ลามอต ในตำแหน่งสำคัญ ทั้งสิ้น...ทำให้เกิดความสูญเสียเรือ...

ซึ่งถ้าเรือทั้ง 2 ลำ นี้ สามารถมีการตอบโต้จาก อาวุธตอร์ปิโด ได้บ้าง...หรือ สามารถใช้ความเร็วของเรือ ในการให้ฝ่ายตรงข้าม ยิงไม่ได้ง่ายนัก...ความสูญเสีย อาจจะไม่มากขนาดนี้ หรือ ร.ล.ธนบุรี อาจจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับ กองเรือฝรั่งเศส ได้บ้าง....

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 22/06/2009 20:22:46


ความคิดเห็นที่ 7


สภาพความพร้อมรบ ของเรือรบ

ร.ล.แม่กลอง กับ ร.ล.ท่าจีน ในขณะนั้น น่าจะยังจัดอยู่ในสถานะของ เรือฝึก (จากบทความใน หนังสือ กระดูกงู ฉบับเดือน พ.ค. 52 ในเรื่อง กองเรือฝึก) และน่าจะรวมถึง เรือดำน้ำ ด้วย...เพราะเป็นเรือใหม่ทั้งสิ้น...และแม้จะจัดว่าเป็นเรือที่ทันสมัยสำหรับ ทร. ในขณะนั้น...แต่โดยสภาพจึง น่าจะจัดว่า ยังไม่พร้อมรบ...และเรือเหล่านี้ ผมก็ไม่ค่อยมีข้อมูลว่า มีบทบาท ในช่วงสงครามอินโดจีน...แต่จะมี บทบาท บ้าง ก็จะอยู่ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2...

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 22/06/2009 20:33:41


ความคิดเห็นที่ 8


สิ่งทีต้องปรับปรุงแก้ไข......................มีสองเรื่องครับ

1. ข่าวกรอง

2.การรบร่วม

 

เรื่องข่าวกรอง  ผมเคยบอกแล้วว่า สายการข่าวฝ่ายกองทัพเราจะแย่อยู่สักหน่อย ผลงานเท่าที่ผ่านมาไม่ค่อยเข้าหูเข้าตาเลย ..............................  จริงๆแล้ว การเคลื่อนไหวของกำลังรบ ระดับกองเรือ จะเข้าท่าออกท่านั้น มันเอิกเริก สะเทือนตึงๆอยู่ไม่น้อย........................... ที่สำคัญฐานทัพเรืออยู่ในเขมรนี่เอง คนเขมรกะคนไทยหน้าตาไม่แตกต่างกันมาก สายงานข่าวสายลับของเราไปอยู่ไหน ?????????????????????????????

 

การรบร่วม..................จะเห็นว่าการจัดกำลังรบของฝรั่งเศสครั้งนี้ เห็นกองทัพไทยเป็นแค่เด็กอมมือตัวน้อยๆ  ด้วยจุดประสงค์จริงๆ เค้ามิได้ต้องการตีรบครอบครองสถาปนาชนิดแตกหัก   เค้าแค่อยากสั่งสอน....................จริงๆแล้ว ด้วยยุทโธปกรที่เรามีอยู่ ถือได้ว่าเหนือกว่ากองเรือของฝรั่งเศสอยู่ทุกขุม   เรามีเรือผิวน้ำที่มีประสิทธิภาพ เรามีเรือดำน้ำ จำนวนหนึ่งที่สามารถสกัดกองเรือรบข้าศึกได้(ข้อนี้จริงๆ ฝรั่งมันก็สารภาพภายหลัง ที่มันต้องรีบถอยกองเรือกลับ เพราะมันกลัวเรือส.เราแห่มาภายหลัง)......   เรามีกำลังทางอากาศที่ครองความได้เปรียบทั่วบริเวณน่านฟ้าของเรา ชนิดที่ข้าศึกมิอาจกล้าต่อกรด้วย..................

