หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ฝูงบินทิ้งตอร์ปิโดที่ 8 (VT-8) Butterfly Effect แห่งสงครามแปซิฟิก

โดยคุณ : helldiver_V2 เมื่อวันที่ : 17/10/2008 23:19:52

ย้อนกลับไปในสงครามโลกครั้งที่สอง ด้านแปซิฟิก ช่วงปี 1941-1945 ซึ่งสองชาติหลักที่ขับเคี่ยวกันอย่างนองเลือด ก็คือ อเมริกา กับ ญี่ปุ่น เนื่องจากว่าญี่ปุ่นได้คาดการณ์ผิดว่า การโจมตีฐานทัพอเมริกาที่ Pearl Harbor นั้นจะทำให้อเมริกาจนตรอกและยอมลงนามในสัญญาสันติภาพ แต่ที่ไหนได้ มันกลับกลายเป็นการปลุกยักษ์ที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขี้นมาอาละวาด คนอเมริกาส่วนใหญ่เดือดดาล โกรธแค้น แล้ะต้องการที่จะเอาคืน

ช่วงต้นของสงครามญี่ปุ่นมีความเป็นต่อในแทบทุกๆด้าน ทั้งด้านกำลังรบ ยุทธโธปกรณ์ ขวัญกำลังใจเต็มที่ ไล่ตีไปจนสุดแหลมมลายู ยึดเกาะสิงคโปร์ที่เป็นดินแดนอังกฤษได้ พร้อมทั้งกวาดต้อนเชลยไปมากมาย

ด้านฟิลิปปินส์ประเทศราชอเมริกา ก็โดนไม่ใช่น้อย ญี่ปุ่นลุกไล่ทหารอเมริกันไปจนมุมที่แหลมคอริจิดอร์ และพิชิตอเมริกาได้ที่นั่น จนนายพลแมคอาเธอร์ต้องเผ่นลงเรือ PT แทบไม่ทัน พร้อมทั้งลั่นประโยคอมตะ "I shall return."

ญี่ปุ่นได้ใจหนักบุกไปเรื่อยๆ แม้แต่เรือประจัญบานที่ทรงอานุภาพของอังกฤษ ที่คาดกันว่าไม่มีวันจะจมลงได้ ก็โดนจมเละเทะอย่างไร้ทางสู้โดยกองกำลังของหน่วยบินของลูกพระอาทิตย์



ลูกพระอาทิตย์ลุกไล่ไปเรื่อยๆจนถึงเกาะๆหนึ่งใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิค ชื่อว่า มิดเวย์



การรบในครั้งนี้ถือเป็ฯจุดพลิกผันที่สำคัญของการรบในด้านแปซิฟิค ฝ่ายลูกพระอาทิตย์บุกด้วยกำลังล้นหลาม ดังนี้

เรือบรรทุกเครื่องบิน 4 ลำ
เรือประจัญบาน 7 ลำ
เรืออื่นๆ ราวๆ 150 ลำ
เครื่องบินประจำเรือทุกแบบ ราวๆ 280 เครื่อง

ฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับ มีกำลังดังนี้

เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ
เรืออื่นๆ ประมาณ 50 ลำ
เครื่องบินบนเรือและบนฐานบินที่มิดเวย์ ราวๆ 350 เครื่อง

แตกต่างกันลิบลับครับ สำหรับกำลังรบ ฝ่ายลูกพระอาทิตย์มีกำลังล้นหลามกว่ามาก ตามแผนของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะต้องโจมตีและยึดมิดเวย์ โดยที่ญี่ปุ่นคาดว่าอเมริกันมีเรือบรรทุกเครื่องบินแค่ 2 ลำ จึงไม่ได้กังวลอะไร และคิดว่ามิดเวย์เป็นเป้าหมายหลัก แต่หลังจากที่เครื่องที่ไปโจมตีมิดเวย์ระลอกแรกกลับมา และเครื่องที่อยู่ที่เรือซึ่งติดตอร์ปิโดพร้อมอยู่ ก็ทำการเปลี่ยนไปติดระเบิดเพื่อโจมตีมิดเวย์ แต่ระหว่างการติดอาวุธ ก็ได้รับแจ้งว่า พบเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สามของสหรัฐ คราวนี้ถ้าเรียกให้ทันสมัยหน่อย ก็คือ "งานเข้า" ครับ ฝ่ายอำนวยการของญี่ปุ่นดันให้เปลี่ยนอาวุธไปเป็นตอร์ปิโดอีก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คราวนี้ช่างก็คงเกิดความเบื่อ ไม่ได้ขนระเบิดขนาด 250 กิโลกรัมเข้าไปในโรงเก็บ

ย้อมกลับมาฝ่ายอเมริกาบ้างครับ ทางอเมริกาก็ส่งเครื่องบินขึ้นจากเรือ ไปที่จุดนัดพบ แต่ด้วยความผิดพลาดหรืออะไรก็แล้วแต่ ฝูงบินทิ้งตอร์ปิโดที่ 8 ที่เป็นเครื่องทิ้งตอร์ปิโดแบบ TBD Devastator จำนวน 15 ลำ นำโดย Lt. Commander John C. Waldron เกิดคลาดกับฝูงอื่นๆ ที่จุดนัดพบ



