อยากทราบความแตกต่างระหว่างHK 33 กับG3 ครับ
ระบบกลไกภายใน แตกต่างกันไหมครับ
แล้วสภาพการใช้งานถ้าเทียบกับปืนไรเฟิลอย่างM4 AK-47 พอจะสมบุกสมบันสู้ได้ไหมครับ
แล้วคำถามสุดท้าย Hk 33ZF คือ G3SG1 หรือเปล่าครับ(รูปตอนไปฝึก ร.ด. มันก็คล้ายๆกัน คือติดกล้องเหมือนกัน)
....ในความเห็นผมก็คล้าย ๆ คับ HK.33 กับ AK.47 เป็นปืนที่มีอะไร ๆ ด้านกลไกคล้ายกันยังกะปืนฝาแฝด....
....ระบบศูนย์เล็ง เหมือนกัน ศูนย์หน้าตายตัว ปรับสูง-ต่ำ ซ้าย-ขวา ที่ศูนย์หลังที่เดียว เหมือนกัน....
....ระบบสปริงรีคอล์ย แบบเทินหลังลูกเลื่อนเหมือนกัน รีคอล์ยแบบนี้ไม่ได้ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากท้ายลูกเลื่อน ปืนที่ใช้รีคอล์ยแบบนี้ ถีบหนักเหมือนกันคับ...
....หนักยังกะปืนกลเบา เหมือนกัน....
....ยิงนัดแรกถ้าไม่โดน โอกาสจะซ้ำนัดสอง เสี่ยงสูง เหมือนกัน....
...ที่ห่วยแตกที่สุดของ HK.33 คือ ระบบห้ามไกห่วยแตกคับ ขึ้นลำไว้เผลอทำหล่นพานท้ายกระแทกพื้น ตำรวจคางพรุนมาหลายศพแล้วคับทั่น....
....และ ไม่ว่าปืนอะไรถ้าเจอโคลนอุดลำกล้อง เดี้ยงเหมือนกันคับ....
...HK.G3 เป็นปืนกระสุนขนาด 7.62 มม. ส่วน HK.33 ใช้กระสุนแบบเดียวกับ เอ็ม.16 คับ....
....ถ้าเอ็ม.16 มันห่วยแตกขนาดนั้น อเมริกันเป็นมหาอำนาจบ่ได้คับ พวกใช้อาก้ามีแต่ราคาคุย รบได้แต่กองโจรสูตรเดียว เพราะขืนเอาอาก้ามาลุยกับ เอ็ม.16 ซึ่ง ๆ หน้า ตายหงส์ตายห่านหมดกองพันล่ะคับ เอ็ม.16 นัดเดียวสั่งตายคับ...
....คนที่โดนเอ็ม.16 แล้วรอดมาคุยได้ มีแต่โดนเฉี่ยว ๆ คับ โดนเต็ม ๆ ใบ ยังไม่เคยมีใครกลับมากินข้าวบ้านได้ซักคนคับ....
....ลอง ๆ เอารูปปืนทั้ง 3 แบบมากองดูเลยคับ....
....แบบแรก Hacler & Kosh G.3 ไล่กันเป็นรุ่นคับ....
H & K G.3
....ต่อมาก็ H&K G.3A1 คับ...
.....รุ่นที่ดูหน้าตาดีของ H&K. G3 ก็ต้องนี่คับ H&K. G.3A4
....ทีนี้ มาดู AK.47 กันมั่ง คำว่า "อา-กา" เป็นสำเนียงชาวสล๊าฟ ที่ออกเสียงอ่านตัว A-K การเขียนทับศัพท์ว่า "อาก้า" หรือ "อาร์ก้า" จึงน่าจะผิดคับ ดังนั้น ต่อไปถ้าจะเขียนถึงปืน AK.-47 ควรเขียนทับศัพท์ว่าปืน "อากา" น่าจะถูกต้องกว่าคับ....
...ตัวแรก เนี่ยแหล่ะคับ ต้นตระกูลโคตรปู่อากา มาจากเยอรมันทั้งดุ้น STG.-44 ปืนเล็กยาวยิงเร็วกระบอกแรกของโลก เยอรมันคิดค้นมาใหม่เอี่ยม ออกจากเตาร้อน ๆ แต่...ยังไม่ทันได้ยิงก้นสัมพันธมิตรซักแปะ ฮิตเล่อร์ก้อน้อยใจ กินยาตายซะก่อน เดือดร้อนสิบเอก ซิโมนอฟ กาแลชนิชคอฟ ต้องขนเอา STG.-44 ไปใช้วิชามาร ลอกแบบเป็น AB.46 ก่อนนะคับ...
....นี่แหล่ะคับ STG.-44 ต้นตระกลโคตรปู่อากา...
.....หยั่งที่บอกไปแล้วอ่ะคับ ก่อนจะถึง AK.-47 ก้อต้องเป็น AB.-46 ก่อน....
....AB.-46 ต้นตระกูล AK. คับ....
.....แล้วก้อจึงมาถึง AK.-46 ต้นแบบปืนอากา ล่ะคับ...
