หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


บทความ ยุทธเวหาอินโดจีน

โดยคุณ : economic เมื่อวันที่ : 17/10/2008 18:37:57

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนกับประเทศฝรั่งเศสขึ้น กองทัพอากาศไทยก็ได้แสดงศักยภาพการเป็นเสืออากาศอันห้าวหาญให้ปรากฏเป็นครั้งแรกในปีนั้น     สงครามอินโดจีนเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลย์สงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิดปัญหาการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับเขตอินโดจีน (ลาว – กัมพูชา) ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส โดยที่ก่อนหน้านั้น ฝรั่งเศสได้ยึดดินแดนบางส่วนของไทยไปแล้วถึง ๕ ครั้ง ความขัดแย้งกันในปี พ.ศ.๒๔๘๓ นี้เองที่เป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยเรียกร้องขอดินแดนบางส่วนคืนจากฝรั่งเศส หลังจากที่รัฐบาลไทยได้ทำการเจรจากับรัฐบาลฝรั่งเศสมานาน แต่ฝรั่งเศสได้บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอดแถมยังทำการยั่วยุทางการไทยต่างๆ นานา เช่น ส่งเครื่องบินบินล้ำน่านฟ้าเข้ามาทางเขตจังหวัดหนองคายและในจังหวัดอื่นๆ วันละไม่ต่ำกว่า ๓๐ เที่ยวบินในเชิงลักษณะการข่มขู่ หรือส่งกำลังทหารล่วงล้ำเข้ามาในเขตบ้านโคกสูง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี และใช้อาวุธปืนระดมยิงเข้ามาทำให้บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหาย ซึ่งพฤติกรรมของฝรั่งเศสในครั้งนี้ส่อเจตนาที่จะเข้ารุกรานเราโดยตรง

การที่ฝรั่งเศสทำการข่มขู่คนไทยได้ถึงขนาดนี้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความเคียดแค้นชิงชังฝรั่งเศส จนกระทั่งมีนิสิตนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, โรงเรียนเตรียมอุดม ร่วมกับประชาชนเป็นจำนวนมากออกมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาลไทยในการเรียกร้องขอดินแดนคืนจากฝรั่งเศส จนในที่สุด ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ รัฐบาลจึงมีคำสั่งเตรียมพร้อมสำหรับสงครามอินโดจีน และได้ส่งกองกำลังทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ รุกคืบหน้าเพื่อยึดดินแดนที่เรียกร้องคืนมาให้จงได้

มาดูกันที่กองทัพอากาศของไทยเราในตอนนั้น เครื่องบินที่พร้อมกระโจนเข้าสู่สงครามอินโดจีน ส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินที่เราสั่งซื้อเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๔๘๐ เช่น เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว ปีก ๒ ชั้นคือ เคอร์ติส ฮอว์ก - ๒ ขาแข็ง (พับฐานไม่ได้) จำนวน ๑ ฝูง และเคอร์ติส ฮอว์ก - ๓ พับฐาน จำนวน ๒ ฝูง กับเครื่องบินโจมตีและตรวจการแบบ วอจ์ต คอร์แซร์ ปีก ๒ ชั้น ๒ ที่นั่ง มีพลปืนหลัง จำนวน ๒ ฝูง ต่อมากองทัพอากาศไทยได้ซื้อลิขสิทธิ์แผนแบบ ฮอว์ก – ๓ กับคอร์แซร์ มาให้กรมช่างอากาศยานผลิตออกมาใช้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว กองทัพอากาศยังจัดซื้อเครื่องบินทิ้งระเบิด มาร์ติน ๑๓๙ ดับบลิวเอสเอ็ม แบบปีกชั้นเดียว ๒ เครื่องยนต์ จำนวน ๖ เครื่อง แต่เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นนี้ถูกส่งมาถึงได้ไม่นาน ลำตัวเครื่องก็มีอันหักพังเสียหายไป ๑ เครื่องในทุ่งนาแถวสถานีรถไฟหลักสี่

ยังมีเครื่องบินขับไล่ที่มีสมรรถนะเท่าเทียมกับเครื่องบินของฝรั่งเศส ซึ่งกองทัพอากาศไทยสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา คือเครื่องบินขับไล่ปีกชั้นเดียว เคอร์ติส ฮอว์ก ๗๕ เอ็น จำนวน ๑๖ เครื่อง มูลค่า ๔๖๘,๐๐๐ เหรียญสหรัฐฯ (อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น ๑ เหรียญ เท่ากับ ๒.๕๐ บาท) แต่ในขณะที่กำลังขนส่งมาทางเรือถึงกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ รัฐบาลสหรัฐได้สั่งกักเครื่องบินทั้งหมดที่จะนำมาให้กองทัพอากาศไทยไว้ที่นั่นโดยที่ฝ่ายเราก็ไม่ทราบเหตุผล ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันกับที่ไทยเรากำลังพิพาทกับฝรั่งเศสอยู่ก็อาจเป็นได้

