เนื่องจากช่วงนี้เศรษฐกิจทำทีว่าจะหดตัว ผมเลยคิดเล่นๆว่า ในปัจจุบันนี้อชีพอะไรที่ดูมั่นคงเเละยั่งยืนที่สุดครับ
ปล.ขอโทษที่ตั้งกระทู้ไร้สาระครับ .... 555
ตอนปี 40 บ้านผมแทบไม่กระทบเลยครับเพราะพ่อกับแม่เป็นข้าราชการ เงินเดือนน้อยยังไงก็น้อยอยู่อย่างงั้น 555+ แต่ตอนลำบากหลวงไม่ตัดเงินสักแดง ในขณะที่เพื่อน ๆ ผมที่ทำงานเอกชนหรือมีบริษัทบางคนแทบจะหมดตัว
ไม่รู้ว่าน้องภูมิเรียนอยู่ชั้นไหนครับ? ถ้ายังไม่เข้ามหาลัย ผมว่าเลือกเรียนสิ่งที่เราอยากเรียนไปเถอะครับ ....... เศรษฐกิจมีวงจรของมันในช่วง 2 -3 ปีนี้มันกำลังเดินเข้าหาจุดต่ำสุดแล้ว หมดจากนี้มันก็จะเริ่มโงหัวขึ้นอีกครั้ง อีก 4 ปีผมว่าทันถมเถครับ ........ เพราะเอาเข้าจริงมันไม่มีอะไรมั่นคงหรอกครับ ทุกอย่างมันเปลี่ยนได้หมด แต่ข้าราชการก็มั่นคงสุดในความไม่มั่นคงอยู่ดี ....... ในทางกลับกันลุงกับป้าที่ขายขนมครกหน้าปากซอยของผมก็ยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเพราะขายหมดทุกวัน ยิ่งป้าที่ขายกล้วยแขกยิ่งแล้วใหญ่ มาสายนิด ๆ แต่บ่ายก็หมดแล้ว
เรียนอะไรที่เรามีความสุขดีที่สุดครับ ไม่งั้นจะมาแย่แบบผมนี่ไง 555+ ...... ไม่ได้อวดอะไรนะครับ เพราะไม่มีอะไรจะอวด แต่อยากยกตัวอย่างครับว่า ผมจบคอมพิวเตอร์มา ได้งานตั้งแต่ยังไม่ทันเรียนจบ เงินเดือนเริ่มต้นเกือบ 2 หมื่น ...... แต่ตอนนี้อยากจะบอกว่าเบื่อสุด ๆ อยากไปทำอย่างอื่นซะงั้น เงินน้อยก็นี้ก็ยอม 555+ ....... แต่ก็ต้องนั่งจิ้มคอมพ์ต่อไปเพราะสิ่งที่ตัวเองรักจริง ๆ มันทำเงินได้น้อย ถ้ามีผมคนเดียวก็คงไม่มีปัญหาเพราะเดือน ๆ นึงผมใช้เงินไม่เกิน 4 พันบาทอยู่แล้ว แต่ผมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่บ้านด้วย ก็เลยทำตามใจตัวเองไม่ได้ ..... เห็นมะ ผมเรียนในสาขาที่ตอนนั้นฮิตมาก แต่ดันมาเบื่อซะนี่ ทั้ง ๆ ที่มีคนก้อยากเรียนอันนี้ตั้งเยอะ ...... ไม่รู้สิครับ ผมว่าใจเนี๊ยสำคัญที่สุดนะ น้องภูมิอาจจะจบอะไรที่สังคมมองว่าง่าย แต่ในอนาคตอาจจะรวยกว่าทุกคนใน TFC ก็ได้ (แต่คงรวยน้อยกว่าผมเพราะผมได้ค่าคอมมิชชั่นดี 555+) ...... ทำสิ่งที่ตัวเองรัก มันจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้มากกว่าการทำสิ่งที่ตัวเองจำใจต้องรักครับผมเชื่ออย่างงั้น ผมเห็นเพื่อน ๆ หลายคนมาแล้ว ยืนยันครับว่าทำสิ่งที่รักแล้วจะทำได้ดีเพราะมันมีแรงขับเคลื่อน แล้วความสำเร็จมันจะตามมาเองถ้าเราพยายามครับ
พูดมาซะยาว น้ำมากกว่าเนื้อ = =! ....... เอาเป็นว่าอยากเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะครับ เอาที่ชอบที่สุดนั้นแหละ เดี๋ยวจบมาเศรฐกิจก็เริ่มฟื้นเองครับเชื่อผม ^ ^
ของคุณ poom1.1 ยังอีกนาน
แต่ไอ้ผมนี่สิ ปีสองปี นี้มันแน่ ฮือ...
