ความเห็นผม...ผมให้คะแนน ร.ล.มกุฎฯ มากกว่าครับ...เพียงแต่ ร.ล.มกุฎฯ ไม่มี อาวุธโจมตีเรือ เท่านั้น...
ระบบขับเคลื่อน มีระบบแก็สเทอร์ไบน์ ด้วย...ก็เหมาะสำหรับ ภาระกิจ ปราบเรือดำน้ำ...โดยใช้ LIMBO กับ ท่อยิงตอร์ปิโด....
ระบบปืน ก็เป็นมาตรฐานของ ทร.อังกฤษ และ อิตาลี...
และระบบอำนวยการรบ ก็น่าจะปรับเปลี่ยนมาแล้ว...ปรับพร้อม ๆ กับ ร.ล.ตาปี และ คีรีรัฐ....และรู้สึกว่า ปรับเปลี่ยนระบบตรวจจับด้วย เมื่อคราวเปลี่ยน จาก จรวด ซีแคท มาเป็น ปืน 40 ม.ม. แท่นคู่
แต่ ร.ล.เจ้าพระยา...ผมว่า มีดี ตรงที่ระบบอาวุธนำวิถี ต่อต้านเรือผิวน้ำ...ระบบปืน 100 ม.ม. กับ 37 ม.ม. ก็ดูจะเป็น มาตรฐาน จีน...เรื่องประสิทธิภาพ ยังคลุมเคลือ...แต่จัดได้ว่า มี ดีกว่า ไม่มี...
ถ้า สมมติ ว่า ร.ล.มกุฎฯ สามารถ ติดตั้ง ระบบอาวุธโจมตีเรือ ได้...เช่น ซีสกัว หรือ ออโตแมท หรือ RBS-15 แทน ปืน 4 นิ้ว ท้ายเรือ...ผมว่า ร.ล.มกุฎฯ ก็น่าจะเป็น สาวสูงวัย ที่เซ็กซี่ พอสมควรเชียวครับ...อาจจะดูเด่นกว่า ร.ล.เจ้าพระยา อีกครับ...ในความเห็นผมนะครับ...
ร.ล.มกุฏราชกุมารนั้นในส่วนท้ายเรือหลังป้อมปืนใหญ่ 4.7" จะมีพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งที่ต่ำจากพื้นปืนลงไปครับ ซึ่งที่เคยเห็นในการดัดแปลงเรือหลายๆแบบที่ต่อในลักษณะใกล้เคียงกันจากอู่เรืออังกฤษในยุคดังกล่าวก็มีการดัแปลงส่วนนี้ให้ติดตั้ง อวป.นำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำครับ
แต่ในความเป็นจริงน่าจะมีข้อจำกัดอยู่มากครับแต่ตามการใช้งานในปัจจุบันคงไม่จำเป็นที่ ร.ล.มกุฏราชกุมารจะติด อวป.ต่อต้านเรือผิวน้ำครับ
ปืนเรือหลัก(หัว,ท้าย) ที่ติดใน เรือหลวงมกุฎราชกุมาร
เป็นปืนฯขนาด 4.5 นิ้ว แบบวิคเกอร์ มาร์ค 8
ตำแหน่งที่จะติด จรวดฯ ได้ น่าจะเป็นการติดแทนที่
รางปล่อยระเบิดน้ำลึก ท้ายเรือ
ผมก็ฝันอยากให้เป็นอย่างนั้น(ติดจรวดฯ)
เพราะ ร.ล.มกุฎฯ จะได้มีสภาพเป็น เรือฟริเกต(ติดอาวุธนำวิถี)
เหมือนแรกครั้งที่ต่อเรือ
แม้ว่า ร.ล.มกุฎฯ จะมีอายุ 36 ปีแล้ว
แต่ก็ยังงามสพรั่ง ชนิดที่มิได้ด้อยไปกว่าเรือฟริเกตลำใดในราชนาวีไทย
ลองสมมติ ดูครับ...ฮิ ฮิ เผื่อ ชอบ....
