หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ผลาญชาติ...!!!

โดยคุณ : omaha เมื่อวันที่ : 16/06/2009 19:28:42

อ่านบันทึกของสหายม้ง...โพสต์โดยท่านท้าวแสนไชยทำให้นึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้เคยอ่านเมื่อสองปีก่อน

ผลาญชาติ สงครามลับของซีไอเอในลาว และความเชื่อมโยงกับสงครามในเวียดนาม โดยโรเจอร์ วอร์นเนอร์ : ไผท สิทธิสุนทร - แปล

เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก เพราะมีข้อมูลดิบๆเยอะ ผู้พิมพ์คือโครงการจัดพิมพ์คบไฟ..ลองหาซื้อมาอ่านสิครับ..
ผมจะย่อเรื่องให้คร่าวๆ..

เนื้อเรื่องสอดคล้องต้องกันกับที่ พลเอกสายหยุด เขียน..

แต่หนังสือเล่มที่กล่าวถึง เป็นข้อมูลดิบ ที่ได้มาจากการให้สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหลายแหล่   นับแต่ ซีไอเอ ได้เข้าไปเริ่มปักหลักในเวียดนามและลาวแทนฝรั่งเศส...ซึ่งละเอียดและลึกซึ้งมาก

ข้อมูลดิบเหล่านี้รวมไปถึงมูลเหตุจูงใจต่างๆของผู้ปฏิบัติงานซีไอเอ นักการทูต  หน่วยทหาร  ตำรวจ เพนตากอน ฯลฯ ที่ถูกกลั่นออกมาเป็นกระบวนการ สงครามที่ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการในประเทศลาว

เริ่มต้นจากบทแรก

 ที่กล่าวถึง " เอ็ดการ์ บูล " อาสาสมัครวัยเกษียณขององค์การอาสาสมัครนานาชาติ ที่ถูกส่งเข้าไปทำงานในลาว อันเป็นงานมวลชน ของอเมริกัน บูลเกลียดคอมมิวนิสต์เข้ากระดูกดำ สำหรับเขา  เข้ามาในลาว เพราะต้องการรับใช้ชาติอเมริกัน  เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหญิงชาวพื้นเมืองลาวลุ่ม  

ปี 1960 เขาเดินทางจากเวียงจันทร์มาอยู่ที่ลัทฮวง ทางเหนือของลาว  และได้พบกับวังเปา ที่กองบัญชาการทหารลาวที่ทุ่งไหหิน

ย้อนกลับไปปี 1957 ที่อเมริกาเริ่มให้การช่วยเหลือลาว คิดเป็นเงินมากกว่าที่เคยช่วยประเทศใดๆเมื่อคิดต่อหัวประชากรลาว  แต่การช่วยเหลือนั้นทำให้ผู้นำลาวร่ำรวย เงินถูกถ่ายเทไปกับการซื้อรถเบนสซ์เข้ามาขายให้พวกคนไทย

ความวุ่นวายในลาวเกิดเมื่อร้อยเอกกองแล ลุกขึ้นทำรัฐประหารระหว่างการซ้อมรบ  ขบวนการปะเทดลาวฉวยโอกาสจากความวุ่นวายบุกเข้าครอบครองพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเข้าประชิดที่มั่นฝ่ายนิยมกษัตริย์(ฝ่ายขวา)ที่ถอยมาตั้งมั่นที่สุวรรณเขต


2. บุรุษผู้เงียบขรึมจากเท็กซัส

ช่วงนั้น วอชิงตันแตกความเห็นเป็นสองอย่าง  กลุ่มหนึ่งเสนอให้หนุนฝ่ายขวา   แต่อีกกลุ่มให้หนุนฝ่ายเป็นกลาง (รอ.กองแล)

19 ตุลาคม 1960 เครื่องแอร์อเมริกา นำชายอเมริกันสองคน เดินทางจากกรุงเทพฯเข้าไปในลาว  คนหนึ่งชื่อ บิล แลร์ ผู้ซึ่งต่อมามีบาทบาทอย่างมากในสถานการณ์สงครามในลาวในเวลาต่อมา

แลร์ เข้าพบลาวฝ่ายขวา(นิยมกษัตริย์) โดยมีแผนการมากมาย  หลังจากนั้น 2 -3 วัน ก็ปรากฏชายไม่ปรากฏสัญชาติในชุดทหารสีเขียว ไม่มีเครื่องหมาย  ไม่มีสังกัด นั่งเรือข้ามโขงชุดละ 5 คน ทั้งหมดเข้ารายงานตัวกับผู้บัญชาการทหารลาวฝ่ายขวา   ..นับจากนั้น แอร์อเมริกา ก็ลำเลียงสิ่งของมาลงที่สุวรรณเขต พร้อมที่ปรึกษาชาวอเมริกัน

ก่อนหน้านั้นวอชิงตัน ได้ค้นพบช้างเผือกในป่าใหญ่ ผู้ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการต่อต้านกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนาม  เขาผู้นั้น คือ "วังเปา"  นายพลม้งคนเดียวของกองทัพลาว  ผู้ซึ่งกุมกำลังทหารม้ง อยู่ที่ทุ่งไหหิน   ซีไอเอในลาวคือ จอร์เจนเซน อยากเอาวังเปาไว้ใช้งาน  แต่แลร์มีแผนดีกว่านั้น

แผนการของแลร์  คือ นำหน่วยพารู ซึ่งนำโดยพันตำรวจเอกประนิตย์ ฤทธิ์เชนไชย และลูกหน่วย 5 คนของทางการไทย ขึ้นชอปเปอร์ที่หาได้ คือแบบเอช 34 บินเลาะทวนน้ำโขงขึ้นไปทางเหนือ จนน้ำโขงหายลับไปในหุบเขา แล้วเขาก็เจอทุ่งกว้างใหญ่มีลำน้ำสายเล็กๆอยู่เบื้องล่าง  .....จึงร่อนลงส่งหน่วยพารูไทย 5 คนลงที่นั่น...

รุ่งขึ้นจึงได้รับแจ้งจากประนิตย์ว่า  .." เราพบวังเปาแล้ว "

ย้อนกลับมาที่หน่วยพารู มาจากคำว่า  Police Aerial Resupply Unit  เพี้ยนมาจากคำว่า "ครู" หรือ ครูฝึกชาวไทยนั่นเอง

แลร์มาเมืองไทยตั้งแต่ปี 1951 ในช่วงสงครามเกาหลี เพื่อป้องกันการขยายตัวของสงครามเกาหลี อเมริกัน จึงมาสร้างสนามบินในประเทศไทยเพื่อรองรับเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เพื่อถล่มจีน(หากจำเป็น)  ซีไอเอ ได้อุดหนุนนายพลไทยเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์  รวมทั้งการฝึกทักษะการรบแบบกองโจรให้ด้วย   แลร์  ร่วมกับนายตำรวจไทยคนหนึ่ง  เป็นผู้คุมการฝึก จุดหมายเพื่อสร้างสงครามกองโจร หากวันใดวันหนึ่ง กองทัพจีน ข้ามประเทศลาวบุกเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเขาเชื่อว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ดังนั้น  เขาจึงมีโครงการใหม่ที่ดีกว่า เสนอต่อพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์  เพื่อให้โครงการของแลร์บรรลุผล พลตำรวจเอกเผ่า  ได้บรรจุ แลร์ ให้เป็นนายตำรวจไทยด้วย  

ต่อมาแลร์ แต่งงานกับหญิงไทยคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวชั้นนำในกรุงเทพฯ (น้องสาวของพลเอกสิทธิ เศวตศิลา)....และ  แลร์ จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศนี้ ตราบใดที่การกระทำดังกล่าว ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของอเมริกา และ ซีไอเอ

หน่วยพารู  รอดพ้นจากการรัฐประหาร(ของจอมพลสฤษดิ์) เพราะปฏิบัติภารกิจชายแดนปราบปรามการค้าฝิ่นอย่างได้ผล  แลร์มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์พระประมุขของไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยพระองค์ให้ความสนับสนุนหน่วยงานนี้

เอกอัครราชทูตอเมริกัน วิลเลี่ยม เจ โดโนเวน ผู้เคยเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับโอเอสเอส มาเยี่ยมการฝึกหน่วยพารู  ตามด้วยผู้อำนวยการใหญ่ซีไอเอประจำภาคพื้นตะวันออก เดสมอนด์ ฟิจเจอรัลด์ และต่อมา ผอ.ใหญ่ซีไอเอ แอลแลน ดับเบิ้ลยู ดัลลัส ก็เข้าเยี่ยม เช่นกัน

14 ธ.ค.1960 ลาวฝ่ายเป็นกลางเข้ากับฝ่ายคอมมิวนิสต์ฮานอย ทหารลาวขวาใช้ปืนใหญ่และปืนกลหนักโจมตีเวียงจันทร์ ฝ่ายเป็นกลางมีอาวุธหนักของโซเวียตตอบโต้ ระดมยิงเข้าใส่กันตามแบบความเชื่อของชาวพุทธ คือ เมื่อมองไม่เห็นตัว ยิงใส่กันไม่บาป  แต่ปรากฏว่า มีบ้านไหม้หลายหลังรวมทั้งสถานทูตอเมริกัน  ลาวฝ่ายขวาเข้ายึดเวียงจันทร์ได้ และทำการฉลองอย่างเอิกเกริกจนไม่มีใครฟังคำแนะนำของหน่วยพารูที่เตือนให้สกัดไม่ให้ทหารฝ่ายเป็นกลางหลบหนี   แต่เมื่อไม่มีใครติดตาม ทำให้ฝ่ายเป็นกลางหนีออกจากเมืองไปได้อย่างเป็นระเบียบ

ฟิจเจอรัลด์ เรียกซีไอเอในเวียงจันทรืประชุม เพราะรู้ดีว่า ลาวฝ่ายขวาไม่มีทางชนะหากไม่มีหน่วยพารูของไทยเข้าช่วย เขาชื่มชมแสร์มาก  ที่สร้างหน่วยพารูขึ้นมา และคนไทยเชื่อฟังและไว้ใจความเป็นผู้นำของแลร์  และขอร้องให้แลร์ " หาภารกิจที่เป็นประโยชน์ทำต่อไป"ในลาว

แลร์จึงคลุกคลีอยู่กับพวกชาวไทย และปฏิบัติตัวอย่างกลมกลืน กินข้าวหม้อเดียวกับคนไทย  

ขณะที่กองทหารฝ่ายปะเทดลาว กับฝ่ายเป็นกลางเข้ายึดเส้นทางเวียงจันทร์หลวงพระบาง  เครื่องบินโซเวียตเริ่มขนอาวุธให้กับกองกำลังเวียดนามเหนือ พร้อมส่งที่ปรึกษาวางแผนทางยุทธศาสตร์

สงครามในลาว เริ่มต้นขึ้นแล้ว..!!!!!





ความคิดเห็นที่ 1


การพบปะ

ที่ทุ่งไหหิน เอ็ดการ์ บูล ยังอาศัยอยู่ที่ลันฮวงในหุบเขาไม่ห่างจากทุ่งไหหิน  ทหารขบวนการปะเทดลาวและฝ่ายเป็นกลางกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้   ..วังเปา ขึ้นเป็นผู้บัญชาการ กำลังรวบรวมทหารลาวลุ่มไม่ให้แตกแถวและภักดีกับรัฐบาลนิยมกษัตริย์ ขณะเดียวกัน เขาได้แจกอาวุธของรัฐบาลให้คนม้ง...ม้งวังเปา ไม่ยี่หระต่อฝ่ายเป็นกลางและฝ่ายปะเทดลาวเท่าใดนัก..แต่เขามองว่าเวียดนามเหนือคือศัตรูตัวฉกาจ...ชายแดนเวียดนามอยู่ห่างแค่ 50 ไมล์

ทหารปะเทดลาวบุกเข้าลัทฮวง  บูลต้องหนีขึ้นเครื่องบินเข้ากรุงเทพฯ บูลได้เข้าพบเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำประเทศไทยสรุปสถานการณ์ให้ฟัง  ..ท่านทูตเชื่อคำพูดของบูล

วังเปา แลร์ และ ประนิตย์ ได้พบกัน
แลร์ถามวังเปาว่ามีแผนอย่างไร
วังเปาขอตอบในฐานะชาวม้งไม่ใช่ฐานะทหารแห่งกองทัพลาว ว่า "ที่นี่คือบ้านของเรา"  ..เราไปมาหาสู่กับพวกคอมมิวนิสต์มานานแล้ว วิถีเราเข้ากับเขาไม่ได้....เรามีทางเลือกสองทาง คือสู้กัน  หรือ ทิ้งถิ่นฐานไปที่อื่น  เราไม่มีทางเลือก..หากคุณให้อาวุธ เราจะสู้กับพวกมัน

แลร์ถามว่า จะติดอาวุธสักเท่าไหร่..วังเปาตอบ  " หนึ่งหมื่นคน "
"....
ฉันจะภักดีต่อกษัตริย์ลาว พวกเขาจะเดินตามฉัน "

หลังจากนั้น  แลร์จึงได้ให้วังเปา จัดตั้งกองกำลังพิเศษในรูปกองโจรขนาดใหญ่ หนึ่งหมื่นคน...อเมริกันตกลงเลือกทางนี้แทนการส่งทหารเข้าไป ...เพราะต้นทุนถูกกว่ามาก...และควรใช้พวกคนไทยซึ่งมีคุณสมบัติดีกว่าอเมริกันในการให้การปรึกษาแก่วังเปา..

แลร์บอกกับฟิเจอรัลด์ ว่า "...คงไม่ต้องใช้เงินมากมายอะไร...อาวุธที่เหลือใช้จากสงครามโลกครั้งที่สองเหมาะสุด ..อาวุธรุ่นนี้ไม่มีคนสงสัยรัฐบาลอเมริกัน..เพราะเขาหากันได้ทั่วไป...เช่นเดียวกับพวกคนไทย  เขาดูเหมือนคนลาวทุกอย่าง..เข้าง่ายออกง่าย คลาสสิคทีเดียว  .."

ฟิเจอรัลด์ นิ่งเงียบ...แลร์จึงกล่าวต่อว่า  "จุดอ่อนของปฏิบัติการนี้คือ...ในที่สุดแล้วม้งอาจพ่ายแพ้หากเวียดนามเหนือไม่ถอดใจยอมแพ้เสียก่อน กองกำลังเวียดนามเหนือมีประสิทธิภาพสูงสุดในภูมิภาคนี้ ทหารมีวินัยเยี่ยม ถ้าพวกเขาต้องการยึดลาวจริงๆ ม้งคงต้องแพ้ไม่ว่าอเมริกันจะเข้าช่วยหรือไม่ก็ตาม.....ที่พอทำได้คือ หาทางออกให้ม้ง   มีจังหวัดหนึ่งในลาวชื่อว่าไชยบุรีทางใต้ติดกับไทย ขณะนี้มีม้งอาศัยอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว..ฝั่งไทยก็มีม้งอาศัยอยู่  พวกเขาข้ามไปข้ามาเหมือนไม่มีพรมแดน  หากม้งวังเปาไม่สามารถอยู่ไชยบุรีได้  พวกไทยอาจรับเข้าประเทศให้ทำงานในกองตำรวจตระเวณชายแดน..."

แลร์บอกว่า  เขารู้จักคนไทยดี  พวกนั้นจะตกลงตามนี้.....

นี่คือ โครงการที่มีชื่อปฏิบัติการว่า " โมเมนตั้ม ".....บิล แลร์  และหน่วยพารูของไทย  คือผู้ดูแลปฏิบัติการโดยปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายใด





ในภาพนายพลวังเปายังดูเด็กยืนอยู่ข้างๆ ซีไอเอชื่อนายซาส ภาพระบุว่าถ่ายเมื่อปี ๑๙๖๐

 

 

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:06:06


ความคิดเห็นที่ 2


เรื่องราวของสงครามในลาว ในความรับรู้ของผมนั้น มีมาตั้งแต่อายุ10 กว่าปี
ด้วยว่าผมมีชีวิตผูกพันอยู่กับทหาร

ช่วงประมาณ ปี 07 หรือ 08 สมัยนั้นมีบ้านพักอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 พัน 3 สะพานแดง (ร.1 พัน 3 รอ.)

  เย็นวันหนึ่งพ่อผมพาไปงานศพเพื่อนพ่อที่วัดแก้วฟ้า แถวเกียกกาย ในงานได้ยินผู้ใหญ่เขาซุบซิบพูดกันว่า เพื่อนพ่อคนนี้ไปเสียชีวิตในสมรภูมิลาว......เขา เป็นพวกทหารปืนใหญ่ สังกัด ป.พัน 1

ช่วงนั้นจำได้ว่าเป็นเวลาใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เป็นนายทหารนักบินยศพันตรีเป็นกัปตันขับฮ.ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย   ซึ่งฮ.ลำนั้นถูกยิงตกที่เชียงคำ  เป็นข่าวใหญ่โตมาก ทั้งผู้ว่าและนายทหารผู้นั้นเสียชีวิต  จำได้ว่าเขามีลูกเล็กคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายอายุ 3 ขวบ ชื่อน้องเปาะอู๋  
และหลังจากนั้น เป็นที่รู้กันว่าเมื่อมีงานศพทหารที่วัดแก้วฟ้า แสดงว่าเป็นทหารที่ไปเสียชีวิตในสมรภูมิลาว

แอบฟังผู้ใหญ่คุยกันทำให้ทราบว่า ทหารปืนใหญ่ของไทย ถูกส่งเข้าไปในลาวโดยไม่เปิดเผยเป็นชุดแรกๆมาจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 (หน่วยตั้งอยู่สะพานแดง ประดิพัทธ์ ตรงข้าม กรมช่างอากาศบำรุง)  ทหารที่ถูกส่งไปคงจะภายหลังจากตำรวจหน่วยพารู ค่ายนเรศวร หัวหินที่กล่าวในหนังสือนี้

ต่อจากนั้น ราวปี 09 มีการรับทหารอาสาสมัคร จงอางศึก ระดับกองพัน เพื่อไปทำการรบในสมรภูมิเวียดนาม สถานที่รับสมัครอยู่ตรง กรมทหารราบที่ 21 รอ.(สมัยนั้นยังไม่ย้ายไปอยู่จังหวัดชลบุรี) ปัจจุบันอยู่ใกล้สะพานเกษะโกมล นั่นเอง  อาสาสมัครส่วนใหญ่ก็คือทหารประจำการ และพวกที่ปลดประจำการแล้ว ส่วนนายทหารก็เปิดรับจากกองทหารประจำการ   บรรยากาศการรับสมัครเป็นไปอย่างคึกคัก..เพราะเป็นการร่วบรบอย่างเปิดเผย

แต่ในสมรภูมิลาว การส่งทหารไปรบเป็นไปอย่างปิดลับ ส่วนใหญ่ไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองล่องแจ้ง  ทุ่งไหหิน
พวกไปลาวไม่มีมหามิตรอเมริกันเคียงข้าง จึงสูญเสียหนักมาก

เราเป็นเด็กอยู่ในกรมทหาร จึงมักได้ยินแต่เรื่องปิดลับแบบนี้ เรียกว่าปิดลับกันให้แซด พ่อใครไปรบที่ไหนก็รู้กันหมด   จวบจนเป็นวัยรุ่นเพื่อนๆจำนวนหนึ่งพวกที่ชอบตีรันฟันแทง ชอบบู๊โดยเฉพาะพวกลูกทหารชั้นประทวนที่เกเรไม่ชอบเรียนหนังสือ ต่างหนีโรงเรียนไปสมัคร เล่นเอาเราอยากจะไปกับเขาด้วย

  จำได้ว่าราวปี 12 -13 พวกที่ไปจะไปทำการฝึกที่อุดร ฯ  ฝึกกันแค่ 2 -3 เดือน ก็ถูกส่งไปรบแล้ว  ก่อนจะไปรบพวกนี้จะได้เงินก้อนใหญ่มาเลี้ยงเหล้าเพื่อนๆ และเวลากลับมาจะแต่งชุดทหารพรานทำตัวจิ๊กโก๋ พกลูกเกลี้ยงมาคนละสองสามลูก
มันบอกว่า " ถ้ากูไม่ตาย กลับมากูรวย ได้เจ็ดหมื่น   ..ถ้าตายที่บ้านได้ 1 แสน "   เงินขนาดนั้นนับว่ามากทีเดียว  รถเฟียต 1100 D  หรือรถโฟล์คเต่า อย่างโก้ ราคาคันละแค่ 3 - 4 หมื่น   เงินขนาดนั้นจึงล่อพวกจิ๊กโก๋ วัยรุ่น พวกขี้เกียจเรียนได้ไม่ยาก

แต่พอไปถึง 6 เดือนกลับมา  พวกที่เคยซ่าๆ กลายเป็นพวกหวาดระแวง ปอดกระจายกันเป็นแถว  ..นั่งกินเหล้าข้างถนนอยู่ดีๆ ตุ๊กๆสตาร์ททีเดียวพวกโดดหมอบอยู่ข้างฟุตบาทซะแล้ว...