เมื่อสหรัฐฯ เกลอเก่าของไทยเราเล่นไม่ยอมส่งเครื่องบินมาให้ดื้อๆ เสียอย่างนี้ กองทัพอากาศจึงหันหน้าไปพึ่งญี่ปุ่นผู้ซึ่งทำตัวเป็นมหามิตรรายใหม่ทันที ญี่ปุ่นจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยการส่งเครื่องบินขับไล่ ตาชิกาว่า มาให้ ๑๐ เครื่อง ในโอกาสนี้ไทยเราจึงได้ซื้อเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด มิตซูบิชิ กิ - ๓๐ (นาโกย่า) จำนวน ๒ ฝูง แต่อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ยอมปล่อยเครื่องบิน ฮอว์ก – ๗๕ ที่กักเอาไว้ที่ฟิลิปปินส์มาให้แก่ไทยเข้ามาได้ทันใช้ในช่วงท้ายๆ ของสงคราม

ยุทธเวหาระหว่างเสืออากาศไทย – ฝรั่งเศสกำลังจะระเบิดขึ้นแล้ว....!!
เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๓ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยจะประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ในช่วงนั้น ฝรั่งเศสมักส่งเครื่องบินเข้ามาบินก่อกวนในเขตของไทยเราบ่อยๆ และในวันนี้เอง เครื่องบินทิ้งระเบิด ฟามัง จำนวน ๒ เครื่อง บินล้ำเข้ามาเหนือน่านฟ้า อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ไทยเราจึงส่งเครื่องบินขับไล่ ๓ เครื่องขึ้นไปสกัดกั้น จนมีทีท่าว่าจะปะทะกันอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆ เครื่อง ฟามัง ชิ่งหนีกลับไปทางเวียงจันทน์เสียก่อน หลังจากนั้น ฝรั่งเศสก็ได้ปฏิบัติการบินยุแหย่ไทยเราตลอดมาจนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน
ปะทะ “โมราน ซอนเยร์” :

การสู้รบที่แท้จริงของเสืออากาศไทยเกิดขึ้นในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ เวลา ๘.๐๐ น. เครื่องบินไทย ๒ เครื่อง ขึ้นบินสกัดกั้นเครื่องบินของฝรั่งเศส ๔ เครื่อง เหนือน่านฟ้าจังหวัดอุดรธานี ปะทะกันได้ครู่หนึ่งฝรั่งเศสก็ถอนตัวกลับไป

แต่ในวันเดียวกันและเวลาเดียวกันนี้เอง ได้มีเครื่องบินแบบโมราน ซอนเยร์ ของฝรั่งเศสจำนวน ๕ เครื่อง บินเข้ามาทิ้งระเบิดที่นครพนม ฝ่ายไทยเราก็ได้ส่ง บ.ข. ๑๗ ฮอร์ค ๓ จำนวน ๒ เครื่อง และเครื่องบิน บ.ต. ๒๓ คอร์แซร์ ๑ เครื่อง ขึ้นบินสกัดกั้น ในแถลงการณ์ระบุว่า เมื่อเครื่องบินของทั้ง ๒ ฝ่ายเข้าปะทะกัน โมราน ๒ เครื่องดำดิ่งลงมาหาเครื่องบินทั้ง ๓ ของไทยเพื่อล่อให้แตกหมู่ออกมา ส่งผลให้เครื่องของ ร.ท.ศานิต นวลมณี หลุดเดี่ยวออกไป โมราน อีก ๓ เครื่องจึงบินเข้ามารุมกินโต๊ะทันทีเป็นศึก ๓ ต่อ ๑ แต่เสืออากาศไทยของเราควบคุมสติไว้มั่น พยายามล่อหลอกให้เจ้าโมรานที่มีสมรรถนะสูงกว่าไล่เกาะหลัง เมื่อยิงพลาดโมรานทั้ง ๓ เครื่องจึงบินถลำหน้าไปแล้วตกเป็นเป้าเสียเอง เลยถูกยิงควันโขมง ร.ต.ทองใบ พันธุ์สบาย ลูกหมู่อีกคนหนึ่งได้เข้าช่วยแก้สถานการณ์ ชุลมุนกันอยู่พักใหญ่ เครื่องของฝรั่งเศสต้องบินหนีไป รวมเวลารบกันทั้งสิ้น ๑๗ นาที ต่อมามีรายงานภายหลังว่าเครื่องบินแบบโมรานของฝรั่งเศสตก ๑ เครื่องในเขตอินโดจีน ส่วนเครื่องบินฝ่ายไทยไม่ได้รับความเสียหาย นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของกองทัพอากาศไทย
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ มีเครื่องบินข้าศึกเข้ามาบินตรวจการณ์เหนือเมืองนครพนม ไทยเราจึงส่งเครื่องบิน ฮอว์ก – ๓ ขึ้นขับไล่จนข้าศึกต้องบินหนีออกไป

