m16a1,m16a2,m4a1 ต่างกันอย่างไร
แล้วทำไมค่ายทหารบางค่ายยังใช้m16a1รุ่นเก่าอยู่
กระสุน5.56x45 มม. แบบเก่าที่ใช้กับลำกล้อง 1/12(ครบรอบที่ 12 นิ้ว) ใน เอ็ม 16 และ เอ็ม 16 เอ 1(รวมถึงคาร์ไบด์ของ เอ็ม 16 เอ 1) ชนิดธรรมดา(Ball)คือ เอ็ม 193 ครับ ส่วนชนิดส่องวิถี(Tracer) คือ เอ็ม 196 ทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันที่ความยาวของหัวกระสุน(หัวกระสุนนะครับไม่ใช่ความยาวของกระสุนครบนัด)ส่องวิถีจะยาวกว่าชนิดธรรมดา เพราะต้องบรรจุสารเคมีที่ท้ายหัวกระสุนสำหรับลุกไหม้เกิดแสงช่วยในการมองเห็นวิถีกระสุน(ก็ตามชื่อมันนั้นแหละ)
กระสุน 5.56x45มม.แบบใหม่ที่ใช้กับลำกล้อง 1/7(ครบรอบที่ 7 นิ้ว) ในปืนเล็กยาวตั้งแต่ เอ็ม 16 เอ 2 เป็นต้นไป รวมถึง ปืนเล็กสั้นหรือคาร์ไบด์ในซีรี่ เอ็ม 4 และ เอ็ม 4 เอ 1 ด้วย(รวมถึงปืนแบบใหม่ๆของนาโต้ที่ใช้ลำกล้องเกลียว 1/7 นาโต้เรียกกระสุนแบบใหม่ว่า SS 109) ชนิด ธรรมดา เรียก เอ็ม 855 ชนิดส่องวิถีเรียก เอ็ม 856 กระสุนแบบใหม่จะต่างจากแบบเก่าคือ แบบใหม่จะเสริมแกนโลหะ(Steel Core) รูปฝาชีที่หัวกระสุน น้ำหนักหัวกระสุนจะมากและยาวกว่าแบบเก่า (เอ็ม 193 หนัก 56 เกรน ส่วน เอ็ม 855 จะหนัก 62 เกรน) และหัวกระสุนจะยาวกว่า( หัวกระสุน เอ็ม 855 ยาวพอๆกับ เอ็ม 196) ด้วยความที่หัวกระสุนหนักกว่าและยาวกว่าทำให้แรงดันในรังเพลิงของกระสุนแบบใหม่มีมากกว่าแบบเก่า..........ถ้าถามว่าเอากระสุนแบบใหม่ไปยิงด้วยเอ็ม 16 หรือ เอ็ม 16 เอ 1 ได้มั๊ย คำตอบคือได้ เพราะขนาดมิติภายในรังเพลิงเท่ากัน แต่ใครจะถล้ายิง เพราะแรงดันมันสูงกว่า รังเพลิงของ เอ 1 ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนแรงดันของกระสุนแบบใหม่(แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะพังตั้งแต่นัดแรกเสมอไป แต่ใครจะกล้าเสี่ยง) ในทางกลับกันถ้าเอากระสุนแบบเก่าไปยิงด้วย เอ็ม 16 เอ 2 ขึ้นไปนั้นสามารถยิงได้ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของผู้ยิง แต่ค่าขีปนวิธีของกระสุนจะเปลี่ยนไปและประสิทธิภาพก็จะลดลง............