ต่อมาประมาณปี 13 หรือ 14 ทุ่งใหหินแตก พี่ชายเพื่อนคนหนึ่งถูกยิงหัวเถิก แต่รอดชีวิตมาได้..ส่วนพ่อของมันยศจ่าสูญหายไปในสงคราม สาเหตุเพราะตอนลูกชายถูกยิงเอาตัวขึ้นฮ.แล้ว ปรากฏว่าพ่อเกิดเสียดายเครื่องเสียงซึ่งเพิ่งจะซื้อจากร้าน พีเอ็กซ์ของอเมริกันในลาวจึงวิ่งกลับไปเอาเครื่องเสียงแล้ววิ่งกลับมาที่ ฮ.ไม่ทันเลยตกฮ.
และเขาก็หายสาปสูญทิ้งเงินแสนไว้ให้ครอบครัว  ให้แม่เขาได้เล่นไพ่จนเสียผู้เสียคน

เพื่อนวัยรุ่นของผมสองสามคนที่เป็นเสือพรานไปอยู่ล่องแจ้ง กลับมาเล่าว่า วันที่ล่องแจ้งถูกตีแตกมันหนีจากล่องแจ้งด้วยการเดินเท้าและกินหยวกล้วยป่า 7 วัน 7 คืน กว่าจะข้ามแดนมารายงานตัวที่จังหวัดอุดรฯกับกอง บก.  สูญหมดทุกอย่างที่อุตส่าห์สะสมไว้ในลาว

พวกนี้กลับมาจะหมดสภาพ หายซ่าไปเยอะ  ไม่เหมือนตอนไปใหม่ๆ จะถ่ายรูป "ร้อยใบหูพวกแดง" ส่งมาอวดเพื่อนๆเพื่อแสดงความเจ๋งของตัวเอง...

นี่คือ เกร็ดสงครามในลาวที่ผมเคยรับรู้สมัยเป็นวัยรุ่น ...คั่นเวลา ก่อนที่จะทราบข้อเท็จจริงของสงครามครั้งนั้น จากที่ได้อ่านจากหนังสือและนำมาเล่าต่อในที่นี้ครับ..

4.ปฏิบัติการโมเมนตั้ม

นอกเหนือจากบิล แลร์ บุรุษจากเท็กซัส ผู้เคร่งขรึมและเก็บตัว  เอ็ดการ์ บูล อาสาสมัครผู้รักชาติ ที่ลัทฮวง แล้ว  ยังมี รอยด์ แพท แลนดรี้   ผู้มีฉายาว่า " ไอ้วายร้าย  ไอ้คนหยาบคาย หรือไอ้ปากจัด " ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเท็กซัส เอแอนด์เอ็ม ของแลร์ อีกคนหนึ่ง
และโทนี่ โพ  อดีตทหารรบพิเศษจากสมรภูมิเกาหลี  ผู้เคยทำงานกับชาวเขาเผ่าคัมบาในทิเบต โพ เคยทำการฝึกและติดอาวุธให้ชาวเขาให้พวกคัมบาต่อสู้กับพวกจีนคอมมิวนิสต์       ในปี 1958 เขากับแลนดรี้ได้พยายามก่อการปฏิวัติขึ้นบนเกาะสุมาตราอินโดนีเซีย แต่พวกเขาล้มเหลว ทั้งสองหนีออกมาได้จากการช่วยเหลือของเรือดำน้ำ ยู เอส เอส แทงก์ ของอเมริกัน  ทั้งโพ และแลนดรี้ ไม่ค่อยถูกกันนัก  แต่ทั้งสองก็เข้าร่วมสนุกด้วยในลาว เพราะที่นี่มีความตื่นเต้นให้ลิ้มลอง

อีกคนหนึ่งคือเชอร์ลี่ เจ้าหน้าที่รบพิเศษของอเมริกัน ที่ถูกส่งเข้ามาช่วยแลร์ในการฝึกให้หน่วยพารูของไทย   แต่แลร์ไม่ค่อยชอบนักกับการที่อเมริกันมายุ่มย่ามมากในลาว เพราะนั่นไม่ใช่แผนการของแลร์    เขาอยากให้อเมริกันปรากฏตัวน้อยที่สุดในลาว

ฝรั่งอีกคนที่ไม่ธรรมดาคือ  บิล ยังก์  เขาเป็นฝรั่งชาวป่า ปู่เป็นหมอสอนศาสนานิกายแบพติสต์ ผู้ชักนำให้ชาวเขาเผ่าละหุในพม่านับพันหันมานับถือศาสนาคริสต์  พ่อเขาชื่อแฮโรวด์ ย้ายเข้ามาอยู่ภาคเหนือของไทย จัดตั้งเครือข่ายข่าวกรองลึกเข้าไปถึงดินแดนจีนให้กับซีไอเอ    บิล ยังก์ เติบโตมากับชาวเขา เขาพูดภาษาละหุ ไทย ลาว ได้คล่อง  เดินป่า ล่าสัตว์เก่งไม่แพ้พวกชาวเขา

ที่แลร์ ไม่ค่อยพอใจมากคือการปรากฏตัวของพวกหัวเกรี๋ยนแบเรต์เขียว หน่วยรบพิเศษอเมริกัน ที่ฝึกทหารลาวอยู่ทางตอนใต้ของลาว และพยายามเข้ามามีบทบาทเป็นครูฝึกให้ม้งวังเปา  แลร์อึดอัดกับการสวมขาก๊วยแบบม้งของคนพวกนี้ โดยบอกว่านี่คือทำให้กลมกลืนกับคนท้องถิ่น  ซึ่งแลร์งงว่า มันกลมกลืมกันตรงไหนกับสารรูปผิวขาว หัวเกรี๋ยนของจีไอ ที่ถูกสังเกตุผิวขาวได้เป็นไมล์ๆ

แลร์ ต้องการให้พารูของไทยเป็นครูฝึกม้งมากกว่าอเมริกัน พวกพารูมิได้น้อยหน้าอเมริกันเลย พวกเขาได้ปีกพลร่ม ผ่านหลักสูตรเรนเจอร์จากฟอร์ด เบนนิ่ง ในจอร์เจีย ผ่านการฝึกยุทธวิธีระดับกองร้อย กองพัน  แล้วอเมริกันยังอยากได้อะไรอีก

พวกม้ง 1 พันคนแรกผ่านการฝึกจากพารูแล้ว ในไม่ช้า ก็จะถึงหลักหมื่น  กองบัญชาการใหญ่พารู ได้ฝึกอบรมหลักสูตรผู้นำให้แก่ชาวม้งหัวกะทิ ที่หัวหิน และฝึกการรับส่งวิทยุในประเทศลาว

พารูชาวไทยจำนวน 1 ร้อยคน แบ่งเป็นทีมๆ ทีมละ 5 คน คอยฝึกให้พวกม้ง โดยมีอเมริกันทั้งหมด 10 คนคอยกำกับอย่างพอเป็นพิธี การออกซุ่มข้าศึกอย่างได้ผลติดๆกัน ทำให้เครือข่ายต่อต้านของชาวม้งขยายตัว ทำให้ฝ่ายซ้ายและฝ่ายเป็นกลางไม่อาจตอบโต้ทหารม้งวังเปาได้   แต่แลร์ นั้นรู้ดีว่า ทหารเวียดนามเหนือผู้น่าเกรงขามยังไม่ได้เข้าร่วมสมรภูมิแต่อย่างใด

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:07:11


ความคิดเห็นที่ 3


นี่อีกภาพของนายพลวังเปาที่ซีไอเอ/วอชิงตัน
                                                                           
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:07:50


ความคิดเห็นที่ 4


อีกภาพของวังเปาก่อนแพ้สงคราม เนื่องจากสภาพสงครามเปลี่ยนอเมริกันถอนทหารในเวียตนาม และทหารม้งฝ่ายขวาในลาวถูกทอดทิ้งให้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวจนในที่สุดต้องมาลี้ภัยในประเทศไทย และบางส่วนยังคงตกค้างเพื่อรอไปยังประเทศที่สาม



ภาพจาก The Politics of Heroin: CIA Complicity in the Global Drug Trade โดย Alfred W. McCoy

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:08:16


ความคิดเห็นที่ 5


นายพลวังเปา ..คนภูเขาชาวม้ง ตามรูปข้างบน สูง 5 ฟุต 5 นิ้ว  เกิดปี 1931 ที่หมู่บ้านหนองเห็ดทางตะวันออกของทุ่งไหหินใกล้ชายแดนเวียดนามเหนือ ตอนเด็กๆตระกูลของเขายากจนต่ำต้อย ตระกูลวัง หรือหวาง ของเขาดำรงชีพด้วยการทำไร่ฝิ่น กับทำนาทำไร่ข้าวบนภูเขาตามวิถีชาวม้งทั่วไป

เขาเป็นคนกระตือรือร้น และอารมณ์ร้อน  ความทะเยอทะยานของเขากระตุ้นให้ " โทบี้ ลายฟอง " ผู้ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของม้ง ตั้งแต่สมัยลาวยังอยู่ใต้อาณานิคมฝรั่งเศสสนใจ และต่อมาโทบี้ ก็อยู่สถานะเป็นอาจารย์ของวังเปา

เดือน มีนาคม 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จบ วังเปา อายุ 14 ปี ก็รับหน้าที่เป็นคนนำสารให้กับทหารฝรั่งเศสที่ซ่อนตัวจากทหารญี่ปุ่นตามหลืบถ้ำ.. ต่อมาโทบี้และเจ้าสักขามตั้งกองกำลังชาวเขาขึ้น ช่วงนี้เองที่เขาได้เรียนรู้สงครามกองโจรแบบตีหัวเข้าบ้าน

จนสงครามโลกสงบ วังเปาเข้าร่วมกับกองตำรวจแห่งชาติ และได้เป็นชาวเขาคนเดียวในโรงเรียนนายตำรวจ  เขาถูกเพื่อนนักเรียนตำรวจดูถูกว่าเป็น " แม้ว " ซึ่งเป็นคำดูถูกของภาษาจีนที่เรียกพวกเขาเป็นอนารยชน ขณะที่คำว่า "ม้ง"ที่เขาเรียกตัวเองหมายถึง " เสรีชน"

เขาจบจากโรงเรียนตำรวจด้วยคะแนนอันดับ 1  ชนะเลิศวิ่งแข่ง 3,500 เมตร รับถ้วยรางวัลจากมกุฎราชกุมารของกษัตริย์ลาว

วังเปาทำความดีความชอบในการตามล่าทหารเวียดมินท์ยศร้อยเอก ให้กับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส เขาพบรหัสผ่าน และเอกสารแผนการรบของข้าศึก  เพราะพวกเวียดนามมักชอบหมกมุ่นอยู่กับงานเอกสาร ขณะที่วังเปาบอกกับตัวเองว่าเขาไม่เป็นอย่างนั้น   เขาชนะพวกข้าศึกหลายครั้ง  จนฝรั่งเศสเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องให้จ่าวังเปาได้เป็นายทหารเสียที จึงเอาแบบทดสอบโรงเรียนฝึกนายทหารลาวมาทดสอบวังเปา  

นายทหารฝรั่งเศสหงุดหงิดกับข้อสอบไวยกรณ์ฝรั่งเศส เขาว่ามันไม่เกี่ยวกับการรบและความสามารถในการนำทหารไล่ล่าข้าศึก จึงเริ่มบอกคำตอบแก่วังเปา    หลายปีต่อมา วังเปาปฏิเสธข้อนี้ว่า " ไม่จริงเลยที่พูดกันว่าเขาจับมือฉันเขียน  ฉันน่ะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว "

หลังจากจบโรงเรียนนายตำรวจ ชีวิตราชการของเขาก็ก้าวหน้า  พันเอกแตรงกุยเย ผุ้บัญชาการทหารฝรั่งเศสต้องการสร้างกองกำลังติดอาวุธของชาวเขาสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนาม แต่ทางการไม่อนุมัติ  เขาจึงใช้เงินจากการค้าฝิ่นจัดตั้งกองกำลังชาวเขาร่วมกับโทบี้ ลายฟอง  เงินจากฝิ่นทำให้จัดตั้งกองกำลังชาวเขาได้ 500 คน

แต่ต่อมากองกำลังของเวียดนามเหนือ 7,000 คน ตามไล่ล่ากองกำลังชาวเขาและลาวลุ่ม ฝ่ายชาวเขาหลบหลีกการถูกทำลายมาได้   ช่วงนี้วังเปาได้เห็นอานุภาพของเครื่องบินรบฝรั่งเศสที่ไล่ยิงพวกเวียดนามเหนือตายเกลื่อนท้องทุ่ง  เหมือนได้กินผลไม้ทิพย์ เขาใฝ่ฝันอยากมีกองทัพอากาศเป็นของตนเอง..

ต่อมาทหารฝรั่งเศสพ่ายแพ้ที่เดียนเบียนฟู  เมื่อฝรั่งเศสถอนตัวออกไป วังเปาจึงได้เจอกับหน่วยฝึกทหารของกองทัพอเมริกัน  จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติของร้อยเอกกองแล เมื่อปี 1960 ลาวเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง  วังเปาเข้าข้างฝ่ายขวานิยมกษัตริย์  เขาใช้พิธีผีของชาวม้งบนบานให้โทบี้ ลายฟองเดินทางมาพบและสนับสนุนเขาแทนที่จะไปหนุนฝ่ายเป็นกลาง  โทบี้ เดินทางมาหาเขาในอีก 3 วันต่อมา เขาเกลี้ยกล่อมจนโทบี้ ลายฟอง เห็นด้วย

จนกระทั่งในที่สุดเขาได้พบกับบิล แลร์  และร่วมมือกันในสงครามครั้งใหม่

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:10:56


ความคิดเห็นที่ 6


6.ความผิดพลาดของวังเปา

หลังชัยชนะที่ผาขาว  วังเปาตั้งกองบัญชาการใหญ่ที่ปาดอง ชุมทางค้าฝิ่นในอดีต  ปาดองเป็นที่ราบสูง มียอดเขาสูงทะมึนทางทิศใต้

วังเปามีหญิงสาวอายุ 17 ตะกูล"เมา" ซึ่งอเมริกันเรียกเธอว่าเมียภาคสนามของวังเปา อยู่เคียงข้าง

ยามนี้ปาดองเหมือนแม่เหล็กดึงดูดชาวม้งให้มาที่นี่ พวกเขาพร้อมที่จะเปลี่ยนกางเกงดำขาก๊วย เป็นกางเกงลายพรางทหารสีมะกอก  ไม่เว้นแม้คนแก่ๆ

ข้าศึกชุมนุมพลอยู่บริเวณตอนใต้ของปาดอง  ซึ่งปกติ กองจรยุทธ์จะต้องหลบเลี่ยงกองกำลังใหญ่ขนาดนั้น  แต่คราวนี้วังเปา ตัดสินใจสู้  เขาไม่เชื่อคำแนะนำของบิล แลร์ เขาเชื่อว่า ตราบใดที่อเมริกันยังหนุนหลังเขาอยู่ เขาจะไม่แพ้  เพียงไม่กี่เดือนเขาก็ดึงหัวหน้าเผ่ากลุ่มต่างๆให้เข้าเป็นพันธมิตร  ตอนนี้หัวหน้าเผ่าเหล่านั้นได้ขี่เครื่องบินกันแล้วก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดฝัน

ข่าวการพ่ายแพ้ของอเมริกันที่อ่าวหมู ในคิวบา ที่วังเปาฟังจากวิทยุคลื่นสั้นทำให้เขาข้องใจ  เขาถามสาเหตุแห่งการล้มเหลวด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แต่ไม่มีใครตอบ  ทั้งบิล ยังก์ และวังเปางงกับเรื่องนี้มาก

ในสายตาคนอื่นๆที่ไม่ใช่วังเปากับพวก  มองว่า วังเปาไม่ใช่คู่ต่อกรของเวียดนามเหนือ ทหารเวียดได้รับการฝึกอย่างดีเยี่ยม ไม่สะทกสะท้านต่อการสูญเสียหากจำเป็น มีทักษะการรบเหนือกว่า  ที่เห็นได้ชัดเจนคือการชี้เป้าปืนใหญ่ อันเป็นสิ่งที่ม้งทำอย่างไรก็ทำไม่ได้  ม้งชำนาญการตีหัวเข้าบ้าน  ระเบียบวินัยทหารไม่มีในหัวสมองของพวกเขา   หากเสียงปืนข้าศึกดังกว่าฝ่ายเขา  ทหารม้งพร้อมจะหนีเอาตัวรอดทันที  หากพวกเขานึกอยากออกไปล่าสัตว์ หรือกลับไปเยี่ยมลูกเมียที่บ้านก็ไม่มีสิ่งไรจะมาฉุดรั้งไว้ได้

ข้าศึกเริ่มเคลื่อนกำลังเข้าปาดอง  เป็นกำลังผสมเวียดนามเหนือกับพวกปะเทดลาว  แต่บิล ยังก์ สาบานว่าเขาได้ยินเสียงทหารจีนด้วยทางวิทยุของเขา

ข้าศึกระดมยิงด้วยอาวุธหนักหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ  รอ.บิล แชนส์ จึงนำ ปืนค.4.2 นิ้ว ยิงตอบโต้ ข้าศึกเงียบไป    
สองสามวันต่อมา ข้าศึกเริ่มยิงใหม่  คราวนี้ รอ.บิล แชน เสนอให้ถอนตัวจากปาดอง  แต่พวกม้งไม่ฟัง เขาจะฟังแต่บิล แลร์  ซึ่งบิล แลร์มอบการตัดสินใจให้วังเปา  ในที่สุดวังเปาก็ตัดสินใจถอนโดยให้พลเรือนอพยพก่อน  มีเพียงเมียวังเปาที่ไม่ยอมห่างไปไหน

ข้าศึกนำปืนใหญ่ 75 มม. และ 105 มม. ที่ยึดได้จากลาวฝ่ายขวา มาระดมยิงใส่ปาดอง  ความเครียดเริ่มปรากฏ  ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดคนหนึ่งของอเมริกันรู้สึกท้อแท้ต่อความไม่เอาถ่านของม้ง เกิดเสียสติขึ้นมา  แลร์ จึงให้ แจ็ค เชอร์ลี่ เข้ามาทำแทน