^
^
ไม่แนะนำวิศวกรรมบ้างหรือครับ
แบบว่าหาคนร่วมตกงานอยู่ แหะๆ
5555ทุกคนในเวปนี้เรียนสูงกันทุกคนเลย
ส่วนผมแค่ ป.6 เองไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาอะ
ขืนคุยไปก็คงคุยกับเขาไมรู้เรื่อง...ก็คนมันไม่มีคุณวุฒินี้หน่า
ทุกวันนี้ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัท เงินเดือน 6840 บาทมี
ความสุขดีที่ได้เข้ามาในเวปไชยาพัต...เล่นเนตเป็นเมื่อ5ปี
ที่แล้ว..คูรพักลักจำ..เล่นเครื่องเจ๋งแล้ว5เครื่อง จนโปรแกรมเมอร์
ที่โรงงานเศร้า...แต่ตอนนี้เริ่มเศร้าเองแล้ว..โรงงาน งานไม่เข้าหงะ
ชิ้นส่วนรถยนต์..ขาลงหงะ......ลูกชายกับลังกินนมเก่งด้วย...
เฮ่อ..เซ็งจังแมน...จะมีตังค์ซื้อนมให้มันไม่นี้
....ระบายซะมากพี่ๆไม่ว่ากันนะ
อีก สี่ เดือน ผมจามีงานทำมั๊ยว้าๆๆๆ วิศวะหนอ ( มีคนเชียร์วิศวะแล้วครับคุณ Tasurahings อิอิ) โรงงานเจ๊ง ตกงาน ไม่มีเงิน จน เครียด
อาชีพที่มั่นคงแต่ค่าจ้างไม่สูงมากคือข้าราชการ
อาชีพที่ไม่มั่นคงแต่รายได้ดีคือนักการเมือง.... เอ้ย ! ไม่ใช่ ผู้รับเหมาต่างหากเล่า รองลงมาก็คือนายหน้า
ผมว่าอย่าไปมุ่งว่าต้องเป็นโน่นเป็นนี่ที่มั่นคง เลือกอาชีพที่ชอบ แล้วเน้นเศรษฐกิจแบบพอเพียง รายได้ต่ำรสนิยมสูงเข้าโรงจำนำเป็นหนี้สินเชื่อ รายได้สูงแต่ไม่รู้จักพอรูดเข้าไปบัตรเครดิตเป็นหนี้บาน พอตกงานไม่มีอะไรเหลือแถมมีหนี้ติดตัว จงตั้งตนไม่ให้อยู่ในความประมาท ทุกอาชีพก้มีสิทธิ์ที่ต้องถูกเลิกจ้างเหมือนกัน ผมก็ไม่ใช่คนที่จบสูงอะไรมากมายครับปัจจุบันผมก็อยู่ทางด้านวิศวกรรม แต่ผมไม่เคยกลัวว่าที่ทำงานจะเลย์เอาท์ เพราะ ผมบ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ปรึกษาหารือไม่ต้องรอนอกรอบ แถมมีคนดูแลทุกข์สุขอยู่ไม่ขาด งานประจำไม่มีใครแย่งทำ ไม่เชื่อถาม นายnok ดูสิ เขาเคยอยู่มาแล้วอพาทเมนท์เนี้ย รู้สึกเขาจะเลย์เอาท์ออกมาเมื่อ12สิงหาที่ผ่านมามั้งเจ้านี้
มนุษย์ที่ลดความอยากได้มากที่สุดจะมีความสุขที่สุด
ขอบอกว่าข้าราชการก็ต้องแล้วแต่สังกัดด้วย ตอนนี้ข้าราชการมหาลัยกำลังปวดกบาลมากมาย ส่วนมากจะฉวยโอกาส early retire กันมากกว่า จึงไม่เห็นภาพของการโดนปลดหรือตกงานกันนัก
แต่ต่อจากนี้ไม่ใช่แล้ว
มหาวิทยาลัยต่างๆสถาบันต่างๆระดับปริญญาตรีกำลังทยอยกันออกนอกระบบ ข้าราชการหลายส่วนก็พลอยมีปัญหากันต่างๆมากมาย บ้างก็ถูกบีบให้ลาออก บ้างก็ประสบปัญหาต่างๆมากมายครับ รวมถึงการบีบให้ร่วมกันคอรัปชั่นเป็นบุฟเฟ่ท์คาบิเน็ต