.....AK.-46 หรือ อากา-46 คับ....
stg 44,mp44,mp43 ถ้านับรุ่นแรกๆ ของมันด้วย พวก mkb 42 ออกสนามรบตั้งแต่ปี 1942 แล้วครับ
ส่วนรายละเอียดเรื่องว่าทำไมใช้คำว่า mp และทำไมช่วงแรกไม่ใช้งานกันมาก รอท่านอื่นเพิ่มเติมดีกว่ายังไม่อยากสรุป�
แล้วก็ฮิตเลอร์ยิงตัวตายครับ คนที่กินยาตายพร้อมๆ กันก็เห็นจะมีแต่อีวา บราวน์นะครับ
....และแล้วก้อมาถึง AK.47 หรือ อากา-47 ที่กระเดื่องเดชในสงครามเวียดนาม จนเป็นที่ครั่นคร้ามราวกับว่า อากาคือปืนปีศาจที่ไม่มีผู้ใดหาญสู้กับมันได้ แต่อากา ก็พิสูจน์ตัวเองได้เพียงปืนเล็กยาวที่ดีกระบอกหนึ่งของโลก ไม่ได้มีอะไรที่วิเศษวิเสโสเหนือปืนเล็กยาวแบบอื่น ๆ ที่มีทั้งจุดดีและจุดด้อยเหมือนกัน อากาถือว่าเป็นปืนที่สมบุกสมบัน ก็เพราะว่าเหล็กรัสเซียนั้น เป็นเหล็กหนาว เนื้อเหล็กเขียวปิ๊ด ดูเหมือนว่าสนิมไม่ขึ้น ก็เท่านั้น แต่คำว่าอึดจะมีความหมายอะไร ถ้าคนถือปืนอึดอย่างอากา ลงไปนอนดิ้นด้วยฤทธิ์กระสุนขนาด 5.56 มม.จากปากกระบอกปืน เอ็ม.16 ปืนเล็กยาวของนักล่าสังหารที่ไม่คุยมาก แต่...ไม่เคยมีใครในวงศูนย์เอ็ม.16 ที่ระยะไม่เกิน 100 เมตร มีชีวิตกลับไปกินข้าวบ้านได้แม้แต่คนเดียว....
....ปืนอากา เป็นที่นิยมของบรดากองโจร เพราะเหตุที่มันหนัก แถมเตะ ถีบ โดดได้สะใจซาดิซม์ ยิงชุดแรกไม่โดนก้อโกยเถอะโยม เรื่องจะวาดปืนกลับมาซัดต่อ ปังๆๆ แบบเอ็ม.16 น่ะเมินซะเถอะ แถมจากการที่ศูนย์เล็งเป็นแบบรวมศูนย์ คือปรับหลังอย่างเดียว ความละเอียดในการเล็งยิงทั้งระยะปานกลางและระยะไกลก็แทบเชื่อถืออะไรไม่ได้ นอกจากเป้าจะโง่ อยู่นิ่งเป็นเป้ากระดาษให้ยิงเฉย ๆ ก้อพอโดนอยู่ดอก...
....กระสุนขนาด 7.62 X 39 มม. น้ำหนักปะทะรุนแรง แต่อำนาจการทะลุทะลวงต่ำกว่า 5.56 มม. จึงเคยปรากฎว่า คนโดนยิงด้วยอากา 3 นัดเน้น ๆ ยังรอดกลับมาได้ ถ้าเป็นเอ็ม.16 โทษที คนที่รอดมาได้มีแต่โดนเฉี่ยวใบหูขาดอะไรพวกนี้ ถ้าโดนตรง ๆ ไม่ต้อง 3 นัด แค่นัดเดียวก็สั่งเสียได้เลย ไม่ต้องโดนตัว โดนตูด โดนขา โดนแขน ถ้าไม่ใกล้หมอ ไม่รู้วิธีห้ามเลือด ก้อส่งวัดเหอะคับ สัปปะเหร่อมีความชำนาญกว่ามาก....
....AK.47 จะวิเศษขนาดไหน ไม่เคยมีผลงานพิสูจน์ที่ชัดแจ้ง แต่ที่แน่ ๆ เมื่อต้นตระกูลของมันมาจากเยอรมัน มันก็เลยมีอะไรต่อมิอะไรที่คล้ายคลึงกับปืนตระกูล HK.โดยไม่ต้องแปลกใจ แต่ที่แน่ ๆ ปืนทั้งสองแบบ ไม่เคยทำให้เจ้าของปืนเป็นมหาอำนาจคับ มีแต่ เอ็ม.16 ปืนเล็กยาวที่โดนดูถูกว่าเป็นปืนยิงนก ปืนยิงกบ แต่ เอ็ม.16 นี่แหล่ะคับ ที่สร้างอเมริกาสู่มหาอำนาจที่ไร้เทียมทาน หรือว่าใครจะเถียง....
...AK.47 คับ ปืนเล็กยาวอีกกระบอกหนึ่งของโลก....
.....กระบอกนี้ HK.33 ขนาด 5.56 มม.คับ ประเทศไทยซื้อสิทธิบัตรการผลิตจากเยอรมนี เข้ามาเปิดสายการผลิตเมื่อปี พ.ศ.2511 โดยมติสภากลาโหม ปี 2510 ที่เห็นว่า ไทยควรยืนบนขาตนเอง เพราะอเมริกันกำลังเดี้ยงในสงครามเวียดนาม โดนเวียดกงล่อเป็นเถิดเทิง และหลังจากนั้นเพียงสองปี อเมริกันก้อ "โกยเถอะโยม" .....
.....H&K.-33 หรือ ปลย.11 คับ....
....ต้นตระกูล M.16 มาจาก AR.-10 ของ Amarlite นะคับ อย่านึกว่ามีแต่โคล์ทเป็นเจ้าของเอ็ม.16 เหตุผลก็คือ เอ็ม.16 เป็นปืนเล็กยาวประจำชาติของสหรัฐอ่ะคับ ใครจะทำก้อได้ถ้าประมูลติด....
.....เนี่ยล่ะคับ AR.-10 โคตรปู่ เอ็ม.16 ใช้กระสุน 7.62 มม.ที่มีใช้อย่างเหลือเฟือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง AR.10 ถูกแผนแบบขึ้นในปี ค.ศ.1950 ปีเดียวกับ G.3 แหล่ะคับทั่น....
.....ทีนี้ พอลุล่วงเข้าสู่ช่วงกลางของสงครามเวียดนาม รัสเซียเล่นแอบเอาอากาให้เวียดกงมาไล่ยิงอเมริกันที่มีแต่ M.14 งี้ M.1 กาแรนท์งี้ M.1 คาไบน์งี้ ใครจะไปสู้กะอากาล่ะคับธ่อ....
