หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ทำไมเขตแดน ช่วงจังหวัดเลย,น่าน ถึงไม่เป็นไปตามลำแม่น้ำโขงละครับ..

โดยคุณ : charchar เมื่อวันที่ : 06/02/2009 10:00:01

ช่วงนี้ใช่ฝรั่งเศลหรือเปล่าครับที่จะแบ่งออกไป อยากรู้ครับ เพราะน่าจะตกลงกันที่ลำน้ำโขงนะครับ...  เท่าที่ดูเราไม่ได้ครอบครองแม่โขงทั้ง 2ฝั่งเลยแม้แต่นิด นะครับ..








free unlimited image hosting servicefree unlimited image hosting service




ความคิดเห็นที่ 1


           จำไม่ได้ครับต้องไปหาดูว่าการเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้กับโจรฝรั่งเศสในปีไหนแล้วก็ในกรณีที่มันหาเรื่องเราว่าอย่างไร
โดยคุณ OLDMAN เมื่อวันที่ 04/02/2009 19:10:26


ความคิดเห็นที่ 2


ชอบคำนี้คำ   "โจรฝรั่งเศส" 

เขตเดนสงสัยโจรฝรั่งเศษ คงหาเรื่องจะเอาให้ได้มาที่สุดแหละคำ เพราะดูแผนที่ตามรูป จะยึดหลักสันเขานะครับ แทนที่จะยึดหลักตามลำน้ำโขง เห็นสันเขาขนานไปกับแม่น้ำก็เลยละโมบ
โดยคุณ charchar เมื่อวันที่ 05/02/2009 00:55:45


ความคิดเห็นที่ 3


หลังจากที่สยามเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปในเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ หรือ พ.ศ.๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังเข้ายึดครองเมืองจันทบุรีเป็นประกันนาน ๑๐ปี

จนในปี พ.ศ.๒๔๔๗ สยามได้ตัดสินใจยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง คือ ส่วนที่ติดกับ น่าน ในปัจจุบันคือ ไชยบุรี และ หลวงพระบาง รวมถึง ส่วนที่ติดกับ อุบลราชธานี ในปัจจุบัน คือนครจำปาศักดิ์ ให้ฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตามต่อมาฝรั่งเศสได้ถอนกำลังจากจันทบุรีไปยึดตราดแทน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเอาตราดคืนและเพื่อคืนอำนาจศาลกงศุล สยามจึงต้องมลฑลบูรพาซึ่งประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ และ ศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสในปี พ.ศ.๒๔๕๐ ครับ

โดยคุณ AAG_th1 เมื่อวันที่ 05/02/2009 01:17:02


ความคิดเห็นที่ 4


ถ้าให้เดา น่าจะเป็นกรณีเดียวกับ ปราสาทพระวิหาร ครับ คนทำแผนที่เป็นฝรั่งเศสนี่นา
โดยคุณ lordsri เมื่อวันที่ 05/02/2009 03:38:22


ความคิดเห็นที่ 5


 

เขตแดนไทย-ลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า

 

                   1.  เขตแดนไทย-ลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า เป็นผลของการเจรจาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนเมืองด่านซ้ายและตราด  กับเมืองเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ โดยมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร ดังนี้

 

                        1.1  อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับวันที่13 กุมภาพันธ ป ค.ศ. 1904  กําหนดใหเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ด้านเมืองหลวงพระบาง แยกจากแม่น้ำโขงที่สบเหือง (บริเวณที่ลําน้ำาเหืองไหลลงแมน้ำโขง) แล้ว ไปตามลําน้ำเหืองจนถึงจุดที่ลําน้ำตางไหลมาบรรจบกับลําน้ำเหือง เขตแดนก็จะแยกไปตามลําน้ำตางจนถึงภูแดนดิน

                   เขตแดนดังกล่าวทําใหเมืองแก่นท้าว (ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสถือว่าเป็นหัวเมืองสําคัญของเมืองหลวงพระบาง) ตกอยูในอาณาเขตสยาม ฝายฝรั่งเศสจึงเจรจาขอทําความตกลงแกไขแนวเสนแขตแดนบริเวณนี้

 

                        1.2  ความตกลงฉบับวันที่ 29 มิถุนายน ป ค.ศ. 1904 กําหนดใหเขตแดนแยกจากแมน้ำโขงที่สบเหือง แลวไปตามลําน้ำเหืองจนถึงจุดที่ลําน้ำาหมันไหลมาบรรจบกับลําน้ำเหือง (แทนที่จะเป็นจุดที่ลําน้ำตางไหลมาบรรจบกับลําน้ำเหือง) เขตแดนก็จะแยกไปตามลําน้ำหมันจนถึงต้นน้ำของลําน้ำหมัน แล้วจะไปตามสันปันน้ำจนตกแม่น้ำโขงที่แก่งผาได

ความตกลงฉบับนี้มีผลทําใหเมืองแก่นท้าวกับเมืองด่านซ้ายตกเป็นของฝรั่งเศส

 

  1.3  ในการประชุมครั้งที 4 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ ป ค.ศ. 1906 ที่เมืองเชียงคาน พลตรี หม่อมชาติเดชอุดม ประธานคณะกรรมการปกปนเขตแดนระหวางสยามกับอินโดจีน (ฝ่ายสยาม) ไดแจ้งต่อพันตรี แบร์นาร์ด ประธานคณะกรรมการปํกปันฯ (ฝายฝรั่งเศส) ว่าตามความตกลงฉบับวันที่ 29 มิถุนายน ป ค.ศ. 1904  ฝ่ายสยามตองเสียเมืองด่านซายซึ่งเป็นหัวเมืองที่มีความสําคัญของไทย  จึงขอใหฝ่ายฝรั่งเศสคืนเมืองดังกลาวให