ฉะนั้นอาชีพที่ดีที่สุดผมเห็นว่าน่าจะเป็นชาวนาชาวสวนนั่นแหละครับ ขายของไม่ออกเก็บไว้กินเองก็อิ่มท้อง ยกเว้นแต่กิเลสหนาอยากมีตังไปควงกิ๊กควงสาวๆ อยากซื้อรถ อยากได้ทีวีใหม่ ถ้าเป็นดังที่ผมกล่าวตอนหลังนี้ อาชีพอะไรๆก็ไม่ดีพอหรอกครับ
ถ้าอยากรวยและตนมีความสามารถระดับนึงแต่หน้าตาโคตรหล่อนะครับไปเป็นดารานักแสดงอะไรไปเลยครับ ยิ่งคุณมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้จะทำให้คุณก้าวหน้าในวงการมาก
1.มีเชื้อเกาหลี
2.หน้าเกาหลี
3.พูดเกาหลีได้หรือมีความเป็นเกาหลีในตัว
4.หุ่นผอมแห้งหุ่นดีเรียกได้ว่ายังกับผู้หญิง
5.ไม่หล่อแต่สวย ทั้งๆที่เป็นผู้ชายแท้100%
6.หล่อไม่มากแต่ดวงตาหวาน อ้อนสาวได้ก็รอดครับ
แต่หากเอาจริงๆ อาชีพใดๆก็ตาม ขอให้พูดจาเก่งๆ ติดต่อคนเก่งๆ สื่อสารเก่งๆ บุคลิกดีๆ ส่งผลให้ทำอาชีพอะไรก็ตาม รุ่งแน่ครับ ปากเป็นเอก เลขเป็นโท เป็นเรื่องจริง
ดูในสังคมเถอะครับ คนพูดเก่ง ได้เปรียบกว่าใครเขากี่เท่า ? อย่างโอบามาใครว่าเขาได้รับมาเพราะความสามารถ หลักๆก็คือพูดในที่สาธารณะเก่ง ทั้งที่ความสามารถเทียบกับแมคเคนก็ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปล ยืนยันคำตอบของหัวข้อกระทู้ว่า "ดารานักแสดง" ครับ
มีชื่อเสียงแค่ไหน หากคุณทำให้ตัวเองดังได้จะมีมวลชลมาร่วมกับคุณไม่น้อยกว่านปช หรือพันธมิตรเลยละครับ ^^ แถมสัดส่วนคือ "สาวๆล้วนๆ"
(ดูได้จากม๊อบ เอ๊ยยย กองเชียร์ดงบังที่ไปรับที่สนามบินครับ)
มีปัจจัยหลายอย่างครับ ที่จะช่วยเราในสภาวะที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้
ต้องมานั่งดูบัญชีค่าใช้จ่ายของเราว่ามีอะไรที่ลดได้ หรือไม่จ่ายได้
ยกตัวอย่างนะครับ (เอาตัวผมแล้วกัน)
1. ค่าอินเตอร์เน็ต ไฮสปีด 1 เมกฯ ลดค่าใช้จ่ายลงได้ 753.30 บาทต่อเดือน
- ค่าสัญญาณ 590 บาท
- ค่าเลขหมาย 100 บาท
- ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 48.30 บาท
- ค่าบริการการชำระเงิน 15 บาท
2. ลดจำนวนตู้ปลาลง (อันนี้ตัดใจยากกว่าอันแรก)
- ค่าอาหารสด 120 บาท
- อาหารเสริม 70 บาท
- ค่าน้ำประปา (เนื่องจากล้างตู้)
- ค่าไฟ (อุปกรณ์ที่ใช้ดูแลตู้ปลาและปลา)
เอาง่ายๆแค่นี่นะครับ ผมประหยัดได้เดือนละ 1000 บาทแล้ว
ลดการสังสรรค์กับเพื่อนๆลง (ไม่ได้ให้เลิกคบนะครับ)
รวมถึงวิธีประหยัดต่างๆในบ้าน เรื่องไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์
บอกเลยครับลดได้อีกเยอะ
ส่วนผู้ที่จะจบในช่วงนี้ ผมแนะนำเบื้องต้นนะครับ
สมัครทหาร เลยครับ เหนื่อยหน่อยแต่ก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายได้เยอะทีเดียว