.....อเมริกันงัดเอา FN.14 ของเบลเยี่ยม กะ AR.10 ออกมายัน มันก้อได้แค่เสมอ ๆ กระสุนมัน 7.62X39 เท่ากันนี่คับ อเมริกันแกไม่ยอม ต้องเอาแบบนัดเดียวจุดธูปนำหน้าไปเลย เดือดร้อน Armalite ต้องไปเอากระสุนล่าสัตว์ขนาด .223 นิ้วของเรมิงตันมาพัฒนาจนเป็นกระสุน 5.56X45 มม. แล้วก้อเอา AR.10 มานั่งเหลา เกลาจนเป็น AR.15 กระบอกนี้คับ....
....AR.15 ต้นตระกูล M.16 คับ....
.....เอ็ม.16 เอ.1 เป็นเอ็ม.16 กระบอกแรกของโลกล่ะคับ ที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วทุกสมรภูมิ ด้วยน้ำหนักที่เบา ทำให้ไม่เกิดอาการล้าง่ายเมื่อต้องลาดตระเวนไกล หรือ ยามปะทะต่อเนื่องยาวนาน ระบบศูนย์เล็งแยกปรับหน้า-หลัง ทำให้มีความละเอียดในการเล็งยิงระยะปานกลาง และระยะไกลที่ดี ปืนเอ็ม.16 จึงมีขีดความสามารถยิงเป้าที่อยู่ไม่นิ่งได้อย่างแม่นยำ ด้วยหัวกระสุนแบบปาดเอียงขนาด 5.56 มม. สามารถล้มมนุษย์ทุกคนทุกไซส์ที่ขวางทางวิ่งของมัน ด้วยการตีทะลวงอวัยวะภายในจนฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง ไม่ว่าจะเป็นกระดูก หรือเส้นเลือดใหญ่น้อย เหยื่อกระสุนเอ็ม.16 จึงมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก แม้ถูกยิงเพียงนัดเดียวในจุดที่ไม่ใช่จุดตายโดยตรงก็ตาม....
.....ชื่อเสียของเอ็ม.16 มาจากข้อขัดข้องของ AR.-10 และ AR.15 คับ เมื่อแก้ไขได้สำเร็จ ก็เลยเปลี่ยนแบบมาเป็น เอ็ม.16 เอ.1 หยั่งที่เห็นนี่แหล่ะคับทั่น....
.....ปัจจุบัน ปืน เอ็ม.16 มาถึงรุ่น เอ.4 กระสุนยังคงเป็นขนาดเท่าเดิม แต่แรงสะใจขึ้น ด้วยกระสุนเอ็ม.998 ที่มีอำนาจการยิงที่รุนแรง และการทรงตัวของหัวกระสุนในระยะไกลที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ยิ่งได้กล้องเรดดอจ บวกกับเครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ เพียง Cabine M.4 A.4 ระยะ 100 เมตรนี่หยั่งกะจ่อยิง (เค้าว่างั้นนะ)....
....ตัวแรกนี้ ข้อมูลจำเพาะของ HK.G3 คับ
Caliber: 7.62mm NATO (.308 win)
Action: Roller-delayed blowback
Weight: 4.5kg
Overall length: 1023 mm
Barrel length: 450 mm (315 mm on G3KA4 model)
Magazine capacity: 20 rounds
....แล้วก้อ HK.33 คับ....
Caliber 5.56x45mm (.223 Rem)
Length 919 mm
Barrel length 390 mm
Weight empty 3.9 kg
Magazine capacity 25, 30, 40
Rate of fire 750 rds/min
....อันนี้ AK.47 คับ....
Caliber 7.62x39 mm
Action: Gas operated, rotating bolt with 2 lugs
Overall length: 870 mm
Barrel length: 415 mm
Weight, with empty magazine: AK 4,3 kg; AKM 3,14 kg
Magazine capacity 30 rounds (40 rounds box magazines and 75 rounds drums from RPK also may be used)
Cyclic rate of fire 600 rounds per minute
....เอ็ม.16 ล่ะคับ....
Caliber 5.56x45mm (.223 Remington), M193 5.56x45mm NATO /
Overall length 986 mm 1006 mm
Barrel length 508 mm 508 mm
Weight, empty / loaded w. 30 rounds 2.89 kg
Magazine capacity 20 or 30 rounds standard
Rate of fire, cyclic 650 - 750 rounds per minute
Muzzle velocity 945 m/s 975 m/s
Maximum effective range 460 meters 550 meters
....อันนี้ก้อเรื่องราวของอากาคับ...
But the largest stride forward was made by the USSR, when, in 1943, the Soviet Army adopted a new cartridge - the 7.62x39mm medium-power load. In 1945 , the Soviet Army adopted the semi-auto SKS rifle in this chambering, and, in 1947 - the AK (known for the West as AK-47). The AK was Worlds first sucessful assault rifle, and one of the most widely used. The Last major step on this road was made by US again - in the late 1950s, the US Army adopted a new (for the US) concept of military selective-fire rifle using a small-caliber cartridge. The first of such weapons adopted was the Armalite AR15/Colt M16, designed by Eugene Stoner. This adoption lately set the new world trend for small-caliber (5.45-5.56mm / .22in.) high-velocity cartridges.
The Kalashnikov assault rifle, also known to the West as the AK-47 (Avtomat Kalashnikova - 47, Kalashnikov automatic rifle, model of 1947), and its derivatives, also known under the common name of AK, is the most prolific small arm of the 2nd half of the XX century. It had been and still is (in more or less modified form) manufactured in dozens of countries, and used in hundreds of countries and conflicts since its introduction. The total number of the AK-type rifles made worldwide during the last 60 years is estimated at 90+ millions. This is a true legendary weapon, known for its extreme ruggedness, simplicity of operation and maintenance, and unsurpassed reliability even in worst conditions possible. It is used not only as a military weapon, but also as a platform for numerous sporting civilian rifles and shotguns (see Saiga semiautomatic shotguns, for example). The AK is an amalgam of previously known features and solutions, combined in the most effective way. The effectiveness, however, depends on the criteria used to measure it, and the key criteria for any and every Soviet and Russian military arm are: Reliability, Simplicity of operation and maintenance, Suitability for mass production. There never was any significant demand for good ergonomics or superb accuracy, though.