วันต่อมา ข้าศึกเข้ามาบินตรวจการณ์เหนือบ้านศรีเชียงใหม่ และอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายอีก ไทยจึงส่งเครื่องบินคอร์แซไปทิ้งระเบิดทำลายหน่วยที่ตั้งทางทหารของฝรั่งเศสที่เมืองท่าแขก ผลก็คือ หน่วยทหารแห่งนั้นโดนถล่มยับเยินไม่มีชิ้นดี
เริ่มขึ้นเดือนใหม่ วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ เกิดการปะทะกันกลางอากาศเหนือน่านฟ้านครพนม ระหว่างเครื่องบินของไทย ๑ เครื่องกับเครื่องบินข้าศึก ๒ เครื่อง โดยมี ร.อ.ไชย สุนทรสิงห์เป็นนักบิน ปะทะกันอยู่ราว ๑๐ นาที เครื่องบินข้าศึกจึงถอยหนีไป และไม่ปรากฏความเสียหายทั้งสองฝ่าย

วันเดียวกัน ข้ามฟากจากฝั่งอีสานลงมาทางด้านชายทะเลฝั่งตะวันออกกันบ้าง ในเวลา ๘.๓๐ น. นาวิกโยธินฝรั่งเศสยกพลมาทางเรือพยายามจะขึ้นบกที่ฝั่งทะเลจังหวัดตราด เมื่อไทยเราทราบ กองบินจังหวัดจันทบุรีจึงส่งเครื่องบินขับไล่โดยมี น.ต. หลวงล่าฟ้าเริงรณ (กิ่ง ผลานุสนธิ) เป็นผู้บังคับฝูง เข้าถล่มกองเรือนาวิกโยธินฝรั่งเศส ทำให้ข้าศึกไม่สามารถยกพลขึ้นบกได้และถอยกลับไปทางเกาะกง (ไม่มีรายงานความเสียหายจากฝรั่งเศส)
ไทยเราจึงตอบแทนฝรั่งเศสบ้าง ในวันที่ ๘ ธันวาคม ปีเดียวกัน เราได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด คอร์แซร์ โดยมี ร.ท.ศานิต นวลมณี กับ ร.ต.เฉลิม ดำสัมฤทธิ์ ขึ้นบินจากฐานบินอุดรธานีไปโจมตีที่ตั้งทางทหารของฝรั่งเศสที่เวียงจันทน์ ผลปรากฏว่าฐานที่มั่นข้าศึกเสียหายยับเยิน แต่คอร์แซร์ของเราก็ถูกปืนต่อสู้อากาศยานยิงอย่างหนักหน่วง แม้ว่าคอร์แซร์ของนักบินไทยจะถูกกระสุนถึง ๒๐ แผล แต่ก็ยังสามารถประคองเครื่องกลับมาถึงฐานบินได้สำเร็จ ส่วนวีรบุรุษนักบินทั้ง ๒ ท่านปลอดภัยทั้งคู่

วันรุ่งขึ้น ฝรั่งเศสตอบโต้โดยการเข้ามาทิ้งระเบิดที่อุดรธานี เครื่องบินขับไล่ของไทยขึ้นสกัดกั้น แต่คราวนี้ เครื่องของ ร.ท.บุญ สุขสบาย ถูกยิงตกและได้เสียชีวิต (ภายหลังท่านได้เลื่อนยศเป็น นาวาอากาศโท) ในระหว่างนี้มีการรบกันกลางอากาศในรูปแบบตัวต่อตัวระหว่างเครื่องบินขับไล่ของ ร.อ.ทองใบ พันธุ์สบาย กับเครื่องของฝรั่งเศส ผลปรากฏว่า ข้าศึกถูก ร.อ.ทองใบ เป่าเสียชิ้นชีพและตกลงสู่พื้นดิน

วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ เราก็ส่งเครื่องบินคอร์แซร์ไปทิ้งบอมบ์ที่เวียงจันทน์อีกครั้ง โดยสองคู่หูเสืออากาศเจ้าเก่าอย่าง ร.ท. ศานิต นวลมณี นักบิน และ จ.อ. เฉลิม ดำสัมฤทธิ์ พลปืนหลัง แต่คราวนี้เครื่องของเราได้ถูกปืนต่อสู้อากาศยานของฝรั่งเศสยิงโดนเข้าที่ถังน้ำมัน จนไฟลุกไหม้ ร.ท.ศานิต ถูกกระสุนเข้าที่เข่าและถูกไฟลวก แต่ก็ยังพยายามประคองเครื่องคอร์แซร์คู่ชีพเข้ามายังฝั่งไทยและกระโดดร่มลงมา ส่วน จ.อ.เฉลิม ตกลงพร้อมกับเครื่องเสียชีวิต ร.ท.ศานิต บาดเจ็บสาหัสและได้เสียชีวิตในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ กองทัพอากาศจึงสูญเสียวีรบุรุษทั้ง ๒ ท่านไปอย่างที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้
วีรกรรมของ ร.อ.จอน สุกเสริม :

