ดิฉันได้พบบทความดีๆ บทความหนึ่ง เกี่ยวกับเรือดำน้ำของไทยในอดีต ซึ่งประจำการในกองทัพเรือไทย และมีบทบาทร่วมรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บทความนี้ชื่อ "การดำครั้งแรกของข้าพเจ้า" ประพันธ์โดย นักเรียนนายเรือ ประวิทย์ จีระจันทร์ ตีพิมพ์ในนิตยสารนาวิกศาสตร์ เล่มที่ 1 ปีที่ 24 งานเขียนของท่านทำให้ทราบถึงความรู้สึกของทหารเรือในอดีตที่ได้เรือดำน้ำมาเสริมเขี้ยวเล็บของกองทัพ ความสำคัญของเรือดำน้ำต่อความมั่นคงของไทย และสำนึกรักชาติของคนไทยในช่วงที่ชาติต้องเผชิญกับสงคราม จึงขอนำบทความนี้มาเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน-ศึกษา กันคะ
โดย นักเรียนนายเรือ ประวิทย์ จีระจันทร์
เป็นครั้งแรกในราชนาวีไทยที่ยอมให้นักเรียนนายเรือลงไปศึกษากิจการภายในเรือดำน้ำขณะออกไปทำการฝึก ผู้ที่มีโอกาสดีนี้ก็คือ นักเรียนใหม่ของต้น พ.ศ. 2483 ซึ่งมีข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง
ภายหลังจากการเดินทางไปฝึกภาคต่างประเทศ มีอินโดจีนและชะวาครบตามกำหนดแล้ว ร.ล. แม่กลองก็พาพวกเราทั้งหมดกลับเข้าสู่น่านน้ำไทยแดนบิดรของเรา เมื่อเรือจะเข้าจอดหน้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าหมวดเรือดำน้ำกำลังทำการฝึกอยู่ในอ่าว เวลาเดินทางจากประจวบถึงสัตหีบ ข้าพเจ้าจึงมักจับตาดูกล้องตาเรือที่คาดว่าอาจจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น เพราะตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้ายังมิเคยเห็นเรือดำน้ำขณะทำการอยู่กลางทะเลแม้สักครั้งเดียว นอกจากในจอภาพยนตร์ เมื่อครั้งเรือหลวงแม่กลองจะเข้าสุราบายา เพื่อนๆเขาบอกว่าได้เห็นเรือดำน้ำฮอลแลนด์แล่นมาดำใกล้ๆเรือเรา แต่ในขณะนั้นข้าพเจ้ามัวไปทำงานอื่นเสีย เลยอดดู แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าข้าพเจ้าได้เห็นอะไรตามที่หวังเลย เมื่อเรือมาถึงสัตหีบจึงได้พบว่า เรือดำน้ำไทยเหล่านั้นมาจอดอยู่ที่นี่ทั้งหมด (เรือดำน้ำไทย มี 4 ลำ ตั้งชื่อตามชื่อผู้มีอิทธิฤทธิ์ทางน้ำ ได้แก่ มัจฉานุ ลำที่ 2 วิรุณ พลายชุมพล คะ ต.ต.)