เชอร์ลี่กับบิล ยังก์ ไม่ถูกกัน  ยังก์ถามความเหมาะสมกับการตั้งรับแบบนี้แทนที่จะรบจรยุทธตามที่ม้งถนัด  ต่อมายังก์ เริ่มไม่ฟังคำสั่ง เขาอยากไปไหนก็ไป สร้างความเดือดแค้นให้กับเชอร์ลี่

13 พ.ค. ทหารเวียดนามเหนือดาหน้าโจมตีเมืองนัทห่างปาดองราว 80 ไมล์ ม้งตั้งรับด้วยปืนกลหนักยิงตัดกันคลุมพื้นที่ ทหารเวียดตายเกลื่อน แต่ก็ยังดาหน้าบุกขึ้นมาจนยึดยอดภูได้ ขวัญทหารม้งแตกกระเจิง

ยังก์เดินเท้าข้ามดอยไปทางทิศใต้โดยไม่ขออนุญาตเชอร์ลี่  การจากไปครั้งนี้ ยังก์ไม่หวนกลับมาปาดองอีกเลย

ฮ. เอช 34 ของอเมริกันถูกยิงตกที่สันเขา คนของวังเปาลากศพออกมา  เหตุการณ์นี้ทำลายขวัญวังเปามาก เขาไม่ทำอะไรเสี่ยงๆอีก  มีเชลยอเมริกันถูกจับ 3 คน เชอร์ลี่ จะให้วังเปาส่งกำลังไปช่วย วังเปาบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ อ้างว่า พวกนี้นย้ายที่เชลยไปแล้ว  

เชอร์ลี่ บินออกลาดตระเวณ  เอ็ดการ์ บูล จะขึ้นเครื่องไปด้วย  แต่เชอร์ลี่ไม่ให้ เพราะไม่รู้ว่า บูลคือใคร บูลโกรธมาก

เชอร์ลี่กลับไปปาดอง วังเปาตรงรี่มาขึ้นเครื่องบินด้วยสีหน้าซีดเผือด เชอร์ลี่ถามว่าจะไปไหน  วังเปาได้แต่พึมพำชื่อสนามบินแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าจะไปเอาเสบียง

แต่จากเพิงวิทยุของหน่วยพารูของไทย ทหารไทยนำข่าวจากแลดรี้ มาส่ง  ข่าวแจ้งว่า  ทหารเวียดเตรียมโจมตีตรงพิกัดที่เชอร์ลี่ยืนอยู่ในเวลา 16.00 น.   ขณะนั้นเวลา15.50 น.แล้ว

เชอร์ลี่ แชน และทหารที่เหลือรวมทั้งพารูของไทย พากันถอยออกจากจุดนั้น อเมริกันและพารูช่วยระวังหลัง  จนถึงกลางดึกพวกม้งกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆตามที่ฝึกไว้   พวกเขาฉายไฟฉายทั้งที่ได้ห้ามไว้ก่อนแล้ว  ทำให้ถูกระดมยิงจากอาวุธหนัก  

ขวัญของพวกม้งสั่นคลอนอย่างมาก พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อกรของทหารเวียดนามเหนือ

ด้านการเจรจาที่เจนีวา  แคนาดี้ส่งวิลเลียม ซุลลิแวน เข้าเจรจา  14 ประเทศที่ร่วมเจรจา มีไทยกับเวียดนามใต้ที่สนใจเรื่องลาว แต่สำหรับโซเวียตและอเมริกัน ลาวเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง  
6 เดือนหลังการเจรจา  ในปี 1962  แคนาดี้ตัดสินใจส่งที่ปรึกษาทางทหารและทหารราบอเมริกันเข้าสู่เวียดนามใต้

สงครามเวียดนามกำลังก่อรูปขึ้น
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:11:18


ความคิดเห็นที่ 7


7.การล่าถอย

หลังการพ่ายแพ้ที่ปาดอง แลร์พยายามโน้มน้าวให้วังเปาหันมาใช้สงครามจรยุทธ์ตามที่ม้งถนัด  และบอกวังเปาให้รู้ว่า ม้งต้องยืนหยัดด้วยตนเอง วันหนึ่งอเมริกันอาจต้องถอนออกไป  แต่ยามนี้เขายืนยันได้ว่าอเมริกันยังหนุนฝ่ายขวา  และแลร์ยังคงทำหน้าที่หนุนหลังให้ม้งอยู่หลังฉาก

ทหารเวียดยังระดมโจมตีม้งอยู่ ทำให้ม้ง 4 -5 หมื่นคนต้องหนีไปสู่ภูเขาที่ห่างไกล  แลร์ทำหน้าที่ช่วยส่งเสบียงให้ม้งเหล่านั้นได้อิ่มท้อง

เอ็ดการ์ บูล รับหน้าที่นี้ เขาเข้าไปทุกหมู่บ้าน จดชื่อชาวบ้าน ล้วงลูกกวาดจากกระเป๋าให้เด็กม้ง ขึ้นไปยืนปราศรัยกลางหมู่บ้านด้วยภาษาลาวกระท่อนกระแท่น

ที่ขาดแคลนหนักสำหรับซีไอเอ คือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน   เชอร์ลี่เองหลังความพ่ายแพ้ที่ปาดอง เขาทำใจไม่ได้จึงกลับมาอยู่ในประเทศไทย เขาหันหลังให้ลาวไม่อยากยุ่ง  แลร์ จึงให้โทนี่ โพ ทำหน้าที่ฝึกม้งแทน  โพมากจากหน่วยรบพิเศษ  แต่เขาก็ยังต้องการคนมาช่วยอีก

บิล ยังก์ เหมาะสมที่สุด  เขาพูดภาษาพื้นเมืองได้ เข้าใจวัฒนธรรมชาวเขา  พวกอเมริกันมองบิล ยังก์ ว่าเป็นอเมริกันแต่ภายนอก  ภายในเขาเป็นลาหุ   แลร์ก็มองแบบนั้น ทำให้เขาไม่โกรธที่ยังก์ หนีไปจากปาดองยากคับขัน   มันเป็นปกติสำหรับวิถีคนภูเขาที่จะหนีเอาชีวิตรอดเมื่อคับขันแล้วหันมาหาทางสู้ใหม่ในภายหลัง  

แลร์ มอบหมายให้ยังก์ ออกเสาะหาทำเลที่ตั้งทัพใหม่  ยังก์ค้นพบสถานที่หนึ่งทาตะวันตกเฉียงใต้ของทุ่งไหหิน ภูมิประเทศเหมือมชามกะละมังยักษ์  ที่นั่นคือ  " ล่องแจ้ง  "
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:11:44


ความคิดเห็นที่ 8


ยังก์ เห็นว่าล่องแจ้งเหมาะแก่การใช้เป็นฐานที่มั่นแห่งใหม่ เป็นหุบเขาตั้งอยู่ห่างไกล มีแท่งหินปูนขนาดใหญ่สองลูก เหมือนหน้าอกหญิงสาว มีชาวเขาพวก ลาวเทิง ปลูกข้าวโพด อาศัยในกระท่อมโทรมๆ   แลร์เห็นดีด้วย ให้ยังก์ไปสำรวจเส้นทางถอยหากจำเป็น  ยังก์ ไปสำรวจจนถึงแขวงไชยบุรี   แลร์หวังว่า หากจำเป็นจะให้วังเปาใช้เป็นทางถอยหาข้าศึกรุกหนัก

แลร์ หวังให้ยังก์ใช้เครือข่ายของพ่อเขาเพื่อจัดตั้งกองกำลังชนกลุ่มน้อยขึ้น  ที่นั่น ยังก์ได้ทำการจัดตั้งกองกำลังขึ้นมา เป็นพวกฉานในพื้นที่ติดกับสามเหลี่ยมทองคำ  แลร์อยากให้ยังก์จัดตั้งกองกำลังเย้าขึ้นมา  แต่ยังก์  ไม่ได้ทำตามนั้น ในภายหลังแลร์เล่าว่าเสียดายที่ยังก์ ไม่ได้ใช้ความสามารถของเขาให้เกิดประโยชน์

ในอีกซีกโลกนึ่ง เจมส์ วินสตัน  ลอว์เรนซ์  บัณฑิตใหม่จากพรินส์ตัน ได้เข้าสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ด้วยสายสัมพันธ์ของพ่อเขาที่มีกับโอเอสเอส หน่วยในอดีตของซีไอเอสมัยสงครามโลกที่พ่อเขาสังกัดอยู่  เขาได้รับมอบหมายให้เดินทางมากรุงเทพฯ หลังจากผ่านการฝึกตามหลักสูตร

กรุงเทพฯเมืองหน้าด่านของภูมิภาคนี้ รุ่งเรือง มั่งคั่ง เป็นสถานที่ที่พวกมืออาชีพในลาวคุ้นดี  

เขาออกตระเวณไปทั่วกรุงเทพ ฯ  ไปตามคลับบาร์ เหมือนที่พวกอเมริกันที่เข้ามาเที่ยวชอบทำ  ให้สาวผมดำขลับนั่งตัก แค่นเสียงหัวเราะในความพยายามพูดภาษาไทยคำแรกของเขา  ให้พวกนั้นกระแซะ  ลอว์เลนซ์มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าหญิงพวกนี้เหมือนหญิงขายตัวตรงไหน พวกเธอมีความเป็นไทย สบายๆ  แต่การจะหาผู้หญิงที่มีพื้นฐานเดียวกับเขาเป็นเรื่องยากมากในประเทศนี้  ทางเลือกที่ดีคือ ต้องหาเมียเช่า  หรือไม่ก็ออกเที่ยว

ลอว์เลนซ์อยู่กรุงเทพ ฯระยะหนึ่งเพื่อเที่ยวชม  ล่องเจ้าพระยา  ไปดูพระนอนยาว200 ฟุต ข้ามไปวัดอรุณฯ  ชมตลาดสดที่มีกลิ่นคาว   จากนั้นเขาก็ออกจากกรุงเทพ ฯ ตรงไปเวียงจันทร์ เขาผิดหวังเล็กน้อย เพราะเวียงจันทร์ต่างจากกรุงเทพฯมาก มีแต่ฝุ่น ฝักบัวน้ำอุ่นหาได้ยากยิ่ง

เขาบังหน้าด้วยตำแหน่งทหารปืนใหญ่   ไม่มีใครรู้ว่าเขามาทำงานใน  " ตรอกม้ง " สถานที่ที่ซีไอเอเตรียมไว้สำหรับปฏิบัติการโมเมนตั้ม โดยเฉพาะ  เขาพบกับแลร์ช่วงสั้นๆ  การพบครั้งนี้ทำให้รู้ว่ายังไม่มีตำแหน่งอะไรให้ แลร์ไม่ได้เป็นคนเสนอให้ส่งลอว์เลนซ์มาทำงานที่นี่

ตอนเย็นเขาตามพวกอเมริกันกลุ่มหนึ่งไปทานอาหาร เขาพบแลร์ที่นั่น  แลร์มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้องติดตามไปด้วย  แลร์แนะนำให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเรียนรู้สภาพการณ์ต่างๆอย่างสุภาพให้เข้าใจความเป็นไปในลาว

ต่อมาลอว์เลนซ์ ได้หน้าที่ทดลองทำงานร่วมกับแพท แลนดรี้ ในการส่งกำลังบำรุงให้กับทีมฝึกม้ง ที่หัวหิน ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงเทพฯ  ลอว์เลนซ์ได้สัมพันธ์กับพวกคนเก่าๆ  และหน่วยพารูของไทย  เขาได้รับคำชี้แนะจากคนพวกนั้นว่า การพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยคนม้ง หรือคนไทย เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ และการออกคำสั่งโดยไม่ปดูแลติดตามย่อมทำให้งานไม่สำเร็จ...ความสนิทชิดเชื้อส่วนตัวทำให้งานเดินไปสู่ความสำเร็จสมใจ  อย่าปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามยถากรรม  

..คำแนะนำเหล่านั้นที่จริงมาจากแลร์นั่นเอง   แลร์ยังมีคำแนะนำแก่เด็กๆของเขาอีกว่า .." วิธีทำงานกับชาวตะวันออกมีวิธีคิดต่างออกไป..อย่าแสดงความโกรธให้พวกนั้นเห็น..หากคุณระงับอารมณ์ไม่ได้ พวกเขาจะไม่ให้ความนับถือคุณ และก็อย่าพูดจาข่มขู่นอกเสียจากคุณพร้อมที่จะทำตามคำขู่นั้น.."




                  สนามบินล่องแจ้ง ขึ้นลงฝุ่นตลบเลยทีเดียว

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:12:50


ความคิดเห็นที่ 9


ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ มามากมายขนาดนี้ก็ยังแพ้



โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:13:17


ความคิดเห็นที่ 10


8. อุดรและล่องแจ้ง

ปี 1962  อเมริกันถอนตัวจากลาว แต่ทิ้งไพ่เด็ดคือหน่วยพารูของไทยไว้ ประมาณ 100 คน พันเอกประนิตย์ คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้กับแลร์ และกองทัพบกไทย  แลร์ได้ติดยศร้อตำรวจโท แห่งกรมตำรวจไทย และได้รับการยอมรับจากฝ่ายไทยมาก

แลร์คงอเมริกันไว้อีกสองคนในล่องแจ้ง คือ โทนี่ โพ และ ลอว์เลนซ์  คนที่สามไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของแลร์ในลาวใต้

แลร์และแลนดรี้ ต้องถอยมาอยู่ฝั่งไทยตามข้อตกลงเจนีวา  ทีแรกจะเอาหนองคาย แต่มันปิดลับยาก  ต้องการอาคารมิดชิด จึงย้ายมาอยู่ที่อุดร แทน

อุดร มีสนามบินขนาดใหญ่ที่อเมริกันสร้างไว้ในทศวรรษที่ 50 หากเกิดสงครามนิวเคลียร์กับจีน(ช่วงสงครามเกาหลี)  หลังจากนั้นที่นี่ก็เงียบ  ซีไอเอ อาศัยอาคารหลังเล็กรูปทรงประหลาด รู้จักกันในชื่อรหัส เอบี 1 ติดเสาวิทยุสูงลิ่ว   แลร์ และแลนดรี้ ย้ายมาอยู่ที่นี่ แลร์ได้เลื่อนเป็นหัวหน้ากองบัญชาการอุดร  มีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวไปยัง ผอ.ซีไอเอ ในเวียงจันทร์  แลร์ยังรับผิดชอบการปฏิบัติการในลาว   เขาประสานงานกับประนิตย์ และหน่วยพารู เขาเดินทางมาหัวหินบ่อยๆ  ที่จริงเขาจะต้องรับผิดชอบการฝึกชาวชนบทของไทย  แต่เขาก็หมดเวลาไปกับโมเมนตั้ม  จนไม่เหลือไว้ทำอย่างอื่น
8. อุดรและล่องแจ้ง

ปี 1962  อเมริกันถอนตัวจากลาว แต่ทิ้งไพ่เด็ดคือหน่วยพารูของไทยไว้ ประมาณ 100 คน พันเอกประนิตย์ คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้กับแลร์ และกองทัพบกไทย  แลร์ได้ติดยศร้อตำรวจโท แห่งกรมตำรวจไทย และได้รับการยอมรับจากฝ่ายไทยมาก

แลร์คงอเมริกันไว้อีกสองคนในล่องแจ้ง คือ โทนี่ โพ และ ลอว์เลนซ์  คนที่สามไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของแลร์ในลาวใต้

แลร์และแลนดรี้ ต้องถอยมาอยู่ฝั่งไทยตามข้อตกลงเจนีวา  ทีแรกจะเอาหนองคาย แต่มันปิดลับยาก  ต้องการอาคารมิดชิด จึงย้ายมาอยู่ที่อุดร แทน

อุดร มีสนามบินขนาดใหญ่ที่อเมริกันสร้างไว้ในทศวรรษที่ 50 หากเกิดสงครามนิวเคลียร์กับจีน(ช่วงสงครามเกาหลี)  หลังจากนั้นที่นี่ก็เงียบ  ซีไอเอ อาศัยอาคารหลังเล็กรูปทรงประหลาด รู้จักกันในชื่อรหัส เอบี 1 ติดเสาวิทยุสูงลิ่ว   แลร์ และแลนดรี้ ย้ายมาอยู่ที่นี่ แลร์ได้เลื่อนเป็นหัวหน้ากองบัญชาการอุดร  มีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวไปยัง ผอ.ซีไอเอ ในเวียงจันทร์  แลร์ยังรับผิดชอบการปฏิบัติการในลาว   เขาประสานงานกับประนิตย์ และหน่วยพารู เขาเดินทางมาหัวหินบ่อยๆ  ที่จริงเขาจะต้องรับผิดชอบการฝึกชาวชนบทของไทย  แต่เขาก็หมดเวลาไปกับโมเมนตั้ม  จนไม่เหลือไว้ทำอย่างอื่น
แม้ปฏิบัติการโมเมนตั้มจะถูกลดทอนขนาดลง  แต่แลร์ก็พอใจ เมืองอุดร น่าอยู่ ไม่ต้องปกปิดสถานะ บ้านพักไม่ต้องมีรั้วหรือยาม  เขาไปเยี่ยมภรรยาและลูกที่กรุงเทพฯ เดือนละ 2 ครั้ง

วังเปาส่งสาวม้ง 2 คน มาให้แลร์ ทั้งสองแต่งกายเหมือนชาวพื้นราบ คนหนึ่งเป็นน้องสาวเสนาธิการของวังเปา
ตกกลางคืนเธอตรงเข้ามาหาแลร์ และถามว่า มีเมียกี่คน แลร์ตอบว่ามีคนเดียว
เธอว่าวังเปาเป็นคนใหญ่คนโต  เขามีเมียตั้งหลายคน

ถ้าคุณจะเป็นใหญ่เป็นโตในวันข้างหน้า คุณต้องมีเมียหลายๆคน

อือ  ..แลร์ตอบ

ถ้าคุณไม่มีเมียหลายๆคนจะไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต  ..เธอพยายามโน้มน้าวต่อ

แลร์เข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร  จึงบอกไปว่า ..เมียที่กรุงเทพฯไม่อยากร่วมเป็นหนึ่งในฮาเล็มของเขาแน่ๆ

เธอ ส่งสายตารออยู่ห้องตรงข้าม

เขาอยากเป็นใหญ่เป็นโตหรือเปล่า..คำถามนี้ผุดขึ้นหลายครั้งในใจแลร์

ลอร์เลนซ์ และ โทนี่ โพ อยู่ในกระท่อมปิดลับที่ล่องแจ้ง  เขาพยายามไม่ออกไปไหน  ไม่อยากให้คณะกรรมาธิการควบคุมนานาชาติเห็น  

ซีไอเอ ยังคงส่งเสบียงอาหาร เครื่องไม้เครื่องมือให้วังเปาทางอากาศโดยทิ้งร่ม   ช่วงเวลานี้ วังเปามีชะตากรรมร่วมกับพวกพลัดถิ่นคิวบา ที่ล้มเหลวที่อ่าวหมู  วังเปาบอกโพว่า  เขาให้ข้าวสารเรา แต่ไม่ให้อาวุธ ม้งถูกบีบให้ตั้งรับ ขณะที่ข้าศึกทวีความได้เปรียบ

ลอว์เลนซ์ บูล และพวกพารูของไทยเข้ากันได้ดี  ร้อยเอกนคร ในล่องแจ้งขึ้นตรงต่อพันเอกประนิตย์ ที่อุดร มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่วังเปา

ลอว์เลนซ์รู้จักวังเปาดีขึ้น เห็นทั้งด้านที่โหดเหี้ยมและอ่อนแอ  เคยเห็นวังเปาเอานักโทษใส่ถัง200 ลิตร แล้วเอาฝังดิน เขาไม่ลังเลที่จะสังหารข้าศึกหรือพวกเดียวกันเองที่ทำให้เขาขุ่นเคือง และร้องไห้เมื่อฝ่ายเขาเสียทีแก่ข้าศึก