เพื่อนๆ แค่สองข้อนี้ เราก็เอาชนะกองเรือฝรั่งเศสได้ไม่ยากไม่มีปัญหา แต่ ท่านลองนึกดูสิ ข้าศึกจัดกำลังแค่เรือลาดตระเวณหนักหนึ่งลำกับเรือพิฆาตอีกไม่กี่ลำ เข้ามาแหย่ศักยภาพกำลังรบไทยระดับกองทัพ  แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งมังค่ามันประเมินแล้ว กองทัพไทยหน่อมแน้ม............................

 

แล้วก็จริงๆ...................... การข่าวไทยแย่ เรือข้าศึกแล่นออกท่ายังไม่รู้ ขณะที่ฝรั่งรู้หมดว่าเรือไทยจัดกำลังแบบไหน เรือส่วนใหญ่อยู่ไหน เรือ ส. แล่นอยู่ที่ใด....................  การรบร่วมล้มเหลว  กำลังทางอากาศซึ่งน่าจะสร้างความได้เปรียบถล่มเป้าหมายยับเยิน   กลับมาทิ้งระเบิดใส่พวกเดียวกันเอง..................ฮ่วย........................

 

ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่อง อีดี้อามิน และประเทศอูกันดา  อ่านแล้วทำให้นึกถึงผู้นำและก็กองทัพของสารขัณฑ์ประเทศในยุคก่อน....................... กำลังรบมีไว้เพื่อเป็นเขี้ยวเล็บค้ำอำนาจ  ในบทบาทป้องกันอธิปไตยมันหน่อมแน้มดีจริงๆ.......................... ไม่รู่สารขัณฑ์ประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทางใดแล้วในยุค พ.ศ.นี้

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 22/06/2009 21:30:53


ความคิดเห็นที่ 9


เรือพี่เรือน้องของเรือหลวงธนบุรี คือ เรือหลวงศรีอยุทธยา เรือปืนขนาด 8 นิ้ว อัน่าเกรงขาม  จมลงกลางแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยการทิ้งระเบิดทางอากาศ ในกรณีกบฏเมษาฮาวาย........................... ชิท.............................

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 22/06/2009 21:43:36


ความคิดเห็นที่ 10


หง่ะ กบฏแมนฮัตตั้น พี่น้อง ขออภัย งิๆๆๆๆๆ
โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 22/06/2009 21:47:31


ความคิดเห็นที่ 11


ได้อ่านคำอธิบายของคุณ juldus ช่วงเราควรใช้ ความสามารถหลักของ

เรือหลวงชลบุรีกับเรือหลวงสงขลาแล้ว อาจจะช่วยเรือหลวงธนบุรีได้

ผมมองเห็นภาพเลยครับว่า ขาดการประสานงานยุทธการ การรบ คงจะเป็นเพราะเรือ สลุป ของฝรั่งเศส เป็นตัวล่อ ทำให้การรบเป็นกระจุก และเรือธนบุรีถูกยิงอย่างหนักจนผู้บัญชาการเรือเสียไป

ผมว่าใครไปอยู่ในห้วงนั้นแล้ว อาจจะคิดไม่ถึงเรื่อง ความสามารถหลักของเรือที่เข้ามาช่วยได้ครับ

อ่านมาหลายรอบเหมือนกันแต่จับใจความไม่ได้ เรื่องเรือที่จะเข้ามาช่วยตอนนั้นครับ เพราะรายละเอียดเรือแต่ละลำไม่มีความรู้จริงๆ

โดยคุณ tik เมื่อวันที่ 22/06/2009 23:13:48


ความคิดเห็นที่ 12


เมื่อสมัยยังทำงานอยู่บริษัทเก่า ได้มีโอกาสใกล้ชิดร่วมงานกับหน่วยงานการไฟฟ้าของรัฐ................................ เคยนั่งทานข้าวร่วมโดยวกับผู้บริหาร  .......................... ในวงสนทนานั้น หลังจาหร่ำไวน์ตึงกันได้ที่ การสนธนาเฮฮาครึกครื้นกลายมาเป็นการหบลัฟฟกันเอง เรื่องเริ่มจากความคิดเห็นในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า............................ หนึ่งในประโยคเด็ดที่ผมยังจำได้ก็คือ.................................... "พี่ก็รู้ ว่าครั้งหนึ่งผู้บริหารระดับสูงของเราพยายามจะขยายฐานอำนาจ  วิธีที่งายและได้ผลที่สุดคือการขยายองค์กร ก็รับกันเข้าไปสิคนหน่ะ............. ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งใหญ่ ตำแหน่งอำนาจก็โตตาม   แล้วตอนนี้มันเป็นยังไง"........................