แกสยาม  แตพันตรี แบรนารด อางวาไมสามารถคืนเมืองดานซายใหแกสยามนอกจากจะไดรับอนุญาตจากรัฐสภาฝรั่งเศส  ซึ่งก็เปนที่แนนอนวารัฐสภาฝรั่งเศสจะไมยินยอม  เวนแตว่าฝ่ายสยามจะยอมสละดินแดนส่วนอื่น (เช่น ดินแดนที่ติดกัมพูชา) เป็นการแลกเปลียนกับเมืองดานซาย คณะกรรมการปกปนฯ จึงไดยอมรับหลักการของการแลกเปลี่ยนดินแดน  แตโดยที่คณะกรรมการปกปนฯ ไมมีอํานาจตกลงแนวเขตแดนใหม   ทั้งสองฝายจึงตกลงกันที่จะนําเรื่องนี้เสนอตอรัฐบาลของตนพิจารณา

               1.4  หลักการดังกลาวทําใหมีการเจรจาทําสนธิสัญญาฉบับวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ซึ่งทําใหไทยไดเมืองดานซายกับเมืองตราดกลับคืนมา  แตตองเสียเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ใหแกฝรั่งเศส

             ขอ 2 ของพิธีสารแนบทายสนธิสัญญาฉบับดังกลาวไดกําหนดเขตแดนไววา “เขตรแดนเมืองหลวงพระบางนั้นตั้งแตทิศใตในแมน้ำโขงที่ปากน้ำเหือง แล้วต่อไปตามกลางลําน้ำเหืองนี้จนถึงที่แรกเกิดน้ำนี้ที่เรียกชื่อว่า ภูเขาเมี่ยง  ต่อนี้เขตรแดนไปตามเขาปนน้ำตกแมน้ำโขงฝายหนึ่งกับตกแมน้ำเจาพระยาอีกฝายหนึ่ง  จนถึงที่ในลําแมน้ำโขงที่เรียกวาแกงผาไดตามเสนพรหมแดนที่กรรมการปกปนเขตรแดนไดตกลงกันไวแตวันที่ 16 มกราคม รัตนโกสินทรศก 124 คฤสตศักราช 1906 “ 

                            ดังนั้น  ตามความตกลงป ค.ศ. 1907 เสนเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส  ด้านเมืองหลวงพระบางนั้น เมื่อแยกจากแมน้ำโขงที่สบเหืองแลว จะไปตามลําน้ำเหืองจนถึงต้นน้ำที่ภูเขาเมี่ยง ก่อนที่เส้นเขตแดนจะต่อไปตามสันปันน้ำจนถึงแก่งผาได

                2.  การเปลี่ยนแปลงแนวเส้นเขตแดนบริเวณลําน้ำเหืองหลายครั้งดังกล่าวมาข้างต้น ทําใหเกิดความสับสนวาลําน้ำเหืองสาขาใดกันแนที่เปนเสนเขตแดน  จากการศึกษาหนังสือโตตอบระหวางสยามกับฝรั่งเศส

ในชวงวันที่ 12 กันยายน ป ค.ศ. 1907 ถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน ป ค.ศ. 1908 ทําใหทราบวาในชวงที่มีการส่งคืน – รับมอบเมืองดานซาย  เมื่อเดือนมิถุนายน 1907 เจ้หน้าที่และราษฎรในพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายมีความสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้  ซึ่งจากการสอบถามภายในส่วนราชการฝรั่งเศสเอง  ก็เป็นที่ชัดเจนว่า พันตรีแบร์นาร์ด ประธานคณะกรรมการปกปนฯ (ฝายฝรั่งเศส) และเปนผูเจรจาจัดทําสนธิสัญญา ฉบับปค.ศ. 1907 เป็นผูเดียวที่จะใหคําตอบที่ถูกตองได  และในที่สุดความสับสนนี้ก็หมดไปในชวงกลางป ค.ศ. 1908  เมื่อนาย Pierre de Margerie อุปทูตฝรั่งเศสประจําสยามไดรับความอนุเคราะหจากรัฐบาลสยามใหดูแผนที่เขตแดนบริเวณดังกลาวซึ่งพันตรี แบรนารด ประธานคณะกรรมการปกปนฯ (ฝายฝรั่งเศส) ไดลงนามกํากับไว และต่อมาเมื่อป ค.ศ. 1908 ไดมีการนําไปจัดทําเปนแผนที่คณะกรรมการปกปนเขตแดนฯ มาตราสวน 1:200,000  ฝายฝรั่งเศสถือวาปญหาวาสาขาใดของน้ำเหืองเปนเสนเขตแดนระหวางไทย-ลาว ไดจบสิ้นลงแลวจากการตรวจสอบแผนที่ชุดนี้

 

                3.  ตามแผนที่คณะกรรมการปกปนเขตแดนฯ มาตราสวน 1:200,000  ดังกลาว ไดแสดงแนวเสนเขตแดนไปตามลําน้ำเหืองตามที่ฝายไทยกล่าวอาง ทั้งนี้ เอกสารประวัติศาสตรที่สนับสนุนขอกลาวอางในเรื่องนี้อยูที่กองเขตแดน  กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย

 

-------------------------------------------------

 

                                                                             กองเขตแดน

                                                                                                       กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย

                                                                                                        พฤศจิกายน 2545

http://www.mfa.go.th/internet/document/831.pdf

โดยคุณ ลุงหมี เมื่อวันที่ 05/02/2009 23:00:03