ปืนกลเบาขนาด 5.56 ตามความหมายของคุณ X1 ผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึง ปืนเล็กกล(หรืออาวุธกลประจำหมู่) แบบ มินิมิ(เอ็ม 249) หรือ เนเกฟ ใช่ไหมครับ........มินิมิและเนเกฟ ใช้กระสุน 5.56x45มม. แบบใหม่แบบเดียวกับปืน เอ็ม 16 เอ 2 ขึ้นไปครับ ในสายกระสุนจะมีกระสุน 2 แบบคือ ธรรมดา เอ็ม 855 และ ส่องวิถี เอ็ม 856 โดยทุกๆ5นัดในสายจะมีส่องวิถี เอ็ม 856 คั้น 1 นัดครับ โดยเชื่อมต่อกันด้วยข้อต่อ หรือ ลิงก์ แบบ เอ็ม 27 ครับ.......มินิมิ มันป้อนกระสุนได้ 2 แบบคือ แบบสายกระสุน(บรรจุอยู่ในกล่องมาตรฐาน 200 นัด) และซองกระสุน เอ็ม 16(สตาร์แน็ก) ครับ
การที่ส่วนปลายลำกล้องตั้งแต่ เอ็ม 16 เอ 2ขึ้นไป มีลักษณะอวบหนานั้นไม่ใช่เพื่อกันลำกล้องปืนแตกครับ แต่ทำมาเพื่อช่วยในการระบายความร้อนครับ ในลำกล้องปืนขนาดและความยาวเดียวกัน ลำกล้องที่อวบหนากว่าจะระบายความร้อนได้ดีกว่า ในการยิงต่อเนื่องลำกล้องอวบหนาจะร้อนช้ากว่าลำกล้องเล็กเรียวครับ มีผลต่อกลุ่มกระสุนครับ(ลำกล้องยิ่งร้อนกลุ่มกระสุนยิ่งกว้างกว่าเดิม).............ลำกล้องที่อวบหนาของเอ็ม 16 เอ 2 ขึ้นไปนั้น มันไม่ได้อวบหนาตลอดทั้งความยาวครับ มันจะอวบหนาเฉพาะส่วนปลายตั้งแต่ช่วงใต้แท่นโครงศูนย์หน้าขึ้นไปจนถึงปลอกลดแสงครับ(ส่วนที่โผล่พ้นฝาประกับลำกล้องออกมานั้นแหละครับ) ส่วนที่ซ่อนอยู่ในฝาประกับจะมีขนาดพอๆกับ เอ็ม 16 เอ 1 ครับ.....ถ้าถอดฝาประกับลำกล้องเอ็ม 16 เอ 2 ขึ้นไป ออกมานั้นจะเห็นลำกล้องรูปร่างตลกครับ คือ ส่วนโคนที่บริเวณรังเพลิงจะอวบหนา แล้วเรียวเล็กลงรูปคอขวด หลังจากนั้นจะเท่ากันจนถึงบริเวณประมาณใต้แท่นโครงศูนย์หน้ามันก็จะกลับมาอวบหนาอีกครั้งครับ(เหมือนอะไรหว่า)
ต่างกันหลายจุดเหมือนกันคับ
....1. กระสุนขนาด 5.56 มม. (.223 เรมิงตัน) ในรุ่น A-1 ใช้แบบ M.198 ในรุ่น A-2 ใช้แบบ M.559 A-3 ใช้แบบ M.996 และ A.4 ใช้แบบ M.998 คับ
....2.จากข้อ 1. กระสุนทั้งหมด ต่างจากแบบ M.198 ตรงที่แรงกว่า พอ ๆ กับกระสุนปืนกลเบาขนาด 5.56 มม.อ่ะคับ ประมาณนั้น ดังนั้น เอ็ม.16 รุ่นใหม่จึงต้องมีลำกล้องที่อวบหนากว่ารุ่น A.1 คับ ม่ายงั้นมีสิทธิ์ปืนแตก
....3.ระบบบังคับการยิง A.1 ยิงได้กึ่งอัตโนมัติกับอัตโนมัติ ตั้งแต่ A.2 ยิงแบบชุดสั้น 3 นัดได้อีกแบบนึงคับ
กระสุน 5.56x45mm แบบ Ball ที่ใช้กับ M-16A1 ซึ่งลำกล้องมีเกลียว12นิ้วต่อ1รอบคือ M193 ครับ