ข้อนี้ผมเห็นด้วย เพราะช่วงปี 46-47 ที่ กฟผ.กำลังจะหลุดเข้าตลาดหุ้น มีการไฮปาร์คกันภายใน ถ้าใครเข้าไป อีแกต  ในช่วงนั้นจะต้องสงสัย คนร่วมไฮปาร์คเรือนพัน กินนอนในเต้นท์เวลาทำงาน แล้วไหงงานการมันยังดำเนินต่อไปได้ ผมไปติดต่อราชการวางบิล ซื้อบิท ทุกอย่างโอเค..................ก็เลยสงสัยว่า ไอ้ที่มานั่งนอนกันเกลื่อนกลาดนี่ เป็นบุคคลที่มีประโยชน์ต่อองกรจริงๆกี่มากน้อย...........................ที่สำคัญคือเงินเดือนท่านๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเงินภาษีจากผมเสียด้วย.............................

 

กลับมาที่กองทัพ.......................... นโยบายในการพัฒนากองทัพของเรา ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากนี้  ............................. ง่ายๆ คนเยอะ อาวุธเยอะ อำนาจก็เยอะ(งบประมาณเยอะอีกต่ะหาก)........................ ผมนิยมยุทธศาสตร์การปรับกำลังรบของท่านพ่อใหญ่ขงเบ้งจริงๆ ในคอนเสปท "จิ๋วแต่แจ๋ว" .......................... ไม่ต้องใหญ่มาก เอาให้พอเหมาะแต่คม......................... เมื่อพอเหมาะไม่ใหญ่ไม่เล้กไป งบประมาณก็พอดีประหยัด  กำลังพล อาวุธ มีประสิทธิภาพ มีความชำนาญ รบเมื่อไหร่ก็หวังผลได้...............................

 

ผมยกตัวอย่างชัดๆ ในนยโยบายการจัดหาอาวุธของทัพเรือ........................ เมื่อไม่นานมานี้มีแผนจัดหาเรือฟรีเกตสมรรถนสูง ภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ สาเหตุเนื่องจากภัยคุกคามจากเครื่องบินรบสมรรถนสูงรอบๆบ้าน.......................... เมื่อภัยคุกคามมี โดยหน้าที่ก็ต้องจัดหา....................จะแห่เรือใหม่อีกสองลำ เอาไว้สอยเรือบิน.............ทำท่าจะเข้าพระเข้านางก็ให้เศรษฐกิจมีอันแอ้งแม้ง....................ก็เลยปรับแผนใหม่ จะเอาเรือเก่า(เรือหลวงนเรศวร)ไปรับการปรับปรุง..................................

อันนี้ถามนะ.............ผมถาม......................เรือชุดนี้แต่เดิมแผนแบบมาไว้เลิศเลอ แต่การเข้าประจำการจริงกลับแป้กอาวุธ เรือแจ่มแต่ไม่มีอาวุธยิงระยะไกล.......................... เมื่อภัยคุกคามหนักหน่วง ไอ้แผนการจะปรับปรุงดำเนินการมีบ้างมั๊ย..................................ฉันต้องซื้อ ฉันต้องเอา ฉันต้องเพิ่ม.............................ดูแล้วมันไม่ต่างจากที่ผู้บริหารการไฟฟ้า(ขบถ)ท่านนั้นว่าไว้จริงๆ............................

 

ท้ายที่สุดเมื่อเงินไม่มีก็ต้องหันกลับไปหาแนวทางที่ถูกต้อง............................จะว่าไปก็สะใจดีเหมือนกัน  อยู่กันแบบยากจนค่นแค้นอย่างนี้แหล่ะ  เหมือนเพลงลูกทุ่งเมื่อก่อนเค้าร้อง....................หมดเสียหล่ะดี มีละทำเป็นหยิ่ง มีเงินเข้าหน่อยทำแอ้ค...... มี้เงินหล่ะไหม่หด่ายจริงจริง มี้เงินหล่ะหม่ายหด่ายจริงๆ................................