๒.๐๐ น. กลางดึกของวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ ขณะที่ทั่วทั้งเมืองนครพนมกำลังเข้าสู้ห้วงแห่งนิทรา เสียงหวอเตือนภัยก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งเมือง เครื่องบินของข้าศึกจำนวนหนึ่งบินจู่โจมทิ้งระเบิดกลางเมืองนครพนม ในขณะที่ ป.ต.อ.ของไทยยิงกราดขึ้นไปบนฟ้าในคืนนั้น ร.อ.จอน สุกเสริม จึงรีบขึ้นประจำเครื่องฮอว์ก – ๒ บินขึ้นสกัดแต่เพียงลำพัง และได้เข้าปะทะกับข้าศึกไม่ทราบจำนวน ทราบแต่เพียงว่ามีมากกว่าเครื่องบินของเรามากนัก ผลก็คือ เครื่องบินของ ร.อ.จอน ถูกยิงตก และท่านก็ได้เสียชีวิตอย่างไว้ลายชายชาติทหาร

ในวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ จึงได้มีพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเข็มกล้าหาญแก่วีรบุรุษเสืออากาศทั้ง ๓ ท่าน คือ

- นาวาอากาศตรี ศานิต นวลมณี

- นาวาอากาศตรี เฉลิม ดำสัมฤทธิ์

- นาวาอากาศตรี จอน สุกเสริม
ขึ้นต้นปีใหม่ พ.ศ.๒๔๘๔ ในวันที่ ๘ มกราคม เครื่องบินข้าศึกเข้ามาทิ้งระเบิดในเขตอำเภอขุขันธ์และอำเภอเมืองศรีสะเกษ ได้รับความเสียหายไม่มากนัก วันเดียวกันเสืออากาศของไทยก็ตอบโต้ฝรั่งเศสอย่างทันควันด้วยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มเมืองพระตะบองและเสียมราฐ ผลก็คือฐานทัพของฝรั่งเศสเละจนแทบจำฐานเดิมไม่ได้

ต่อมา วันที่ ๑๐ มกราคม ฝรั่งเศสเข้ามาทิ้งระเบิดในตัวเมืองอุบลราชธานีได้ ๑๐ ลูก เครื่องบินขับไล่ของไทยจึงขึ้นสกัดกั้น สามารถไล่ต้อนให้ข้าศึกบินหนีกลับไปได้

ในวันเดียวกันนี้เอง เราได้รับรายงานว่า ตัวอันตรายต่อภาคพื้นดินของไทย ซึ่งนั่นก็คือฝูงบินทิ้งระเบิด ฟามัง จอดอยู่ที่ฐานบินเมืองเสียมราฐ ไม่ไกลจากเขตแดนของไทยมากนัก เราจึงยกไปโจมตีฐานบินฝรั่งเศสที่เมืองเสียมราฐในวันนั้นเอง โดยการปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการเปิดศักราชเครื่องบินแบบใหม่ที่ทางญี่ปุ่นจัดส่งมาให้ นั่นก็คือ เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด มิตซูบิชิ กิ - ๓๐ นาโกย่า แบบปีกชั้นเดียว สมรรถนะสูง มีพิสัยในการปฏิบัติการได้ไกล และบรรทุกระเบิดได้ทีละมากๆ การโจมตีในครั้งนี้ ได้ น.ท. หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร (ภายหลังได้เลื่อนยศเป็นพลอากาศโท) ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่ มีลูกหมู่อีก ๒ เครื่อง คือ ร.อ.ประสงค์ สุชีวะ(นักบิน) และ ร.อ.มานพ สุริยะ(พลปืนหลัง) จับคู่กับ ร.ท.บุญเยี่ยม ปั้นสุขสวัสดิ์ รวมเป็น ๓ เครื่อง

เมื่อถึงเป้าหมาย นาโกย่า ของเสืออากาศไทยทั้ง ๓ เครื่องจึงจิกหัวดำดิ่งลงทิ้งระเบิดทันที ซึ่งเป็นการทิ้งใส่เป้าหมายที่เครื่องบินทิ้งระเบิด ฟามัง ที่จอดอยู่บนฐาน เสืออากาศไทยทำการทิ้งระเบิดแบบปลดครั้งเดียวหมดทั้งตับ ส่งผลให้เครื่องฟามังที่จอดเรียงรายอยู่บนฐานโดนทำลายหมดยกฝูง แต่ระหว่างที่กำลังดำดิ่งทิ้งระเบิดใส่ฐานอยู่นั้น ได้มีเครื่องบินขับไล่ โมรานซอนเยร์ จำนวน ๔ เครื่อง ขึ้นสกัดกั้น จนเกิดการปะทะกันกลางอากาศอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เครื่องหมายเลข ๓ ของ ร.อ.มานพ กับ ร.ท.บุญเยี่ยม เกิดโชคร้ายหลุดออกจากหมู่ จึงถูกโมรานทั้ง ๔ เครื่องรุมยิงจนตก เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนอีก ๒ เครื่อง บินกลับฐานได้อย่างปลอดภัย
ในวันที่ ๑๒ มกราคม เครื่องบินข้าศึกได้บินเข้ามาทิ้งระเบิดที่พระธาตุพนม ส่งผลให้ราษฎรได้รับบาดเจ็บไป ๓๑ คน และในวันที่ ๑๖ มกราคม เครื่อง ฟามัง ก็เข้ามาโจมตีอรัญประเทศในยามดึก