วังเปาสร้างหลักประกันให้ตนเองด้วยการตุนฝิ่นดิบหลายตันมาเก็บไว้ใต้พื้นบ้านพักในล่องแจ้ง เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องปกปิดเรื่องนี้

ลอร์เลนซ์เข้าใจสภาพของวังเปา แต่เขาต้องชี้จุดยืนของซีไอเอให้วังเปารู้ ว่าถ้าเขาถูกจับเรื่องยาเสพติด ซีไอเอ ต้องยุติปฏิบัติการช่วยเหลือเขาทันที แต่เขาก็ไม่อยู่ในสถานะชี้นำให้วังเปาทำลายฝิ่นทิ้ง

วังเปากับลอว์เลนซ์ ชอบพูดคุยกันถึงโลกภายนอก วังเปามองทุกอย่างขาวกับดำ เขาไม่ยอมฟังที่ลอว์เลนซ์พยายามชี้แจงว่า ทุกอย่างไม่ขาวหรือดำทั้งหมด  แต่วังเปาชอบแบ่งโลกออกเป็นขาวดำชัดเจน

วังเปาคิดว่าลอว์เลนซ์เป็นเจ้าขายของอเมริกา  " คุณเป็นราชบุตร ใช่ไม๊ " เขาคิดเช่นนี้เพราะลอว์เลนซ์ไม่หลับนอนกับหญิงชาวบ้าน คอไม่แข็งแบบโทนี่ พู  ..ทั้งเอ็ดการ์ บูล และลูกน้อง ก็เป็นอย่างลอว์เลนซ์  เขาไม่อยากมีเรื่องยุ่งจนเป็นอุปสรรคกับภารกิจ

โทนี่ โพ  ไม่เคยมาร่วมสนทนารอบดึก  เขาไม่ชอบเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมของพวกชาวเขา หน้าที่ของเขาคือ เป็นครูฝึก ส่งเสียงดัง สวมหมวกนาวิกติดหัวตลอด ทั้งวันเขาจะตรวจความเรียบร้อยของฐาน

โพ ชอบเล่าเรื่องสัปดน  

โพ เคยร่วมกับแพท แลนดรี้ ก่อการรัฐประหารในปี 1958 เกือบทุกภากิจที่เขาทำคือการสนับสนุนพวกกบฏต่างๆต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่มีจีนแผ่นดินใหญ่หนุนหลัง หนึ่งในนั้นคือการช่วยเหลือชาวมุสลิมทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน  โพ บอกว่า พวกนี้ฝึกง่ายกว่าม้ง  เขารู้ว่าโครงการดังกล่าวไม่มีทางสำเร็จ เพราะคนพวกนี้เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่มีทางเอาชนะจีนได้ เขาจึงถอนตัวเพื่อความปลอดภัยของชาวมุสลิมเอง

ภารกิจที่ยากที่สุดของโพ คือการหนุนพวกคัมบาในทิเบต ในค่ายฝึกในอินเดียตอนเหนือ เขาใช้เวลานาน 4 ปี

"เรื่องนี้..ห้ามพูด  โนคอมเมนท์.." บูลพูดพลางขยิบตาให้โพแย้มต่อถึงเรื่องราวที่เขาและพวกคัมบาในดินแดนหลังคาโลก.." โน ฟักกิ้ง คอมเม้นท์.."  แต่ให้ตายสิวะ พวกคัมบามันเยี่ยมจริงๆ  ..พวกนี้สกปรกมอมแมมไปหน่อย " แม่งหันตูดออกนอกหน้าต่างรถแล้วขี้...ทำกันอย่างนี้ทุกคนเลยแม้แต่สาวๆ..คุณเห็นอย่างนี้ก็หมดอารมณ์เสียแล้ว..กลิ่นตัวสุดจะทนทาน  ถ้าคุณมีเมีย  พี่ชายน้องชายคุณเป็นสิบๆ พวกมันจะมานอนกับเมียคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับเซ็กส์อะไรหรอก แต่มันเป็นข้อตกลงภายในครอบครัว  "

โพเล่าว่า เรื่องการรบพวกคัมบาอันดับหนึ่ง  จีนมุสลิมอันดับสอง ม้งอันดับสุดท้ายในเรื่องความเป็นนักรบ

สมองพวกม้งมึนชาต่อความรับรู้ เทคนิคเพียงพื้นๆอย่างการปรับศูนย์ยิง  ข้อแตกต่างระหว่างการยิง100 เมตร กับ 600 เมตร คุณไม่มีวันอธิบายให้คนพวกนี้เข้าใจได้ อาจเป็นเพราะเขาใช้ปืนแก๊ปที่ยิงไกลแค่ 30 เมตร ฉันลงทุนวาดวิถีกระสุนให้ดูก็ยังไม่รู้เรื่อง วิธีปรับปืนค.ยิ่งไม่ต้องสอนเลย เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา

โพ เป็นคนประเภทขวานผ่าซาก  เขาสะใจถ้าได้เฉือนคำพูดแสบๆใส่คนอื่น

เขาใช้เหล้า และเรื่องโจ๊กสัปดนเป็นเครื่องคลายเครียดในสถานการณ์ที่เป็นอยู่
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:15:15


ความคิดเห็นที่ 11


9.ข้าวเหล็ก

แฮริแมน  ผู้แทนฝ่ายอเมริกัน แคนาดี้เรียกเขาว่า "ครอกโคไดน์"(ไอ้เข้) เพราะเขามีเล่ห์เหลี่ยมในการเจรจามาก

วิลเลี่ยม โคลบี้ ตัวแทนของซัไอเอ ขอเข้าพบแฮริแมน เรื่องที่เวียดนามเหนือบุกโจมตีม้ง ละเมิดข้อตกลงเจนีวา

โคลบี้ หน้านกฮูก พูกกับแฮริแมนว่า หากไม่ส่งอาวุธให้ม้ง เวียดนามเหนือจะครอบครองลาว นั่นหมายถึงข้อตกลงเจนีวาไร้ความหมาย  แฮริแมน เอามืออุดหู   โคลบี้ โกรธมาก ตะโกนใส่หูแฮริแมนเหมือนคนบ้า

ในที่สุด เขาก็ยอมตามโคลบี้

ซุลลิแวน  ผู้ช่วยแฮริแมนกำลังอยู่ในวอชิงตัน
ขณะนั้นเพนตากันกำลังจำลองสงครามหลังจากที่อเมริกันถอนจากลาวตามข้อตกลงเจนีวา มาตั้งหลักในเวียดนามใต้

เพนตากอน ออกแบบจำลองสงครามระยะ 10 ปี ต่อไปข้างหน้า  ให้มีการแข่งขันกันสองฝ่าย  ใช้เวลาเล่น 1 สัปดาห์ ทีมสีฟ้าแทนพันธมิตรอเมริกันและเวียดนามใต้ สีแดงแทน โซเวียต จีน และเวียดนาม

ซุลลิแวน เล่นทีมสีฟ้า..ให้นายพล แม็กเวล เทเลอร์ เป็นฝ่ายแดง

บทสรุปสมมุติในปี 1972 ออกมาว่าสีแดงแต้มเต็มบริเวณอินโดจีน  เวียดนาม กัมพูชา

เกมส์ โอเมก้า ออกมาแบบนี้ จึงต้องมีการลองเป็นครั้งที่สองในปี 1963 ดีนรัสต์  และโรเบิร์ต แม็กนามารา รัฐมนตรีกลาโหม เข้าร่วม  นายพลลีแมน กล่าวว่า มีการประเมินการโจมตีทางอากาศต่ำเกินไป จึงต้องประเมินใหม่ เปลี่ยนกติกาใหม่  คราวนี้ ใหซุลลิแวน เป็นฝ่ายจีน   ผลปรากฏว่า  ฝ่ายอเมริกันและพันธมิตร พ่ายแพ้เหมือนเดิม

แต่ทั้งดีนรัสต์ และ แม็กนามารา จำต้องเพิกเฉยต่อผลของแบบจำลองสงคราม เพราะโซเวียต  จีน  ต่างมุ่งเข้าสู่เวียดนามโดยหนุนฝ่ายเวียดนามเหนือเต็มที่    จีนยังได้สนับสนุนคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย  ในที่สุด รัสต์ และแคนาดี้ ตัดสินใจปักหลักสู้ในเวียดนามใต้

ภายในจิตใจของวอชิงตัน  ลาวเป็นแค่ " ติ่งหูดของหมูสกปรกตัวหนึ่ง "  ไม่มีใครใส่ใจเรื่องลาว  ทุกคนทึกทักเอาเองว่า ข้อตกลงเจนีวา จะแก้ปัญหาในลาวได้  ความคิดส่งเสริมพวกชาวเขากลายเป็นความคิดล้าสมัย  

แต่อย่างไรก็ตาม นานวัน อเมริกันยิ่งมองเห็นว่า ยังไงเสียเวียดนามก็ต้องละเมิดข้อตกลงเจนีวา

ข้าวเหล็กเริ่มถูกลำเลียงมายังฝ่ายม้ง  เพราะมีเหตุการณ์ที่ฝ่ายปะเทดลาว เคลื่อนกำลังเข้าโจมตีลาวฝ่ายเป็นกลางของกองแล  ซึ่งขณะนั้น ในลาวฝ่ายเป็นกลาง เริ่มมีพวกเอนเอียงไปเข้ากับฝ่ายซ้าย   ฝ่ายปะเทดลาวเคลื่อนกำลังเข้ามาตั้งมั่นทางตะวันตกของทุ่งไหหิน ปิดกั้นเส้นทางสู่เวียงจันทร์  วังเปาตัดสินใจส่งกำลังเข้าผลักดัน

วังเปากับลอว์เลนซ์ วางแผนการรบร่วม มิให้วังเปาทำผิดพลาด  กองทัพเรืออเมริกัน ส่งจรวดเหลือใช้มาให้  อาวุธหนัก รวมทั้งปืนใหญ่โฮวิตเซอร์ ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านอากาศสู่เป้าหมาย  วังเปาอำนวยการยิงด้วยตนเอง ลอว์เลนซ์ บอกว่า " เขาทำอย่างกับตัวเองเป็นนายทหารปืนใหญ่ "  กระสุนเกือบทั้งหมดพลาดเป้า  แต่ก็ทำให้ฝ่ายปะเทดลาวล่าถอย  พวกม้งขวัญกำลังใจมีมากขึ้น ลาวฝ่ายเป็นกลางที่แตกเป็นสองฝ่าย  อีกฝ่ายเข้ากับฝ่ายปะเทดลาว  แต่กองแล กับอีกฝ่าย ก็หันมาเข้าฝ่ายวังเปา  ดุลยภาพของกำลังเปลี่ยนแปลงไป

เหตุการณ์สำคัญอีกอย่างที่เกิดขึ้น คือ แฮริแมน ได้เป็น รมต.ช่วยต่างประเทศ  จึงไม่มีเวลาให้ลาว  ตั้งให้ ฮิลส์แมน ผู้ซึ่งเคยนำกองกองโจรในพม่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ดูแลเรื่องลาวแทน

ฮิลส์แมน คิดว่าตัวเองคือผู้เชี่ยวชาญสงครามกองโจร  เมื่อโคลบี้  ตัวแทนซีไอเอ เดินทางไปพบ จึงไม่ต้องตะโกนกรอกหูฮิลส์แมน เหมือนที่เคยทำกับแฮริแมนอีกแล้ว   อเมริกัน หันไปส่งอาวุธให้ม้งใหม่อีกครั้ง

เครื่องบินนานาชนิด ขนอาวุธ กระสุนไปยังล่องแจ้ง  วังเปามีกำลังใจมาก ถึงขนาดบางครั้งออกทำการรบด้วนตนเอง เขายังคงเดินป่าอย่างชำนาญ

ปี 1963 แลร์ ขอให้วังเปา ขัดขวางขบวนลำเลียงของเวียดนามเหนือ บนเส้นทางโฮชิมินท์ (ทางหลวงหมายเลข 7 ) บริเวณตะเข็บชายแดนเวียดนามเหนือ  ภารกิจนี้ซับซ้อนกว่าการโจมตีทหารปะเทดลาว แลร์จึงต้องไปวางแผนด้วยตนเอง พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดของซีไอเอประจำอุดรคอยช่วยอีกแรง

ระเบิดแบบเครเทอร์ ชาร์จ เพื่อทำลายพื้นผิวถนน   หน่วยพารูของไทย ทำหน้าที่สาธิต โดยขุดหลุมแล้วสอดชนวนเข้าไป ใช้ดินกลบปากหลุมแล้วกดระเบิด  ลอว์เลนซ์หลบดูอยู่ที่มุมห้อง โทนี่ โพ เหน็บขวดเหล้า ดูอย่างพอใจ  เขาไม่ต้องทำอะไร หน่วยพารูของไทยจัดการได้เยี่ยมอยู่แล้ว

 เป้าหมาย 2 แห่ง ถูกกำหนดขึ้น ทางตะวันออกของบ้านบาน และหนองแฮด.. พวกพารู รับหน้าที่ชุดวางระเบิดทำลาย กับทหารม้ง หัวกะทิ รวมเป็น12 ทีม โพ ประสานเครื่องบินทิ้งร่มวัตถุระเบิดให้  พวกเขานำระเบิด เครเทอร์ ชาร์จ  และ ซีโฟร์ 2 ชุด วางลงเคียงกันก้นหลุม พร้อมตั้งเวลาจุดระเบิด  ทหารม้งคอยคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ  แล้วกลางดึกของคืนเดือนสิงหา 1963  เสียงระเบิดก็ดังกัมปนาท ระเบิดได้ทำลายผาขนาดย่อมตัดถนนขาดจากกัน เครื่องบินตรวจการณ์เห็นทหารปะเทดลาวยืนดูถนนที่แหว่งไปอย่างงุนงง

บูล ได้รับเชิญเข้าร่วมฉลองความสำเร็จ  เขาคุยโม้ว่า เขาเคยเป็นผู้ชำนาญอาวุธมาก่อน  เขาภูมิใจกับหน่วยพารูของไทยมากที่ทำสำเร็จ และเขาคุยให้ใครต่อใครฟังว่ามีส่วนร่วม ( แต่ความจริง มีคนบอกว่า บูล ไม่เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2  เขาแค่เฝ้าโกดังส่งกำลังบำรุงในแนวหลังที่แคนซัส)

รุ่งขึ้นโพ เดินอาดๆเข้ามาในกระท่อมของบูลที่ซำทอง ถือระเบิดเครเทอร์ ชาร์จ เข้ามาในกระท่อม ด้วยอาการมึนเมา พร้อมกับบอกว่า มันจะระเบิดแล้ว  .. โพ บอกบูลว่า เอามันไปด้วยสิ ผมจะไปเข้าประชุม.ไม่รู้จะเอาไว้ทำไม ..
บูลเหงื่อตก  ร้องบอกว่า คุณไม่รู้แล้วผมจะรู้ได้ไง..
" อ้าว..ไหนว่าคุณเป็นคนระเบิดถนนเอง.."
" อ๋อ  ก็เด็กผมมันทำ  พวกพารูชาวไทยนั่นไง "

" พอพ บูล..(โพ ระเบิดเสียงใส่ )  ไอ้ห่าเอ๊ย..ไม่มีคนไทยในลาวเข้าใจไม๊ ทำไมชอบลืมเรื่อย...เราต้องปกปิดที่มาคนพวกนี้.."


โพ  ลอว์เลนซ์ และวังเปา  ไม่มีทางรู้เลยว่า เกมส์โอเมก้า จบลงอย่างไร  เขารู้เพียงแต่ว่า ภารกิจในลาวและสงครามย่อยๆของเขา ดุเดือดเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:15:49


ความคิดเห็นที่ 12


   

ทั้งซีไอเอและหน่วย "พารู" นายครูไทย  กำลังลำเลียงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการโจมตีของกองกำลังปะเทดลาวและเวียดนามเหนือที่บ้านป่าดง เป็นการลำเลียงจากสนามบินล่องแจ้งมายังสนามบินอุดร
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:16:15


ความคิดเห็นที่ 13


ข้าวเหล็ก ที่ส่งมาให้ม้งวังเปา ด้วยอภินันทนาการจากซีไอเอ



Air America choppers fly "hard" rice and supplies to a forward base in Laos. (UPI Bettmann)
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:16:39


ความคิดเห็นที่ 14


10. ระบบราชการ

หมอเวลดอน กับภรรยา ต้องการหาสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต เขาสมัครงานที่ยูเซด  และใช้เส้นสายเพื่อจะได้เดินทางไปทำงานที่ไหนสักแห่งที่ไม่จำเจเหมือนที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ยูเซด คนหนึ่งได้ทาบทามเขาให้ไปที่ลาว

เขารีบกลับมาดูแผนที่ว่าลาวมันอยู่ตรงไหนของโลก เขาหาข้อมูลได้ไม่มาก เพราะลาว ไม่เคยมีสัมพันธ์กับอเมริกันมาก่อนในอดีต  รวมทั้ง กัมพูชาและเวียดนามด้วย

เขามาถึงเวียงจันทร์ พบการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ที่เย็นชา  และผอ.ยูเซดบอกว่ายังไม่มีตำแหน่งว่าง    ความตั้งใจของเวลดอน ต้องการมาวางระบบสาธารณสุขในลาว จึงไม่คืบ

ช่วง 2 -3 วันแห่งความเย็นชาของระบบราชการ นั้น ก็มีชายผมหงอก  เอ็ดการ์ บูล เดินเข้ามาที่ห้องทำงานของหมอเวลดอน มาติดต่อรับเวชภัณฑ์  เวลดอนสงสัยว่าเขาคือใครเพราะไม่มีในรายชื่อที่ต้องจ่ายเวชภัณฑ์ให้  แต่บูลก็ไม่ยอมเปิดเผยงานของเขา  เวลดอนพยายามถามงานของบูล บูลเพียงแต่บอกว่า ให้รีบบินไปหาเขาที่ซำทองด่วนที่สุด

สองสามวันต่อมา เวลดอน ก็ขึ้นเครื่องเฮลิโอ มุ่งหน้าขึ้นเหนือ เขาเห็นเทือกภูใบ แทงยอดเสียดฟ้าน่าเกรงขาม  ก่อนที่เครื่องจะปักหัวลงสนามบินที่ทำด้วยดินอัด มีกระท่อมไม้ไผ่ปลูกอยู่เรียงราย

บูล รอรับเขาอยู่ และทันทีที่พบกัน บูลก็พาเขาไปที่ห้องทำงาน ต่อมาก็พาเขาเดินเท้าไปพบนายทหารคนหนึ่ง ชื่อว่าวัง อะไรสักอย่าง หน้ากลมเหมือนดวงจันทร์  รวมทั้งได้พบอเมริกันสองสามคนที่นั่น
หลังจากนั้นเขาก็ต้องกลับเวียงจันทร์

ที่เวียงจันทร์ หมอเวลดอน ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน  ตอนนั้นเองบูลก็มาหาเขาและชวนเขาไปซำเหนือ  เขาเบื่อหน่ายงานที่เวียงจันทร์เต็มที จึงออกเดินทางไปกับบูล

เขาไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อว่าห้วยหนอง วางตัวอยู่ตามสันเขาชันเหมือนสันมีด  จากที่นั่น มองเห็น " ภูผาที " ยืนตระหง่าน  เลยไปทางตะวันออก มีหุบเขาเป็นที่ตั้งของเมืองซำเหนือ  ที่ซึ่งต่อมาไม่นาน กองบัญชาการใหญ่ของฝ่ายปะเทดลาว  เลยจากนั้นไป 120 ไมล์ ก็คือ ฮานอย เมืองหลวงของเวียดนามเหนือ  เขาประหลาดใจมาก  ที่เขายืนอยู่ใกล้กับฮานอยมากว่าเวียงจันทร์เสียอีก