จากรูป....สมมติ คงคุณลักษณะ การเป็นเรือปราบเรือดำน้ำ เนื่องจากมีระบบขับเคลื่อน แบบแก็สเทอร์ไบน์
มี LIMBO จำนวน 1 แท่น 3 ท่อยิง
มี รางปล่อยระเบิดน้ำลึก จำนวน 1 ราง
มี ท่อยิงตอร์ปิโด จำนวน 6 ท่อยิง
มี จรวดต่อต้านเรือผิวน้ำ ขนาด 2 - 4 ลูก
มี ปืน 4.7 นิ้ว 1 กระบอก
มี ปืน 40 ม.ม. แท่นคู่ 1 กระบอก
ระบบอาวุธ...จะด้อยกว่า Laksamana Class ของ มาเลเซีย คือ ไม่มี จรวดต่อสู้อากาศยาน มิสทรัล แท่น 4 ลูก....
ขอโทษครับ ข้อมูลผิดพลาด....
ปืน ขนาด 4.5 นิ้ว ครับ...
และ จุดด้อยกว่า เรือชั้น Laksamana Class คือ จรวด แอสปิเด้ แบบ 4 ท่อยิง ครับ...บ่ ใช่ มิสทรัล เด้อออ...
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรือหลวงมกุฏฯ ต้องแป้กสำหรับแนวความคิดการวางอาวุธหนักคือ เธอเคยถูกไฟใหม้อย่างหนัก ถึงขั้นเกือบสูญเสียอย่างถาวรครับ......................... การซ่อมแซมกลับมาใช้งานอาจทำให้เธอมีขีดความสามารถไม่เต็มประสิทธิภาพครับ...........................
แผนแบบดั้งเดิมถูกออกแบบเป็นเรือฟริเกตเอนกประสงค์ อาวุธปืน สี่นิ้วครึ่ง สองป้อมนั้น อำนาจการยิงถือว่าสูงมาก เมื่อได้รับการติดตั้งจรวดแซมแบบซีแค้ต และจรวดปราบด.เข้าไป จึงทำให้เธอทำการรบได้ครบ สามมิติ เรียกว่าสุดล้ำหน้าอย่างยิ่งในยุคนั้น...................................... แนวคิดหลังจากจรวดซีแคตหมดคุณค่า ได้มีการทดแทนอาวุธปืนอัตโนมัติ และวางเป้าหมายไว้เพื่อเป็นเรือฝึก..................................จริงๆผมก็เคยเสียดาย ขีดความสามารถทางกายภาพ โดยเฉพาะความเร็วที่รีดได้จากเครื่องกังหันก๊าซ เพราะเมื่อย้อนไปกว่าสิบห้าปีก่อน หากมีการติดตั้งจรวดต่อต้านเรือ อายุการใช้งานคงเหลือถือว่าคุ้มค่า..........................แต่อย่างว่าครับ เหตุผลที่ได้กล่าวแล้วน่าจะเป็นเรื่องใหญ่................มีต่อ
รูปแบบของท่าน juldas ก็ดีและงาม ครับ
แต่ผมเสียดาย ปืนท้ายฯ น่ะครับ
อีกทั้งระเบิดน้ำลึก นั้นจะหวังผลในทางยุทธวิถีสมัยใหม่คงจะยาก
ผมจึงคิดว่า ควรจะติด จรวดเรือสู่พื้น แทนที่รางปล่อยระเบิดน้ำลึก
ที่ท้ายเรือ น่าจะดี ส่วนจรวดฯ ที่ผมเชียร์ เป็น ฮาร์พูน 8 ท่อ
จรวดต่อสู้อากาศยาน ตำแหน่งที่จะติดได้ น่าจะเป็นการติดแทนที่
ปืน 40/70 แท่นคู่ ผมขอเชียร์ จรวดฯซีวูฟ แบบแท่นยิง 6 ท่อ
เพราะส่วนตัวอยากให้มีทายาทสืบทอดจาก จรวดฯซีแคท
และให้ติด ปืน 30/70 แท่นคู่ แบบเดียวกับที่ติดในเรือชุดคำรณสินธุ
(พร้อมระบบเรดาร์ควบคุมการยิงแบบดาร์โด จะได้เป็นระบบ CIWS)
แทนที่แท่นยิงตอร์ปิโด แต่เดิมตำแหน่งนี้เคยติด ปืนฯ40/70 เดี่ยวมาก่อน
(ย้ายแท่นยิงตอร์ฯไปติดกราบข้าง แท่นลิปโป/คงระบบลิปโปไว้)