ส่วนปืน M-16A2 ซึ่งมีลำกล้องเกลียว7นิ้วต่อ1รอบนั้นจะใช้ กระสุน Ball แบบ M855 หรือ NATO กำหนดมาตรฐานเป็น SS109
M996 เป็นกระสุนแบบ Dim-Tracer สำหรับใช้ยิงร่วมกับกล้อมมองกลางคืน
และถ้าจำไม่ผิด M198 เป็นกระสุนขนาด 7.62x51mm ครับ
คันบังคับการยิงของ เอ็ม 16 และ เอ็ม 16 เอ 1 มี 3 ตำแหน่งคือ SAFE(ห้ามไก) SEMI (ยิงทีละนัด) และ AUTO(ยิงอัตโนมัติ)
คันบังคับการยิงของ เอ็ม 16 เอ 2 มี 3 ตำแหน่งคือ SAFE SEMI และ BURST( เบิส คือ ยิงชุด 3 นัด เมื่ออยู่ในตำแหน่งนี้ถ้าเหนี่ยวไกค้างไว้กระสุนจะลั่นออกไปแค่ 3 นัด ต้องเหนี่ยวไกใหม่อีกครั้ง พูดง่ายๆก็คือ ยิงเป็นชุดชุดละ 3 นัดนั้นเอง ต่างจาก แบบ AUTO ที่ถ้าเหนี่ยวไกค้างไว้กระสุนจะลั่นออกไปเรื่อยๆจนกว่ากระสุนในซองกระสุนจะหมดหรือปล่อยไก)
คันบังคับการยิงของ เอ็ม 16 เอ 3 เหมือนกับ เอ 1 คือ SAFE SEMI และ AUTO
คันบังคับการยิงของ เอ็ม 16 เอ 4 เหมือนกับ เอ 2 คือ SAFE SEMI และ BURST
งงดีแท้ไม่รู้มันจะเปลี่ยนสับไปสับมาทำไม.....ปืนแบบใหม่ๆบางแบบมี 4 ตำแหน่งคือ SAFE SEMI BURST และ AUTO
เมื่อนำแม่เหล็กไปดูดหัวกระสุนพบว่ามี 2 ชนิดคือแม่เหล็กดูดได้ และไม่ได้ มันเป็นเพราะเหตุใด ที่ดูดได้ทั้ง M 855และ M193 ผมงงครับ ผมไม่กล้ายิงครับเพราะปืนผมเป็น AR15 ช่วยตอบทีผมสงสัยมานาน
แม่เหล็กดูดติดก็น่าจะเพราะได้ฝาชีโลหะที่หัวของ M855 น่ะครับ
เฮอ.....ผมว่าผมไม่ได้ช่วยเพิ่มเติมให้คุณ X 1 นะ ผมว่าผมมาแก้ข้อผิดมากกว่า......กระสุน 5.56x45 ทั้งเก่าทั้งใหม่ผมไม่เห็นมันจะมี เอ็ม 198 ซักแบบ.....ถ้าเอ็ม 198 ที่รู้จัก มีแต่ ปืนใหญ่ 155 มม. ................และไอ้ที่ลำกล้องอวบหนา นะ มันไม่ได้เอาไว้ทนแรงดันของกระสุนแต่มัน เอาไว้ช่วยในเรื่องการระบายความร้อน มันอวบหนาเฉพาะส่วนปลายลำกล้อง(ที่พ้นฝาประกับลำกล้องออกไป)เท่านั้น มันไม่ได้หนาเท่ากันทั้งหมด............
ดาบปลายปืน มันไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดหรอกครับ ว่าเป็น เอ็ม 16 เอ 1 หรือ เอ 2 เพราะมันสามารถใช้งานร่วมกันได้หมด ดาบแบบเก่าคือ ดาบ เอ็ม 7 ส่วนแบบใหม่คือ ดาบ เอ็ม 9 ซึ่งทั้ง สองแบบมันสามารถติดกับปืนเล็กยาว(ไม่ใช่คาร์ไบด์หรือปืนเล็กสั้นนะครับ) ตระกูล เอ็ม 16 ได้ทุกแบบ............เคยเห็น เอ็ม 16 เอ 2 ติดดาบ เอ็ม 7 แบบเก่ามั๊ยละ เพราะยังไม่ได้รับดาบ เอ็ม 9 แบบใหม่..........
