หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


อนาคตเรือดำน้ำไทย: เพื่อยุทธศาสตร์ความมั่นคง

โดยคุณ : Ronin เมื่อวันที่ : 23/03/2009 12:28:30

อนาคตเรือดำน้ำไทย: เพื่อยุทธศาสตร์ความมั่นคง


            ในข้อเท็จจริง กองทัพเรือ มีแนวความคิดที่จะปรับปรุง  และสร้างกำลังรบทางเรือให้เข้มแข็ง มีความทันสมัยเพื่อถ่วงดุลอำนาจทางทะเลกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ทั้งการเดินเรือพาณิชย์ การคุ้มครองเรือประมง และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่นแหล่งก๊าซ ตลอดจนแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลไทย

          จากการติดตามข่าวสิ่งที่กองทัพเรือได้นำเสนอเรียกร้องขอมาโดยตลอดแต่ก็ยังไม่มีรัฐบาลใดเล็งเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์อันจะพึงได้รับนั่นก็คือ เรือดำน้ำ แต่ก็ใช่ว่าประเทศไทยเราจะไม่เคยมีเรือดำน้ำมาก่อนเลยก็หาไม่ แท้จริงแล้วประเทศเราเคยมีเรือดำน้ำมาก่อนซึ่งได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก

            ในระยะแรกนั้น เรือดำน้ำเป็นกำลังรบที่ใหม่ ทรงอานุภาพทางทะเลมากที่สุด เพราะสามารถกำบังตัว หรือหลบหนีด้วยการดำน้ำ สามารถเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ซึ่งเรือผิวน้ำไม่สามารถเข้าไปได้ และมีอาวุธตอร์ปิโดอันเป็นอาวุธสำคัญที่เป็นอันตรายแก่เรือผิวน้ำมากที่สุด ไม่มีเครื่องมือค้นหา และอาวุธปราบเรือดำน้ำที่จะทำอันตรายแก่เรือดำน้ำได้ ดังเช่นปัจจุบันนี้ จึงนับได้ว่าเรือดำน้ำ เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง 


            เรือดำน้ำได้อยู่ในแนวความคิดของกองทัพเรือไทยมาตั้งแต่ พ.ศ.2453 แล้ว จะเห็นได้จากโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ.2453ซึ่งมีคณะกรรมการอันประกอบด้วย นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (ต่อมาเป็น นายพลเรือเอก กรมหลวงฯ) นายพลเรือตรี พระยาราชวังสวรรค์ (ฉ่าง แสง-ชูโต ต่อมาเป็นนายพลเรือเอก พระยามหาโยธา) และนายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร (ต่อมาได้เป็นนายพลเรือเอก กรมหลวงฯ) ได้จัดทำขึ้นถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต (ต่อมาเป็น จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระฯ) เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และเสนาบดีฯ ทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 มกราคม ร.ศ.129 (พ.ศ. 2453)

            โครงการนี้ได้กำหนดให้มี “เรือ ส.(1) จำนวน 6 ลำ” ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้อธิบายไว้ว่า “เรือ ส. คือเรือดำน้ำสำหรับลอบทำลายเรือใหญ่ข้าศึก….. แต่ยังกล่าวให้ชัดไม่ได้เพราะยังไม่เคยลงแลลอง แต่ที่พูดถึงด้วยนี้โดยเห็นว่าต่อไปภายหน้าการศึกษาสงครามจะต้องใช้เป็นมั่นคง แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้” เวลานั้นเรือดำน้ำเป็นอาวุธที่นาวีของมหาอำนาจในยุโรปกำลังพัฒนาและทดลองใช้อยู่

