http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1230981237&grpid=00&catid=01
๑๑๑ เพื่อนสมาชิกลองทายกันหน่อยนะครับว่าจะผลิตอะไรกันได้บ้าง "โครงการขนาดใหญ่..." หวังว่าคงไม่ต่อเรือบรรทุกเครื่องบินเองนะนั่น ๑๑๑
เท่าที่จำได้และถ้าข้อมูลไม่ผิดนโยบายนี้ประกาศในสมัยนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีครับ หลังจากที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุฬานนท์ยกเลิกกฏหมายห้ามเอกชนผลิตอาวุธ ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมก็บอกว่าเห็นด้วย และก็ยินดี แต่ไม่เชื่อว่าจะทำได้จริง ซึ่งในเมื่อองค์กรมันเกิดขึ้นมาก็จริง ๆ แล้วก็ถือว่าน่าดีใจในระดับหนึ่งครับ
ความจริงเราตั้งองค์กรนี้ช้ามา 20 ปี ถ้าตั้งตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ป่านนี้เราไปไกลแล้วครับ
แต่ก็นั่นแหละ มาช้ายังดีกว่าไม่มา คำถามต่อไปก็คือมันจะไปถึงตรงไหน เพราะดูโครงสร้างแล้ว ผมยังเห็นว่ามันควรจะทำมากกว่านี้ เช่นนอกจากจะรับโอนโครงการของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมและแผนแม่บทการวิจัยและพัฒนาจรวดเพื่อความมั่นคงซึ่งร่วมมือทำวิจัยกับจีนแล้ว ควรดึงหน่วยงานวิจัยและพัฒนาอาวุธของแต่ละเหล่าทัพเข้ามาอยู่ในกำกับของ DTI ด้วย นั่นรวมไปถึงหน่วยงานวิจัยด้านกลาโหมอีกหลายสิบหน่วยงานที่กระจายออกไปแต่ละเหล่าทัพ แม้แต่โรงงานเภสัชกรรมทหารซึ่งก็มีงานวิจัยที่เกี่ยวกับการรบอยู่เสมอ และดึงโรงงานผลิตอาวุธทั้งหลายของเหล่าทัพเข้ามาร่วมด้วยเช่นกัน เพราะผมว่าการที่ DTI กำหนดบทบาทของตนเดียงแค่วิจัยและพัฒนานั้นมันอาจจะฟังแล้วดูดี แต่มันก็คือแค่วิจัยและพัฒนา ขาดองค์กรที่จะสามารถผลิตอาวุธที่ได้จากการวิจัยได้ อีกทั้งมันยังทำให้เพิ่มขั้นตอนไปเสียเปล่า ๆ แทนที่จะทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มคิดจนถึงการผลิตอยู่ที่ DTI เลย เราควรจะทำให้องค์กรสามารถทำงานได้ครบวงจรคือ วิจัย พัฒนา ประเมินค่า ประจำการ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ เมื่อ DTI ผลิตได้ ก็จะสามารถขายได้ เมื่อขายได้ก็มีรายได้ได้ เพราะถ้าต้องมารอรับงบประมาณจากรัฐอย่างเดียว ลำบากแน่ครับ
หรือถ้าเกิดไม่ทำแบบนี้ ก็ต้องให้แน่ใจว่าเราจะสามารถส่งอาวุธที่พัฒนาแล้วเข้าสู่สายการผลิตได้ เช่นต้องทำ contact กับโรงงานทั้งของรัฐและเอกชนในการผลิต ถ้าทำได้เข้มแข็งแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรวมหน่วยงานอื่นเข้ามา
อีกทั้งเรายังต้องแก้ไขกฏระเบียบหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาและนำอาวุธไทยเข้าประจำการในเหล่าทัพ ซึ่งต้องให้กฏระเบียบนั้น "เลือกปฏิบัติ" พยายามให้สิทธิพิเศษกับอาวุธที่ผลิตโดย DTI หรือบริษัทเอกชนของไทยได้รับการพิจารณาก่อน หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการหย่อนกฏระเบียบบางอย่างโดยไม่กระทบถึงความปลอดภัยในการใช้โดยรวม