ศูนย์หลังของ เอ็ม 16 ทั้งหมด สามารถปรับแก้ทางทิศ(ซ้าย-ขวา) ในการยิงปรับศูนย์รบ ส่วนศูนย์หน้าจะปรับทางระยะ(สูง-ต่ำ)......ศูนย์หลังเป็นแบบกระดกพลิกได้ มีศูนย์รูสองแบบให้เลือก....ใน เอ 1 ศูนย์หลังไม่สามรถหมุนปรับตามระยะยิงจริงได้(มีแต่ควงปรับแก้ทางทิศในการยิงปรับศูนย์รบที่ระยะ 25 เมตร) แต่มันพลิกกระดกเลือกรูศูนย์ได้ 2 แบบ ในทางปฏิบัติเรามักเรียกว่า ศูนย์รูเล็ก กับ ศูนย์รูใหญ่(มีอักษรตัวLกำกับอยู่) แต่ในความเป็นจริง ขนาดรูมันเท่ากัน แต่ระยะความสูงของรูต่างกัน ด้วยความที่ว่าศูนย์หลัง ของ เอ 1 ไม่สามารถปรับได้ตามระยะยิงจริง ดังนั้นผู้ยิงต้องเข้าใจค่าขีปนวิถีของ รู ศูนย์หลังทั้ง 2 แบบ แล้วเลือกใช้และยิงเผื่อยิงกะกันเอาเอง.........
ส่วนศูนย์หลังของเอ็ม 16 เอ 2 ขึ้นไปนั้นจะมีควงอยู่ 2 อัน อันหนึ่งสำหรับปรับกลุ่มกระสุนทางทิศ(ซ้าย-ขวา) ในการยิงปรับศูนย์รบที่ระยะ 25 เมตร พอปรับได้แล้ว จะใช้ควงอีกอันสำหรับยิงตามระยะจริง(มีตัวเลขกำกับตั้งแต่ 3-8 โดยเลข 3 กับ 8 มันจะหมุนครบรอบพอดี มันจะเขียนว่า 3/8) ศูนย์หลังของ เอ 2 ขึ้นไปพลิกกระดกได้เช่นกัน และคราวนี้ รูของศูนย์มีขนาดต่างกันชัดเจน อันหนึ่งจะใหญ่มากและมีเลข 0-2 กำกับอยู่ ส่วนรูอีกอันจะมีขนาดเล็กกว่า ในความมุ่งหมายแล้ว ศูนย์รูใหญ่ออกแบบมาให้ใช้ยิงในระยะ 0 -200 เมตร และในสภาวะแสงน้อย ศูนย์รูเล็กไว้ยิงตั้งแต่ระยะ 300 ขึ้นไปซึ่งสามารถหมุนควง(ที่กล่าวถึงไปแล้ว)ปรับตามระยะยิง.....ศูนย์รูเล็กจะละเอียดกว่าศูนย์รูใหญ่...แต่ศูนย์รูใหญ่จะจับเป้าเคลื่อนไหว หรือในสภาพแสงน้อยได้ดีกว่า..........ระยะ 0-200 นั้น ใช้ศูนย์รูเล็กจะละเอียดกว่า แต่ในระยะดังกล่าวพลยิงก็ต้องเข้าใจถึงค่าขีปนวิธีของกระสุนเพื่อช่วยในการยิงเผื่ออยู่ดี............ปัจจุบัน ผมจะตั้งศูนย์หลังไว้ที่ศูนย์รูใหญ่เสมอ เพื่อเอาไว้ใช้งานในการยิงเร่งด่วนหรือฉับพลันนั้นแหละ เพราะจับเป้าได้เร็วกว่า ถ้าต้องการความละเอียดค่อยพลิกไปใช้ศูนย์รูเล็กทีหลัง