            ต่อมาใน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ออกจากประจำการ และต้องจ้าง นายนาวาเอก ชไนด์เลอร์ (J.Schneidler) นายทหารเรือชาติสวีเดนเข้ามาเป็นที่ปรึกษาการทหารเรือ ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 นายนาวาเอก ชไนด์เลอร์ ได้เสนอโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือสำหรับป้องกันประเทศ และได้กล่าวถึง “เรือดำน้ำ” ว่า “เป็นเรือที่ดีมากสำหรับป้องกันกรุงเทพฯ แต่จะผ่านเข้าออกสันดอนลำบาก ถ้าเก็บไว้ในแม่น้ำก็ไม่คุ้มค้า” และได้เสนอไว้ในโครงการให้มีเรือดำน้ำ 8 ลำ สำหรับประจำอยู่กับกองทัพเรือที่จันทบุรี

            ทหารเรือไทยและคนไทยได้มีโอกาสเห็นเรือดำน้ำจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ไซ่ง่อน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2454 ในโอกาสที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จประพาสอินโดจีนฝรั่งเศส ได้จัดเรือดำน้ำมาแล่น และดำถวายให้ทอดพระเนตรในบริเวณที่เรือพระที่นั่งมหาจักรีเทียบท่าอยู่


เรือดำน้ำในกองทัพเรือไทย (มี 4 ลำ)

1.       ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่สอง (ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่หนึ่ง เป็นเรือใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) 

2.        ร.ล.วิรุณ

3.       ร.ล.สินสมุทร

4.       ร.ล.พลายชุมพล

            เรือเหล่านี้ขึ้นระวางประจำการและ ได้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญคือ เมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส หลังจากที่ ร.ล.ธนบุรี และเรือตอร์ปิโดถูกเรือรบฝรั่งเศสยิงจมแล้ว เรือดำน้ำ 4 ลำได้ลาดตระเวนเป็นแถว อยู่หน้าบริเวณฐานทัพเรือของอินโดจีนฝรั่งเศส ใช้เวลาอยู่ใต้น้ำทั้งสิ้นลำละ 12 ชั่วโมงขึ้นไป นับเป็นการดำน้ำที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มมี หมวดเรือดำน้ำเป็นต้นมา


                ในปัจจุบันเรือหลวงมัจฉานุ ซึ่งเป็นเรือดำน้ำรุ่นแรกของกองทัพเรือไทยได้ถูกเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี และ วีรกรรมของวีรชนทหารเรือผู้กล้าจากสมรภูมิและยุทธนาวีที่สำคัญของกองทัพเรือในอดีตนำมาจัดแสดงในรูปแบบของอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เช่น เรือดำน้ำขนาดเท่าลำจริง เครื่องบินทะเล ปืนกลแกตเตอริ่ง และปืนเที่ยง ในสมัยรัชกาลที่ ๕

สำหรับกองเรือของไทยปัจจุบันมีกี่ลำสามารถดูได้ที่เรือรบหลวงราชนาวีไทย

http://us.geocities.com/ming1627b/rtn-ship.htm

เมื่อหันกลับมามองเรือดำน้ำของประเทศเพื่อนบ้านตอนนี้ประเทศที่มีอาณาเขตทางทะเลติดต่อกับบ้านเราทั้งฝั่วอ่าวไทยและฝั่งอันดามันที่มีเรือดำน้ำคือ

  • ประเทศอินเดีย: เรือดำน้ำ SS จำนวน 5 ลำ, เรือดำน้ำ SSK (เรือดำน้ำมีความสามารถในการทำสงครามปราบเรือดำน้ำ (ASW - Anti-submarine Warfare) ด้วย) จำนวน 14 ลำ
  • ประเทศอินโดนีเซีย: เรือดำน้ำ SSK จำนวน 2 ลำ
  • ประเทศมาเลเซีย: เรือดำน้ำ SSK จำนวน 2 ลำ
  • ประเทศเวียดนาม: เรือดำน้ำ SSK จำนวน 2 ลำ
  • ส่วนประเทศสิงค์โปร์ได้เจรจาซื้อเรือดำน้ำจากสวีเดน ซึ่งใกล้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับข้อตกลงที่สวีเดนจะขายเรือดำน้ำดีเซลชั้น Type A17 Vastergotland ให้กับสิงคโปร์ ในระหว่างการเจรจา สื่อมวลชนในสวีเดนเสนอข่าวเกี่ยวกับเรือดำน้ำ SSK Vastergotland และ SSK Halsingland ซึ่งเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2530 และ พ.ศ. 2531 ตามลำดับ ว่าเรือดำน้ำทั้งสองลำจะถูกปลดออกจากประจำการก่อนกำหนด เนื่องมาจากนโยบายลดจำนวนเรือดำน้ำ และจะถูกขายต่อให้กับสิงคโปร์ภายใต้สัญญามูลค่าประมาณ 128 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