สุดท้ายติดเป้าลวงตอร์ปิโด
ถ้าเป็นไปตามนี้มีหวัง เรือฟริเกต แถวๆนี้คงจะหนาวเหมือนกัน
ข้างบนที่ร่ายมา เป็นฝันของผม แม้มันจะยากส์ๆ
แต่ก็มีเฟืองตัวเล็กๆ ของกองทัพเรือ ก็ฝันคล้ายๆกับผม ฮิฮิฮิ
ถ้าจะเปรียบเทียบกันระหว่าง สี่สามๆ กับ สี่ห้าห้า จริงๆต้องบอกว่าสองนางนี้คนละรุ่น นางแรก เธอเลยเบญจเพศแล้ว กำลังจะเข้าสู่เลขสาม ขณะอีกนาง พึ่งพ้นจากวัยทีนเอจ กำลังจะก้าวสู่รุ่นซีเหนี่ย เรือนร่างที่เคยอวบอิ่มท้วมในแบบเบบี้แฝท บัดนี้เริ่มผอมซูบทว่ายังกระชับแน่นปึ๋งปั๋ง...............................
เธอคนแรกเกิดแต่ตระกูลผู้รากมากดี จัดเป็นผู้มีรสนิยมดูได้จากกำลังขับซึ่งบ่งบอกถึงความฟุ่มเฟือยหรูหรา สมองซีกขวาเธอโตกว่าซีกซ้าย เธอมีสายตาที่กวาดได้กว้างไกล ฉลาด ทว่าเธอพิจรณาทุกอย่างเป็นจินตนาการทางสูงที่ยากจับต้อง อ่อนไหวละเอียดอ่อน........................ ในโลกแห่งความจริงเธอสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่สังคมชาวพื้นที่นับวันเต็มไปด้วยวังวนและความหลอกลวง เธออาจอ่อนหัดในสายตาบางคน.....ฉลาดแต่ขาดเฉลียว........................คุณหนู คุณหนู...................
เธออีกคน ทื่อๆ คลุกฝุ่นเปื้อนดินแบบเซอๆ ใบหน้าที่ไม่ได้มีจุดเด่นทว่าก็มิใช่ขี้ริ้วขี้เหร่ เธอมีแรงขับเป็นสองเท่า นั่นแสดงว่าเธอเป็นสาวห้าวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เสียงดังเอะอะโวยวายในบางครั้ง ......................... ไร้รสนิยมไร้จินตนาการ ทว่าซื่อๆแต่จริงใจ นี่แหล่ะ แบบฉบับของสาวเปื้อนฝุ่น................... เธอเข้มแข็งและแกร่งพอที่จะจัดการกับสภาพการรอบๆตัวเธอได้ดี ................... แต่บางครั้งก็ทื่อเกินไปที่จะสัมผัสหรือรับรู้จินตนาการเชิงลึก.......................
เธอสองคนช่างแตกต่าง ทว่าหากเธอทั้งสอง เป็นเพื่อนรัก และอาจพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์แบบใหม่ ที่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร......................ไปนู่นเลยตู.......................
โอ้ยโห ท่านกบ
เรื่องไฟไหม้ เรือหลวงมกุฎราชกุมาร นี่
เหตุการณ์มันเกิดตั้งแต่ กระผมยังใส่ขาสั้นอยู่เลย(ท่านกบ ความจำดีจัง)
เรื่องครั้งนั้น กองทัพเรือ เก็บข่าว!!! ยอดเลยครับ
ทุกวันนี้ กระทั่งบทความฯ ปัจจุบันยังไม่มีให้อ่านเลย ครับ
แต่มีข้อมูลที่เป็นจริง จะแจ้งให้เพื่อนๆทราบว่า
เรื่องฯครั้งนั้น ทางกองทัพเรือ ได้ทำการแก้ไข/ซ่อมแซม
ร.ล.มกุฎฯ เป็นที่เรียบร้อย จนอาจกล่าวได้ว่า
ร.ล.มกุฎฯ ไม่มีผลกระทบหรือแม้กระทั่งแผลเป็นใดๆ จากเหตุฯครั้งนั้น
อันนี้ ผมขอยืนยัน ขอรับ
จากข้อมูล ท่านกบ...