 

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 23/06/2009 00:07:54


ความคิดเห็นที่ 13


บทเรียนที่ได้หรือครับ สำหรับผมนะ ประเทศนั้นน่ะ ที่มันสู้กับเราน่ะ (ไม่อยากเอ่ยชื่อ) เป็นอะไรที่คบไม่ได้เลย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตครับ
โดยคุณ pantyboy เมื่อวันที่ 23/06/2009 04:35:25


ความคิดเห็นที่ 14


เจ๋งครับ กระทู้นี้คงให้ข้อคิดอะไรดีๆกันบ้างล่ะ
โดยคุณ เด็กทะเล เมื่อวันที่ 23/06/2009 10:18:18


ความคิดเห็นที่ 15


กลับไปอ่าน หนังสือ เมื่อธนบุรีรบ อีกรอบ (แบบคร่าว ๆ)

ในส่วนของ ร.ล.ชลบุรี กับ ร.ล.สงขลา จอดอยู่โดยไม่ได้เตรียมเผาไฟสำหรับเดินเรือไว้ ซึ่งในการพร้อมเดินเรือ จะต้องใช้เวลาเผาไฟ ประมาณ 1 - 1.30 ชั่วโมง...เนื่องจาก ในการป้องกันฝั่ง นั้น...ได้มอบให้ ร.ล.ระยอง เป็นเรือลาดตระเวณ กลางคืน...และการโจมตี เกิดขึ้นในรุ่งเช้า...

จึงน่าจะเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่ในภาวะสงคราม และเรือจอดอยู่ในเป้าหมายการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม...เรือรบ จอดอยู่ 2 ลำ...อย่างน้อย ควรจะมี 1 ลำ...ที่ควรจะจุดไฟเตรียมพร้อม ออกเรือได้ตลอด 24 ช.ม.

ซึ่งในหนังสือ ก็มีการกล่าวเรื่องนี้ ในเรื่องว่า ทำไม กองเรือถึงไม่จุดไฟเตรียมพร้อม 24 ชม. ซึ่งก็มีข้ออธิบายว่า ในความจริง คงไม่สามารถเตรียมความพร้อมได้ ตลอด 24 ชม. เพราะมีความสิ้นเปลืองมาก...และเป็นวิธีปกติ ในการพลางตัว...เพราะถ้ามีการจุดไฟ เตรียมพร้อม ฝ่ายตรงข้าม ก็สามารถเห็นควันไฟ และรู้ตำแหน่งได้....

จึงพอจะมองภาพได้ว่า เรือตอร์ปิโด ทั้ง 2 ลำ เป็นเป้านิ่ง จอดดวลด้วยปืนเรือ โดยสภาพไม่สามารถแล่นไปไหนได้....และในความเห็นผม ฝ่ายเรา ต้องเกิดความเข้าใจผิด ทั้งหมด คือเข้าใจว่า เรือสลุป ของ ฝรั่งเศส คือ ร.ล.ระยอง และ เรือ ลามอตฯ คือ ร.ล.ธนบุรี (ซึ่งในหนังสือ ก็มีกล่าวไว้ว่า ฝ่ายเราเข้าใจผิด คือว่า เรือลามอตฯ คือ ร.ล.ธนบุรี) และ เรือช่วยรบ ทั้ง 2 ลำ ของฝรั่งเศส คือ เรือสนับสนุน ที่มากับ ร.ล.ธนบุรี คือ ร.ล.หนองสาหร่าย กับ ร.ล.ช้าง...ซึ่งการที่เรือรบ แล่นมาด้วยฝีจักร ขนาดจะทำการสู้รบ...ควันไฟ มันก็น่าจะเห็น และจับสังเกตุได้มาแต่ไกล....เพราะ ฝ่ายเราเอง ก็ต้องมียามสังเกตุการณ์ในทะเล...แม้จะมี ทัศนวิสัย ที่ไม่ดีในวันนั้น...แต่ในภาวะสงคราม ก็ควรต้องมีการเฝ้าระวังที่มากกว่าปกติ...