ดูสรรพกำลังของกองเรือสิงคโปร์ได้ที่

http://en.wikipedia.org/wiki/Republic_of_Singapore_Navy

 

            ไม่แน่ครับว่าเรือดำน้ำเหล่านี้อาจจะเป็นภัยคุกคาม ที่สำคัญต่อการรักษาสมดุลย์ของกำลังทางเรือของชาติต่างๆ ในภูมิภาค รวมทั้งจะเสริมสร้างขีดความสามารถในการสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือของชาติที่มีเรือดำน้ำประจำการได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากการลาดตระเวนสอดแนมความเคลื่อนไหวของประเทศเพื่อนบ้านและการป้องปราม ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของชาติครับ

 

            อย่างไรก็ตามก็มีความหวังกับการผลักดันในเรื่องการทำการบาร์เตอร์เทรดแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทยกับ  เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า (The diesel-electric submarine) มาใช้ประจำการมาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าน่าจะมีประเทศเริ่มต้นที่จะยินดีทำการบาร์เตอร์เทรด  ก็คือ. รัสเซีย, จีน และสวีเดน ฯลฯ

            ทางด้านรัสเซียนั้น รัสเซียมี เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นกิโล (Kilo class ) ซึ่งเป็นเรือดำน้ำ ที่มีเสียงเงียบมากซึ่งยากแก่การตรวจจับ จนชาติตะวันตกให้สมญานามว่า หลุมดำแห่งมหาสมุทร “A Black Hole in the Ocean”. และมีระบบโซน่าตรวจการณ์ (Highly-sensitive passive sonar)ได้ไกลกว่า เรือดำน้ำของชาติตะวันตก ประกอบในการต่อสู้ประลองยุทธทางทะเล ของ ทร.อินเดีย เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นกิโล ที่มีระบบตรวจจับที่ไกลกว่า ของอินเดีย สามารถใช้โซน่าประจำเรือตรวจจับ เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า แบบ 209 (TYPE 209) ของอินเดีย ที่ผลิตจากเยอรมัน แล้วยิงตอร์ปิโดทำลายเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า แบบ 209 (TYPE 209) ได้เสียก่อนที่ เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า แบบ 209 (TYPE 209) จะตรวจพบ เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นกิโล เสียอีก

            รัสเซียมีความประสงค์จะจัดจำหน่าย เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นกิโล ให้แก่ประเทศต่างๆในกลุ่มประเทศอาเซียน และเดิมรัสเซียได้เคยเสนอขายและนำเอา เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นกิโล ของรัสเซีย มาแวะจอดให้ไทยเราชมถึงท่าเรือของไทย และรัสเซียยังได้ยื่นข้อเสนอแก่ เวียดนามลูกค้าขาประจำผู้ซื้ออาวุธของรัสเซีย ด้วยเงื่อนไขที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือให้เวียดนามจัดหาเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นกิโล จากรัสเซีย โดยวิธี บาร์เตอร์เทรดแลกเปลี่ยนเรือดำน้ำของเขากับสินค้าเกษตรของเวียดนาม  