The true story of AK began late in 1942, when Soviet troops captured several specimen of the very new German MKb.42(H) machine carbine (assault rifle), along with some 7.92 Kurz ammunition. By mid-1943 the MKb.42(H) along with US-supplied M1 carbine were evaluated by Soviet experts, and it was decided on top level that similar weapons, firing the intermediate power cartridge, must be developed for Soviet army as soon as possible. The task of initial development of new ammunition was accomplished in rather short time. By November 1943 technical specifications for the 7.62x41mm cartridge, having bottlenecked, rimless case and firing 8-gram pointed bullet, were sent out to all Soviet small arms design bureaus and organizations. By the spring of 1944, there were at least ten designs of automatic weapons in the works (not counting semi-automatic carbines that resulted in adoption of SKS and bolt-action carbines that went nowhere). In mid-1944, trials commission selected the AS-44 assault rifle, designed by Sudaev, as the overall best, and ordered a limited production run for troops trials. Some AS-44 rifles were manufactured in spring of 1945, and these were evaluated by troops in summer of 1945, just after the Victory in Europe. Troops generally liked the AS-44, as it has longer effective range compared to PPSh-41 submachine gun, and provided better accuracy in semi-automatic fire. The problem was that AS-44 was overly heavy (more than 5 kg empty), and trials commission ordered next round of development and trials, which started early in 1946.
Enter Mikhail Kalashnikov, the young sergeant of Soviet tank forces, who, after being wounded in combat in 1942, designed a prototype submachine gun while on medical leave. His first weapon was rejected on the grounds of complexity, but the designer himself was assigned to the Red Armys Small Arms and Mortar Research & Proving ground (NIPSMVO) near the Moscow to continue his education and work on other weapons. Here Kalashnikov designed a semi-automatic carbine, heavily influenced by American M1 Garand rifle. This carbine, while not successful by itself, served as a starting point for the first Kalashnikovs assault rifle, provisionally known as AK No.1 or AK-46. In November of 1946 the AK-46 project was chosen for prototype manufacture along with 5 other projects (out of 16 submitted to commission), and Kalashnikov was sent to the city of Kovrov (also not far from the Moscow), to manufacture his weapon at the small arms factory there. The AK-46 was gas operated, rotary bolt weapon that utilized short-stroke gas piston above the barrel, and two-part receiver with separate trigger unit housing and dual controls (separate safety and fire selector switches on the left side of the trigger unit).
In December 1946 new assault rifles were tested at NIPSMVO range, with AS-44 being used as a control (its development has ceased earlier in 1946 due to untimely death of the Sudaev, who was severely ill by the 1945). As an initial result of these tests, the AK-46 was selected for further development by trials commission, with two more weapons selected for further evolution being rifles from designers Dementiev and Bulkin. The second round of trials, which included three weapons (AK-46 by Kalashnikov, AB-46 by Bulkin and AD by Dementiev), resulted in rejection of the improved AK-46, which was inferior to other rivals in many aspects. Despite that failure, Kalashnikov, using his contacts and support from some member of trials commission (whom he knew from his earlier work at NIPSMVO in 1943-46) pursued the head of the trials commission to review the results, and finally got a green light to continue his development for next round of trials. Following the technical failure of the AK-46, Kalashnikov and his companion designer Zaitsev (who was a staff weapons designer at Kovrov plant) decided to completely rework the design, using successful technical solutions borrowed from various weapons, including direct competitors. For example, the long-stroke gas piston, attached to the bolt carrier, along with captive return spring assembly and receiver cover were apparently inspired by Bulkins AB-46 rifle; the idea of large clearances between bolt group and receiver walls, with minimum friction surfaces, was inspired by the Sudaevs AS-44, the safety / dust cover lever was copied from Browning designed Remington model 8 hunting rifle etc.
It must be noted here, that such copying and borrowing of ideas was actually encouraged by the trials commission (and the whole Soviet ideology), as all intellectual property in USSR was considered to be property of the people, or the state. Thus, any state-owned intellectual property could (and must) have been used to the benefit of the people / the state by anyone. And creating a new, most effective assault rifle for the victorious Soviet army was certainly on the top of the list of things, beneficial for the Soviet state at the time.
After extensive tests, conducted in December 1947 - January 1948, which included slightly improved Dementiev KB-P-410, Bulkin TKB-415 and all-new Kalashnikov AK-47 rifles, results were somewhat inconclusive. The AK-47 was found to be most durable and reliable out of three contestants, but it also dragged behind the other two in the accuracy department, especially in full automatic (which was, and still is considered the primary mode of fire for assault rifle in Russia). In fact, the only weapon that fulfilled accuracy requirements was the Bulkin AB-47 / TKB-415, but it had certain problems with parts durability. After lengthy discussion, trials commission finally decided that the better is the enemy of the good, and it is advisable to have not-so accurate but reliable weapon now, rather than to wait indefinitely for accurate-and -reliable weapon in the future. This decision ultimately lead commission to recommend AK-47 for troops trials in November, 1947. It was decided that the production of the new weapon must be commenced at Izhevsk arms plant (now Izhevsk Machine building Plant or IzhMash in short). Kalashnikov has moved from Kovrov to Izhevsk to help with production of the new weapon, which commenced in mid-1948. Official adoption followed late in 1949, with standard nomenclature being 7.62mm avtomat Kalashnikova AK (7.62mm automatic carbine Kalashnikov). At the same time, a folding buttstock version was adopted for airborne units use, as 7.62mm avtomat Kalashnikova skladnoy AKS (7.62mm automatic carbine Kalashnikov, folding).