มาในวันที่ ๑๗ มกราคม ไทยจึงเปิดแผนการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่เพื่อครองความเป็นเจ้าอากาศ โดยมี น.ท.ขุนรณนภากาศ (จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี) ผู้บังคับฝูงบินพิบูลสงคราม นำเครื่อง นาโกย่า ที่มีอยู่ทั้งหมด บินไปถล่มฐานทัพฝรั่งเศสที่เมืองสตรึงเตรง ผลก็คือฐานของฝรั่งเศสต้องถึงคราวพินาศ เมื่อถล่มจนไม่มีระเบิดเหลือแล้ว เสืออากาศทั้งหมดจึงบินกลับฐานโดยปลอดภัยทุกเครื่อง

ต่อมาในวันที่ ๒๑ มกราคม ฝูงบินกลุ่มเดิมได้ขึ้นไปโจมตีเมืองสตรึงเตรงอีกเป็นครั้งที่ ๒ ทำให้ฐานของฝรั่งเศสแห่งนี้สลายตัวไปอย่างเด็ดขาด ยากที่จะรวมตัวกันติด
วันที่ ๒๓ มกราคม เมืองอุบลก็ได้ลิ้มรสการโดนบอมบ์อีกเป็นครั้งที่ ๒ วันต่อมา น.ท.ขุนรณนภากาศ (จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี) ได้ฉายเดี่ยวนำเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด กิ – ๓๐ นาโกย่า บินไปโจมตีฐานที่ตั้งทางทหารของฝรั่งเศสในเมืองเสียมราฐ ใกล้กับนครวัด จนฐานนั้นเสียหายมาก ขากลับก็มาพบกับเครื่องบินโมรานของฝรั่งเศส ๔ เครื่อง การต่อสู้ทางอากาศก็เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดแบบ ๔ ต่อ ๑ เป็นเวลา ๒๐ นาที ในที่สุดเสืออากาศผู้กล้าหาญของไทยเราฝ่าวงล้อมบินกลับฐานได้อย่างปลอดภัย
วันที่ ๒๔ มกราคม ขณะที่ ฮอร์ค ๒ ของไทยจำนวน ๓ เครื่อง บินลาดตระเวนอยู่เหนือน่านฟ้าบ้านยาง อ.อรัญประเทศ โดยการนำของ ร.อ. เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูล ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยบิน ได้พบกับเครื่องบินทิ้งระเบิด โปเตซ์ ๑ เครื่อง และเครื่องบินขับไล่แบบโมราน ๔๐๖ อีก ๓ เครื่องของฝรั่งเศส ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงได้เข้าประจัญบานกันทันที ผลก็คือเครื่องแบบโมราน ถูกนักบินไทยยิงตกไป ๒ เครื่อง เครื่องหนึ่งตกในป่าไฟลุกไหม้ ส่วนอีกเครื่องหนึ่งตกลงไปในหมู่บ้านทางทิศตะวันตกของเขาศรีโสภณ ทำให้เครื่องบินที่เหลือของฝรั่งเศสต้องล่าถอยออกไป
การรบทางอากาศขั้นสุดท้ายของไทยก่อนที่สงครามอินโดจีนจะสงบ กองทัพอากาศไทยได้ส่งเครื่องบิน กิ – ๓๐ นาโกย่า จำนวน ๙ เครื่อง ไปโจมตีทิ้งระเบิดที่บ้านไพลินและบ้านศรีโสภณ โดยมี ฮอร์ค ๗๕ จำนวน ๓ เครื่องที่สหรัฐฯ ยอมส่งมาให้หลังจากที่ถูกกักอยู่ที่ฟิลิปปินส์ บินคุ้มกัน การปฏิบัติการครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับข้าศึกมาก ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมาไกล่เกลี่ยและเจรจายุติสงครามกันในที่สุด

สงครามอินโดจีนครั้งนี้ ได้สร้างตำนานวีรบุรุษขึ้นมาอย่างมากมาย ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเสืออากาศไทยในครั้งนี้นี่เอง เราจึงได้ดินแดนของ พระตะบอง ศรีโสภณ และดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในเขตลาว หลวงพระบาง จำปาสัก กลับคืนมาเป็นของไทย




ความคิดเห็นที่ 1


ขออภัยนะครับ บรรทัดสุดท้ายของกระทู้ที่แล้ว พิมพ์สลับกันไปหน่อย ขอแก้ไขตามนี้นะครับ

"จนกระทั่งถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐจากกองกำลังเฉพาะกิจที่ 38 โจมตี ในวันที่ 12 มกราคม 2488 และจมอยู่ในแม่น้ำไซง่อนนั้นเอง"