            ทางด้านของจีนนั้น  น่าจะยินดีทำการบาร์เตอร์เทรดแลกเปลี่ยนเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้าของเขากับสินค้าเกษตรของไทย โดยไม่ต้องจัดหาซื้อมาด้วยเงินสด แม้จีนจะไม่ใช่ประเทศที่ต่อเก่งเชี่ยวชาญในการผลิตต่อเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า แต่จีนก็พยายามพึ่งพาตนเองและพัฒนาความสามารถในการผลิตต่อเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า มาโดยตลอด ข้อดีของ เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ของจีนก็คือ มีการผสมผสานเอาระบบอำนวยการเรือ, โซน่า และเครื่องยนต์ จาก ทั้ง รัสเซีย , ฝรั่งเศส และเยอรมัน มาติดตั้งในเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ของจีน อีกทั้งในเรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้ารุ่นหลังๆของจีนได้มีการติดตั้งระบบตอร์ปิโด 533mm wire-guided torpedos และ ระบบขีปนาวุธ YJ-82 AshMs ของจีน และ คลับเอส (AShM Club S และ LACM Club S) ของรัสเซีย ซึ่งสามารถยิงจากใต้น้ำ ไปโจมตีได้ทั้งเรือรบของศัตรู และยิงจากใต้น้ำไปโจมตีจุดยุทธศาสตร์บนพื้นดิน ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งมีราคาเรือถูกว่า เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ที่ต่อจากประเทศตะวันตก สองถึงสามเช่นกันกับของรัสเซีย

            แต่เมื่อทาง ทร.ไทย ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไปเยี่ยมชมเรือแล้ว กลับพบว่าเรือดังกล่าวสมรรถนะของเรือดังกล่าวของจีน ยังล้าสมัยและยังไม่พัฒนาไปได้ดีเท่าที่ควร จึงเชื่อว่า แผนแบบ เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ของจีน ที่จีนจะเสนอทำการบาร์เตอร์เทรดแลกเปลี่ยนเรือดำน้ำของเขากับสินค้าเกษตรของไทย น่าจะเป็นระหว่าง เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นซ่ง (Song class diesel-electric submarine Type 039) และ เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นหยาง (Yuan class diesel-electric submarine Type 039A)

 

            ส่วนทางด้านสวีเดน เนื่องจากสวีเดนได้เสนอข้อตกลงทำการบาร์เตอร์เทรดแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทยกับ บ.JAS-39 กริเป้น โดยมีข้อเสนอของแถมอีกมากมาย ประกอบกับรัฐบาลไทยในสมัยท่านนายกฯบรรหาร ได้เคยมีโครงการจะจัดหา เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นก็อตแลนด์ (A-19 Gotland class diesel-electric submarine) ผลิตโดย บริษัทค็อกคูม (KOCKUM) จากสวีเดนมาประจำการใน ทร.ไทย แต่ขณะนั้นได้ประสพปัญหาถูกสื่อของทั้งสวีเดนและไทย ออกข่าวโจมตีกล่าวหาว่ามีการให้ค่าคอมมิชั่นในการจัดซื้อให้แก่คนในรัฐบาลไทย รัฐบาลในสมัยนั้น จนเป็นเหตุให้ถูกระงับโครงการจัดหา เรือดำน้ำ ดีเซล-ไฟฟ้า ชั้นก็อตแลนด์ (A-19 Gotland class diesel-electric submarine)  

 

            ผมหวังเพียงว่ารัฐบาลจะตกลงแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกับเรือดำน้ำซัก 6 ลำในเร็ว ๆ นี้ครับ โดยที่ต้องตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดหาอย่างโปร่งใสด้วยครับ เพราะอนาคตผมคิดว่าสงครามทางทะเลจะคุกรุ่นขึ้นเพราะใต้ทะเลก็จะมีแต่เรือดำน้ำของประเทศยักษ์ใหญ่ และประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งในราชอาณาจักรไทยจำเป็นต้องสร้างแสนยานุภาพไม่ให้ด้อยกว่าใครครับ

 