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 83 (83 เป็นคำย่อของ พ.ศ. 2483 ต.ต.) พวกเราว่างการสอบ ทางเราได้กรุณาติดต่อไปทางหมวดเรือดำน้ำ พาพวกเราลงไปดูเรือพลายชุมพล ซึ่งเทียบอยู่ข้างเรือพงัน ชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมง ทั้งตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่มีภูมิเดิมซึ่งเกี่ยวกับเทคนิคของเรือดำน้ำอยู่เลย จึงได้แต่ลืมตาอ้าปากเที่ยวมองดูคันหมุนคันโยกนับแทบไม่ถ้วน พวกเราทั้งหมดมี 23 คน ถึงแม้จะแบ่งออกเป็น 3 พวกแล้วก็ตาม ก็ยังไม่วายเดินเบียดกัน เพราะที่ทางแคบ และมีของกระจุกระจิกมิใช่น้อย พวกเราถามถึงสิ่งต่างๆที่ไม่เคยเห็นกันแต่พอสังเขป เพราะไม่มีเวลารวมทั้งไม่มีภูมิที่จะซักถามให้ถูกเรื่องราวด้วย แล้วก็ลาเรือพลายชุมพล กลับเรือเราด้วยความเสียดายที่ยังดูอะไรๆไม่เป็นที่อิ่มตา
เข้าวันที่ 10 มิ.ย. 83 มนุษย์โชคงามทั้ง 23 คน ได้รับอนุมัติให้รับประทานข้าวพร้อมกับยามผลัด 1 คือเวลา 0730 (เขียนแบบทหารเรือ คือ เวลา 7:30 น. ของพลเรือน ต.ต.) และเวลา 0800 (เขียนแบบทหารเรือ คือ เวลา 8:00 น. ของพลเรือน) ให้พร้อมที่จะไปจากเรือได้ ข้าพเจ้ารับประทานข้าวได้ไม่กี่คำก็เลิก แต่ไม่ยอมรับกับพวกเพื่อนๆว่า ตื่นจนกินข้าวไม่ลง แก้ตัวไปว่า แกงมะระซึ่งเป็นกับข้าวมื้อเช้านี้ พ่อครัวต้มเอารสขมออกไม่หมด รู้สึกว่าไม่แต่ข้าพเจ้าคนเดียวที่ตื่น แต่เพื่อนคนอื่นๆก็คงเช่นกัน เพราะปรากฏว่าแทบทุกคนพร้อมอยู่บนดาดฟ้าก่อน 0800 ทั้งนั้น เมื่อพวกเราทั้งหมดมาถึงเรือพงัน ซึ่งเป็นเรือพี่เลี้ยงของเรือดำน้ำในการออกมาฝึกคราวนี้ ผู้อำนวยการศึกษาพรรคนาวิน ก็จัดการแบ่งพวกเราออกเป็น 3 ชุด ชุดหนึ่งๆก็ต้องอยู่ที่ที่แห่งหนึ่งจะเดินเพ่นพ่านไม่ได้ ข้าพเจ้ากับเปล่งมีโชคดีที่ถูกจัดให้อยู่หอกลาง และอยู่ใกล้กล้องตาเรือที่อยากดูเป็นนักเป็นหนา(หอกลาง คิดว่าน่าจะเป็น หอบังคับการเรือ Conning Tower คะ เพราะเรือรุ่นสงครามโลกครั้งที่สอง จะเพิ่มเนื้อที่ในหอบังคับการเรือ เป็นที่ๆผู้การเรือจะสำรวจสภาพบนผิวน้ำด้วยกล้องตาเรือ ส่วนนี้จะอยู่เหนือสถานีควบคุมเรือ หรือ Control Station ต.ต.)
เวลา 0911 เตรียมเรือเข้ารบ ร.ท. พจน์ จิตรทอง ต้นหน จัดการหาที่เรือ คนประจำเรือช่วยกันตรวจเรือตลอดลำ เก็บของที่จะหลุดหายหรือชำรุดได้เมื่อถูกน้ำเค็ม ล้มเสาและเก็บเข็มทิศบนสะพาน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า กระทำร้ายศตรูของเรือชนิดนี้ ก็เมื่ออยู่ใต้ผิวน้ำ
ข้าพเจ้ายืนดูเขาทำงานกัน ด้วยรู้สึกตื่นเล็กน้อย เห็นของแปลกๆอันเป็นธรรมดาของผู้แรกเห็น ทุกคนมีหน้าที่ประจำตัวและปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและเรียบร้อย ปราศจากเสียง ผิดกับในเรือของเรา ซึ่งแทบทุกคนมักมีหน้าที่สั่งงานทั้งสิ้น ตามลำดับอาวุโส