It must be noted that the original design of the receiver, which was assembled from stamped steel box with large machined steel insert pinned at the front, caused a lot of troubles at factory. The technology (equipment and labor) level of the time resulted in extremely high percentage of rejected receivers due to misformed walls, improper pinning of parts, bad geometry etc. After critical revision of the process at the factory it was calculated that it will be more economically feasible to return to the old-school machined receivers. New, machined receiver was designed by one of factorys staff designers, and after approval by military, it was put into production at IzhMash in 1951, under the same basic designation.
Through the following years, design of AK incorporated many minor changes and updates, but it was the experimental Korobov TKB-517 assault rifle (tested by Soviet army in mid-fifties) that spurred further development of AK. The Korobov TKB-517 assault rifle was a great deal lighter than AK, about 1/3 cheaper to manufacture, and significantly more accurate in full automatic fire. This lead the Soviet army to issue new requirements for a lighter and more effective assault rifle, which were formulated in 1955. These requirements were also complemented by requirement for a companion squad automatic / light support weapon (light machine gun in Russian nomenclature). Trials for new weapons were held in 1957-58. Kalashnikov team from Izhevsk submitted an improved AK with new type of stamped receiver and other minor improvements, which competed against a number of weapons from other design teams from the Kovrov and Tula. In technical terms, the Kalashnikov entry fared about average in these trials, with certain rival weapons proving to be more combat-effective and less expensive to make. The trials commission, however, decided again that the better is the enemy of the good, and recommended the improved AK for adoption due to its proven performance and familiarity to the industry and troops. It was officially adopted in 1959 as the AKM ( Avtomat Kalashnikova Modernizirovannyj - Kalashnikov Automatic rifle, Modified) along with companion RPK squad automatic weapon / light machine gun.
The key changes in AKM, as compared to AK, were the introduction of the stamped steel receiver instead of the milled one, and improved trigger/hammer unit, with added hammer release delay device (often incorrectly referred as a rate reducer). Other changes were the redesigned, slightly raised buttstock and the pistol grip, and the addition of the removable muzzle flip compensator. This spoon-like compensator is screwed onto the muzzle and utilized the muzzle blast to reduce muzzle climb during the automatic fire. The compensator could be replaced by the screw-on "PBS-1 noiseless firing device", generally known as a silencer. This silencer requires a special, sub-sonic ammunition with heavier bullets to be used. Another change from AK to AKM was a slightly improved rear sight, with settings from 100 to 1000 (instead of the 800 on AK) meters. Both 800 and 1000 meters, however, are way too optimistic for any practical use, since the effective fire is limited roughly to 300-400 meters, if not less.
In the 1974, Soviet Army officially adopted the 5.45mm ammunition and the appropriately chambered AK-74 assault rifle as its new standard shoulder arm. The AKM, however, was never officially declared obsolete and removed from service, and is still in Russian army stocks. Some non-infantry units of the Russian Army are still armed with 1960s vintage AKM assault rifles. Theres also an increasing interest in the 7.62mm weapons since many troops were disappointed by the effectiveness of the 5.45mm ammo during the local conflicts in the 1990s. Some Russian special forces troops (mostly police and Internal Affairs Ministry), currently operating in Chechnya, are using the venerable 7.62mm AKM rifles.
The AK and AKM rifles were widely exported to the pro-Soviet countries and regimes all around the world. Manufacturing licenses along with all necessary technical data packages were transferred (for free or at nominal fee) to many Warsaw Pact countries (Albania, Bulgaria, China, East Germany, Hungary, North Korea, Poland, Romania, Yugoslavia). Certain non-communist, but friendly countries, such as Egypt, Finland and Iraq, also received manufacturing licenses.
At the present time, despite the world-wide proliferation of the small-bore (5.56 / 5.45mm) weapons, many companies still manufacture 7.62mm assault rifles for military or police use (for example, theres an AK-103, made in limited numbers by the IZHMASH in Russia). Also, production of the semi-automatic only civilian AK derivatives is continued in many countries, including Russia, Bulgaria, Romania, China and others.
Technical description for the AKM assault rifle:
The AKM is a gas operated, selective fire assault rifle.
The gas operated action has a massive bolt carrier with a permanently attached long stroke gas piston. The gas chamber is located above the barrel. The bolt carrier rides on the two rails, formed on the receiver walls, with the significant clearances between the moving and stationary parts, which allows the gun to operate even when its interior is severely fouled with sand or mud. The rotating bolt has two massive lugs that lock into the receiver. Bolt is so designed that on the unlocking rotation it also makes a primary extraction movement to the fired case. This results in very positive and reliable extraction even with dirty chamber and cases. The rotation of the bolt is ensured by the curved cam track, machined in the bolt carrier, and by the appropriate stud on the bolt itself. The return spring and a spring guide are located behind the gas piston and are partially hidden in its hollow rear part when bolt is in battery. The return spring base also serves as a receiver cover lock. The cocking handle is permanently attached to the bolt carrier (in fact, it forms a single machined steel unit with carrier), and does reciprocate when gun is fired.
The receiver of the AKM is made from the stamped sheet steel, with machined steel inserts riveted into the place where required. Earliest AK-47 receivers were also made from the stamped and machined parts, riveted together, but this soon proved to be unsatisfactory, and most of the AK (made between 1951 and 1959) rifles were made with completely machined receivers. The receiver cover is a stamped sheet metal part, with stamped strengthening ribs found on the AKM covers.