โดย อาคม
ที่มา : http://www.oknation.net




ความคิดเห็นที่ 1


ผมว่านะ กองทัพเืรือจะมีเรือดำน้ำได้ ไม่ได้อยู่ที่กองทัพเรือเองหรอก เพราะกองทัพเรืออยากได้มานานแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับรัฐบาลมากกว่า ผมว่านะถ้าเราปรับลดกำลังทหารบก และทหารอากาศลง ให้อยู่ในระดับเล็ก แต่แจ๋ว แล้วนำงบประมาณมาปรับปรุงกองทัพเรือของเราจะดีกว่ามั้ยครับ อย่างเช่น ให้มีเรือดำน้ำสัก 6-12 ลำ เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ av-8b มือสองก็ได้ คงไม่ต้องรอ f-35 หรอก เพราะมันเกิน สิบปีแน่ๆ(เรือจักรีฯคงผุพังซะก่อน) เรือ aegis สัก 6 ลำ เป็นต้น เพราะผมมองว่าถ้าจะข่มประเทศอื่น ผมว่ากำลังทางเรือนี่แหละ สำคัญที่สุด เพราะมีทั้งกำลังทางอากาศ กองเรือ ที่ทำการรบได้ทุกน่านน้ำทั่วโลก อีกทั้งกองกำลังนาวิกโยธิน

ปล.ทำไมที่จันทบุรีถึงไม่มีฐานทัพเรือหล่ะครับ ผมว่ามันน่าจะสำคัญกว่าฐานทัพเรือสัตหีบซะอีก เพราะตั้งอยู่ด้านนอกของอ่าวไทย ไม่ได้อยู่ด้านในเหมือนสัตหีบ และอีกอย่างสัตหีบก็อยู่ใกล้กันกับฐานทัพเรือกรุงเทพฯ ฐานทัพเรือสองแห่งมันไม่ใกล้กันเกินไปเหรอครับ
โดยคุณ swakoft เมื่อวันที่ 28/02/2009 10:20:38


ความคิดเห็นที่ 2


ตอบแบบตรงๆ ถ้ากองทัพเรืออยากได้เรือดำน้ำสองลำตามแผนบริหาร

หนึ่ง รัฐบาลต้องจัดเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าช่วงเศรษฐกิจดี ถึงสองเท่า

สอง ประชาชนไทยก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างมากถึงมากที่สุดในการจ่ายภาษี เพื่อจะได้มีอาวุธไปต่อกรกับอริศัตรูได้ คนไทย หกสิบห้าล้านคนก็ต้องจ่ายภาษีกันหน้าชื่นตาบาน

อีกทั้งตัดงบประมาณด้านสังคมทิ้งให้หมดแล้วมาลงด้านอาวุธเรือดำน้ำอย่างเดียว พอๆกับซื้อเครื่องบินเจ็ตหนึ่งฝูงบินเลย

  ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ทั่วไปการซื้ออาวุธมันไม่ใช่การลงทุนที่เพิ่มผลผลิต เมื่อซื้อมาก็คิดค่าเสื่อมราคาตามบัญชีทันทีมิต้องสงสัย

กองทัพเรืออยากได้ รัฐบาลเห็นความสำคัญ แต่ปัจจัยทรัพยากรคือ money จะเอาจากไหนครับ แค่ให้งบประมาณผ่านสภาผู้แทนผมว่าสามารถทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้แน่นอนชัวร์ ถ้าจัดซื้อเรือดำน้ำอีกทีหนึ่ง

โดยคุณ siamman18 เมื่อวันที่ 28/02/2009 11:05:55


ความคิดเห็นที่ 3


ปล.ทำไมที่จันทบุรีถึงไม่มีฐานทัพเรือหล่ะครับ ผมว่ามันน่าจะสำคัญกว่าฐานทัพเรือสัตหีบซะอีก เพราะตั้งอยู่ด้านนอกของอ่าวไทย ไม่ได้อยู่ด้านในเหมือนสัตหีบ และอีกอย่างสัตหีบก็อยู่ใกล้กันกับฐานทัพเรือกรุงเทพฯ ฐานทัพเรือสองแห่งมันไม่ใกล้กันเกินไปเหรอครับ