โดยคุณ vasin เมื่อวันที่ 16/10/2008 21:49:06


ความคิดเห็นที่ 2


อีกเรื่องหนึ่งครับเรื่องนี้เจ็บใจมาก
ยุทธนาวีที่เกาะช้างเป็นเหตุการณ์รบทางเรือ ซึ่งเกิดขึ้นสืบเนื่องมาจาก
กรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีน ฝรั่งเศส กล่าวคือ ในเดือนกันยายน
พ.ศ.๒๔๘๒ ขณะที่ฝรั่งเศสจะประกาศสงครามกับเยอรมัน ฝรั่งเศสขอให้
รัฐบาลไทยทำสัญญาไม่รุกรานกันทางแหลมอินโดจีน รัฐบาลไทย
ได้ตอบฝรั่งเศสไปว่าไทยยินดีจะรับตกลงตามคำของฝรั่งเศส แต่ขอให้
ฝรั่งเศสตกลงบางประการ กล่าวคือ ให้ฝรั่งเศส ปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดน
ให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม
กล่าวคือ ฝ่ายไทยได้เสนอให้ถือแนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ และให้
ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปคืนให้ไทย เป็นต้น
จึงปรากฏว่าไม่เป็นที่ตกลงกัน ต่อมาราษฎรได้เดินขบวนแสดงประชามติ
เรียกร้องดินแดนที่เสียไปหนักขึ้น กรณีพิพาทจึงได้เริ่มลุกขึ้นตามชายแดน
เป็นแห่ง ๆ และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนถึงขั้นใช้กำลังทหารเข้าทำการ
สู้รบกัน ทั้งกำลังทางบก เรือ และอากาศ สำหรับทางเรือได้มีการรบกัน
บริเวณด้านใต้ของเกาะช้าง ระหว่างกำลังทางเรือของไทย และของฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๙๔ โดยมีรายละเอียดโดยย่อดังนี้                               วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๔๘๔ ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทางเรือส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอินโดจีน ในบังคับบัญชาของ นาวาเอก เบรังเยร์ อันมีเรือลาดตระเวน ลามอตต์ปิเกต์ เป็นเรือธง พร้อมด้วยเรือสลุป ๒ ลำ เรือปืน ๔ ลำ เรือสินค้าขนาดใหญ่ติดอาวุธ ๑ ลำ และเรือดำน้ำอีก ๑ ลำ รวมทั้งสิ้น ๙ ลำ เข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเล ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นประการสำคัญ เช้าวันที่ ๑๗ มกราคม กำลังทางเรือของข้าศึกได้อาศัยความมืด และความเร็วรุกล้ำเข้ามาทางด้านใต้เกาะช้าง มีจำนวนด้วยกันทั้งหมด ๗ ลำ คือ เรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ เรือสลุป ๒ ลำ เรือปืน ๔ ลำ เรือเหล่านี้ได้แยกออกเป็น ๓ หมู่ หมู่ที่ ๑ มี เรือลามอตต์ปิเกต์ลำเดียวเข้ามา ทางช่องด้านใต้ระหว่างเกาะคลุ้มกับเกาะหวาย หมู่ที่ ๓ มีเรือสลุป ๑ ลำ กับเรือปืนอีก ๓ ลำ เข้ามาทางช่องด้านตะวันตก ระหว่างเกาะคลุ้มกับแหลมบางเบ้า เกาะช้าง ส่วนเรือดำน้ำ และเรือสินค้าติดอาวุธ คงรออยู่ด้านนอกในทะเล และไม่ได้เข้าทำการรบกำลังเรือฝ่ายไทยที่เข้าทำการรบมี ๓ ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี ระวางขับน้ำ ๒,๒๐๐ ตัน จอดอยู่ที่บริเวณเกาะลิ่ม ส่วนเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี ซึ่งมีระวางขับน้ำลำละ ๔๗๐ ตัน จอดอยู่ที่อ่าวสลักเพ็ชร
กำลังทางเรือฝ่ายข้าศึกที่เข้าทำการรบ รวมด้วยกัน ๗ ลำ เฉพาะเรือลามอตต์ปิเกต์ลำเดียวมีระวางขับน้ำ ๗,๘๘๐ ตัน ซึ่งมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือรบของเราทั้ง ๓ ลำ รวมกัน นอกจากนั้นก็มีเรือสลุปอีก ๒ ลำ ระวางขับน้ำลำละ ๒,๑๕๖ ตัน และเรือปืนอีก ๔ ลำ
เมื่อเปรียบเทียบกำลังรบของทั้งสองฝ่าย จะเห็นได้ว่าเราได้เข้าทำการต่อสู้กับข้าศึก ที่มีทั้งจำนวนเรือมากกว่า ระวางขับน้ำมากกว่า จำนวนปืนหนัก และปืนเบามากกว่า และจำนวนทหารประจำเรือมากกว่า ฝ่ายเราคงได้เปรียบเฉพาะที่ว่ามีปืนหนักที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น แต่ก็กลับเสียเปรียบที่ยิงได้ช้ากว่าการรบระหว่างเรือหลวงธนบุรีกับเรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากได้มีการปะทะกันระหว่างเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี กับเรือรบฝรั่งเศสแล้วในตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ ขณะที่ทหารเรือหลวงธนบุรี กำลังฝึกหัดศึกษาตามปกติอยู่นั้น ประมาณ ๐๖๑๒ ยามสะพานเดินเรือ ได้เห็นเครื่องบินข้าศึก ๑ เครื่อง บินมาทางเกาะกูดผ่านเกาะกระดาษมาตรงหัวเรือ ทางเรือจึงได้ประจำสถานีรบแต่ยังมิได้ทำการยิง เนื่องจากว่าเครื่องบินข้าศึกได้บินเลี้ยวไปทางเกาะง่าม ตรงบริเวณที่เรือตอร์ปิโด ทั้ง ๒ ลำ จอดเสียก่อน และทันใดนั้นทหารทุกคนก็ได้ยินเสียงปืนจากเรือตอร์ปิโดทั้งสองลำนั้น คือ เรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรี ทำการยิงสกัดกั้นเครื่องบินข้าศึก โดยทุกคนได้เห็นกลุ่มกระสุนระเบิดในอากาศใกล้เครื่องบิน และเครื่องบินหายลับตาไป และชั่วในขณะนั้นเอง ทุกคนกลับได้ยินเสียงปืนถี่และหนักขึ้น ทันใดนั้นยามสะพานเดินเรือ ได้รายงานว่าเห็นเรือข้าศึกทางใต้เกาะช้าง โดยที่ยามมองตรงช่องระหว่างเกาะช้างกับเกาะไม้ซี้ใหญ่ เรือที่ยามเห็นนี้คือเรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งกำลังระดมยิงเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรีของเราอยู่นั่นเอง ลักษณะอุตุในขณะนั้นปรากฏว่ามีเมฆขอบฟ้า พื้นทะเลมีหมอกบาง ๆ ลมเซ้าท์เวสท์ กำลัง ๑ ไม่มีคลื่นทัศนวิสัย ๖ ไมล์อากาศค่อนข้างหนาว ปรอท ๒๗๐ซ เมื่อปืนป้อมทั้ง ๒ ป้อมพร้อม น.ท.หลวงพร้อม วีรพันธุ์ ผู้บังคับการเรือได้สั่งเดินหน้าเต็มตัว ๒ เครื่อง ความเร็ว ๑๔ นอต ถือเข็มประมาณ เซ้าท์อีสท์ เข้าหาข้าศึก และได้สั่งเตรียมรบกราบขวาที่หมาย เรือลาดตะเวนข้าศึก