The relatively simple trigger/hammer mechanism is loosely based on the 1900s period Browning deigns (much like the most other modern assault rifles), and features a hammer with two sears - one main, mounted on the trigger extension, and one for the semi-automatic fire, that intercepts the hammer in the cocking position after the shot is fired and until the trigger is released. Additional auto sear is used to release the hammer in full auto mode. The AKM trigger unit also featured a hammer release delay device, which is served to delay the hammer release in the full auto fire by few microseconds. This does not affects the cyclic rate of fire, but allows the bolt group to settle in the forwardmost position after returning into the battery. The combined safety - fire selector switch of distinctive shape is located on the right side of the receiver. In the "Safe" position (topmost) it locks the bolt group and the trigger, and also served as a dust cover. The middle position is for automatic fire, and the bottom position is for single shots. The safety / fire selector switch is considered by many as the main drawback of the whole AK design, which is not cured in the most of derivatives until now. It is slow, uncomfortable and sometimes stiff to operate (especially when wearing gloves or mittens), and, when actuated, produces a loud and distinctive click. Theres no bolt stop device, and the bolt always goes forward when the last shot from the magazine is fired.
AKM is fed from the 30 rounds, stamped steel magazines of heavy, but robust design. Early AK magazines were of slab-sided design, but the more common AKM magazines featured additional stamped ribs on the sides. Positive magazine catch is located just ahead of the trigger guard and solidly locks the magazine into the place. Insertion and the removal of the magazine requires slight rotation of the magazine around its front top corner, that has a solid locking lug. If available and required, a 40 round box magazines of similar design, or the 75 rounds drums (both from the RPK light machine gun) can be used. Late in production plastic magazines of the distinctive reddish color were introduced.
AKM rifles were issued with wooden stocks and pistol handles. Late production AKM rifles had a plastic pistol grip instead of wooden one. The wooden buttstock has a steel buttplate with mousetrap cover, that covers the accessory container in the butt. The AK buttstock are more swept-down than the AKM ones. The folding stock version had been developed for the airborne troops and its had an underfolding steel shoulder stock. These modifications of the AK and AKM were designated the AKS and AKMS, respectively. AK were issued with the detachable knife-bayonets, and the AKM introduced a new pattern of the shorter, multipurpose knife-bayonet, which can be used in conjunction with its sheath to form a wire-cutter. All AK and AKM rifles were issued with the canvas carrying slings.
The sights of the AKM consist of the hooded front post and the U-notch open rear. Sights are graduated from 100 to 1000 (800 on AK) meters, with an additional "fixed" battle setting that can be used for all ranges up to 300 meters.
AKM rifles also can be fitted with the 40mm GP-25 grenade launchers, that are mounted under the forend and the barrel. Grenade launchers had its own sights on the left side of the unit.
ขอบคุณ ภาพและข้อมูลจาก wold.guns.ru
.....เนี่ยล่ะคับ AR.-10 โคตรปู่ เอ็ม.16 ใช้กระสุน 7.62 มม.ที่มีใช้อย่างเหลือเฟือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง AR.10 ถูกแผนแบบขึ้นในปี ค.ศ.1950 ปีเดียวกับ G.3 แหล่ะคับทั่น....
- กระสุนสมัยสงครามโลก เป็นแบบ 7.62x63 (หรือ 30-06) ครับ ไม่ใช่ 7.62x51 แบบในปัจจุบัน คนละชนิดกันครับ
.....ปัจจุบัน ปืน เอ็ม.16 มาถึงรุ่น เอ.4 กระสุนยังคงเป็นขนาดเท่าเดิม แต่แรงสะใจขึ้น ด้วยกระสุนเอ็ม.998 ที่มีอำนาจการยิงที่รุนแรง และการทรงตัวของหัวกระสุนในระยะไกลที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ยิ่งได้กล้องเรดดอจ บวกกับเครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ เพียง Cabine M.4 A.4 ระยะ 100 เมตรนี่หยั่งกะจ่อยิง (เค้าว่างั้นนะ)....
- กระสุนที่ใช้ตั้งแต่ M-16A2 เป็นแบบ M855 ส่วน M998 ไม่มี ถ้าใกล้เคียงก็ M995 เป็นกระสุนเจาะเกราะ หัวสีดำครับ และ M4A4 ไม่มีในสารระบบ ของ colt ครับ
ด้วยหัวกระสุนแบบปาดเอียงขนาด 5.56 มม. สามารถล้มมนุษย์ทุกคนทุกไซส์ที่ขวางทางวิ่งของมัน ด้วยการตีทะลวงอวัยวะภายในจนฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง ไม่ว่าจะเป็นกระดูก หรือเส้นเลือดใหญ่น้อย เหยื่อกระสุนเอ็ม.16 จึงมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก แม้ถูกยิงเพียงนัดเดียวในจุดที่ไม่ใช่จุดตายโดยตรงก็ตาม....
- ความเสียหายจากกระสุนหน้าตัดเล็กความเร็วสูงจะเกิดจากปรากฏการณ์ไฮดรอลิคช็อค ครับ ไม่ใช่จากกระสุนไปตีคว้านโดยตรง
hk-33นี่ยังใช้อยู่ในประเทศแถบละตินอเมริกา เช่น เม็กซิโก เอกวาดอร์(ยังดัดแปลงติดคบ.40มม.อีกด้วย) ฯลฯ เป็นปืนหลักที่ใช้ในกองทัพไม่ไช่ปืนในหน่วยสนับสนุนเหมือนในกองทัพไทย แล้วทำไมกองทัพไทยไม่ซ่อมสร้างดัดแปลงแล้วเอามาใช้เป็นปืนหลักในกองทัพเหมือนเขาเลยหรือ กองทัพเหล่านี้มีอาวุธให้เลือกใช้เลือกซื้อมากมาย แต่ทำไมยังใช้hk-33อยู่ ???