เอ 2 หูหิ้วตายตัว.....เอ 3 หูหิ้วถอดได้.........เอ 4 หูหิ้วถอดได้ และ ฝาประกับมีรางพิคาเทนนี่ 4 ทิศ(12 3 6 และ 9 นาฬิกา).........แต่ความจริงพวกอะไหล่พวกนี้มันสามารถใช้งานร่วมกันได้หมดครับ ถ้าเอาฝาประกับที่มีรางพิคาเทนนี่ของ เอ 4 มาใส่ใน เอ 3 หรือแม้แต่ เอ 2 มันก็สามารถสร้างความสับสนแล้วละครับ เอ 1 ก็มีบางตัวในปัจจุบันที่มีตัวสะท้อนปลอกที่ด้านขวาของห้องลูกเลื่อนเพื่อกันปลอกกระเด็นใส่หน้าในคนยิงที่ถนัดซ้าย .............. จะยิงหวังผลในการยิงครั้งแรกในระยะประชิดนั้น สำคัญคือ ตัวคนยิงครับ ยิงเบิส 3 นัด ถ้าคนยิงคุมปืนไม่เป็นไม่ดี มันก็หลุดเป้าหมดครับ และ เช่นกัน ถ้าคนยิงเป็น ก็สามารถคุมปืนและยิง เอ 1 เป็นชุดๆ ชุดละ 2-4 นัด ให้เกาะกลุ่ม(เท่าตัวคน) เข้าเป้าได้ครับ.......เช่นกันต่อให้มีกล้องเรดด็อด ถ้าคนยิงยิงไม่ได้เรื่อง(หมายถึงการจับปืนและการลั่นไก รวมถึงความเข้าใจในตัวปืนและวิถีกระสุน) มันก้ยิงไม่โดนหรอกครับ........อุปกรณ์ช่วยในการเล็งมันทำไว้ให้คนที่ฝึกมาแล้ว ยิงได้เร็วหรือลดข้อจำกัดลงไปครับ มันไม่ได้ทำมาให้คนที่ยิงไม่ได้เรื่องให้ยิงดีขึ้นครับ
M16A1 รุ่นสงครามเวียตนามประกับหน้าทรงสามเหลี่ยม มีหูหิ้วที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์หลังด้วย ลำกล้อง กระสุนอย่างที่มีผู้ให้รายละเอียดแล้ว
M16A2 รุ่นหลังสงครามเวียตนามใช้ครั้งแรกที่Granada พร้อมBDU Woodland camoจุดสังเกตุที่ดูง่ายที่สุดเป็นประกับหน้าทรงเกือบจะ ทรงกระบอก ไม่มีด้านซ้ายขวา สับเปลี่ยนทดแทนกันได้ (หน่วยซ่อมไม่ต้องมีอะไหล่ประกับปืนทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ) ศูนย์หลังปรับได้ ลำกล้องทำหนาในส่วนที่พ้นประกับหน้า อย่างที่ท่าน FW190 ว่า เฉพาะรุ่น HBAR เป็นลำกล้องหนาตลอดความยาวลำกล้อง
M16A2ใช้กระสุนแบบ SS109ที่อังกฤษกับ FN ของเบลเยี่ยม พัฒนาให้หัวกระสุนหนักขึ้น ทำให้อำนาจการเจาะดีขึ้น :ซึ่งต้องทำเกลียวลำกล้องให้เหมาะกับความเร็วกระสุน กระสุนที่ใช้เดิม 5.56 mm / M193ใช้ทดแทนกันได้ แต่จะไม่ได้ประสิทธิภาพ อย่างที่ควร กระสุนSS109กลายเป็นกระสุนมาตรฐานของ NATO เรียกชื่อใหม่ว่า 5.56 NATO
มีM16 รุ่นหนึ่งที่ควรรู้จัก เมื่อมีการสั่งผลิต M16A2 บริษัทColt ผลิตปืนมาอีกรุ่นเหมือน M16A2 แต่ยังคงใช้ลำกล้องแบบ M16A1 เพื่อขายให้ชาติที่ยังใช้กระสุนแบบเก่า หรือเพื่อจำหน่ายลำกล้องให้หมดคลัง ดูจากลำกล้องส่วนที่พ้นประกับหน้าM16A1 1/2 นี้จะไม่บวมเหมือน M16A2
M4A1เป็น M16รุ่นสั้น พัฒนาจากXM177 สมัยสงครามเวียตนาม บ้างเรียกว่าColt Commando