เรื่องไฟไหม้ ขนาดหนัก...มันจะใช่ในส่วนของ เครื่องยนต์ แก้สเทอร์ไบน์ รึเปล่า ? ถ้าใช่...ปัจจุบัน 433 อาจจะเหลือแค่ ดีเซล อย่างเดียว...
ท่านอู๊ด...ผมว่า ในสภาพอ่าวไทย รางปล่อยระเบิดน้ำลึก ผมว่า น่าจะยังมีประสิทธิภาพ ที่น่ากลัวสำหรับเรือดำน้ำอยู่นะครับ....ในความเห็นผม...แต่ถ้าในฝั่งอันดามัน คงไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่....
ด้วยระดับความลึกเฉลี่ย 40 - 50 เมตร และระดับลึกสุดที่ 80 เมตร (ก็ไปอยู่แถว ๆ ภาคใต้ด้านสงขลา) กับ ระดับความลึกของ ระเบิดน้ำลึกที่ 100 เมตร...เรือดำน้ำที่เปิดเผยตัว จากการเกิดสงครามทางเรือ และมีการสูญเสียเรือรบ จากภัยคุกคามของ เรือดำน้ำ....ด้วยระดับความลึกของน้ำขนาดนี้ ถ้าเรือดำน้ำ ที่เป็นภัยคุกคามเป็นเรือขนาด 1,500 ตัน - 2,000 ตัน...ผมว่า ความคล่องตัวในการหนีจาก จุดจมเรือรบ คงไม่ง่ายเท่าไหร่...และความแม่นยำในร่องน้ำ ตื้น...ลึก...ของฝ่ายคุกคาม คงไม่น่าจะมั่นใจ ว่าจะ ดำ ไปตรงไหนก็ได้...ในระดับความลึกของทะเลที่มีสภาพเหมือนชายฝั่งของอ่าวไทย...อันนี้ ในความคิดเห็นของผมนะครับ...
คราวนี้ มันน่าจะอยู่ที่ว่า เรือ ทร. จะเร็วพอ ที่จะกำหนดจุด ต่อต้านเรือดำน้ำ ได้ทัน รึเปล่า....และ ระเบิดน้ำลึก น่าจะเป็นระบบอาวุธ ที่กดดัน ให้ข้าศึก หนีได้ช้าลง และกำหนดวง พื้นที่ ให้ เรา พอจะคาดหมาย....และพอจะนำเรือสนับสนุนการต่อต้านเรือดำน้ำ มาล่าทำลาย ไม่ให้ทันหนี ออกจากน่านน้ำไปก่อน....(เป็นความเห็น แบบชาวบ้าน นะครับท่าน 5 5 5 5)
ท่านกบ...
พออ่านความเห็นท่าน...มุมมองผมเลยกลายพันธ์....เห็น สี่สามสามเปรียบเหมือนสาวใหญ่ แบบกระดังงา ลนไฟ มันช่างหอม ยั่วยวน ชวนให้หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ แย่งกันจนฆ่ากันตายเน๊าะ...ส่วน สี่ห้าห้า เหมือน แม่แตงร่มใบ แก่นแก้ว แต่นอนแข็งทื่อ เป็นท่อนไม้...ที่มีแค่ปลัดหนุ่มหน้าใส กับ จิ๊กโก๋ ในหมู่บ้าน แย่งกันจีบ เมื่อตอนยังสาว ๆ....ที่พอแก่ตัวลง...ก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึง...5 5 5 5
เรียนท่าน จูลดาส........................