โรงพยาบาลแห่งใหม่ มี 14 เตียงสะอาดสะอ้าน ทหารหน่วยพารูคนหนึ่งชื่อแซม เป็นผู้ควบคุมคนม้งให้สร้างโรงพยาบาลไม้ไผ่มุงหญ้า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักแดงเดียง

วังเปา บูล เวลดอน และแขกผู้มีเกียรติ ทำพิธีเปิดโรงพยาบาล  แซมเล่าให้เวลดอนฟังว่าอหิวาตกโรคกำลังระบาด

เวลดอนบินไปล่องแจ้ง ไปฉีดวัคซีนให้กับวังเปาและคนของเขา จากนั้นก็กลับไปที่ห้อยหนอง  เขาบุกป่าฝ่าดงไปหลายหมู่บ้าน ผ่านป่าดงดิบทึบที่แสงแดดไม่เคยส่องพื้นดินมาชั่วนาตาปี  มีนายทหารลาวลุ่ม ชื่อพันตรีทอง เป็นคนคุ้มกัน  เขาประทับใจในตัวทองมาก  มีทั้งความรับผิดชอบและระเบียบวินัย ผิดกับคำพูดของอเมริกันที่บอกเขาว่า พวกลาวลุ่มไม่เอาไหน

แต่เวลดอนมีปัญหาในเวียงจันทร์ เจ้านายของเขา คือ ชาร์ส แมน ไม่ยอมของงบประมาณจ้างเขา  

เวลดอน ไปปรึกษากับบูล   บูลเอ็ดตะโรลั่น  ด่าระบบราชการ รวมทั้งด่าเวลดอนด้วยว่า คิดแต่เรื่องตัวเอง ทำให้เวลดอนงงเป็นไก่ตาแตก   แต่บูลก็บอกเวลดอนว่า เอาล่ะ ตอนนี้คุณอยู่เฉยๆไว้ก่อน
   
ไม่นานนัก บูลก็ใช้เส้นสายซีไอเอ เข้ามาจัดการ   เวลดอน ได้จัดตั้งหน่วยแพทย์ชนบท สอดคล้องกับงานพัฒนาของยูเซด

ผอ.ซีไอเอ เรียกเขาไปพบ แล้วเอาถุงใบหนึ่งให้เขา  ภายในมีเงินกีบบรรจุอยู่ปึกใหญ่  และบอกเขาว่า เอาไปซื้อยา ซื้อเข็มฉีดยา ผ้าพันแผล อะไรก็ได้ ไม่ต้องมีใบเสร็จ ไม่ต้องรายงานผม

ต่อมาภรรยาเขายังได้ข่าวดีเรื่องงาน  เขารีบโทรไปหาบูล  ..คนของบูลบอกว่า บูลเข้ากำลังพบกับท่านทูต

เขารู้ทันที ระบบราชการ นี่แหละคือตัวถ่วง  แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในระบบราชการทำให้เรื่องต่างๆเดินไปได้  ..และขณะนี้ เวลดอนก็ถูกชักชวนให้เข้ากลุ่มกับพวกอริกับราชการ ที่ยากจะเอาชนะเหมือนพวกปะเทดลาว และเวียดนามเหนือ
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:17:17


ความคิดเห็นที่ 15


11.  สร้างชาติ

 ปี 1963 ปลายปี  มีรายงานว่าเวียดนามเหนือซ่อมทางหลวงหมายเลข 7 ที่ถูกพารูระเบิดเสร็จแล้ว มีขบวนรถบรรทุกเข้ามา  ลอว์เลนซ์ต้องออกไปเคลื่อนไหวจัดตั้งทีมสำรวจ

ขณะอยู่ในภวังก์หลับเพราะเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ  พารูนายหนึ่งก็ปลุกเขาและส่งวิทยุคลื่อนสั้นให้ฟังวอยซ์ ออฟ อเมริกา ภาคภาษาอังกฤษ  กำลังรายงานข่าวดัลลัส  " การลอบสังหารประธานาธิบดี แคนาดี้ "

ในชั่วโมงต่อมาที่ล่องแจ้ง  โพ ผลุนผลันเข้ามาในกระท่อมของ บิล แลร์ หิ้ววิทยุติดมือมาด้วย พร้อมกับพูดว่า" ฮื่ม ในที่สุด ไอ้ระยำนั่นก็โดนจนได้ "

ก่อนหน้านี้โงดินเดียม ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ถูกลอบสังหาร  แลร์ไม่คิดว่า โพ มาหาเขาเรื่องนี้  
แลร์ ถาม โพ ว่า " ใครถูกเก็บ..โทนี่ "
" ปธน.อเมริกา โว้ย "  โพ พูดอย่างสะใจ

แบร์อึ้งไปชั่วครู่   แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้  ทำไมโพ ถึงสะใจกับข่าวนี้   แต่ในที่สุดก็ได้รับรู้ว่า เพื่อนของโพ หลายคนถูกสังหารที่ เบย์ ออฟพิกส์ ในคิวบา เพราะแคนาดี้ สั่งระงับความช่วยเหลือ  โพ จึงเกลียดแคนาดี้  ในทรรศนะของเขา มองว่า คนที่ทิ้งทหารของตนไว้ตามยถากรรม เป็นอาชญากรรมสำหรับพวกนาวิกโยธิน

ไม่มีใครรู้ว่าลินดอน บี จอห์นสัน คิดอย่างไรกับประเทศเล็กๆอย่างลาว

แต่พวกเขาก็มีงานล้นมือ จนไม่มีเวลาสนใจกับเรื่องที่ตนเองควบคุมไม่ได้

ลอว์เลนซ์กับวังเปาสนิทสนมกันมากขึ้น  วังเปาบอกลอว์เลนซ์ ว่าเขานับถือแลร์ เหมือนพี่ชาย  แต่กับโพ  เขามองอย่างมิตรร่วมรบ ดูเขาไม่ชอบนิสัยของโพ ที่ชอบเมาขาดสติ

ลอว์เลนซ์ก็ระวังตัวเมื่อต้องยุ่งเกี่ยวกับโพ  เพราะเขาที่เป็นคนโหดร้าย  ชอบสะสมใบหูข้าศึก  ชอบทำระเบิดแสวงเครื่องเล่น " ก็พวกมันตายแล้ว  พวกนาวิก เขาชอบทำกันอย่างนี้ ไม่เห็นแปลก "

ขณะที่การปฏิบัติการกำลังขยายตัว  หน่วยพารูมีบทบาทมาก พวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นได้ โพพบว่า เขาทำงานสู้พวกนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาบทบาทที่เหมาะกับตัวเอง  เขาออกไปใกล้จุดปะทะมากขึ้น  กองบัญชาการที่อุดร  และเวียงจันทร์ ตำหนิโพ  โพชอบเมาแอ๋ ทำตัวน่ารังเกียจ

ลอว์เลนซ์เองก็มีปัญหา ที่ต้องดื่มเหล้าใส่สีกับวังเปาบ่อยๆ  เขาเกรงใจวังเปาจึงต้องดื่ม  ทำให้เขาแพ้เหล้า หน้าบวมเหมือนนักมวยยก 15

คืนหนึ่งขณะเขาแพ้เหล้าอย่างแรง  ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในค่ายวุ่วายไปหมด  เขาโผไปที่หน้ากระท่อม เห็นทหารม้งกำลังยิงปืนขึ้นฟ้า ใส่ดวงจันทร์เหมือนที่แลร์ เคยเล่า

ลอว์เลนซ์ผู้เป็นทั้งสายลับและนักมานุษยวิทยา รู้ดีในเรื่องความเชื่อและศรัทธาของคนท้องถิ่น  พวกม้งมีผีอยู่รอบกาย  ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า

วันหนึ่งมาคนตาย  เขาเห็นหญิงม้งร้องไห้ฟูมฟาย ปิ่มว่าจะขาดใจ พวกผู้หญิงไม่ยอมห่างใบหน้าศพ คอยลูบไล้อย่างทนุถนอม   จนเมื่อเหนื่อย มีคนอื่นมาร้องฟูมฟายแทน หญิงคนแรกก็จะถอยออกมา เธอกลับมีอาการปรกติเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

วันที่ 6 ของพิธีศพ มีการนำหีบศพขึ้นแบกวนรบเสา พอถึงรอบที่ 8 ก็วนกลับ เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายมากลับบ้านถูก มาหลอกหลอนญาติผู้ตาย

ลอว์เลนซ์ทบทวนสิ่งที่ได้เห็น  เขาสรุปได้ว่า พวกม้งไม่มีวันเป็นกองกำลังที่สมบูรณ์แบบได้  พวกเขาผูกพันกับสถานที่ บวกกับพื้นฐานขาดการศึกษา และความเป็นตัวของตัวเองสูง ได้จำกัดภารกิจชาวม้ง ให้เหลือแค่การโจมตีก่อกวนข้าศึก  ..สมมุติว่าหน่วยสังเกตุการณ์ที่ซำเหนือพบรถบบรทุกเคลื่อนจากชายแดนเวียดนามห่างจากที่มั่นสัก 100 ไมล์  " ทหารม้งจะไม่มีวันออกโจมตีตอบโต้  พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่  หากเราให้เขาไปทำการลุกขึ้นสู้เพื่อแผ่นดินเกิดย่อมทำได้ ตามข้อตกลงว่าจะให้ปืนสมัยสงครามโลกแก่เขา    แต่ให้เขาห่างไกลบ้านเกิดละก็  เขาจะพากันมาหาวังเปา และบอกว่า " นี่มันไม่อยู่ในข้อตกลงนี่  คุณไม่ได้บอกว่าให้เราไปสู้กับไอ้พวกนี้"

สิ่งเหล่านี้ล้วนท้าทายการสร้างชาติม้ง

โครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของชาติลาว กำลังดำเนินไปพร้อมกับที่ไทย และฟิลิปินส์  แต่ที่ลาว เหมือนหม้ออารยธรรมหลายเผ่าพันธุ์

แลร์ ประสบผลสำเร็จที่ชักนำให้กษัตริย์ลาวเสด็จมาที่ล่องแจ้ง  วังเปาจัดขบวนต้อนรับ แสดงความภักดี  มันมีความสำคัญต่อวังเปามาก เหมือนเครื่องประกันว่าเขาและคนของเขาได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมลาว  พวกนายพลลาวลุ่มที่จ้องเล่นงานเขาต่างพากันถอยห่างออกไป

แลร์แอบฝันไปว่า บางที เส้นทางถอยของม้งวังเปาไปแขวงไชยบุรีอาจไม่จำเป็นก็ได้
11.  สร้างชาติ

 ปี 1963 ปลายปี  มีรายงานว่าเวียดนามเหนือซ่อมทางหลวงหมายเลข 7 ที่ถูกพารูระเบิดเสร็จแล้ว มีขบวนรถบรรทุกเข้ามา  ลอว์เลนซ์ต้องออกไปเคลื่อนไหวจัดตั้งทีมสำรวจ

ขณะอยู่ในภวังก์หลับเพราะเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ  พารูนายหนึ่งก็ปลุกเขาและส่งวิทยุคลื่อนสั้นให้ฟังวอยซ์ ออฟ อเมริกา ภาคภาษาอังกฤษ  กำลังรายงานข่าวดัลลัส  " การลอบสังหารประธานาธิบดี แคนาดี้ "

ในชั่วโมงต่อมาที่ล่องแจ้ง  โพ ผลุนผลันเข้ามาในกระท่อมของ บิล แลร์ หิ้ววิทยุติดมือมาด้วย พร้อมกับพูดว่า" ฮื่ม ในที่สุด ไอ้ระยำนั่นก็โดนจนได้ "

ก่อนหน้านี้โงดินเดียม ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ถูกลอบสังหาร  แลร์ไม่คิดว่า โพ มาหาเขาเรื่องนี้  
แลร์ ถาม โพ ว่า " ใครถูกเก็บ..โทนี่ "
" ปธน.อเมริกา โว้ย "  โพ พูดอย่างสะใจ

แบร์อึ้งไปชั่วครู่   แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้  ทำไมโพ ถึงสะใจกับข่าวนี้   แต่ในที่สุดก็ได้รับรู้ว่า เพื่อนของโพ หลายคนถูกสังหารที่ เบย์ ออฟพิกส์ ในคิวบา เพราะแคนาดี้ สั่งระงับความช่วยเหลือ  โพ จึงเกลียดแคนาดี้  ในทรรศนะของเขา มองว่า คนที่ทิ้งทหารของตนไว้ตามยถากรรม เป็นอาชญากรรมสำหรับพวกนาวิกโยธิน

ไม่มีใครรู้ว่าลินดอน บี จอห์นสัน คิดอย่างไรกับประเทศเล็กๆอย่างลาว

แต่พวกเขาก็มีงานล้นมือ จนไม่มีเวลาสนใจกับเรื่องที่ตนเองควบคุมไม่ได้

ลอว์เลนซ์กับวังเปาสนิทสนมกันมากขึ้น  วังเปาบอกลอว์เลนซ์ ว่าเขานับถือแลร์ เหมือนพี่ชาย  แต่กับโพ  เขามองอย่างมิตรร่วมรบ ดูเขาไม่ชอบนิสัยของโพ ที่ชอบเมาขาดสติ

ลอว์เลนซ์ก็ระวังตัวเมื่อต้องยุ่งเกี่ยวกับโพ  เพราะเขาที่เป็นคนโหดร้าย  ชอบสะสมใบหูข้าศึก  ชอบทำระเบิดแสวงเครื่องเล่น " ก็พวกมันตายแล้ว  พวกนาวิก เขาชอบทำกันอย่างนี้ ไม่เห็นแปลก "

ขณะที่การปฏิบัติการกำลังขยายตัว  หน่วยพารูมีบทบาทมาก พวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นได้ โพพบว่า เขาทำงานสู้พวกนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาบทบาทที่เหมาะกับตัวเอง  เขาออกไปใกล้จุดปะทะมากขึ้น  กองบัญชาการที่อุดร  และเวียงจันทร์ ตำหนิโพ  โพชอบเมาแอ๋ ทำตัวน่ารังเกียจ

ลอว์เลนซ์เองก็มีปัญหา ที่ต้องดื่มเหล้าใส่สีกับวังเปาบ่อยๆ  เขาเกรงใจวังเปาจึงต้องดื่ม  ทำให้เขาแพ้เหล้า หน้าบวมเหมือนนักมวยยก 15

คืนหนึ่งขณะเขาแพ้เหล้าอย่างแรง  ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในค่ายวุ่วายไปหมด  เขาโผไปที่หน้ากระท่อม เห็นทหารม้งกำลังยิงปืนขึ้นฟ้า ใส่ดวงจันทร์เหมือนที่แลร์ เคยเล่า

ลอว์เลนซ์ผู้เป็นทั้งสายลับและนักมานุษยวิทยา รู้ดีในเรื่องความเชื่อและศรัทธาของคนท้องถิ่น  พวกม้งมีผีอยู่รอบกาย  ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า

วันหนึ่งมาคนตาย  เขาเห็นหญิงม้งร้องไห้ฟูมฟาย ปิ่มว่าจะขาดใจ พวกผู้หญิงไม่ยอมห่างใบหน้าศพ คอยลูบไล้อย่างทนุถนอม   จนเมื่อเหนื่อย มีคนอื่นมาร้องฟูมฟายแทน หญิงคนแรกก็จะถอยออกมา เธอกลับมีอาการปรกติเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

วันที่ 6 ของพิธีศพ มีการนำหีบศพขึ้นแบกวนรบเสา พอถึงรอบที่ 8 ก็วนกลับ เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายมากลับบ้านถูก มาหลอกหลอนญาติผู้ตาย

ลอว์เลนซ์ทบทวนสิ่งที่ได้เห็น  เขาสรุปได้ว่า พวกม้งไม่มีวันเป็นกองกำลังที่สมบูรณ์แบบได้  พวกเขาผูกพันกับสถานที่ บวกกับพื้นฐานขาดการศึกษา และความเป็นตัวของตัวเองสูง ได้จำกัดภารกิจชาวม้ง ให้เหลือแค่การโจมตีก่อกวนข้าศึก  ..สมมุติว่าหน่วยสังเกตุการณ์ที่ซำเหนือพบรถบบรทุกเคลื่อนจากชายแดนเวียดนามห่างจากที่มั่นสัก 100 ไมล์  " ทหารม้งจะไม่มีวันออกโจมตีตอบโต้  พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่  หากเราให้เขาไปทำการลุกขึ้นสู้เพื่อแผ่นดินเกิดย่อมทำได้ ตามข้อตกลงว่าจะให้ปืนสมัยสงครามโลกแก่เขา    แต่ให้เขาห่างไกลบ้านเกิดละก็  เขาจะพากันมาหาวังเปา และบอกว่า " นี่มันไม่อยู่ในข้อตกลงนี่  คุณไม่ได้บอกว่าให้เราไปสู้กับไอ้พวกนี้"

สิ่งเหล่านี้ล้วนท้าทายการสร้างชาติม้ง

โครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของชาติลาว กำลังดำเนินไปพร้อมกับที่ไทย และฟิลิปินส์  แต่ที่ลาว เหมือนหม้ออารยธรรมหลายเผ่าพันธุ์

แลร์ ประสบผลสำเร็จที่ชักนำให้กษัตริย์ลาวเสด็จมาที่ล่องแจ้ง  วังเปาจัดขบวนต้อนรับ แสดงความภักดี  มันมีความสำคัญต่อวังเปามาก เหมือนเครื่องประกันว่าเขาและคนของเขาได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมลาว  พวกนายพลลาวลุ่มที่จ้องเล่นงานเขาต่างพากันถอยห่างออกไป

แลร์แอบฝันไปว่า บางที เส้นทางถอยของม้งวังเปาไปแขวงไชยบุรีอาจไม่จำเป็นก็ได้
11.  สร้างชาติ

 ปี 1963 ปลายปี  มีรายงานว่าเวียดนามเหนือซ่อมทางหลวงหมายเลข 7 ที่ถูกพารูระเบิดเสร็จแล้ว มีขบวนรถบรรทุกเข้ามา  ลอว์เลนซ์ต้องออกไปเคลื่อนไหวจัดตั้งทีมสำรวจ

ขณะอยู่ในภวังก์หลับเพราะเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ  พารูนายหนึ่งก็ปลุกเขาและส่งวิทยุคลื่อนสั้นให้ฟังวอยซ์ ออฟ อเมริกา ภาคภาษาอังกฤษ  กำลังรายงานข่าวดัลลัส  " การลอบสังหารประธานาธิบดี แคนาดี้ "

ในชั่วโมงต่อมาที่ล่องแจ้ง  โพ ผลุนผลันเข้ามาในกระท่อมของ บิล แลร์ หิ้ววิทยุติดมือมาด้วย พร้อมกับพูดว่า" ฮื่ม ในที่สุด ไอ้ระยำนั่นก็โดนจนได้ "

ก่อนหน้านี้โงดินเดียม ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ถูกลอบสังหาร  แลร์ไม่คิดว่า โพ มาหาเขาเรื่องนี้  
แลร์ ถาม โพ ว่า " ใครถูกเก็บ..โทนี่ "
" ปธน.อเมริกา โว้ย "  โพ พูดอย่างสะใจ