แต่ส่วนใหญ่ที่ทำไม่สำเร็จก็เป็นเพราะเราแพ้ศัตรูของเรา
ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ตัวเราเอง (จริงๆแล้วผมอยากใช้คำว่า ใจเราเองมากกว่า แต่ลอกเค้ามาก็ต้องให้เหมือนเดิม)
สำหรับท่าน Tasurahings, ท่าน CroBra_Night และ หลายๆ ท่านที่กำลังจะจบ.......ตอนนี้ต้องยอมรับแล้วละครับว่าไม่ใช่ปีทองของเหล่าวิศวกร เหตุการณ์วิศวกรขาดตลาดของบ้านเราเคยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว เด็กๆ ก็ไฝ่ฝันจะเป็นกัน สถาบันต่างๆ ก็เร่งผลิตกันยกใหญ่
.ผมเองโชดดีที่จบและได้ทำงานก่อนเกิดเหตุวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 39 จบใหม่ตอนนั้นเงินเดือนเริ่มต้นร่วมๆ สองหมื่นบาทปรับเงินเดือนทีนึงก็ร่วมๆห้าพัน สิ้นปีมีโบนัส ด้วยอายุ 24-25 ผมมีเงินเดือนร่วมๆ สามหมื่นบาทแล้ว ด้วยความที่ว่าเงินมันหาง่าย อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากเที่ยวก็เที่ยว เก็บออมไม่รู้จัก เงินไม่พอใช้ก็ยืมเงินอนาคตมาใช้ผ่านบัตรเครดิต เพราะคิดว่าเดี๋ยวสิ้นเดือนก็ได้อีกแล้ว ไม่สนใจเรื่องรอบตัว...จนท้ายที่สุดเรื่องเศรษฐกิจที่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวนั้น เริ่มมีผลกระทบกับเราแล้ว เพื่อนๆ ก็ถูกลดเงินเดือนบ้าง ให้ออกบ้าง.......ตัวผมเองก็ถูกลดเงินเดือนยี่สิบเปอร์เซนต์ รายได้ไม่พอใช้ เงินเก็บไม่มี อะไรๆ ก็ต้องผ่อน ลำบากสุดๆ ครับในเวลานั้น จนปัจจุบันก็นับว่าผ่านมาได้อย่างทุลักทุเลแต่ก็ยากที่จะกลับไปสู่จุดเดิมก่อนเกิดวิกฤติ......ดังนั้นจึงอยากจะแนะนำน้องๆ ที่กำลังจะจบรวมไปถึงคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเองนะครับว่า จะเลือกหรือทำอะไรก็แล้วแต่อย่าทำด้วยความประมาท อย่าใช้จ่ายเกินตัว ให้มีการเก็บออมเพื่ออนาคตบ้าง ที่สำคัญคือ หมั่นเรียนรู้เพิ่มเติมในศาสตร์อื่นบ้าง เช่นทบทวนภาษาอังกฤษ หรือเรียนภาษาจีนหรือญี่ปุ่นเพิ่ม เป็นต้น ไว้เผื่อเป็นการไม่ประมาท เผลอๆ อาจได้ไปทำงานต่างประเทศก็ได้
วิกฤติครั้งนี้อาจกินเวลานานสักหน่อยกว่าจะฟื้น ภาครัฐก็กำลังจะมีมาตรการแก้ไขออกมา อาจจะช่วยไม่ได้หมดแต่ก็พอเยียวยาได้บ้าง คราวนี้ถือว่าเรากระทบกระเทือนแน่นอน แต่ไม่ทั้งหมดเนื่องจากเคยมีบทเรียนมาแล้ว......พูดถึงเพื่อนบ้านทางตะวันออกของเรานิดนึง เพื่อนบ้านที่เราๆ ว่าเค้าจะแซงเราในไม่ช้า อันนั้นผมไม่เถียงครับเพราะคนของเค้าหมั่นเพียรกว่าเรา แต่คงใช้เวลานานสักหน่อย เพราะสิ่งที่จะทำให้เค้าแซงเรานั้นล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยคนอื่นทั้งสิ้น (ซึ่งต่างก็แย่ตามกันไปเกือบหมดแล้ว) ไม่ได้โตด้วยลำแข้งตัวเองอย่างที่เรากำลังทำในเวลานี้ ดังนั้นเหตุการณ์นี้สำหรับเค้าจะเป็นการย้อนรอยเราเมื่อ 20 จนมาถึง 10 กว่าปีที่แล้ว.....โปรดติดตาม