ผมเคยอ่านพบในหนังสือนาวิกศาสตร์ ฉบับปี 2530 (จำเดือนมิได้ ที่จำได้เพราะอ่านเจอในห้องสมุดโรงเรียนสมัย ม.3) มีภาพการติดตั้งเครื่องยนต์กังหันก๊าซ โดยมีการยกป้อมท้ายและดาดฟ้าออก ในภาพโชว์การยกเครื่องยนต์ใหม่เอี่ยมด้วยปั้นจั่นลงไปในตัวเรือ...................... แสดงให้เห็นว่า ต้นกำลังแบบกังหันก๊าซแกะกล่องใหม่ซิง ได้รับการเปลี่ยนทดแทนเข้าไปแล้ว......................................
กล่าวถึงปืน 4.5 นิ้ว วิคเก้อร์ จัดเป็นปืนเรือมาตรฐานอังกฤษ มีติดอยู่ในเรือรุ่นใหม่หลายลำ คาลิเบอร์ขนาดใหญ่นี้ สมัยหนึ่ง เคยติดธรรมเนียบปืนเรือประจำการใหญ่ที่สุดในทัพเรือไทย ก่อนจะถูกปืนห้านิ้วทั้งสองม้อดทุบสถิติลง.................
สำหรับซีแค้ตนั้น แม้จะมีขีดจำกัดอยู่หลายประการ แต่สำหรับในยุคนั้นเพียงพอกับภัยคุกคามอย่างสมน้ำสมเนื้อ ภายหลังเมื่อหมดคุณค่าลง การพิจารณาจัดหาอาวุธทดแทนก็มาลงตัวที่ปืนอัตโนมัติ 40 มม.ทรินิตี้ มีระบบไลร็อดเป็นตัวควบคุม แม้เผินๆ เหมือนจะลดทอนความสามารถลง แต่ก็ธำรงค์ขีดความสามารถของเรือ ได้ตามแนวทางที่ตั้งเป้าประสงค์..................................
ว่าไปแล้วอายุการใช้งานของเธอ ก็พอฟัดเหวี่ยงไล่เรี่ย กับเรือชุดพุทธยอดฟ้าฯ ในอนาคตเธอจะโดดเด่นในสถานะภาพความเป็นเรือฝึก ซึ่งบางครั้งต้องรอนแรมและขึ้นฝั่งไกลๆเพื่ออวดธงชาติ ...................ว่าไปแล้วด้วยสันฐานรูปลักษณ์ ระบบตรวจจับอิเลคทรอนิคส์ ก็ใช่ว่าขี้เหร่ ที่สำคัญคือ เจ้าลำกล้องเขื่อง สองบ้องหัวท้าย น่าจะโชว์ความคลาสิคตามแบบฉบับมาตรฐาน อันบ่งบอกพื้นภูมิในฐานะกองเรือเก่าแก่กองทัพหนึ่ง ซึ่งดีกว่าการติดตั้งด้วยอาวุธนำวิถี.....................
ตัวอย่างเรือที่มีรูปทรงใกล้เคียงกันกับ ร.ล.มกุฎราชกุมาร ที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมติด อวป.นำวิถีต่อต้าเรือผิวน้ำที่หาข้อมูลได้ก็เช่น เรือชั้นAlvand ของอิหร่านครับซึ่งติด C-802 ที่ผลิตเองในประเทศ 4นัด (แต่เรือของอิหร่านเป็นแบบ Vosper Mk.V)
ซึ่งการดัดแปลงติด อวป.นำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำนั้นก็ดังที่กล่าวในข้างต้นครับคือน่าจะติดที่ท้ายเรือที่เป็นรางปล่อยระเบิดน้ำลึกได้โดยไม่ต้องถอด ปืนใหญ่ 4.5"
อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวคิดร.ล.มกุฎราชกุมาร คงไม่น่าจะมีการติดตั้งอาวุธใหม่ใดๆเพิ่มเติมในอนาคตแล้วครับ
ท่านครูชนบท ความเห็นผมว่า...ซาดรัล...มันเหมือนระบบอาวุธป้องกันตนเองทางอากาศระยะใกล้...(ระยะ 6 ก.ม. น้อยกว่า ระยะปืนอีก) ถ้า 433 ไม่มีความสามารถในการโจมตีเรือ...ดูลักษณะ ภาระกิจ เป็นการลาดตระเวณภายในอ่าว...(มีอาวุธปืน กับ ตอร์ปิโด)...ไม่น่าจะเป็น เรือเชิงรุก ที่จะออกจากน่านน้ำ...คุกคามฝ่ายตรงข้ามได้...