ภาพเครื่อง Devastator ของ LCDR John C. Waldron และ Horace Franklin Dobbs พลปืนหลัง ขณะทีบินขึ้นจากเรือฮอร์เน็ต วันที่ 4 มิถุนายน 1942 ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ถ่ายไว้ก่อนที่ผู้การจะเสียชีวิตครับ

ถึงแม้ว่าจะคลาดกับเครื่องบินขับไล่ที่คอยคุ้มกัน และเครื่องบินทิ้งระเบิดที่จะร่วมมือโจมตี ผู้การก็สั่งให้ติดตามกองเรือญี่ปุ่นและทำการโจมตีครับ

เพื่อนๆลองนึกภาพนะครับ เครื่องทิ้งตอร์ปิโดที่แสนอุ้ยอ้าย มีตอร์ปิโดลูกหนึ่งหนักครึ่งตันกระเตงใต้ท้อง ทำความเร็วได้หลักร้อยกว่าไมล์ต่อชั่วโมง บินตรงๆ ทื่อๆ เลียดน้ำทะเลเข้าหาเรือที่จะโจมตี มีแค่ปืนหลังที่ป้องกันตัวเองไม่ค่อยได้ ส่วนอีกฝ่ายเป็นเรือที่ติดปืนเต็มลำ ทั้งปืนใหญ่ ปืนกล ฯลฯ รุมยิงเข้าหาเครื่องบิน อีกทั้งยังมีเครื่องบินซีโร่ ที่แสนแคล่วคล่องว่องไวบินคุ้มกัน



นักบินและพลปืนผู้กล้าหาญ ถูกยิงตกเครื่องแล้วเครื่องเล่า โดยไม่มีทางต่อสู้อะไรได้ สุดท้ายก็ถูกยิงตกหมดทุกลำ ทั้งฝูง 30 คน เหลือรอดชีวิตคนเดียวเท่านั้นคือ Ensign George Gay



คนขวามือครับ

แต่การเสียสละไม่เสียเปล่า จากการเสียสละของฝูงบินทิ้งตอร์ปิโดที่ 8 ซึ่งดึงเครื่องบินญี่ปุ่นที่คุ้มกันกองเรือลงมาอยู่ที่ระดับน้ำทะเลหมด และต้องใช้เวลากว่าจะใต่ขึ้นไปที่ความสูงเดิม มันก็สายไปแล้ว เครื่องบินทิ้งระเบิด และเครื่องบินขับไล่มาถึง เรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่นต้องตกอยู่ในกองเพลิงและจมลงก้นทะเล (อย่างที่ผมกล่าวไว้ตอนต้นเรื่องระเบิดขนาด 250 กิโลกรัมที่ไม่ได้เก็บ และกองๆกันไว้ในโรงเก็บและบนดาดฟ้า ครับ ประกอบกับเครื่องบินเติมน้ำมันเต็มถัง อะไรจะเหลือ) เรือลาดตระเวนหนักอีก 1 ลำจม สูญเสียนายทหารฝ่ายอำนวยการ และนักบินฝีมือดีไปมากมาย(คนตายราวๆ สามพันห้าร้อยคน) ซึ่งญี่ปุ่นไม่สามารถผลิตทดแทนได้ทัน จากการรบที่มิดเวย์ ที่เป็นจุดพลิกผันของสงครามด้านแปซิฟิคในสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำตลอด และกลับเป็นฝ่ายถอยร่น จนแพ้สงครามในที่สุด

ด้วยความระลึกถึงผู้เสียสละทั้ง 29 คน

* Lt. Commander John C. Waldron
* Lt. Raymond A. Moore
* Lt. James C. Owens, Jr.
* Lt.(jg) George M. Campbell
* Lt.(jg) John P. Gray
* Lt.(jg) Jeff D. Woodson
* Ens. William W. Abercrombie
* Ens. William W. Creamer
* Ens. Harold J. Ellison
* Ens. William R. Evans
* Ens. Henry R. Kenyon
* Ens. Ulvert M. Moore
* Ens. Grant W. Teats
* Robert B. Miles, Aviation Pilot 1c
* Horace F. Dobbs, Chief Radioman
* Amelio Maffei, Radioman 1
* Tom H. Pettry, Radioman 1
* Otway D. Creasy, Jr. Radioman 2
* Ross H. Bibb, Jr., Radioman 2
* Darwin L. Clark, Radioman 2
* Ronald J. Fisher, Radioman 2
* Hollis Martin, Radioman 2
* Bernerd P. Phelps Radioman 2
* As well L. Picou, Seaman 2
* Francis S. Polston, Seaman 2
* Max A. Calkins, Radioman 3
* George A. Field, Radioman 3
* Robert K. Huntington, Radioman 3
* William F. Sawhill, Radioman 3

 

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=helldiver





ความคิดเห็นที่ 1


ขอบคุณครับกับเรื่องราวดีๆ

โดยคุณ PINJI เมื่อวันที่ 17/10/2008 12:19:53