อีกทั้งสิ่งที่สำคัญ อย่าเพิ่งไปหวังว่า DTI จะสามารถผลิตรถถัง เรือรบ เครื่องบินรบได้ ยังเป็นไปไม่ได้ครับ สิ่งนั้นยังอยู่อีกไกลมากกว่าจะไปถึง เหมือนกับว่าตอนนี้เราอยู่กรุงเทพและจะไปเชียงใหม่ ตอนนี้มันยังถึงแค่ปริมณฑลเอง
สิ่งที่ DTI ควรทำก็คือทำให้พื้นฐานด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ของเทคโนโลยีด้านการทหารของไทยนั้นมั่งคง ต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยเหมือนต่างชาติ ตอนนี้กองทัพมีศักยภาพในการผลิตกระสุนและระเบิด ขั้นแรกเราควรจะทำให้เราทำอุปกรณพื้นฐานต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อน อาวุธปืน เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ ให้มั่นใจว่าเราจะสามารถทำสิ่งพื้นฐานเหล่านี้ได้ดี (เนื่องจากที่ผ่านมาที่อาวุธไทยไม่ได้เข้าประจำการเพราะทำวิจัยออกมาแล้วผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้มาตราฐานที่ควรจะเป็น) สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่จะต่อยอดไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (คล้ายกับว่าถ้าบวกเลขไม่เป็นก็ทำแคลคูลัสไม่ได้) แล้วค่อย ๆ ขยายไปเป็นรถเกราะ อาวุธปืนบนเรือรบ จรวดบนเรือรบ ระเบิดติดเครื่องบิน ไปเรื่อย ๆ ครับ
ต่อมาก็คือต้องกำหนดมาตราฐานของอาวุธให้ได้ และทำการวิจัยให้เป็นไปตามมาตราฐานนั้นได้ และเมื่อมันผ่านมาตราฐานได้ ก็ต้องเอาเข้าประจำการให้ได้ ซึ่งตรงนี้ยังเป็นงานใหญ่อยู่ เพราะที่ผ่านมาอาวุธที่วิจัยได้หลายแบบมีศักยภาพและประสิทธิภาพดีมาก แต่รัฐไม่ให้เงินกองทัพในการจัดซื้อเข้าประจำการ เมื่อเงินไม่มีจัดซื้อเข้าประจำการ มันก็กลายเป็นงานวิจัยบนหิ้งต่อไป รัฐอาจจะต้องจัดงบประมาณเฉพาะขึ้นมาเป็นงบซื้ออาวุธที่เราวิจัยได้เข้าประจำการ และแก้กฏระเบียบอย่างที่ผมพูดไป
สุดท้ายต้องพยายามทำองค์กรให้เป็นเอกชน คือมีการบริหารจัดการแบบเอกชนที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ชื่อ เพราะการผลิตอาวุธไม่มีทางเจริญได้ถ้าให้หน่วยงานราชการผลิตหรือถ้ายังบริหารแบบราชการ DTI ต้องบริหารแบบเอกชน ต้องมีวิสัยทัศนแบบเอกชน ต้องมองงานแบบธุรกิจ เมื่อนั้นถึงจะไปรอดครับ
ผมยังไม่อยากหวังอะไรมาก รอดูไปก่อน แต่ก็ถือเป็นสัญญานที่ดี เพราะผมว่ายังมีอุปสรรคอีกมากในการจะทำให้อาวุธไทยเข้าไปสู่กองทัพได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ครับ ยังต้องลุ้นกันต่อไป แต่อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลหลายรัฐบาลตั้งแต่ปี 50 จนถึงปีนี้ ก็ช่วยปูพื้นฐานแล้ว แก้กฏหมายแล้ว ยกร่างกฏหมายใหม่แล้ว ตอนนี้มีองค์ใหม่แล้ว หวังว่ามันจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นมาบ้าง ส่วนตัวผมยังไม่ได้อ่านพระราชกฤษฎีกานี้ ยังไงขอไปอ่านละเอียด ๆ ก่อนครับ
-Skyman-