   ตอบปัญหาสำหรับท่านนี้ คือว่า ฐานทัพเรือโดยทั่วไปต้องมีรูปเป็นอ่าว ป้องกันลมพายุได้ดี และความลึกของฐานทัพเรือต้องลึกพอที่จะให้เรือขับน้ำระวาง 10000 ตันจอดเทียบท่าเรือได้

   การจะเลือกท่าเรือก็ต้องดูภูมิประเทศให้ดี ว่าตรงตามข้อกำหนดที่ว่านี้ได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะสร้างแบบสร้างบ้านบนบกไม่ใช่นะฮะ มันค่อนข้างยากนิดนึงและการสร้างท่าเรือแบบขนาดใหญ่ ราคาแสนจะแพงมากๆ พอๆกับสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเลยก็ว่าได้ อีกทั้ง ฐานทัพเรือในประเทศไทยก็มีครอบคลุมหมด ทั้งฐานทัพเรือกรุงเทพ ฐานทัพเรือสมุทรปราการ

ฐานทัพเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสงขลา ฐานทัพเรือพังงา แค่สี่ฐานนี้ก็น่าจะเพียงพอกับการปฏิบัติการทางสงครามได้แล้วไม่ต้องสร้างเยอะหรอกครับแพงบริหารงานลำบาก

    เอาแค่สร้างท่าเรือพาณิชย์ทางใต้ตามจังหวัดต่างๆ การพัฒนาแหล่งอุตสาหกรรมต่าง ตั้งแต่ประจวบ ลงไปจนถึงปัตตานี เป็นนำความเจริญตามมุมมองของรัฐบาลแต่ว่า เกิดการต่อต้านแบบขนานใหญ่ในภาคใต้ของเราอย่างมากจนถึงมากที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะอาไรกันหนอ

โดยคุณ siamman18 เมื่อวันที่ 28/02/2009 11:23:27


ความคิดเห็นที่ 4


  ทร.จำเป็นต้องมีเรือดำนำ้มากๆเพราะ เรือ เครื่องบิน ที่มีอยู่ไม่พอขู่หรอก
ครับ ต้องมากกว่านี้ ดูตอนที่เราได้รับเรือ 911 เพื่อนบ้านเราไปซื้อเรือดำนำ้
กันเป็นแถว ทร.จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์บอกเล่าถึงความจำเป็นที่ต้องมีเรือ
ดำนำ้ให้ทุกภาคส่วนรับรู้และจัดหาเรือที่เหมาะสมกับปัจจุบัน ถ้า2ลำราคา
40000 ล้าน นี่ผมว่าฝันค้างแน่ สู้จัดหาของดีราคาถูกอย่างของรัสเซีย โดย
ค่อยๆทยอยซื้อทีละลำก็ได้ งบประมาณที่ตั้งก็จะไม่ดูสูงจนเกินไปนัก นย.ไม่รู้
จะได้รถหุ้มเกราะกับเขาเมื่อไรจะแห้วหรือเปล่าเนี่ย
โดยคุณ Taa เมื่อวันที่ 01/03/2009 22:45:03


ความคิดเห็นที่ 5


ที่จริงยุคสมัยนี้ เราก็ไม่รู้จะไปรบกับใครนะครับ แต่การมีเรือดำน้ำ ผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่เมื่อไหร่เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องคุณภาพ ประสิทธิภาพ ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ ที่แน่ ๆ เวลารบจริง ก็อยู่ที่จังหวะบวกดวงบวกฝีมือด้วย พอดีอ่านบทความของท่านโรนิน แล้วสะกิดใจเลย ถ้าผู้ขายยอมขายแบบ บราเตอร์เทรด นะครับ เค้ายอมขายให้กี่ลำ ก็ซื้อไปเถอะเพราะอะไร ถ้านำสินค้าเกษตรไปแลกเปลี่ยนหรือตีมูลค่าได้ นะครับ สมมุตดีกว่า