ส่วนผม พอจบ ปวส(โยธา) ก็โบกมือ บ๊ายบาย
เมืองไทย มานั่งเป็นลูกจ้างอยู่ไต้หวันได้ 7 ปีกว่า
ยังไม่รู้เลยว่าจะกลับไปอยู่เมืองไทยปีใหน แต่ที่แน่ๆ
ไต้หวันก็กำลังแย่ พอๆกัน งานไม่เข้า หลายเดือนแล้ว
แต่ผมคงโชคดีกว่าหลายๆท่าน อย่างน้อย ก็คงเป็นตัว
เลือกท้ายๆ ที่เขาจะปลดทิ้ง ^^
....ของผมกำลังจะจบ ปวส. ในอีก3เดือนข้างหน้าครับ จะทำงานก็ไม่ไหว เพราะตำแหน่งช่างเงินน้อยนิดตามศูนย์บริการ เลยว่าจะเรียนต่อเลย อย่างน้อยๆหวังว่า เรียนจบในป.ตรี3ปีข้างหน้าคงจะมีอะไรที่มันดีกว่านี้
....ขนาดโรงงานใหญ่ๆ ข้างบ้าน รถทีอาร์ แอดเวนเจอร์น่ะ คนงานจ้างแต่รายวันล้วนเลย
ทีทำงานผมไม่มีโอทีวันหยุดมาเกือบจะ2เดือนแล้วจากทีเคยรับหมื่นกว่าๆๆๆพอ
ตอนนี้เหลือรับจริงแค่6-7พันบาทใครไม่มีภาระอะไรก็พอมีพอกิน
ส่วนใครที่เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินผ่อนทั้งหลายก็ซวยไปส่วนผม
เงินเดือน6พันกว่าๆๆนิดๆๆอยู่ได้อย่างสบายไม่เดือดร้อนอะไร
เพราะตัวคนเดียวกินก็คนเดียวส่งให้ทางบ้านนิดหน่อยแต่เสียอย่างเดียว
เหงาชะมัดไม่มีแฟนเห็นคนอื่นมีก็อยากมีบ้างจังเฮ่อเศร้า
ประมาณปี 29 40 51 เกิดวิกฤษเศรษฐกิจ อยู่ในวงรอบประมาณสิบปี ไม่แน่น่ะครับ ปี 60 อาจเกิดอก ผมไม่ได้เป็นหมอดูไม่ได้อวดเก่ง แต่ให้ทุกคนระวังไว้ คนที่อยู่มัธยม ก็หาสาขาเรียนให้รอบคอบน่ะคร๊าบบบบบ
อาชีพที่จะไม่ตกงานหรือตกก็ลำดับท้ายๆ คือ วิชาชีพ
การแพทย์ พยาบาล เภสัช กุ๊ก หรืออาชีพที่สร้างงานได้ด้วยตัวเองค่ะ
นักบัญชีมีแยะมาก โอกาสตกงานมีแยะเหมือนกัน
อาชีพไหนที่ไม่ค่อยมี(ขาดแคลน)เป็นความสามารถเฉพาะด้าน
อาชีพนั้นหล่ะค่ะ ควรสนใจ(หากไม่ติดขัดด้านส่วนตัว)
ทุกวันนี้พี่เหม่งมีอาชีพ "สวย" ค่ะ
ของผมเองจบมาทางด้านสัตวศาสตร์(สัตวบาล)มา งานทำเกี่ยวกับการผลิตสุกรขุนคุณภาพครับ ก็มีผลกระทบบ้างเกี่ยวกับยอดขายเนื้อหมูที่หดลงไป แต่ว่าผมอยู่ฝ่ายจัดหาสุกรเป็น ก็ต้องช่วยทางบริษัท โดยขับรถให้ช้าลง(เดิม140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) จัดแผนการทำงานให้รัดกุมมากขึ้น
ถ้าตกงานก็ไปเลี้ยงเองครับและแปรรูปสินค้าครับ
อย่างที่พี่โยบอกครับ งานทางด้านเกษตรยังไปได้เสมอ ตราบที่คนยังต้องกินอาหารอยู่