เวลา 0939 เรืออยู่ใต้ระดับน้ำ 10 เมตร จากกล้องตาเรือที่เคยอยากดูอย่างที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้เห็น ร.ล. พงัน ซึ่งตามออกมาเป็นเรือเป้าในการฝึกยิงตอร์ปิโด กำลังแล่นอยู่บนพื้นน้ำ มองไปรอบๆก็ได้เห็นเกาะต่างๆที่แลดูงามขึ้นอย่างประหลาดทั้งๆที่เมื่ออยู่บนผิวน้ำ ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจมากนักเลย ตลอดเวลาข้าพเจ้าไม่ยอมห่างกล้อง พอได้โอกาสขณะที่ต้นเรือไปทำกิจอื่น ข้าพเจ้าเป็นเข้าแทนที่ทันที ดูทุกสิ่งที่สามารถจะดูได้อย่างไม่รู้เบื่อ บางคราวเมื่อสมมุติว่ายิงตอร์ปิโดไปลูกหนึ่ง เรือจึงโผล่ขึ้นปริ่มน้ำครั้งหนึ่ง เพื่อแสดงที่เรือให้เป้าเห็นได้ชัดเจน จากกล้องตาเรือจะมองเห็นทางท้ายเรือลอยอยู่เกือบๆพ้นระดับน้ำ เสาวิทยุเล็กๆตัดน้ำเป็นทาง เห็นรูปเรือลอยอยู่ในน้ำได้รางๆ เรือเป้าแล่นผ่านทางหัวท้ายบ้าง ทำให้คิดไปถึงสงครามขณะนี้ว่า จะมีเรือปฏิปักษ์ลำใดบ้างหนอที่กำลังเคราะห์ร้ายถูกด้อมหาโอกาสทำลายอย่างที่เราทำการฝึกอยู่ขณะนี้ งานที่กระทำถึงแม้จะดูเป็นการลอบทำร้ายอย่างไม่ใช่นักกีฬาก็ตาม แต่ก็เป็นงานที่จำใจต้องทำเพื่อประโยชน์แก่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ซึ่งไม่มีผู้รักชาติคนใดจะติเตียนได้ งานของเรือดำน้ำก็คือการทำลายศตรูผิวน้ำในระยะฉกรรจ์ของตอร์ปิโด ซึ่งนับว่าต้องเข้าใกล้ข้าศึกมาก (ปัจจุบันตอร์ปิโดเรือดำน้ำถูกพัฒนาให้ยิงได้จากระยะไกลมากกว่าเดิม และมีระบบค้นหาเป้าที่แม่นยำกว่าสงครามโลกครั้งที่สองคะ ทำให้ไม่ต้องดำไปใกล้เรือเป้ามากเท่าเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ต.ต.) งานนี้เป็นงานที่นักดำทุกคนยอมสละแล้ว ทุกๆอย่างเพื่อชาติของเราโดยเฉพาะ งานทุกอย่างใต้ผิวน้ำเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาทั้งลำเรือ แต่สำหรับคนไทยเราที่มีคติอยู่ว่า "ถึงที่ตายแม้อยู่ในมุ้งก็หนีไม่พ้น" ฉะนั้นเราควรพูดได้เต็มปากว่า คนขี้ขลาดเท่านั้นแหละที่กลัวตาย และคนจำพวกนี้เองเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ถ่วงความเจริญของชาติให้ด้อยลงโดยปากของเขา สิ่งใดที่เขาไม่กล้าทำแล้วกลับยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นไม่ทำ ตามเขานั้น หาเป็นไปด้วยความหวังดีไม่ แต่เป็นไปด้วยอาการที่จะหาพรรคพวกไว้สนับสนุนปิดบังความขลาดของเขานั้นเอง พ่อแม่ผู้ปกครองบางท่านความที่รักลูกจนเกินการ มักไม่ยอมให้ลูกหลานของท่านเป็นนักบิน นักดำ โดยกลัวว่าเขาเหล่านั้นจะตาย แต่ท่านหานึกไม่ว่า ถึงเขาไม่เป็นนักบิน นักดำ เขาก็ต้องตาย และท่านก็หาทราบไม่อีกว่าการตายโดยอยู่เฉยๆ กับตายในขณะพยายามทำประโยชน์แก่ชาตินั้นมันต่างกันอย่างไร ถ้าท่านผู้เฒ่าผู้แก่ของเรารักชาติ และอบรมบุตรหลานของท่านให้ถูกวิธีแล้ว ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่าไทยเราจะก้าวไปได้อีกไกลมากกว่านี้มากต่อมากนัก