ประมาณ เวลา ๐๖๔๐ ขณะที่เรือหลวงธนบุรี ได้ตั้งลำพร้อม เรือลามอตต์ปิเกต์ก็โผล่จากเกาะไม้ซี้ใหญ่ และเป็นฝ่ายเริ่มยิงเราก่อนทันที
เรือหลวงธนบุรีได้เริ่มยิงตับแรกด้วยป้อมหัว และป้อมท้ายโดย ตั้งระยะ ๑๓,๐๐๐ เมตร ทันใดนั้นเองกระสุนตับที่ ๔ ของเรือลามอตต์ปิเกต์ มีนัดหนึ่งเจาะทะลุผ่าห้องโถงนายพล และชอนระเบิดทะลุพื้นหอรบขึ้นมาเป็นเหตุให้ น.ท.หลวงพร้อมวีรพันธุ์ และทหารในหอรบอีกหลายนายต้องเสียชีวิตในทันที และมีอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิด และถูกไฟลวกตามหน้าและตามตัว กระสุนนัดนี้เองได้ทำลายเครื่องติดต่อสั่งการไปยังปืน และเครื่องถือท้ายเรือ เรือซึ่งกำลังเดินหน้าด้วยความเร็ว ๑๔ นอต ต้องหมุนซ้ายเป็นวงกลมอยู่ถึง ๔ รอบ ซึ่งในขณะนี้เอง เรือลามอตต์ปิเกต์ได้ระดมยิงเรือหลวงธนบุรี อย่างหนาแน่น ปืนป้อมทั้งสองของเรือหลวงธนบุรีต้องทำการยิงอิสระ โดยอาศัยศูนย์ข้างและศูนย์ระยะที่หอกลาง ปรากฏว่าเรือลามอตต์ปิเกต์ได้ถูกกระสุนปืนจากเรือหลวงธนบุรี เช่นกัน โดยมีแสงไฟจากเปลวระเบิด และควันเพลิงพุ่งขึ้นบริเวณตอนกลางลำ จำต้องล่าถอยโดยมารวมกำลัง กับหมู่เรือฝรั่งเศสอีก ๔ ลำ ทางตะวันตกของเกาะเหลาใน และแล่นหนีไปในที่สุด เมื่อเรือของฝรั่งเศสได้ไปจากสนามรบหมดแล้ว ก็ปรากฏว่าได้มีเครื่องบินลำหนึ่งบินมาทางหัวเรือ และดำทิ้งระเบิดระยะต่ำจำนวน ๒ ลูก ลูกระเบิดตกบนดาดฟ้าเรือโบตหลังห้องครัวทหาร และเจาะทะลุดาดฟ้าเป็นรูโตประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ลงไประเบิดในครัวทหาร ทำให้ทหารตายอีก ๓ คนทางเรือไม่ได้ยิงต่อสู้ประการใด เพราะเครื่องบินลำนั้นมีเครื่องหมายไทยติดอยู่ เวลา ๐๘๓๐ เรือหลวงธนบุรีแล่นไป ทางแหลมน้ำ ไฟลุกทั่วไปในช่องทางเดิน ต้นเรือ (นายทหารอาวุโสที่สองรองจากผู้บังคับการเรือ) พาเรือมาทางแหลมงอบ เรือเอียงทางกราบขวา และต่อมาก็หยุดแล่น เรือหลวงช้างได้เข้าช่วยดับไฟ และจูงเรือธนบุรีไปจนถึงหน้าแหลมงอบ เพื่อเกยตื้น และต้นเรือได้สั่งสละเรือใหญ่ เมื่อเวลา ๑๑๐๐ ต่อมา ประมาณเวลา ๑๖๔๐ กราบเรือทางขวาก็เริ่มตะแคงเอนลงมากขึ้นตามลำดับ เสาทั้งสองเอนลงน้ำ กราบซ้ายและกระดูกงูกันโครงโผล่อยู่พ้นน้ำในการรบครั้งนี้ ทางฝ่ายเราได้เสียชีวิตเป็นชาติพลี รวมทั้งสิ้น ๓๖ นาย เป็นนายทหาร ๒ นาย พันจ่า จ่า พลทหาร และพลเรือ ๓๔ นาย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นทหารประจำเรือหลวงธนบุรี ๒๐ นาย เรือหลวงสงขลา ๑๔ นาย และเรือหลวงชลบุรี ๒ นาย
ส่วนจำนวนทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บของฝ่ายข้าศึกนั้นไม่ทราบจำนวนแน่นอน และนับจากได้เกิดการรบที่เกาะช้างแล้วจนกระทั่งวันลงนาม ในสัญญาสันติภาพ คือ วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ที่กรุงโตเกียว ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรือรบของข้าศึกเข้ามาในอ่าวไทย
การรบทางเรือที่เกาะช้างในครั้งนี้ แม้จะไม่จัดว่าเป็นการยุทธ์ใหญ่ก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นการรบทางเรือตามแบบอย่างยุทธวิธีสมัยใหม่ กำลังทางเรือของไทยเข้าทำการสู้รบกับกำลังทางเรือของข้าศึก ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจทางเรือ และมีจำนวนเรือที่มากกว่า จนข้าศึกต้องล่าถอยไม่สามารถทำการระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทยได้สำเร็จ จึงนับเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ซึ่งจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทย และทหารเรือสืบไป