 

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 23/06/2009 20:38:02


ความคิดเห็นที่ 16


ผมว่ากระดูกมันคนละเบอร์ครับ ฝรั่งเศสนั้นถึงแม้จะรบแพ้เยอรมันแต่คนของเขา โดยเฉพาะลูกเรือ หรือ ต้นปืน ก็ได้รับการฝึกมาดีกว่าของเราโดยเฉพาะแม่ทัพเรือภาคตะวันออกไกลของเขาที่ถุกส่งมารบกับเราโดยเฉพาะครับ ของเขานั้นรบระดับโลกครับ แต่ของเราแค่ระดับท้องถิ่น คง สู้ได้ลำบากครับ
โดยคุณ data เมื่อวันที่ 24/06/2009 04:07:54


ความคิดเห็นที่ 17


ผมมองว่า

๑ เราไม่ได้เตรียมพร้อม ทั้งที่น่าจะทำ เพราะสงครามอินโดจีน เริ่มต้นเดือน ม.ค. ๒๔๘๔ ฝรั่งเศสรุกโต้กลับทางภาคพื้นดินวันที่ ๑๖ ม.ค. และเข้าตีทางเรือในวันที่ ๑๗ ม.ค. กำลังทางเรือน่าจะได้เตรียมพร้อมมากกว่านี้

๒. การเฝ้าตรวจ เหมือนกับไม่มี หรือมีไม่พอ กองเรืออยู่แบบโดดเดี่ยว ต้องแบ่งเรือออกไประวังหน้า นึกถึงการรบทางเรืออังกฤษ เสปญ คราว Queen Elizabeth I ปี1588 อังกฤษยังวางหน่วยเฝ้าระวังชายฝั่ง ทำให้รู้ตัวก่อน (นั่นสมัยพระนเรศวร) อย่างน้อยก็น่าจะใช้เรือเล็กเรือประมง ช่วยเป็นแนวร่วมทางเรือ

๓. เราหาปืนดีแปดนิ้ว เอามาไว้ขู่ให้ศัตรูเกรง แต่ถ้าเราไม่หมั่นฝึก หรือลงทุนเรื่องกระสุนในการฝึก ศํตรูก็จะอ่านออก ประเมิณค่าได้ อาวุธจะดีไม่ดีต้องฝึกใช้และต้องลงทุนเรื่องกระสุนฝึก

๔ การระบุเรือในสนามรบ กำลังที่เกี่ยวข้องจำนวนมากคงทำได้แค่แยกว่าเป็นเรือ หรือเครื่องบิน แต่ให้ระบุฝ่าย เรือลำไหนประเภท ชื่ออะไร น่าจะยาก สมัยนี้ก็เถอะคนเล่นโมอย่าไป ลองดีของจริงเขา เดี๋ยวโกรธกัน

๕ น่าจะเพราะความขัดแย้งทางการเมือง ก่อน ระหว่าง และหลัง สงครามอินโดจีน ทำให้ลดขีดความสามารถในการร่วมกันรบ         เหมือน พลเอกกัตเตียรรี่ของอาร์เจนตินาตัดสินใจตีฟอลค์แลนด์

๖ ไม่อยากให้ยังโกรธศัตรูในประวัติศาสตร์ เพราะจะทำให้มองไม่เห็นการกระทำของชาติที่กำลังเอารัดเอาเปรียบเราต่อหน้าต่อตาในวันนี้ ครับ

โดยคุณ Oldtimer เมื่อวันที่ 24/06/2009 06:55:32


ความคิดเห็นที่ 18


บทเรียน...หมายความว่า จะต้องยอมรับได้ทั้งด้านบวกและลบนะคับ ในทัศนะคติของผมนั้น ร.ล.ธนบุรีไม่ใช่เรือเก่า เป็นเรือทันสมัยที่สุดที่พึงมีได้ในน่านน้ำไทยยุคนั้น วันที่ลงจากอู่ที่เมืองโยโกฮาม่านั้น ร.ล.ธนบุรีได้เคยพบปะกับลามอตต์ปีเก้มาแล้วในแบบสันติ.....