แบร์อึ้งไปชั่วครู่   แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้  ทำไมโพ ถึงสะใจกับข่าวนี้   แต่ในที่สุดก็ได้รับรู้ว่า เพื่อนของโพ หลายคนถูกสังหารที่ เบย์ ออฟพิกส์ ในคิวบา เพราะแคนาดี้ สั่งระงับความช่วยเหลือ  โพ จึงเกลียดแคนาดี้  ในทรรศนะของเขา มองว่า คนที่ทิ้งทหารของตนไว้ตามยถากรรม เป็นอาชญากรรมสำหรับพวกนาวิกโยธิน

ไม่มีใครรู้ว่าลินดอน บี จอห์นสัน คิดอย่างไรกับประเทศเล็กๆอย่างลาว

แต่พวกเขาก็มีงานล้นมือ จนไม่มีเวลาสนใจกับเรื่องที่ตนเองควบคุมไม่ได้

ลอว์เลนซ์กับวังเปาสนิทสนมกันมากขึ้น  วังเปาบอกลอว์เลนซ์ ว่าเขานับถือแลร์ เหมือนพี่ชาย  แต่กับโพ  เขามองอย่างมิตรร่วมรบ ดูเขาไม่ชอบนิสัยของโพ ที่ชอบเมาขาดสติ

ลอว์เลนซ์ก็ระวังตัวเมื่อต้องยุ่งเกี่ยวกับโพ  เพราะเขาที่เป็นคนโหดร้าย  ชอบสะสมใบหูข้าศึก  ชอบทำระเบิดแสวงเครื่องเล่น " ก็พวกมันตายแล้ว  พวกนาวิก เขาชอบทำกันอย่างนี้ ไม่เห็นแปลก "

ขณะที่การปฏิบัติการกำลังขยายตัว  หน่วยพารูมีบทบาทมาก พวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นได้ โพพบว่า เขาทำงานสู้พวกนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาบทบาทที่เหมาะกับตัวเอง  เขาออกไปใกล้จุดปะทะมากขึ้น  กองบัญชาการที่อุดร  และเวียงจันทร์ ตำหนิโพ  โพชอบเมาแอ๋ ทำตัวน่ารังเกียจ

ลอว์เลนซ์เองก็มีปัญหา ที่ต้องดื่มเหล้าใส่สีกับวังเปาบ่อยๆ  เขาเกรงใจวังเปาจึงต้องดื่ม  ทำให้เขาแพ้เหล้า หน้าบวมเหมือนนักมวยยก 15

คืนหนึ่งขณะเขาแพ้เหล้าอย่างแรง  ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในค่ายวุ่วายไปหมด  เขาโผไปที่หน้ากระท่อม เห็นทหารม้งกำลังยิงปืนขึ้นฟ้า ใส่ดวงจันทร์เหมือนที่แลร์ เคยเล่า

ลอว์เลนซ์ผู้เป็นทั้งสายลับและนักมานุษยวิทยา รู้ดีในเรื่องความเชื่อและศรัทธาของคนท้องถิ่น  พวกม้งมีผีอยู่รอบกาย  ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า

วันหนึ่งมาคนตาย  เขาเห็นหญิงม้งร้องไห้ฟูมฟาย ปิ่มว่าจะขาดใจ พวกผู้หญิงไม่ยอมห่างใบหน้าศพ คอยลูบไล้อย่างทนุถนอม   จนเมื่อเหนื่อย มีคนอื่นมาร้องฟูมฟายแทน หญิงคนแรกก็จะถอยออกมา เธอกลับมีอาการปรกติเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

วันที่ 6 ของพิธีศพ มีการนำหีบศพขึ้นแบกวนรบเสา พอถึงรอบที่ 8 ก็วนกลับ เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายมากลับบ้านถูก มาหลอกหลอนญาติผู้ตาย

ลอว์เลนซ์ทบทวนสิ่งที่ได้เห็น  เขาสรุปได้ว่า พวกม้งไม่มีวันเป็นกองกำลังที่สมบูรณ์แบบได้  พวกเขาผูกพันกับสถานที่ บวกกับพื้นฐานขาดการศึกษา และความเป็นตัวของตัวเองสูง ได้จำกัดภารกิจชาวม้ง ให้เหลือแค่การโจมตีก่อกวนข้าศึก  ..สมมุติว่าหน่วยสังเกตุการณ์ที่ซำเหนือพบรถบบรทุกเคลื่อนจากชายแดนเวียดนามห่างจากที่มั่นสัก 100 ไมล์  " ทหารม้งจะไม่มีวันออกโจมตีตอบโต้  พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่  หากเราให้เขาไปทำการลุกขึ้นสู้เพื่อแผ่นดินเกิดย่อมทำได้ ตามข้อตกลงว่าจะให้ปืนสมัยสงครามโลกแก่เขา    แต่ให้เขาห่างไกลบ้านเกิดละก็  เขาจะพากันมาหาวังเปา และบอกว่า " นี่มันไม่อยู่ในข้อตกลงนี่  คุณไม่ได้บอกว่าให้เราไปสู้กับไอ้พวกนี้"

สิ่งเหล่านี้ล้วนท้าทายการสร้างชาติม้ง

โครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของชาติลาว กำลังดำเนินไปพร้อมกับที่ไทย และฟิลิปินส์  แต่ที่ลาว เหมือนหม้ออารยธรรมหลายเผ่าพันธุ์

แลร์ ประสบผลสำเร็จที่ชักนำให้กษัตริย์ลาวเสด็จมาที่ล่องแจ้ง  วังเปาจัดขบวนต้อนรับ แสดงความภักดี  มันมีความสำคัญต่อวังเปามาก เหมือนเครื่องประกันว่าเขาและคนของเขาได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมลาว  พวกนายพลลาวลุ่มที่จ้องเล่นงานเขาต่างพากันถอยห่างออกไป

แลร์แอบฝันไปว่า บางที เส้นทางถอยของม้งวังเปาไปแขวงไชยบุรีอาจไม่จำเป็นก็ได้
11.  สร้างชาติ

 ปี 1963 ปลายปี  มีรายงานว่าเวียดนามเหนือซ่อมทางหลวงหมายเลข 7 ที่ถูกพารูระเบิดเสร็จแล้ว มีขบวนรถบรรทุกเข้ามา  ลอว์เลนซ์ต้องออกไปเคลื่อนไหวจัดตั้งทีมสำรวจ

ขณะอยู่ในภวังก์หลับเพราะเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ  พารูนายหนึ่งก็ปลุกเขาและส่งวิทยุคลื่อนสั้นให้ฟังวอยซ์ ออฟ อเมริกา ภาคภาษาอังกฤษ  กำลังรายงานข่าวดัลลัส  " การลอบสังหารประธานาธิบดี แคนาดี้ "

ในชั่วโมงต่อมาที่ล่องแจ้ง  โพ ผลุนผลันเข้ามาในกระท่อมของ บิล แลร์ หิ้ววิทยุติดมือมาด้วย พร้อมกับพูดว่า" ฮื่ม ในที่สุด ไอ้ระยำนั่นก็โดนจนได้ "

ก่อนหน้านี้โงดินเดียม ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ถูกลอบสังหาร  แลร์ไม่คิดว่า โพ มาหาเขาเรื่องนี้  
แลร์ ถาม โพ ว่า " ใครถูกเก็บ..โทนี่ "
" ปธน.อเมริกา โว้ย "  โพ พูดอย่างสะใจ

แบร์อึ้งไปชั่วครู่   แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้  ทำไมโพ ถึงสะใจกับข่าวนี้   แต่ในที่สุดก็ได้รับรู้ว่า เพื่อนของโพ หลายคนถูกสังหารที่ เบย์ ออฟพิกส์ ในคิวบา เพราะแคนาดี้ สั่งระงับความช่วยเหลือ  โพ จึงเกลียดแคนาดี้  ในทรรศนะของเขา มองว่า คนที่ทิ้งทหารของตนไว้ตามยถากรรม เป็นอาชญากรรมสำหรับพวกนาวิกโยธิน

ไม่มีใครรู้ว่าลินดอน บี จอห์นสัน คิดอย่างไรกับประเทศเล็กๆอย่างลาว

แต่พวกเขาก็มีงานล้นมือ จนไม่มีเวลาสนใจกับเรื่องที่ตนเองควบคุมไม่ได้

ลอว์เลนซ์กับวังเปาสนิทสนมกันมากขึ้น  วังเปาบอกลอว์เลนซ์ ว่าเขานับถือแลร์ เหมือนพี่ชาย  แต่กับโพ  เขามองอย่างมิตรร่วมรบ ดูเขาไม่ชอบนิสัยของโพ ที่ชอบเมาขาดสติ

ลอว์เลนซ์ก็ระวังตัวเมื่อต้องยุ่งเกี่ยวกับโพ  เพราะเขาที่เป็นคนโหดร้าย  ชอบสะสมใบหูข้าศึก  ชอบทำระเบิดแสวงเครื่องเล่น " ก็พวกมันตายแล้ว  พวกนาวิก เขาชอบทำกันอย่างนี้ ไม่เห็นแปลก "

ขณะที่การปฏิบัติการกำลังขยายตัว  หน่วยพารูมีบทบาทมาก พวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นได้ โพพบว่า เขาทำงานสู้พวกนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาบทบาทที่เหมาะกับตัวเอง  เขาออกไปใกล้จุดปะทะมากขึ้น  กองบัญชาการที่อุดร  และเวียงจันทร์ ตำหนิโพ  โพชอบเมาแอ๋ ทำตัวน่ารังเกียจ

ลอว์เลนซ์เองก็มีปัญหา ที่ต้องดื่มเหล้าใส่สีกับวังเปาบ่อยๆ  เขาเกรงใจวังเปาจึงต้องดื่ม  ทำให้เขาแพ้เหล้า หน้าบวมเหมือนนักมวยยก 15

คืนหนึ่งขณะเขาแพ้เหล้าอย่างแรง  ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในค่ายวุ่วายไปหมด  เขาโผไปที่หน้ากระท่อม เห็นทหารม้งกำลังยิงปืนขึ้นฟ้า ใส่ดวงจันทร์เหมือนที่แลร์ เคยเล่า

ลอว์เลนซ์ผู้เป็นทั้งสายลับและนักมานุษยวิทยา รู้ดีในเรื่องความเชื่อและศรัทธาของคนท้องถิ่น  พวกม้งมีผีอยู่รอบกาย  ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า

วันหนึ่งมาคนตาย  เขาเห็นหญิงม้งร้องไห้ฟูมฟาย ปิ่มว่าจะขาดใจ พวกผู้หญิงไม่ยอมห่างใบหน้าศพ คอยลูบไล้อย่างทนุถนอม   จนเมื่อเหนื่อย มีคนอื่นมาร้องฟูมฟายแทน หญิงคนแรกก็จะถอยออกมา เธอกลับมีอาการปรกติเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

วันที่ 6 ของพิธีศพ มีการนำหีบศพขึ้นแบกวนรบเสา พอถึงรอบที่ 8 ก็วนกลับ เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายมากลับบ้านถูก มาหลอกหลอนญาติผู้ตาย

ลอว์เลนซ์ทบทวนสิ่งที่ได้เห็น  เขาสรุปได้ว่า พวกม้งไม่มีวันเป็นกองกำลังที่สมบูรณ์แบบได้  พวกเขาผูกพันกับสถานที่ บวกกับพื้นฐานขาดการศึกษา และความเป็นตัวของตัวเองสูง ได้จำกัดภารกิจชาวม้ง ให้เหลือแค่การโจมตีก่อกวนข้าศึก  ..สมมุติว่าหน่วยสังเกตุการณ์ที่ซำเหนือพบรถบบรทุกเคลื่อนจากชายแดนเวียดนามห่างจากที่มั่นสัก 100 ไมล์  " ทหารม้งจะไม่มีวันออกโจมตีตอบโต้  พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่  หากเราให้เขาไปทำการลุกขึ้นสู้เพื่อแผ่นดินเกิดย่อมทำได้ ตามข้อตกลงว่าจะให้ปืนสมัยสงครามโลกแก่เขา    แต่ให้เขาห่างไกลบ้านเกิดละก็  เขาจะพากันมาหาวังเปา และบอกว่า " นี่มันไม่อยู่ในข้อตกลงนี่  คุณไม่ได้บอกว่าให้เราไปสู้กับไอ้พวกนี้"

สิ่งเหล่านี้ล้วนท้าทายการสร้างชาติม้ง

โครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของชาติลาว กำลังดำเนินไปพร้อมกับที่ไทย และฟิลิปินส์  แต่ที่ลาว เหมือนหม้ออารยธรรมหลายเผ่าพันธุ์

แลร์ ประสบผลสำเร็จที่ชักนำให้กษัตริย์ลาวเสด็จมาที่ล่องแจ้ง  วังเปาจัดขบวนต้อนรับ แสดงความภักดี  มันมีความสำคัญต่อวังเปามาก เหมือนเครื่องประกันว่าเขาและคนของเขาได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมลาว  พวกนายพลลาวลุ่มที่จ้องเล่นงานเขาต่างพากันถอยห่างออกไป

แลร์แอบฝันไปว่า บางที เส้นทางถอยของม้งวังเปาไปแขวงไชยบุรีอาจไม่จำเป็นก็ได้

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:18:29


ความคิดเห็นที่ 16




ประธานาธิบดีโงดินเดียมแห่งเวียตนามใต้(ซ้าย) ถูกลอบสังหารโดยกลุ่มที่ได้รับการหนุนหลังจากซีไอเอ
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:18:52


ความคิดเห็นที่ 17


ไม่นานนักประธานาธิบดีเคเนดี้ก็ถูกลอบสังหารที่ดัลลัส รัฐเท็กซัสในเวลาไล่เรี่ยกัน



ภาพเหตุการณ์เมื่อประธานาธิบดีเคเนดี้ ถูกมือปืนยิงด้วยปืนติดลำกล้องส่องยิงระยะไกลเมื่อปี ๑๙๖๓ ส่งผลให้รองประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสันต้องสะสางภาระกิจต่อนั่นคือการเข้าสู่สงครามเวียตนามอย่างเต็มตัว
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:19:26


ความคิดเห็นที่ 18


ทุ่งไหหิน (Plaine de Jarres/Plain of Jars) สมรภูมิรบแห่งสงครามลับที่ไม่ลับในลาว ระหว่างกองกำลังปะเทดลาวที่มีกำลังช่วยรบของเวียดนามเหนือสนับสนุน กับกองกำลังรัฐบาลฝ่ายขวาลาวภายใต้นายพลม้งวังเปาที่มีซีไอเอหนุนหลัง




โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:19:53


ความคิดเห็นที่ 19


12.

ลอว์เลนซ์ กับวังเปา ต้องการยกระดับกองโจรม้ง ให้มีสภาพประจำการมากขึ้น เป็นลักษณะกองกำลังทหารอาชีพ   เขาได้ตั้งเสปเชียล กอลลิล่า ยูนิต ขึ้น เป็นลูกผสมกองโจรกับกองพันทหารราบขนาดเบา 1 กองพัน (เอส จี ยู)และ นอกจากนี้ม้งยังมีอีกหน่วยหัวกะทิ ที่ฝึกโดยทีมพารูไทย ชื่อเสปเชียล โอเปอเรชั่น (เอสโอที)

ที่วอชิงตัน....ฟิจเจอร์รัล ถูกโอนไปรับผิดชอบเรื่องคิวบา  ..วิลเลี่ยม โคลบี้  จึงเข้ารับผิดชอบงานตะวันออกไกลแทน...เขามันยอดนักขายอยู่แล้ว   จึงไม่ยากที่โคลบี้จะหาทางทำให้บรรดานักการเมืองในสภา เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา  คือ " ช่วยม้งอีกนิดหนึ่ง จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ "

เขาให้ลูกน้องคนหนึ่งคิดชื่อ " กรีนแบเรต์ ฉบับชาวเขา " ขึ้นมา  ลูกน้องเขาต่างช่วยกันเสนอชื่อ แต่เขาก็ชอบที่นี้มากที่สุด ที่ฟังแล้วดูมีพิษสงรอบตัว " โมไบล์ สไสตรค์ ฟอสซ์"

ภายหลังจากนั้นเขาก็เตรียมการอภิปรายด้วยกลยุทธ์ของนักขายให้นักการเมืองคนสำคัญฟัง

โมไบล์ สไตรค์ ฟอสซ์ ให้ผลตอบแทนดีกว่า  คนหนุ่มๆจึงพากันหลั่งไหลเข้าร่วม พร้อมกับนำครอบครัวมาด้วย

ลอว์เลนซ์กลับมองว่า การมีครอบครัวมาอยู่เหมือนกับเป็นตัวประกัน สามารถควบคุมทหารได้ดีขึ้น  แต่ผลข้างเคียงคือการค้าฝิ่น เท่ากับรวมเอาตลาดที่กระจัดกระจายมารวมอยู่ที่เดียว เพื่อไม่ให้พ่อค้ารายหนึ่งรายใดครอบงำผูกขาด และเพื่อไม่ให้มีใครมาแข่งอิทธิพลกับเขาด้วย

ลอว์เลนซ์ตามวังเปาไปทุกที่ แต่บทบาทอยู่ที่วังเปา เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า วังเปามีอเมริกันอยู่เคียงข้าง และวังเปาคือเจ้านายตัวจริง

ความพยายามขยายปฏิบัติการมีขึ้นที่จังหวัดห่างไกลทางเหนือ ที่ ปางสัก ใกล้ชายแดนจีน  รัฐบาลจีนมีโครงการช่วยเหลือเพื่อนบ้าน แต่ดูว่าโครงการนี้จะแฝงด้วยประสงค์ร้าย  จีนตัดถนนเข้ามาในแดนลาวมุ่งตรงมาที่น้ำโขง  ชาวม้งในละแวกนั้นไม่ได้ตัดสินใจเข้ากับฝ่ายใด และมองหาคนคุ้มครอง  วังเปาประกาศให้ทุกคน " ล้อมวงเข้ามา" ฟังเขาปราศรัย

วังเปาบอกชาวบ้านว่า คอมมิวนิสต์คือเสือร้ายอยู่อีกฟากของหุบห้วย  ม้งต้องรวมกันเป็นหนึ่งจะมีทางรอด หมู่บ้านใดรวบรวมสมาชิกถึง 100 วังเปาจะช่วยเหลือเป็นพิเศษ  เสียงเครื่องบิน ซี 123 บินอยู่เหนือฟ้า ทิ้งร่มหีบบรรจุอาหารลงมา

วังเปาบอกลอว์เลนซ์ว่า " คนพวกนี้เอาแน่ไม่ได้ วันนี้อยู่กับเรา พรุ่งนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น "

ลอว์เลนซ์เกิดล้มป่วยด้วยไข้มาเลเรีย ปัสสาวะเป็นสีโค๊ก จึงต้องลงมารักษาตัวที่กรุงเทพ

ระหว่างพักฟื้น เขาได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ และได้ใคร่ครวญการปฏิบัติงานของเขาที่ผ่านมา  เขารู้ดีว่า ม้งไม่มีวันเอาชนะข้าศึกได้ หากคำว่าชัยชนะนั้นหมายถึงการทำให้ข้าศึกยอมแพ้  ขณะเดียวกัน เขาก็เชื่อว่า ข้าศึกเอาชนะม้งยากเช่นกัน  ในป่าเขาที่กองกำลังชาวม้งยึดครองอยู่  ขบวนการต่อต้านของชาวม้ง หยั่งรากลึกเกินกว่าจะถูกถอนรากถอนโคน หากจะทำได้ ก็ต้องทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น  

ขณะที่ลอว์เลนซ์ป่วย โพ รับผิดชอบล่องแจ้ง  โพเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่  สำหรับเขา ในลาวไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกม้งก็แค่ชาวเขากลุ่มหนึ่ง ซึ่งดีกว่าบางพวก แย่กว่าบางพวก