ราคาเรือดำน้ำ 20000 ล้าน ขายให้ไทย 4 ลำ เป็นมูลค่า 80000 ล้านบาท
แลกเปลี่ยน กับ ข้าวสาร น้ำตาล แป้ง ยางพารา ประมาณ 50 % หมายความว่า เราจะขายสินค้าเหล่านี้ ได้ถึง 40000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เราก็เสียเงินเหล่านี้ ในการอุดหนุนสินค้าเกษตรอยู่แล้ว ผมว่ารัฐบาลคุ้มที่สุดแล้วล่ะครับ ได้ทั้งอาวุธเพื่อป้องกันประเทศและ ยังสามารถพยุงราคาสินค้าเกษตรไปในตัวในตัวด้วย

แต่ปัญหา ผมแ่น่ใจว่า สวีเดน รัสเซีย หรือ จีน เอง จะยอมขาย เรือดำน้ำให้เราแบบนี้รึป่าวครับ
โดยคุณ tantongs เมื่อวันที่ 02/03/2009 02:16:42


ความคิดเห็นที่ 6


ปัญหาการแลกสินค้าทางการเกษตรกับการซื้ออาวุธ
ไม่ได้อยู่กับทางประเทศที่เราซื้ออาวุธ
แต่เป็นปัญหากับพวกนายหน้า ค้าอาวุธทั้งหลายที่ไม่ยอมรับ

โดยคุณ e21cye เมื่อวันที่ 04/03/2009 01:23:14


ความคิดเห็นที่ 7


เหอะๆๆๆๆ สงสัยต้องรอให้ลูกกระสุนปืนเรือ บินผ่านหัวคณะรัฐมนตรีก่อน>>>>>>>ศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง สังคมให้ดีก่อนครับเรื่องนี้ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มถดถอยตั้งแต่ปี 2540 และพอทำท่าจะฟื้น ก็มีปัญหาทางการเมืองเข้ามาอีก เศรษฐกิจของไทยเลยไม่ค่อยดี  ถ้าเป็นช่วงปี 2530-2359  เรามีศักยภาพที่จะซื้อได้สบายๆครับ


ของดีๆใครๆก็อยากได้ครับ  แต่เรื่องแบบนี้ ต้องมองหลายมุมมองไม่ใช่หรือ ครับ  ถ้าเกิดสมมุติคุณchampเป็นรัฐบาลในตอนนี้ระหว่างเงิน 40,000 ล้านบาท มาซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ  กับเอาเิงิน 40,000 ล้านบาท มาสร้างระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะการขนส่งระบบราง คุณchamp จะเอาแบบไหนครับ  ถ้าเกิดทำประชาพิจารณ์  ผมว่า ระบบสาธารณูปโภคมาก่อนแน่ๆครับ  เพราะจะเป็นการสร้างพื้นฐานความมั่นคงของเศรษฐกิจของประเทศไทยได้


อย่างที่เคยบอกไปนะครับ  เวลาจะโพสข้อความอะไรออกมา อย่าเอาแต่สนองตัณหาอารมณ์ของตัวเอง  แม้จะอ้างว่าทำเพือประชด แต่หลายๆครั้งที่ออกมาผมบอกได้นะครับ  ว่าเป็นแนวเกรียน

ดูหลักความเป็นจริงบ้างนะครับพิมพ์อะไรออกมาคิดให้ดี ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนซะก่อน  เรื่องบางเรื่องเอามาเล่นได้ แต่เรื่องบางเรื่องไม่ควร โตจนใช้คอมฯได้น่าจะพอรู้แล้วนะครับอะไรควรหรือไม่ควร
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 04/03/2009 10:34:25