ในส่วนของ ปืน 4.5 นิ้ว กับ 40 ม.ม. แท่นคู่ และ สมมุติ ถ้ามี อิกล่า แบบที่ท่าน nui-714...ผมว่า ก็น่าจะสามารถป้องกันตนเอง ได้พอสมควร...
ซาดรัล ผมว่า ก็ดูน่าจะแพงไป สำหรับการป้องกันเรือ ที่มีระบบอาวุธประจำเรือ คือ ปืน 4.5 นิ้ว 2 กระบอก ปืน 40 ม.ม. แท่นคู่ 1 กระบอก และท่อยิงตอร์ปิโด และแท่นยิงระเบิดน้ำลึก...ซึ่ง งบประมาณ ของ ซาดรัล 1 ระบบ น่าจะสามารถต่อเรือ ที่มีระบบอาวุธป้องกันอ่าวแบบ 433 ได้...ในความเห็นส่วนตัวนะครับ..
อันนี้ สมมติ...ว่าติด ฮาร์พูน...(สไตล์ แบบ เรือชั้น Ishikari และ Yubari ของ กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น)
กระทู้นี้ แฟนละคร ชื่นชีวานาวี มากันหลาย
ผมก็แฟนฯคนนึง รู้สึกว่า คุณทูน เล่นละครเรื่องนี้
จึงเกิดชอบชีวิตลูกนาวีขึ้นมาจริงๆ
จึงได้รับราชการทหารเรือ อยู่พักนึง
ไม่ทราบว่าอาการป่วยทางสายตาของ คุณทูน หายหรือยัง
ท่านใดๆทราบบ้าง อย่างไรเสียก็ขอให้อาการป่วยฯ
ของผู้บังคับการเรือหลวงมกุฎราชกุมาร (ในละครฯ)
หายขาดเป็นปกติ นะครับ
มีข้อสงสัยกันมากว่า ทำไมเรือหลวงมกุฎราขกุมาร ซึ่งเป็นเรือฟริเกต
แต่กลับไปสังกัดกองตรวจอ่าว
เหตุผลก็เพราะว่า ร.ล.มกุฏฯ ในกองเรือตรวจอ่าว
จะทำหน้าที่เป็นเรือบัญชาการ(ตรวจจับเป้า,ให้ข้อมูล)ให้แก่ เรือรจอ.ฯ
เรือรจอ. /รจป. มีขนาดเล็กจึงตรวจจับเป้าฯได้ระยะใกล้
จึงต้องมีเรือใหญ่หรือเรือที่มีระยะตรวจไกลกว่า ให้ข้อมูลฯ
เปรียบได้ว่า ร.ล.มกุฎฯ เป็นอีริคอาย เรือ รจอ./รจป. เป็น แจสฯ
อย่างงัยอย่างนั้น
ปัจจุบัน บทบาทเรือเร็วโจมตี ลดลง
ร.ล.มกุฎฯ ก็อาจจะไม่ได้ทำให้หน้าที่ดังกล่าวแล้ว
กอปรการเข้าประจำการของเรือชุดปัตตานีซึ่งทำหน้าที่แทนร.ล.มกุฏฯได้
ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่เหมือนกันที่ ร.ล.มกุฏฯ จะย้ายมาอยู่กองเรือฟริเกต
อนึ่ง มีอยู่ช่วงหนึ่ง ร.ล.มกุฏฯ เคยย้ายมาประจำ กองเรือปราบเรือดำน้ำ
ซึ่งก็คือ กองเรือฟริเกตฯ ในปัจจุบัน