กองทัพบราซิล
กองทัพเอกวาดอร์(ใช้hk-33ติดคบ.40มม.ด้วย)
ฮิตเลอร์ยิงตัวตายม่ะใช่หรอ
ไฮน์ริค ฮิมเลอร์ หัวหน้าหน่วย เอสเอส ต่างหากที่กินยาตายอ่ะครับ
เรียนถามท่านx-1หรือใครก็ได้ที่รู้ว่าhk-33 ว่าจะมีอนุภาพการยิงเท่ากับm-16ที่ยิงนัดเดียวคนจะเดี้ยงตายได้หรือไม่ เพราะเห็นแต่คนพูดถึงความทนทานของมันมากกว่าอนุภาพการยิงมันซะอีก แล้วกระสุน7.62*51จะแรงขนาดไหนมากกว่าอาก้าหรือ5.56*45ขนาดไหน
เอะทำไมส่งข้อความตั้งหลายคั้งยังไม่ติดอีก งง
[X-1] : ...ตัวแรก เนี่ยแหล่ะคับ ต้นตระกูลโคตรปู่อากา มาจากเยอรมันทั้งดุ้น STG.-44 ปืนเล็กยาวยิงเร็วกระบอกแรกของโลก เยอรมันคิดค้นมาใหม่เอี่ยม ออกจากเตาร้อน ๆ แต่...ยังไม่ทันได้ยิงก้นสัมพันธมิตรซักแปะ ฮิตเล่อร์ก้อน้อยใจ กินยาตายซะก่อน เดือดร้อนสิบเอก ซิโมนอฟ กาแลชนิชคอฟ ต้องขนเอา STG.-44 ไปใช้วิชามาร ลอกแบบเป็น AB.46 ก่อนนะคับ...
....นี่แหล่ะคับ STG.-44 ต้นตระกลโคตรปู่อากา...
>>>>> ปืน MP43 เป็นปืนไรเฟิลจู่โจมที่ฝ่ายพันธมิตรตกตะลึงในความล้ำยุคสุดๆ ของมันในสมัยนั้น และพันธมิตรก็ได้ลิ้มรสคมกระสุน 7.92 x 33 มม. กันอย่างทั่วหน้านะครับโดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ด้วยประสิทธิภาพที่ดีของมันในแนวรบด้านตะวันออกนี้เอง ทำให้ฮิตเล่อร์ยอมรับมันอย่างเป็นทางการและเปลี่ยนชื่อเป็น Sturmgewehr 44 ซึ่งหมายถึงปืนไรเฟิลจู่โจมแบบ 44 ครับ ...อืมมมม
X 1 (ซี่รี่X นี่คือออกแบบมาสำหรับทดลองใช่ไหม ถ้าใช่ก็โอเค เพราะตัวทดลองย่อมมีข้อผิดพลาดได้ ยิ่งเป็น แบบแรก แบบ 1 เช่นนี้ ข้อผิดพลาดมากย่อมเป็นเรื่องปกติ)โม้ ได้ใจจริงๆ ขี้เกียจแย้ง เพราะมันเยอะจัด งั้นเอาแค่หอมปากหอมคอพอเนอะ
ในความเห็นผมก็คล้าย ๆ คับ HK.33 กับ AK.47 เป็นปืนที่มีอะไร ๆ ด้านกลไกคล้ายกันยังกะปืนฝาแฝด <<<
ผมว่ามันไม่คล้ายกันยังกะฝาแฝดเลยนะ ระบบปฏิบัติการ(ระบบนี้น่าจะเรียกว่าระบบกลไกมากกว่า)ก็คนละแบบแล้วละ H&K33 ทำงานด้วยระบบ โบลแบ็ก ขัดกลอนด้วย โรลเลอ ส่วน เอเค สี่เจ็ด ทำงานด้วย แก๊ส ขัดกลอนด้วยการหมุนตัวของหน้าลูกเลื่อน
ไม่เคยมีใครในวงศูนย์เอ็ม.16 ที่ระยะไม่เกิน 100 เมตร มีชีวิตกลับไปกินข้าวบ้านได้แม้แต่คนเดียว <<<
ผมว่ามีนะ เยอะด้วย ล่าสุด ไม่นานนี้ด้วยละ ไม่ถึง 100 เมตรด้วยนะเอา 10 เมตรได้มั้ง และตอนนี้มันก็คงกลับไปกินข้าวบ้าน ข้าวบ้านเมีย บ้านเมียน้อย บ้าน พี่ ป้า น้า อา ร้านข้างทาง อาจจะกินฟูจิด้วยก็ได้ สบายใจเฉิบ(อาจจะกระดิกเท้ากินด้วยก็ได้)ได้หลายชามแล้วละ
ถ้าเป็นเอ็ม.16 โทษที คนที่รอดมาได้มีแต่โดนเฉี่ยวใบหูขาดอะไรพวกนี้ ถ้าโดนตรง ๆ ไม่ต้อง 3 นัด แค่นัดเดียวก็สั่งเสียได้เลย ไม่ต้องโดนตัว โดนตูด โดนขา โดนแขน ถ้าไม่ใกล้หมอ ไม่รู้วิธีห้ามเลือด ก้อส่งวัดเหอะคับ สัปปะเหร่อมีความชำนาญกว่ามาก<<<
อันนี้ก็มีไม่นานมานี้อีกนั้นแหละ(ไม่กี่เดือน) โดน 5.56 เต็มๆ เลย ไม่เฉี่ยวหูขาดด้วย แค่เฉี่ยวหัวใจ เข้าด้านข้างรักแร้ ทะแยง ออกอีกด้าน ระยะไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ ตอนนี้มันยังนอนโรงบาลอยู่เลย ไม่ตาย(มันน่าจะตายจริงๆเลยสิให้ดิ้นตาย เขาอุตส่าห์ตั้งใจยิงขนาดนั้นยังเจือกหน้าด้านรอดอีก) จะไปเยี่ยมไหม เดี๋ยวพาไป ถ้าไม่เชื่อ แล้วก็อีกนั้นแหละ ไล่เลี่ยกัน อีกคนโดน 7.62*39 นัดเดียวเอง ดันใจเสาะตายซะนี่กระไร คนนี้คงพาไปเยี่ยมไม่ได้ ถ้าอยากเยี่ยมซักถามอาการก็หาวิธีเองละกันเนอะ
