มาแจมด้วยครับ เรือ พิฆาต Sejong the Great class Destroyer
-ราคาต่อลำ 923 Million US. Dollar
-ระวางขับน้ำ ปกติ 7,700 ตัน
เต็มที่ 10,000 ตัน +- 290 ตัน
-ความยาว 165.9 เมตร
-ความกว้าง 21 เมตร
-กินน้ำลึก 14 เมตร
-เครื่องยนต์ COGAG 4 x GE LM2500
-ความเร็วสูงสุด 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ( 30 น๊อต+ )
-พิสัยปฏิบัติการ 5,500 ไมล์ทะเล
-ระบบตรวจจับ เรดาร์ ระบบ AEGIS AN/SPY-1D
ดูเผิน นี่มันเหมือน อาร์ลี่ย์ เบิร์ก ของ อเมริกาเลยน่ะเนี่ย
เอาภาพ Arleigh Burke มาเทียบดู ผมว่ามันคล้ายกันมากครับ
อาจจะเป็น เวอร์ชั่น เกาหลีใต้ อิอิ
เรือ KDX-III ลำแรกคือ DDG-991 King Sejong the Great ได้ปล่อยลงน้ำไปตั้งแต่ปีที่แล้วและทำการทดสอบมาเป็นระยะเวลาหนึ่งคาดว่าน่าจะเข้าประจำการได้ภายในปี2008นี้ครับ
ส่วนเรือลำที่2คือ DDG-992 นั้นคาดว่าจะใช้ชื่อ Yulgok Yi I ครับ ซึ่งปล่อยลงน้ำที่อู่ Daewoo ไปแล้วและคาดว่าจะเข้าประจำการในปี 2010 ครับ ซึ่งในขั้นต้นกองทัพเรือเกาหลีจะต่อเรือชุดนี้3ลำครับ
ราคา 1,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 35,000 ล้านบาทต่อลำ! โดยเป็นเรือ aegis ที่ดีที่สุดในโลก ราคานี้ถือว่าถูกมากๆ เพราะเรือชั้นArleigh Burke และ F-100 นั้นราคากว่า 50,000 ล้านบาทโดยเพาะ F-100 เท่าที่ทราบว่าทร.ออสซี่จัดหานั้นราคาราวๆ 56,000 ล้านบาทต่อลำ และมีระวางเต็มที่แค่ 6,000 กว่าตันเท่านั้น จำนวนอาวุธนำวิถีก็ไม่ได้มากถึงกว่า 120 ลูก ซึ่งจะดูเป็นเรือ aegis ชุดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพต่ำสุดในหมู่เรือ aegis ชุดใหญ่ทั้งหมด(ใช้เรด้าร์ SPY-1D) แต่ยอมรับว่าราคา KDX-3 นี่น่าสนใจมากๆ แม้ว่าอาจจะต้องใช้อาวุธเกาหลีเสียเป็นส่วนใหญ่ แถมมีอาวุธครูสย์ระยะยิงกว่า 500 กม.อีก
ผมว่าราคานี้ ทร. จัดหามาสัก 1 ลำแทนเรือฟรีเกตป้องกันภัยทางอากาศ 2 ลำไม่ดีกว่าหรือ เพราะราคาใกล้เคียงกันครับ เอามาเป็นเรือธง อำนาจการยิงดุสุดๆ
ผมก็ว่า F-100 Alvaro De Bazan Class มันก็ถือว่าสุดยอดครับ
พอดูจากอาวุธที่สามารถ ขนไปกับเรือได้ นี่มันก็เป็นรอง KDX-III ไม่มากนักครับ
MK-41 VLS จำนวน 48 ลูก
SM-2MR Block IIIA จำนวน 32 ลูก
RIM-162 ESSM อีก 64 ลูก
แค่นี้อำนาจการยิง ก็เหลือๆ แล้วครับ
*อาวุธที่มีอยู่บนเรือลำนี้ เอาไว้สอย นกเหล็ก ได้ไม่ต่ำ กว่า 30 เครื่องได้ สบายๆเลย
ถ้าเรายิงไม่พลาดน่ะ และต้องไม่โดนเขาจมเรือเราก่อนด้วย
ชุดแรก เครื่องบินข้าศึก อยู่ระยะไกล ทักทายด้วย SM-2MR ไปก่อน
เครื่องบินข้าศึกที่หลงเหลือเป็นบางส่วน จากการยิง SM-2 ไปเข้ามาระยะไกล ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ ของ RIM-162 ESSM และ MK-41
บอกแล้วว่ามันเหลือๆครับ..........
**แต่ถ้า อนาคต ทร.ไทย รวย ขึ้นมา ( ซึ่งโอกาสเป็นไปได้น้อย )
ก็อยากเห็น KDX-III ประจำอยู่ฝั่งอ่าวไทย 1 ลำ
และ F-100 อยู่ ฝั่งอันดามัน อีก 1 ลำ
ร่วมกับ เรือฟริเกต แบบ Stealth อีก ฝั่งละ 1 ลำ
คงไม่มีคนอยากจะมาเคาะประตูบ้านสักเท่าไหร่
เรือป้องกันภัยทางอากาศสำหรับกองทัพเรือขนาดไม่ใหญ่มากนักอย่างไทยนั้นควรจะมีอย่างน้อยชุดละ2ลำแบบเดียวกับเรือชุด ร.ล.พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งเป็นเรือชั้น Knox ครับ
โดยความเห็นส่วนตัวนั้นถ้าแบบเรือจากสเปนนี้เรือ AFCON Corvette ก็ดูจะเหมาะสมที่สุดครับ ทั้งขนาดระวางขับน้ำ ค่าใช้จ่ายในการสร้างและค่าบำรุงรักษาในการปฏิบัติการภายหลัง(เรือยิ่งมีขนาดใหญ่ค่าใช้จ่ายในการออกเรือแต่ละครั้งก็ยิ่งมาก)
หรือถ้าต่อได้ลำเดียวแต่เอาแบบขนาดใหญ่จริงๆนี้ส่วนตัวก็ว่าเรือแบบ F-310 ชั้น Fridtjof Nansen ของนอร์เวย์แต่มีการปรับแต่งอาวุธให้เป็นเรือป้องกันภัยทางอากาศ(เรือชุดนี้ของนอร์เวย์นั้นออกแบบเป็นเรืออเนกประสงค์แต่เน้นต่อต้านเรือดำน้ำเป็นหลัก) ตามความต้องการของไทยก็น่าจะพอแล้วครับ ระวางขับน้ำที่ 4,600-5,300ตัน พร้อม AN/SPY-1F เพิ่มแท่นยิง Mk41 2ชุดพร้อม ESSM 32นัด SM-2MR 8ขึ้นไปนี้ถือว่าล้ำหน้าในภูมิภาคนี้มากแล้วครับ(พอๆกับตอนที่ไทยสั่งต่อ ร.ล.มกุฎราชกุมาร เมื่อเกือบ30ปีก่อน)