รายละเอียด โครงการวิจัยและพัฒนาจรวดเพื่อความมั่นคง ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น เคยมีลงรายละเอียดไว้ใน ร่างแผนปฏิบัติการ4ปีครับ ซึ่งใช้ งป.ปี51-54 จำนวน 1,771.83ล้านบาท เป็นโครงการระดับ Flagship Project ครับ
ซึ่งโครงการพัฒนาจรวดทางยุทธศาสตร์หลายๆท่านคงจะทราบบ้างว่ามีข่าวออกมาได้1-2ปีแล้วครับ
http://www1.mod.go.th/opsd/plan/
http://www.nsc.go.th/index.php?option=com_content&task=view&id=569&Itemid=66
ผมคิดเล่นๆ...กรณีที่เราซื้อสิทธิบัตรอาวุธจากต่างประเทศมาก็น่าจะให้หน่วยงานนี้บริหาร ควบคุมการผลิตหรือแม้กระทั่งการพัฒนาต่อใช่ใหมครับ..........ส่วน Source Code ของ Gripen ก็น่าจะเป็นหน่วยงานนี้ดูแลร่วมกับทอ. (คล้ายการทำงานของ DSI กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือเปล่า? ที่ DSI จะทำเฉพาะคดีพิเศษ).....และก็ยังคล้ายกับกรณีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่การท่าอากาศยานฯ (ทอท) ตั้งบ.ลูกคือ บ.การท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ (บทม) มาเพื่อดูแลโครงการเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน....ท่านใดมีความเห็นอื่นมาแชร์บ้างครับ
อยากให้ DTI ทำในส่วนพื้นฐานก่อน เช่นอาวุธประจำกาย และรถลำเลียงต่างๆมาใช้ หรือรถที่ใช้เป็นฐานปฏิบัติการต่างๆครับ เช่น รถลากจูงฐานยิงอาวุธนำวิถีเคลื่อนที่ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโครงการวิจัยและพัฒนาจรวดเพื่อความมั่นคง และพวก UAV ดาวเทียมทหารหรือวิทยุสื่อสารทางทหารรุ่นใหม่ ตัวเล็กลง แบตเตอรี่ใช้ได้นาน ป้องกันการแจมมิ่ง
สิ่งที่น่าสนใจคือ โครงการวิจัยและพัฒนาจรวดเพื่อความมั่นคง อันนี้ถ้าดูจากความน่าจะเป็น ก็น่าจะเกี่ยวกับการพัฒนาเชิงป้องกัน
แต่เมื่อมานึกถึง กรณีจรวดปัจจุบันที่เริ่มจะใช้กันแพร่หลาย คือ จรวดที่ยิงเกินสายตา อันนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับการป้องกันตนเองเป็นอย่างมาก และช่วยลดความกดดันจาก บินที่มีเรดาร์ตรวจจับ จากระยะไกล เช่นระยะทาง 350 กม. ซึ่งบินประเทศเพื่อนบ้านก็ระดับนี้
เห็นว่ามีการพัฒนาจรวดที่ทางสวีเดนกำลังวิจัยอยู่ซึ่งอาจจะนำมาใช้กับ กริพเพน และอาจสามารถนำมาใช้ยิงจากเรือได้ด้วยอันนี้น่าสนใจมาก
คือโครงการแบบนี้ได้อานิสง ถึง 3เหล่าทัพเลยครับ
สุดท้ายหากมีการพัฒนาถึงขั้นจรวดพิสัยกลางได้ แต่ไม่ได้ใช้รุกรานใคร
และสามารถ ลิงค์กับดาวเทียมทหารได้ ก็จะขอ ปรบมือให้เลย เพราะนั่นคือการถ่วงดุลย์ทางทหารที่น่าเกรงขามพอสมควร
ทุกคนลองหลับตานึกถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ เช่นอาจเกิดข้อพิพาท บ่อน้ำมันกลางทะเล และถูกมหาอำนาจแทรกแซงทางทหารดูนะครับ ว่าถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้ การแทรกแซงทางทหารจากมหาอำนาจที่อาจเป็นฝ่ายตรงข้าม คงจะต้องเกรงใจเราบ้าง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่ไม่นอน เช่นอินเดียและปากีสถานที่หนาวๆร้อนๆทุกวันนี้....................