ความคิดเห็นที่ 8


 มาลงชื่อแสดงตัวตน ว่าอ่านนะ ฮ่าฮ่าฮ่า

ทะเลวิ่งตามเหม่งเป็นคลื่น

โดยคุณ marineen เมื่อวันที่ 04/03/2009 11:15:37


ความคิดเห็นที่ 9


ผมว่า รัฐบาลบอกว่าต้องเอาเงินมาพัฒนาประเทศ
แต่เท่าที่ดูแล้วบางโครงการก็ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรเลย
คุณคิดว่าเอาเงินหลายล้านมาพัฒนากีฬาให้ไปสู่ระดับโลก
คิดว่าอีกกี่ปีหรอครับที่จะไปได้ระดับโลก
ผมว่าเอาซักอย่างสองอย่าง ให้ดีไปเลยไม่ได้หรือ ให้เวลาพูดถึงกีฬานี้ก็ต้องนึกถึงประเทศไทยน่ะ เช่น ฟุตซอล หรือมวยไทยก็ได้

อยากถามว่ามันเร่งด่วนไหม เมื่ีอเทียบกับความมั่นคงแล้ว ใครจะมารับประกันความมั่นคงของประเทศได้ หากเราไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์
 
ผมว่าเป็นข้ออ้างของหลายๆคนมากกว่าในเรื่องการพัฒนาประเทศ เพราะมันต้องพัฒนาควบคู่กันไป ไม่งั้นทุกประเทศเขาจะซื้ออาวุธกันหรือครับ เค้าก็มีปัญหาเศรษฐกิจเหมือนเรานั่นแหละ แต่ต่างตรงที่นักการเมืองเรามัวแต่สนใจโครงการที่หาผลประโยชน์ได้เท่านั้นแหละ ซึ่งโครงการพวกนี้ก็จะกระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆที่มิใช้กระทรวงกลาโหมนั่นเอง 
 
ลองดูง่ายๆ ตึกหรืออาคารของกระทรวงต่างๆน่ะ สร้างก้นหรูหรามากเลย เอาเงินมาทำให้อุปกรณ์บนเรือใช้ได้100%ไม่ดีกว่าหรือ เพราะต้องใช้งานจริงๆ
นี่ยังไม่รวมพวกงป.สัมมนาของหน่วยงานต่าง ที่ต้องไปโรงแรมหรูๆ ขึ้นรถบัสไปจังหวัดไกลๆ ไปพักกันในรีสอร์ท  นี่ตกลงประเทศเราจนหรือรวยกันแน่เนี่ย หรือว่าหน่วยงานเหล่านั้นงป.เหลือเลยต้องรีบใช้ให้หมด

 เวลามีข่าวจะซื้ออาวุธทีนึง สมมติซักหมื่นล้าน เอาละ ต้องมีคนบอกว่าเอามาสร้างถนน ช่วยเกษตรกรไม่ดีกว่าหรือ

ผมก็เลยขอเถียงบ้างไงครับว่า เอาเงินที่ไปจ้างโค้ชกีฬาต่างชาติแต่หลายสิบปีแล้วยังไปบอลโลกไม่ได้ซักที  เอาเงินที่ในปีหนึ่งๆหน่วยงานรัฐบาลจัดไปเที่ยวกัน  ฯลฯ มาซื้ออาวุธที่มีความจำเป็นไม่ดีกว่าหรือครับ
  (ช่วยกันนึกหน่อยแล้วกัน ว่าปัจจุบันไทยต้องจ่ายค่าอะไรที่ไม่มีความจำเป็นอีก)

ขอเถียงอีกเรื่องนะครับ ที่บอกว่าสมัยนี้ไม่รู้จะไปรบกับใคร
คุณแน่ใจหรือครับว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
ความขัดแย้งสมัยนี้ จู่ๆถ้าจะเกิด มันก็เกิดขึ้นได้นะครับ
แค่ความขัดแย้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เราก็มีอยู่รอบๆบ้านอยู่แล้วแหละ จะเป็นเรืองระหว่างประเทศเมื่อไรใครจะรู้ได้ ถ้ามีเรื่องกันจริงๆ คุณอยากให้เรารบชนะรึเปล่าล่ะ



โดยคุณ navinoff เมื่อวันที่ 23/03/2009 01:28:30