โพ ยังยังรู้สึกไม่พอใจกาเอาเปรียบระหว่างม้งขาว กับม้งเขียว  และไม่พอใจความขัดแย้งระหว่างตระกูลวัง กับตระกูลลี ของตู้บีลีฟุง (โทบี้ ลายฟอง - ในหนังสือ)  ที่พวกม้งขาวได้ทำงานเบาๆ  ม้งเขียวถูกใช้งานอันตรายแต่ได้รับเงินน้อยกว่า อีกเรื่องหนึ่งที่โพไม่พอใจมาก คือ การคอรัปชั่น 20 -30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งความจริงเรื่องนี้ถือเป็นธรรมเนียมทั่วไปสำหรับคนเอเชีย ไม่ถือเป็นการทุจริตตามมาตรฐานตะวันตก แม้จะเป็นอย่างว่า แต่ก็มีทหารเลวบางคนยืนต่อคิวรอรับเงินแต่ไม่ได้ เพราะมี" ทหารผี " มารับไปก่อนหน้านั้นแล้ว

อเมริกันที่รู้ตื้นลึกหนาบางข้อนี้ดีคนหนึ่งยอมรับว่า การทุจริตของชาวเขามีอยู่จริงแต่ถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพวกลาวลุ่ม

โพเคยร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังกองบัญชาการเวียงจันทร์  แลร์ส่งเจ้าหน้าที่การเงินไปตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าทหารได้รับเงินครบถ้วน   แต่ชาวเขากลับชอบการจ่ายเงินแบบเดิม  คือวังเปาหรือผู้บัญชาของฐานเป็นคนจ่าย  โดยพวกเขาจะประเมินว่าจะจ่ายมากหรือน้อยจากการทำงานของคนเหล่านั้น

โพ ขัดแย้งกับวังเปาหลายเรื่อง สุดท้ายมันก็มาลงที่ว่า ใครใหญ่กว่าใคร

วันหนึ่ง มีภารกิจที่ตระเตรียมไว้แล้ว มี ฮ.26 เครื่องจอดรอทหาร เอส จี ยู อยู่ที่ลาน รอออกปฏิบัติการ แต่ไม่ปรากฏทหารออกมาขึ้น ฮ.แม้ต่นายเดียว  โพ  จึงเดินไปหาวังเปาที่บ้านหลังใหญ่  เขาพบวังเปาอยู่ในชุดหมอ กำลังดูคนไข้คนหนึ่ง

มันเป็นวิถีชาวเขาที่อเมริกันอย่างโพ ยากที่จะเข้าใจ อเมริกันสร้างโรงพยาบาลให้หมอพารูชาวไทยมาประจำ  แต่วังเปาสั่งให้พวกชาวเขามาฉีดยาที่บ้าน โดยเขาลงมือเอง  โพ เล่าว่า เคยเห็นวังเปาฉีดยาเด็กจนพิการมาแล้ว

โพ หัวเราะวังเปา และว่า" คุณรู้ไหม เราจ่ายเงินเดือนให้หมอชาวไทยไปเท่าไหร่  สร้างโรงพยาบาลแสนสวย ถ้าบิล กับแพทรู้ สองคนต้องต่อว่าฉันแน่ๆ "
วังเปาตอบว่า " ฉันต้องการเรียนรู้การรักษาคนป่วย"

นั่นคือวังเปา เขาต้องการจะเป็นทุกอย่าง   โพ จึงบอกวังเปาว่า " มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ  หน้าที่คุณคือ ออกไปขึ้นเครื่อง ไปฆ่าไอ้พวกนั้น คนของคุณจะได้กลับมาทำมาหากินเหมือนเมื่อก่อน "

(เรื่องนี้ บางคนบอกว่าไม่จริงหรอก  พวกอเมริกันชอบพูดอะไรเว่อๆอย่างนี้แหละ)

ต่อมาวันหนึ่ง  โพ เห็นผู้หญิงม้งคนหนึ่ง ขณะทำงานงานอยู่ใกล้รัยเวย์  หญิงม้งหน้าสะสวย " สะโพกเธอสุดยอด " โพ เล่าย้อนหลังว่า เธอชื่อ " ลีแสง " เป็นหลานของตู้บีลีฟุง (โทบี้ ลายฟอง -ในหนังสือ)

โพ อยากพบหญิงคนนี้  ขณะที่ม้งคนหนึ่งห้าม และว่า " ไม่ได้เชียวนะ วังเปาคั่วอยู่   แต่ โพ ไม่สนใจ  ขอพบจนได้

หญิงม้งคนนี้ แต่งานมาแล้ว มีลูกสองคน เป็นหญิงคาธอลิค เป็นคนหัวแข็ง  ไม่ชอบพึ่งพาใคร   โพมอบสินสอดเป็นความ 100 ตัว แพะอีก 70 ตัว  ทั้งสองสมรสกันที่ล่องแจ้ง วังเปาเป็นคนเซ็นต์ใบทะเบียนสมรสให้  วังเปาบอกว่า ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือ  " ผมไม่ยุ่งด้วยหรอก เธอมันอันตราย "

หลังจากนั้น ลอว์เลนซ์ ก็หมดหน้าที่แบกโพ เวลามาเมาไม่ได้สติ  เขาแค่เป่านกหวีดที่ติดตัวมา ภรรยาและลูก ก็จะมาพาตัวเขาเข้ากระท่อม
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:21:02


ความคิดเห็นที่ 20




William Colby (UPI)

วิลเลี่ยม โคลบี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอ ผู้รับผิดชอบงานกิจการตะวันออกไกลในช่วงสงครามเวียตนาม


An Air America C-123 roars down the runway at Sam Thong to U.S. base in Laos. (UPI)

เครื่องบินลำเลียง C - 123 ของบริษัทแอร์อเมริกา(ชื่อบังหน้าของซีไอเอ) ที่ใช้ในการปฏิบัติการสงครามลับในลาว

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:21:46


ความคิดเห็นที่ 21


เส้นทางโฮชิมินท์

ต้นปี 1964 แลร์ พยายามขยายปฏิบัติการโมเมนตั้มไปยังแขวงซำเหนือ และพงสาลี  พวกชาวเขาเป็นตัวแปรสำคัญของการขยายตัว

แลร์กลับไปอเมริกาช่วงสั้นๆ ได้เข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคงกับโคลบี้และจอห์น แม็คโคน    ปฏิบัติการโมเมนตั้มคือผลงานอันโดดเด่นที่สุดในบรรดาปฏิบัติการลับของซีไอเอ  โคลบี้ บอกแลร์ว่า อยากพูดอะไรพูดได้เลย
ในที่ประชุมรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับโมเมนตั้มเป็นอย่างดี รวมทั้งการเมืองภายในลาวด้วย

แลร์อธิบายว่า โมเมนตั้ม มิได้ขึ้นอยู่กับวังเปาเพียงผู้เดียว  หากมีอะไรเกิดขึ้นกับวังเปา ก็มีคนอื่นแทนได้  พวกม้งมีข้อได้เปรียบตรงที่ต่อสู้กับผู้รุกรานมายาวนาน  แลร์ไม่กังวลกับวังเปาหรือกับม้ง  แต่เขาเป็นห่วงชาวเขาเผ่าอื่นๆ ที่การเข้าไปจัดการดูแลยากลำบากกว่า

ม้งเป็นกลุ่มใหญ่ในลาว มีอยู่ราว 2 แสน 5 หมื่นคน  รองลงมาคือพวกเย้า(เรียกตัวเองว่าเมียน) ประมาณ 1 แสนคน พวกนี้อยู่ติดสามเหลี่ยมทองคำ อันเป็นที่ตั้งตรงพรมแดน ไทย ลาว พม่า   แต่เย้ามิใช่นักสู้ที่เข้มแข็งเหมือนม้ง และไม่ได้มีดินแดนในครอบครองของตนเอง บิล ยังก์ ได้จัดตั้งกองกำลังเย้าและเผ่าอื่นๆหลายพันคน

มีชนกลุ่มน้อยกระจายอยู่ในลาว 50 กลุ่ม ได้แก่ อาข่า ลีซอ ไทยดำ ไทยแดง ลู  พวกนี้เข้ากับฝ่ายปะเทดลาวและเวียดนามเหนือ

ชนกลุ่มน้อยอันดับสามคือลาวเทิง  พำนักอยู่กึ่งกลางระหว่างลาวลุ่มกับชาวเขา  พวกนี้อยู่ในลาวมาก่อนพวกลาวลุ่มที่อพยพลงมาจากตอนใต้ของจีนเมื่อช่วงศตวรรษที่ 12 ส่วนชาวเขา อพยพลงมาเมื่อ ศตวรรษที่ 19 นี้เอง  ทั้งชาวเขาและลาวลุ่มต่างก็ดูถูกลาวเทิง  เรียกพวกเขาว่า ข่า แปลว่า ข้าทาส  แต่มีลาวเทิงทางเหนือที่รบได้ดุดัน ได้เข้าร่วมกองกำลังเอสจียู นับเป็นกลุ่มใหญ่รองจากม้ง

แลร์พุ่งความสนใจไปยังพวกลาวเทิงที่อยู่ตอนใต้ของลาว ตามแนวเขาพรมแดนระหว่างลาวกับเวียดนามเหนือ   ด้วยความช่วยเหลือของวังเปา ได้มีการจัดตั้งกองสอดแนมลาวเทิงขึ้นโดยความช่วยเหลือของพารูชาวไทยทำการฝึก  

ทีมสอดแนมออกเดินทางจากหุบห้วยแม่น้ำโขงเข้าไปใกล้พรมแดนเวียดนามเหนือที่อยู่ติดภาคใต้ของลาว ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าใด ก็ยิ่งพบความเคลื่อนไหวของข้าศึกมากขึ้นเท่านั้น

ทีมสอดแนมหวาดกลัวพวกเวียดนามเหนือมาก  แลร์หาวัตถุดิบดีๆอย่างพวกลาวเทิงตอนเหนือของลาวไม่ได้ เพราะเวียดนามเหนือแผ่อิทธิพลมาบริเวณนี้นานแล้ว

ศูนย์กลางกองกำลังลาวเทิงทางตอนใต้ของลาวอยู่ที่สุวรรณเขต บริเวณกึ่งกลางประเทศ  ใต้ลงไปเป็นเมืองปากเซ  
รอย เมฟเฟต  เข้าไปดำเนินการปฏิบัติการแบบโมเมนตั้ม โดยการสนับสนุนของฟิเจอรัลและโคลบี้  ได้จัดตั้งกองกำลังชาวเขาที่รู้จักกันในนาม มอนเทงการ์ด (ภาษาฝรั่งเศสหมายถึง กองกำลังภูเขา)  กลางปี 1963 พวกนี้ได้มาขึ้นตรงต่อหน่วยรบพิเศษอเมริกัน  เจ้าหน้าที่คนสำคัญคือ แบรนดอน คาร์ลอน

ปฏิบัติการทั้งสาม มีวัตถุประสงค์ตรงกัน คือก่อกวนเวียดนามเหนือ พื้นที่ดังกล่าวเป็นชุมทางการค้าใกล้เขตปลอดทหาร ชื่อว่า เซโปน  ทหารเวียดนามเหนือบริเวณนี้ มีอยู่ประมาณ 3 พันคน ถือว่าเป็นทหารต่างชาติที่มากที่สุดในดินแดนลาวแถบนั้น ในขณะนั้น

แลร์ คาร์ลอน และคนอื่นๆ เชื่อว่า กองกำลังเวียดนามเหนือ 3 กองพัน ที่อยู่บริเวณตอนใต้ของลาว มิได้เข้าร่วมรบในลาว  แต่น่าจะเป็นแผนการระยะยาวเพื่อเปิดเส้นทางยุทธศาสตร์  ทหารเวียดยึดครองดินแดนนี้มา 10 กว่าปีแล้ว มีทหารกองโจร และพลส่งสาร 2 -3 ร้อยคน เดินเท้าตัดผ่านดินแดนนี้ลงสู่เวียดนามใต้

ทหารเวียดนามใต้ล้มเหลวในการสกัดการขนส่งอาวุธ และเสบียงอาหารลงสู่เวียดนามใต้
ปี 1964 เวียดนามเหนือลำเลียงอาวุธและเสบียงผ่านสองช่องทาง คือ ทางชายฝั่งทะเล และภาคพื้นดินเข้ามาทางเขตปลอดทหาร ใช้จักรยาน เดินเท้า และช้าง รวมทั้งเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นลูกหาบ

สำหรับพวกเวียดนามเหนือ ราคาที่ต้องจ่ายในการส่งกำลังบำรุงผ่านลาวสูงยิ่งนัก เนื่องจากความลาดชันและหุบห้วย ฝนตกหนัก ทุรกันดาร การตัดถนนข้ามภูเขาสูงชันในลาวเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่พวกเขาก็ทำมันได้  

แม้เส้นทางยังสร้างไม่เสร็จ  แต่ แลร์  และซีไอเอ คนอื่นๆก็เชื่อว่า ไม่ช้าก็เร็ว ถนนสายนี้ต้องเสร็จ  พวกกรีนแบเร่ต์ ที่ปฏิบัติงานแถบนั้นได้รายงานการสังหารผู้นำหมู่บ้านที่เข้ากับฝ่ายอเมริกัน  พวกเขาได้เข้ามาโฆษณาชวนเชื่อ โน้มน้าวให้เห็นว่าอเมริกันมีเจตนาร้าย และรัฐบาลลาวเป็นหุ่นเชิดอเมริกัน  หลังจากนั้น ชาวบ้านที่เข้ากับเวียดนามเหนือจะถือพร้าและปืนยาวตามล่าทีมสอดแนมของฝ่ายอเมริกัน

ลินดอน บี จอห์นสัน ประธานาธิบดีคนใหม่ วิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทหารเวียดนามใต้จะพ่ายศึกอยู่รอมร่อ  อเมริกันจึงสั่งให้ฝูงบินจากฐานทัพอากาศตาคลี ในประเทศไทยขึ้นสอดแนมในดินแดนจีน โดยใช้เครื่องบิน ยู -2 บินในระดับสูง เหนือเทือกเขา ในเขตอันนัม และ เซโปน ในลาว

แลร์ และคาร์ลอน ได้ส่งทีมสอดแนมของพวกชาวเขาเข้าไปสอดแนม เรียกปฏิบัติการนี้ว่า ฮาร์ดโนส  ร่วมกับทหารกรีนแบเรต์ ทหารเวียดนามใต้และกองกำลังชาวเขามองเทงการ์ด ข้ามแดนมายังลาวเพื่อช่วยอีกแรง

เครื่องบิน ยู – 2 ถ่ายรูปกองกำลังเวียดนามเหนือ มี ปตอ.ติดตั้งอยู่รอบป่าเซโปน  อเมริกันเฝ้ามองความเติบใหญ่ของเส้นทางลำเลียง ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ และให้ชื่อว่า “ โฮชิมินท์เทรล “ หรือ เส้นทางโฮชิมินท์

การลอบสังหารโงดินเดียม ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ทำให้เกิดการรัฐประหารของคณะทหารอีกชุดหนึ่ง   ปี 1964 คณะนายพลใช้พลังความสามรถไปกับการวางแผนรัฐประหาร ไม่ใส่ใจความทุกข์ยากของประชาชน เวียดกงได้ใช้ข้อนี้ปลุกระดมมวลชน  

เวียดนามใต้ย้ายประชาชนจากหมู่บ้านบริเวณดินแดนปากแม่น้ำโขงที่มีแม่น้ำแตกแขนงเป็นหลายสาย เพื่อให้เข้ามารวมกันอยู่ในเมือง  ประชาชนจึงหันไปสนับสนุนเวียดกงมากขึ้น บ่อนทำลายรัฐบาลเวียดนามใต้

ประธานาธิบดีจอห์นสัน ไม่มีประสบการณ์ด้านนโยบายต่างประเทศ ไม่เชื่อว่าการช่วยเหลือของอเมริกันสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา  ทีมที่ปรึกษาของจอห์นสันต่างสนับสนุนการเพิ่มความช่วยเหลือของอเมริกันต่อเวียดนามใต้  จอห์นสัน ไม่อยากได้ชื่อ เป็นผู้ที่เสียเวียดนามไป  ทุกคนต่างรู้สึกว่า ความอยู่รอดของเวียดนามใต้เป็นบททดสอบ”สงครามปลดปล่อย” ของพวกคอมมิวนิสต์ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก

กลางเดือนมีนาคม 1964 กำลังทหารอเมริกันในเวียดนามใต้เพิ่มเป็น 2 หมื่น 3 พันคน  จอห์นสันปกปิดแผนการเพิ่มความช่วยเหลือด้านต่างๆแก่เวียดนามใต้  เวียดนามเหนือกดดันด้วยการก่อวินาศกรรม ส่งหน่วยคอมมานโดเข้าทำลายสถานีเรดาห์  กองทัพเรืออเมริกันเตรียมจัดทำเป้าหมายการทิ้งระเบิดในเวียดนามเหนือ  การกดดันที่อเมริกันทำต่อเวียดนามเหนือ เพื่อเปิดทางให้รัฐสภาอเมริกันประกาศสงครามกับเวียดนามเหนืออย่างเป็นทางการในที่สุด

ในขณะนั้นเอง  สถานการณ์ในลาวกำลังย่ำแย่ ทหารฝ่ายเป็นกลางแปรพักตร์เข้ากับฝ่ายปะเทดลาว  รมต.กลาโหมขวาจัดของลาวได้ขอให้ทหารเวียดนามใต้เข้าสู่ลาวเพื่อผลักดันทหารเวียดนามเหนือที่อยู่ในลาว  เจ้าสุวรรณภูมา บินมาทุ่งไหหิน เพื่อเจรจากับนายพล ภูมี หน่อสวรรค์ และฝ่ายปะเทดลาว แต่ไม่สามารถตกลงกันได้  เจ้าสุวรรณภูมา ลาออกจากนายกรัฐมนตรีด้วยน้ำตานองหน้า

เช้ารุ่งขึ้นเกิดการรัฐประหารในลาว ผู้นำการรัฐประหารไม่ใช่รมต.กลาโหมแต่เป็นคู่แข่งหัวเอียงขวาที่ไม่ต้องการให้รมต.กลาโหมมีอำนาจในรัฐบาล  ชาวลาวยังหลบร้อนพักหลับยามบ่ายตามปกติ

เมื่อเหตุการณ์สงบ นายกรัฐมนตรีลาวเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้ง  นายพลที่ทำรัฐประหารถูกเขี่ยออกจากอำนาจตามระเบียบ  รัฐบาลผสมสามฝ่าย จึงกระท่อนกระแท่น เหลือเพียงในนาม  ฝ่ายปะเทดลาวถอยออกไป  และหันไปร่วมมือกับทหารเวียดนามเหนือทำการรุกรบยึดครองพื้นที่มากขึ้น  ฝ่ายกองแลถอยร่นไปสุดเขตทุ่งไหหิน  เข้าไปอยู่ในเขตของวังเปา ทหารวังเปาพาลัดเลาะไปตามช่องเขาหนีการตามล่า  

ช่วงนี้เอง ที่มีการใช้กองทัพอากาศลาว ใช้ ที -28 ซี่งประจำที่สนามบินวัดไต ออกโจมตี  พวกที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับครื่องบินก็พากันแตกกระเจิง   เครื่องบินเหล่านี้ ถูกย้ายมาจากอุดรฯ และใช้นักบินไทยที่ปลอมเป็นนักบินลาว โดยเครื่องบินติดธงชาติลาว แต่ไม่มีเครื่องหมายตราสังกัดแต่อย่างใด

วังเปาขอเครื่องบินมาสนับสนุน เครื่องบินแปรขบวนออกโจมตี  ทหารข้าศึกแตกกระเจิง  ทหารฝ่ายวังเปาฮึกเหิม วางแผนออกรุกไล่ข้าศึก

ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา รัฐบาลฝ่ายขวาก็ได้เฮ  เมื่อเครื่องไอพ่นของอเมริกาออกบินลาดตระเวนในลาว จากเรือบรรทุกเครื่องบินและฐานบินในภูมิภาค  เจ้าสุวรรณภูมายินยอมให้อเมริกันบินผ่านน่านฟ้าลาวได้

วันที่ 6 – 7 มิถุนายน 1964 เครื่องบินถูก ปตอ.ของคอมมิวนิสต์ยิงตกที่ภาคเหนือของลาว  อเมริกันพยายามตอบโต้ แต่ไม่สามารถโจมตีเป้าหมายได้

เจ้าสุวรรณภูมา รู้ว่าอธิปไตยของลาวถูกคุกคาม เขาได้บอกอเมริกันว่า เขาจะลาออกหากอเมริกันไม่หยุดโจมตีทางอากาศ  แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่อยู่ในฐานะจะต่อรอง เพราะอเมริกันเป็นคนช่วยให้เขารอดพ้นจากการรัฐประหารมาได้  ภายใต้ความกดดัน เจ้าสุวรรณภูมาก็จำยอมให้อเมริกันปฏิบัติการโจมตีได้ แต่ห้ามออกข่าวรายงานประจำวัน และขอให้ใช้คำว่า “ บินสอดแนม แทนการใช้คำว่า โจมตีทางอากาศ “

วันเดียวกันนั้นเอง เครื่องบิน ที-28 โดยนักบินชาวไทยได้ทิ้งระเบิดถูกกองบัญชาการของฝ่ายปะเทดลาวที่ทุ่งไหหิน มีเจ้าหน้าที่จีนแผ่นดินใหญ่ประจำอยู่ ทำให้เจ้าสุวรรณภูมาไม่สบายใจนัก

การใช้เครื่องบินรบเข้าทำลายข้าศึกเสมือนปล่อยยักษ์ออกจากตะเกียง  เป็นการยากที่จับคืนใส่ที่เดิม  แรกเริ่มอเมริกันไม่มีแผนนี้  แต่เนื่องจากลาวติดกับเวียดนามจึงได้รับการร้องขอให้ช่วยโจมตีสนับสนุนอยู่เสมอ  ระยะหลังๆวอชิงตันจึงดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

หนึ่งเดือนต่อมา หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ ในวันที่ 26 มิถุนายน ลงบทความเรื่องเวียดนามเหนือตัดเส้นทางลำเลียงผ่านลาวหรือ โฮชิมินท์เทรล  รายงานทำให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในลาวแยกไม่ออกจากเวียดนาม

19 กันยายน 1964 หกอาทิตย์หลังจากนั้น นักบินไทยได้ทิ้งระเบิดปูพรมบริเวณช่องมูเกียในเวียดนามเหนือ โดยมีเครื่องบินอเมริกันบินคุ้มกันเหนือน่านฟ้าลาว   สุวรรณภูมากล่าวว่า “ คอมมิวนิสต์ใช้ลาวเป็นทางผ่านไปสู่เวียดนาม เรามีภาพถ่ายทางอากาศเป็นเครื่องพิสูจน์ “  เจ้าสุวรรณภูมา มิได้ ได้ภาพถ่ายมาเอง  แต่อเมริกันเป็นคนมอบให้

เรโอนาร์ด อังเกอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำลาว ได้เสนอให้เพิ่มการใช้กำลังทางอากาศด้วยข้ออ้างอันนี้ ซึ่งที่จริง ภาพถ่ายดังกล่าว มิได้เพิ่งเกิดขึ้น  แต่เป็นภาพถ่ายเดิมที่มีอยู่แล้ว  อเมริกันใช้ข้ออ้างนี้เพิ่มปฏิบัติการ ตัดเส้นทางโฮชิมินท์   ใช้การโจมตีทางอากาศได้ตามใจปรารถนา ไม่จำเป็นต้องขออนุมัติจากลาว  ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกปิดเป็นความลับจากสายตาโลกภายนอก
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:22:25


ความคิดเห็นที่ 22


ลองดูภาพจากอีกฝ่ายดูนะครับ ที่รับมือกับซีไอเอ



ภาพผู้นำขบวนการปะเทดลาว (จากซ้ายไปขวา) ส. หนูฮัก พูมสะหวัน ส. ไกสอน พรหมวิหาน ส. สุภานุวงศ์ (เจ้า) ส. คำไต สีพันดอนและ ส.ภูมี วงวิจิตร

ภาพจากหนังสือ Political Struggles In Laos: Vietnamese Communist Power and Lao Struggle for National Independence โดย Geoffrey C. Gunn
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:23:04


ความคิดเห็นที่ 23


เจ้าสุวรรณภูมา คนคาบไปท์อดีตนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีลาวฝ่ายขวา ส่วนคนด้านข้างคือเจ้าสุภานุวงศ์หรือที่อเมริกันเรียกเจ้าคอมฯ ขณะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมสามฝ่ายแต่ไปไม่รอด เจ้าสุภานุวงศ์ถอยเข้าป่าเพื่อทำสงครามปลดปล่อยลาวต่อไป

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:23:32


ความคิดเห็นที่ 24


เส้นทางยุทธศาสตร์โฮจิมินท์ หรือ Ho Chi Minh Trail



ภาพถ่ายทางอากาศที่ "เครื่องบินสอดแนม" ของอเมริกันถ่ายมาได้เพื่อเป็นข้ออ้างในการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทำลาย
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:24:00


ความคิดเห็นที่ 25


 อีกสักภาพจากฝั่งเวียดนามเหนือ โดยช่างภาพสงครามชาวเวียดนามผมซื้อมาจากฮานอยเมื่อสองปีก่อน



คนนี้แหละนายพลโว เหงียน เกี๊ยบ ผู้บัญชาการทหารของเวียดนามเหนือเดินยิ้มเผล่ขณะสำรวจการสร้างเส้นทางสายยุทธศาสตร์โฮจิมินท์

เส้นทางยุทธศาสตร์โฮจิมินท์ หรือที่ชาวเวียตเรียก "ตรุง ซอน" เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายสำคัญในช่วงสงครามเวียตนาม ฝ่ายเวียตกงสร้างเส้นทางนี้เป็นเส้นทางลับเลียบชายแดนลาว กัมพูชา จากเหนือลงสู่ใต้ เพื่อหลบหลีกการโจมตีทางอากาศของฝ่ายอเมริกัน บางช่วงเป็นภูเขาสูงและป่าทึบการลำเลียงเสบียงอาวุธยุทธภัณฑ์ต้องใช้จักรยาน ลูกหาบหรือแม้กระทั่งช้าง

จากหนังสือภาพ "Legendary Ho Chi Minh Trail" โดยช่างภาพสงครามชาวเวียตนาม Nguyen Trong Thanh: The National Politics Publishing House, Hanoi

 

 บางช่วงของเส้นทางยุทธศาสตร์โฮจิมินท์



โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:24:40


ความคิดเห็นที่ 26


ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ

การใช้กำลังทางอากาศของอเมริกัน  ทำให้สถานการณ์ในลาวเปลี่ยนแปลงไป  แต่ทุกฝ่ายก็ยังอยากปิดบังบทบาทของตัวเองในลาวจากสายตาชาวโลก  พวกเขาทำแสร้งเคารพข้อตกลงเจนีวา  แต่ความจริงต่างฝ่ายต่างไม่มีใครปฏิบัติตาม

การต่อสู้ทางการทหารเข้มข้นขึ้น อิทธิพลของกษัตริย์ ฝ่ายกองแล และนายพลภูมี หน่อสวรรค์ ลดน้อยลง ขณะที่วังเปา กลายเป็นผู้บัญชาการกองทหารที่มีความสำคัญ ที่อเมริกาเพิ่มความสนับสนุนทางอากาศ   ทั้งอเมริกาและเวียดนามเหนือ ต่างไม่รีบร้อน เพราะต่างก็ออมกำลังไว้ประลองกันในเวียดนามใต้

สงครามในลาวจึงเป็นว่า ฝ่ายซ้าย เข้ายึดพื้นที่ในฤดูแล้ง เพราะสภาพถนนหนทางดี ขบวนลำเลียงทหารสามารถเคลื่อนพลได้ง่าย  พอถึงฤดูฝน ถนนเป็นปลักโคลน ฝ่ายขวาก็จะใช้คอปเตอร์ และเครื่องบิน ที-28 ของลาว  เครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่ และไอพ่นอเมริกันโจมตีโจมตี

พฤษภาคม 1964 คอมมิวนิสต์ยึดครองทุ่งไหหิน  แต่วังเปายึดครองภูเขาสูงที่อยู่รายรอบ   เมื่อความชุ่มชื้นจากมรสุมในมหาสมุทรอินเดียพัดเข้ามา ทหารฝ่ายขวาก็ออกตีตอบโต้ในรูปปฏิบัติการไทร เองเกิล    ได้รับอนุมัติจากประธานาธิบดีจอห์นสัน คือการโจมตีกองทหารฝ่ายปะเทดลาวที่ยึดครองจุดตัดของทางหลวงหมายเลข 7 และ 8 อันเป็นทางเชื่อระหว่างทุ่งไหหินเข้ากับเวียงจันทร์และหลวงพระบาง

การปฏิบัติการครั้งนั้น โทนี่โพ ฝ่าฝืน ด้วยการนำกำลังออกปฏิบัติการเอง แม้ทหารฝ่ายกองแลจะเบี้ยวไม่มาตามนัด เพราะวังเปาใช้ปืนใหญ่โฮวิทเซอร์ 105 มม. ทำการสั่งยิงด้วยตนเองโดยไม่ปรับระยะด้วยกระสุนควันเสียก่อน โพ จึงใช้วิทยุสนามจ่อปากสั่งการให้ชอปเปอร์ทุกลำนำกำลังของทหารม้งเอสจียู เข้ายึดครองใกล้กับถนน  แต่นักบิน ที -28 ของไทยก็ช่วยให้งานนี้ง่ายขึ้น ทหารข้าศึกเคลื่อนกำลังหนีออกไป

มีความพยายามปิดข่าวเรื่องที่โพ ฝ่าฝืนระเบียบการรบ  แต่ทันใด  ผู้คนก็ต้องลืมเรื่องนี้ เพราะเกิดเรื่องใหญ่สำคัญกว่า

คือเหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ย เรือพิฆาตลำหนึ่ง กำลังเล่นเกมส์แมวจับหนูกับกองกำลังป้องกันชายฝั่งของฮานอย จากความพยายามหาพิกัดและคลื่นความถี่โดยเรดาห์ของโซเวียตที่ติดตั้งให้ใช้  ทหารคอมมานโดเวียดนามใต้ได้ยิงถล่มที่ตั้งทางทหารของเวียดนามเหนือ  เรือลาดตระเวนของเวียดนามเหนือได้โจมตีเรือพิฆาตแมดด็อก  เรือพิฆาตอีกลำได้ยิงสิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือเพื่อแก้เผ็ด   เครื่องบินรบอเมริกันจากเรือบรรทุกเครื่องบิน 25 ลำ บินเข้าโจมตีคลังน้ำมัน  อเมริกันถูกยิงตกสองลำ รัฐสภาอเมริกันผ่านกฏหมายปิดอ่าวตังเกี๋ย ที่เรียกว่า กัฟ ออฟ ตังเกี๋ย   เป็นการเปิดไฟเขียวให้ประธานาธิบดีทำสงครามอย่างเป็นทางการ

อเมริกันหันมาสู่สงครามเวียดนาม  ปล่อยให้ลาวถูกคุมโดยผู้ปฏิบัติงานซีไอเอ ไม่กี่คน  ซีไอเอ สั่งให้เพิ่มความช่วยเหลือแก่กองกำลังชาวเขา เพื่อออกหาข่าวและโจมตีก่อกวนฝ่ายคอมมิวนิสต์ไปพร้อมๆกัน
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:25:13


ความคิดเห็นที่ 27


ผลัดกันรุกผลัดกันรับ โดนสอยร่วงจนได้



เครื่องบินลำเลียง C - 130 ของอเมริกัน โดนปตอ.เวียตนามเหนือสอยร่วงทางตอนเหนือของลาว
ภาพโดย Nguyen Trong Thanh

 



หน่วยรบและลำเลียงหญิงเวียตนามเหนือ จากเส้นทางยุทธศาสตร์โฮจิมินท์เข้าสู่ลาว

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:25:58


ความคิดเห็นที่ 28


ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยตามแนวเขตแดนล้วนมีศักยภาพที่จะนำมาเข้าร่วมปฏิบัติการ คนพวกนี้เกือบทั้งหมดเป็นพวกไต เครือญาติของชาวไทยและลาวลุ่ม  พวกเขามีชื่อต่างๆกัน   ไทยแดง ไทยดำ ไทยขาว

ลอร์เรนซ์ได้ประเมิณความเป็นไปได้ของโครงการซีไอเอในการจ้างพวก"นัง" ชนกลุ่มน้อยเดิมเชื้อสายจีน แต่ได้ผสมข้ามเผ่ากับพวกไทยเป็นร้อยๆปี จนได้ลูกผสมที่มีแบบธรรมเนียมเฉพาะของตนเอง

พวกนังเป็นนักรบ ได้ย้ายถิ่นจากเขตภูเขาสูงมาสู่เวียงจันทร์และไซ่ง่อน เขายินดีกลับไปใช้ชีวิตในถิ่นภูเขาในฐานะทหารรับจ้างสู้กับคอมมิวนิสต์

ลอว์เรนซ์ไม่สู้เห็นด้วย เพราะมองว่าพวกนังไม่มีแรงกระตุ้นให้สู้เพื่อปกป้องดินแดนเหมือนม้ง แต่สู้เพื่อเงินอย่างเดียว เขาเชื่อว่าความสำเร็จของโครงการต้องมีการสนับสนุนของมวลชน  

เช่นเดียวกับการใช้กองกำลังทางอากาศขยายปฏิบัติการบริเวณตะเข็บชายแดนเวียดนามเหนือ ลอว์เรนซ์คิดว่าการประสานงานระหว่างนักรบยุคสำริดอย่างพวกม้ง กับเครื่องบินไอพ่นความเร็วเหนือเสียง  ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้จริง
การปฏิบัติการเล็กกระทัดรัดน่าจะเหมาะสมกว่า

แต่การขยายปฏิบัติการเข้าไปในเขตศัตรู เริ่มขึ้นในเดือนกันยายน 1964   ฤดูฝนปีนั้นสั้นมากกว่าปกติ เมื่อเส้นทางถนนเริ่มแห้ง การรุกโจมตีของพวกทหารเวียดนามเหนือก็เริ่มขึ้น

ที่แขวงหัวพัน ที่เมืองหลวงของแขวงคือซำเหนือ ดินแดนลาวที่เว้าเข้าไปในแผ่นดินรูปกรวยของเวียดนามเหนือ มีชนเผ่าหลายเผ่า  มีถนนฝุ่นสองสามสายเชื่อมระหว่างซำเหนือกับทุ่งไหหินและฮานอย ห่างกันเพียง 85 ไมล์  ด้วยเหตุนี้จึงอยู่นอกเขตอำนาจของวังเปา

ช่วงปี 1961 - 62 ก่อนสัญญาเจนีวา   ซีไอเอ ได้จัดตั้งกองทหารพื้นเมืองขึ้นที่ซำเหนือ  แต่ได้ทิ้งไปหลังจากนั้น   เมื่ออเมริกันกลับเข้ามาใหม่ พบว่ากองทหารที่ฝึกไว้เหล่านั้นยังเหลือรอดและแข็งแกร่ง  กองกำลังนี้ พันเอกทอง วงศ์รัศมีทหารลาวลุ่ม ที่มีผมยาวประบ่า มีพระห้อยเต็มคอ เป็นผู้บัญชาและผู้นำ

โพ เล่าว่า  พันเอกทอง  ไม่เหมือนทหารลาวลุ่มทั่วไปที่คิดแต่เรื่องค่าตอบแทน  เขาจบโรงเรียนทหารของกองทัพบกลาวและอยากเป็นทหารอาชีพ  เคยเดินทางไปอเมริกาเข้าฝึกทหารชั้นสูง แต่ไม่ประทับใจอเมริกานัก เขาบอกเลนดอนว่า เขาอยู่อเมริกาหลายเดือน ไม่มีใครชวนเขาไปเที่ยวบ้านสักครั้ง
 เขาไม่ใช่คนลาวที่ประจบสอพลอฝรั่ง  การยอมรับความช่วยเหลือก็เพราะเขาทำเพื่อบ้านเมืองตัวเอง
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:26:27


ความคิดเห็นที่ 29


ช่วงปี 1964 ต่อ 1965 อากาศต้นปีแห้งแล้ง ปลอดโปร่ง  เครื่องบินลาดตระเวณพบความเปลี่ยนแปลงบนเส้นทางโฮชิมินท์ เวียดนามเหนือเพิ่มกำลังทหารเป็นสองเท่า จากหกพัน เป็นราวหมื่นหนึ่งพันคน

เครื่องบินลาวและไอพ่นอเมริกันเข้าโจมตีทางหลวงหมายเลข 7 เส้นที่ท้งกับพารูเคยร่วมกันระเบิดจนขาด  แต่การโจมตีไม่ปะติดปะต่อ  อมเริกันจึงส่งโทนี่ โพ  ไปช่วยพันเอกทองอีกแรง

ทหารเวียดนามเหนือ 7 กองพัน (ประมาณ 3.5 - 4 พันคน) เคลื่อนออกจากซำเหนือพ้นค้นหากองกำลังของวังเปาหวังบดขยี้ม้งให้แหลก

ทหารเวียดเดินเท้าจากจุดที่ถนนสิ้นสุดตัดผ่านภูมิประเทศที่ทุรกันดารเข้าโจมตีกองทหารของพันเอกทอง ทำให้ทอง ต้องถอยร่นสู่ภูเขาสูง  ทองลัดเลาะไปตามภูเขา วิทยุติดต่อขอให้โทนี่ ช่วยยิง ค.4.2 นิ้ว ข้ามหัวกองกำลังของเขาเข้าถล่มทหารเวียดนามเหนือที่รุกไล่มา

เวลานั้น โพ อยู่ที่ไซด์ 86 บรเวณห้วยหนอง หมู่บ้านบนสันเขาบนภูเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างภูผาทีทางตะวันตก กับซำเหนือทางตะวันออก

โพมาถึงที่นั่น กับพารูไทย 5 คน  หัวหน้าพารู พูดอังกฤษได้กระท่อนกระแท่น

 



Vietminh guerrillas on the way to the Laos front
มาแล้วครับนักรบเวียดนามเหนือสู่สมรภูมิรบในลาว

ภาพโดย Nguyen Trong Thanh

โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:27:11


ความคิดเห็นที่ 30


อ้าวอิง คุณ ตาเฒ่า คลัมซี่  และคุณ Vinyuchon  เว็ป thaioctober.com
โดยคุณ omaha เมื่อวันที่ 16/06/2009 03:28:08


ความคิดเห็นที่ 31


ขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวในอดีตที่ลงมาให้เด็กรุ่นหลังได้ศึกษา

ครับ...วันหน้าหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับข้อมูลดีๆจากท่านอีก

ถ้ามีสมรภูมิล้มเกล้าช่วยนำมาลงให้บ้างนะครับ ขอบคุณ

โดยคุณ wut เมื่อวันที่ 16/06/2009 07:34:23


ความคิดเห็นที่ 32


http://teenoi.freeforums.org/topic-t444.html

แนะนำอ่านที่นี่นะครับ
โดยคุณ M72 เมื่อวันที่ 16/06/2009 08:28:42