รบแบบกองโจร ตามป่าเขา ซึ่งต้องการความสมบุกสมบันสูง ดังนั้น ปืนที่มีความเชื่อถือได้สูง ไม่ต้องดูแลรักษามาก จึงเป็นที่ต้องการ และเช่นกัน การรบแบบกองโจรตามป่าเขา เข้าตีโฉบฉวย ซุ่มโจมตี ไม่ต้องการความแม่นยำสูงมากนัก ขอแค่อำนาจการยิง(น่าจะเข้าใจ) ก็พอ ดังนั้น เอเค 47 จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ถามหา
แต่ถ้ารบในเมือง มีเวลาประคบประหงมปืน ต้องการปืนที่มีความแม่นยำสูง เพราะอาจมีลูกหลงไปถูกประชาชนในพื้นที่ รองรับอุปกรณ์ช่วยยิง หรือช่วยตรวจการณ์ได้หลากหลาย ดังนั้นปืน ตระกูล เอ็ม 16 ซี่รี่ใหม่ๆ จึงน่าสนใจไม่หยอก
เอเค 47 ตำแหน่งคันบังคับการยิง ไม่เอื้ออำนวยให้ปลดจากตำแหน่งห้ามไก มายิงได้เร็ว(ยกเว้นคนถนัดซ้าย) คันบังคับการยิง เอเค บนสุดคือห้ามไก กดลงมา 1 คลิ๊กคือ ยิงอัตโนมัติ และ ลงมาล่างสุดคือ ยิงทีละนัด(หลักนิยม ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ที่ไม่มีงบมากพอให้ฝึกกำลังพลให้ยิงหวังผลภายในนัดแรกๆ จึงออกแบบมาให้ถ้าจ๊ะเอ๋ ก็ซัลโว นำไปก่อน แล้วค่อยตั้งหลัก ปรับมายิงทีละนัดสู้กัน และก็เหมาะกับท่า ลาดตระเวณ ประทับสะโพก) เปลี่ยนซองกระสุนช้ากว่าปืนตระกูลเอ็ม 16(ฝึกมาพอๆกัน) แก้ไขเหตุติดขัดช้ากว่า(ฝึกมาพอๆกัน)
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างอยู่ที่ว่า " มันเป็นที่คน หรือ มันเป็นที่ปืน" เช่น ต่อให้อีตาดิ่งนรก ถือปืน จากหนังเรื่อง สตาร์ วอร์ มา ต่อให้ผมถือ การานด์ เก่าๆ กระบอกหนึ่ง ผมก็ไม่กลัวอีตา ดิ่งนรก 55555555
เฮ่อเฮ่อ
ระบบศูนย์เล็ง เหมือนกัน ศูนย์หน้าตายตัว ปรับสูง-ต่ำ ซ้าย-ขวา ที่ศูนย์หลังที่เดียว เหมือนกัน....เอ่อAK47 ศูนย์หลังมันเป็นรูปบากไม่ใช่หรอครับ ส่วน HK33 ศูนย์หลังมันเป็นวงกลมหมุนปรับระยะ จากไม่เกิน 100 เมตร 200 เมตร และก็ 200 เมตรขึ้นไป มันเหมือนกันตรงไหน
และ ไม่ว่าปืนอะไรถ้าเจอโคลนอุดลำกล้อง เดี้ยงเหมือนกันคับ....เอ่อ แต่ที่แน่ๆ ในอัฟกานิสถาน และอิรัก ทหารอเมริกามีปัญหากับปืนเอ็ม 16 เอ็ม 4 ที่ติดขัดจนต้องนำ เอ็ม 14 กลับมาใช้ ครับ ทั้งใช้ซุ่มยิง และตัดให้สั้นลงเพื่อใช้เป็นไรเฟิ้ลจู่โจม
ที่ห่วยแตกที่สุดของ HK.33 คือ ระบบห้ามไกห่วยแตกคับ ขึ้นลำไว้เผลอทำหล่นพานท้ายกระแทกพื้น ตำรวจคางพรุนมาหลายศพแล้วคับทั่น....เอ่อถ้าจำได้เมื่อประมาณเดือนตุลาคาม 51 ทหารที่เขาพระวิหารใช้เอ็ม 16 เอ 2 ล้มเหมือนกัน กระสุนเจาะคอทะลุเหมือนกัน ขณะลาดตระเวนครับ ตอนนั้นผมอยู่ในพื้นที่ครับยืนยัน
หนักยังกะปืนกลเบา เหมือนกัน....นี่ก็อีก น้ำหนักเอ็ม 16 ประมาณ 3.5 กิโลกรัม ส่วนHK 33 ประมาณ 4.5 กิโลกรัม มันก็ต่างกันไม่มาก
ที่นี้มาพูดถึง ระยะหวังผลครับ M 16 A1 ระยะหวังผลประมาณ 470 เมตรลงมาครับ HK 33 ประมาณ 400 เมตรลงมา ส่วนแรงรีคอล HK 33 ก็มากกว่าจริง แต่ก็นิดหน่อย เพราะระบบ ซึ่งก็ก็แรกมาด้วยความสมบุกสมบัน ของ HK 33 ที่ทนฝุ่น ทนทราบกว่า ส่วนกระสุนขนาด 5.56 เท่ากัน มันก็อยู่ที่ผู้ใช้ครับ น้ำหนักเบา แรงรีคอลต่ำ ระยะหวังผลไกลกว่า ก็ M16 ครับ แต่ถ้าสมบุกสมบัน ไม่ต้องดูแลมากๆ ก็HK 33 แต่ที่สำคัญหน่วยประจำการด้วยปืนอะไร แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้ใช้มีความชำนาญแค่ไหน ไม่ว่าปืนจะดียังไง แต่ถ้าไม่แม่น ไม่ชำนาญ ไม่รู้ใจว่าต้องดูแลรักษายังไงก็เปล่าประโยชน์