 

.....ร.ล.ธนบุรี ถึงจะมีระวางขับน้ำที่เล็กกว่าลามอตต์ปีเก้ต์ แต่ก้อติดปืนขนาด 8 นิ้วถึง 2 กระบอก ในขณะที่ลามอตต์ปีเก้ ติดปืนใหญ่ที่สุดคือ 4.5 นิ้วเท่านั้น และกระสุนจากลามออต์ปีเก้ที่ยิงสวน ร.ล.ธนบุรีกลับมาจนสะพานเดินเรือพังในการยิงชุดแรกนั้น เป็นกระสุนขนาด 3 นิ้วเท่านั้นคับ....

 

.....แน่นอนคับ เรือใหม่เอี่ยมอย่าง ร.ล.ธนบุรี ทั้งเรด้าร์ ระบบนำร่อง ระบบการเล็งยิงก้อย่อมต้องทันสมัยกว่าลามอตต์ปีเกต์อย่างไม่ต้องสงกะสัย...

 

....สมัยนั้น จุดที่ทำให้เราเสียเรืออย่างแท้จริง เราต้องยอมรับก่อนนะคับว่า เรายังใหม่ต่อระบบสงครามสมัยใหม่ ใหม่ต่อระบบอาวุธ ดังนั้นก้อไม่แปลกว่าทำไมเรือใหม่ ๆ ระบบใหม่ ๆ กลับยิงลามอตต์ปีเกต์ไม่โดนในการยิงชุดแรก....

.....ย้อนหลังไปในอีกสมัย ที่ฝรั่งเศสส่งเรือรบลำเล็ก ๆ เป็นเรือไม้มาจอดลอยลำหน้าสถานทูต แบ่บไร้ผู้ต่อต้าน ทั้งที่ปืนเสือหมอบที่ป้อมพระจุลต่างก้อระดมซัลโวอย่างหนัก แต่ก้อหาระคายผิวฝรั่งเศสไม่ นอกจากทำยอดเสาใบเรือรบฝรั่งเศสหักไปต้นหนึ่งเท่านั้น....

....ไม่ใช่เพราะปืนเสือหมอบกระจอกดอกคับ ถึงยิงฝรั่งเศสไม่โดน แต่เป็นเพราะว่า ปืนทั้ง 6 กระบอก ดันมีคนยิงเป็นแค่คนเดียว คือครูฝรั่งที่มาสอนทหารเรือไทยให้หัดยิงปืนเสือหมอบนั่นอ่ะคับ คนเดียววิ่งไปหลุมโน้น หลุมนี้ ยิงมันอยู่คนเดียว ถ้าโดนก้อฟลุคมากกว่าแม่นล่ะคับทั่น....

....สมัยนั้น เรามีเรือรบเหล็กลำแรก เป็นเรือพระที่นั่ง ติดปืนอานุภาพร้ายแรงพอจะป่นเรือรบฝรั่งเศสได้ทั้ง 3 ลำ มีคนพยายามจะเอาเรือลำนี้ออกไปสู้กับฝรั่งเศส แต่ก้อถูกห้ามไว้ ในความรู้สึกของผมก้อว่าถูกแล้วคับ แค่ปืนยังไม่มีใครยิงเป็น เรือรบกลไฟแล้วใครจะขับเป็น เอาไปหันรีหันขวางให้เรือเก่า  ๆ ของฝรั่งมันสอยเล่นจะยิ่งเจ็บใจมากกว่า....

.....บทเรียนจากยุทธนาวีเกาะช้าง ขอสรุปด้วยบทพระราชนิพนธ์ ร.6 ที่ว่า....

.....แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้ครบสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัน จะหาญสู้ริปูมลาย.....

.....ผมจึงวิงวอนขอร้องทั้งรัฐบาลและทหาร ซื้ออาวุธใหม่ไม่ได้ แต่ไม่ควรตัดงบซ้อมรบอย่างเด็ดขาดคับ ทหารควรต้องได้รับการฝึกปรืออยู่เสมอ กระสุนทุกนัดที่เสียไป จะต้องแลกกับข้าศึก 1 นัด ก้อ 1 ศพ ล่ะคับ ฮุนเซนถึงจะกลัว....

โดยคุณ X-1 เมื่อวันที่ 03/07/2009 07:24:35