เราผ่าน ร.ล. แม่กลอง เวลาประมาณ 1145 ซึ่งเป็นเวลาใกล้อาหารกลางวัน และทางผู้ใหญ่คงจะคาดว่าพวกเราหิว จึงเร่งให้เรือมารับพวกเรากลับ สำหรับข้าพเจ้าขอปฏิเสธว่าไม่รู้สึกหิวเลย และคงมีเพื่อนของข้าพเจ้าอีกไม่น้อยที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
ระหว่างทาง ร.ท. พจน์ จิตรทอง ผู้อำนวยการศึกษาของพวกเราเมื่อปีที่แล้ว ได้กรุณามานั่งอธิบายเรื่องเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรือดำน้ำให้ฟังอีก นับว่าท่านยังคงกังวลในพวกเราอยู่ตลอดมา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนจะลืมเสียมิได้เลย จากท่านข้าพเจ้าได้ความรู้ในเรื่องศัพท์ของเรือดำน้ำภาษา ต่าง ประเทศ ที่เข้าใจว่ายังมีอีกไม่น้อยคนที่ไม่ทราบเช่นเดียวกับข้าพเจ้าในขณะนั้น กล่าวคือ คำว่า "Submarine" คำนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าแทบทุกคนคงหมายความถึงเรือดำน้ำที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่ความจริงหาใช่ไม่ "Submarine" ความจริงหมายถึง เรือใต้น้ำที่ปรากฏจากกำลังลอย หรือมีกำลังลอยเป็นลบ ไม่สามารถทรงตัวลอยอยู่ในน้ำได้ด้วยตัวมันเอง แต่สามารถจมลงใต้ระดับน้ำด้วยน้ำหนักของมันแต่ลำพัง ส่วนเรือดำน้ำที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ถึงแม้เราจะเห็นว่ามันอาจจมลงใต้ระดับได้ แต่ความจริงกำลังลอยของมันเป็นบวกอยู่เสมอ และอาจสามารถทรงตัวลอยอยู่ในน้ำได้ ในการอาการที่เรียกกันว่า "แขวน" และการที่มันจมลงใต้ระดับน้ำทั้งๆที่ยังมีกำลังลอยเป็นบวก ก็เนื่องด้วยอำนาจของหางเสือนอนที่กระทำขณะเรือกำลังเคลื่อนที่ เรือดำน้ำในลักษณะนี้เป็นเรือที่เราใช้กันในปัจจุบันทั่วโลก และไม่ใช่ Submarine แต่เป็นเรือชนิด "Submersible"
ข้าพเจ้าจากเรือวิรุณ มาด้วยความภาคภูมิใจที่พอจะไปอวดพรรคพวกได้เต็มปากว่า "เคยลงดำในเรือดำน้ำมาแล้ว" และทุกสิ่งที่ได้พบเห็นจะคงติดตาเตือนใจข้าพเจ้าอยู่ตลอดไปว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าได้เคยยืนอยู่ใต้ระดับน้ำลึกหลายเมตร และสามารถกวาดสายตาชมภูมิประเทศบนผิวน้ำรอบๆข้างด้วยความร่าเริงใจ
มาเจิมคนแรกครับ // สวัสดีครับคุณ OA นานนะครับที่ไม่ได้เจอกันสบายดีไหมครับ
จุ๊บ จุ๊บ รักนะพี่ OA คิดถึงเสมอ อย่าไปไหนอีกนะ อิ อิ
อิ อิ ไม่เคยดำน้ำ เคยแต่มุดน้ำแถวบ้าน - -"
ขอบคุณค๊า ^.^
สวัสดีทุกๆท่าน สบายดีนะคะ ขอบคุณที่คิดถึงคะ ^_^ คิดถึงมากมายคะ จุ๊บๆ ต้องขอโทษด้วยที่ตอบช้ามากๆคะ กลับบ้าน ไปเล่นคอมที่บ้าน เน็ตเดี้ยงอีก โฮ่ๆ
คิดถึงมากมาย จุ๊บๆ - ฝากถึงน้องหนูนีลคะ ^_^