โดยคุณ economic เมื่อวันที่ 16/10/2008 13:14:30


ความคิดเห็นที่ 3


ผมก็ไม่ชอบชนชาตินี้มากๆครับ..  น่าจะให้พวกที่ซื้อหลุยส์ซื้อตองอะไรๆมาใช้กัน  ได้มาอ่านกันมั่งนะครับ..  



..


โดยคุณ charchar เมื่อวันที่ 16/10/2008 14:18:59


ความคิดเห็นที่ 4


ลามอตต์ปิเกต์ ถูกลากไปญี่ปุนและทำการซ่อมแต่ไม่ได้กลับมารบอีก

ไม่ต้องเจ็บใจครับ...ลามอตต์ปิเกต์ ลำเดียวก็ระวางมากกว่าไทยรวมกัน

แล้ว  เราได้เปรียบที่ขนาดปืนที่ใหญ่กว่าเท่านั้น

ผมเคยอ่านบทสัมภาษท์ทหารเรือที่ร่วมรบในเรือหลวงธนบุรีท่านเล่าว่า.....

ในท้องเรือน้ำกำลังท่วมลูกเรือก็จะปีนออกมาท่านเอาเท้าถีบยันไว้แล้วบอกว่าถ้าหยุดเรือ

ข้าศึกไม่ได้ก็ขอจมไปกับเรือทุกคนก็กลับลงไป      และรบต่อ  เรือก็แล่นเป็นวงกลมแต่เรา

ไม่ได้หยุดยิง   ต่อมาเห็นเรือข้าศึกมีควันลอยขึ้นก็ดีใจ  ว่ายิงถูกและระดมยิงต่อ.....ฯลฯ

ป.ล.ถ้าที่บอกว่าลากไปซ่อมญี่ปุ่นไม่ถูกกต้อง  ขอผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยครับ....อ่านมานานแล้ว

เลยไม่แน่ใจครับ

โดยคุณ อีแอบ เมื่อวันที่ 16/10/2008 15:06:13


ความคิดเห็นที่ 5


เคยอ่านหนังสือเจอว่า เรือลามอตต์ปิเกต์จะถูกญี่ปุ่นจมที่เวียดนามนะ
ในช่วงต้นของสงครามโลกที่ญี่ปุ่นบุกยึดอินโด-จีน
โดยคุณ e21cye เมื่อวันที่ 16/10/2008 18:44:11


ความคิดเห็นที่ 6


หลังจากยุทธนาวีที่เกาะช้าง เรือลามอตต์ปิเกต์ ได้เดินทางไปซ่อมแซมที่ญี่ปุ่น และกลับมาประจำการที่อินโดจีนในเวลาต่อมา  แต่ก่อนเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพาไม่นาน กองทัพของฝรั่งเศสในอินโดจีนถูกกองทัพญี่ปุ่นบังคับให้ลดบทบาทลง  ทำให้เรือลามอตต์ปิเกต์ถูกปลดอาวุธและใช้เป็นเรือฝึกที่จอดประจำที่ ในแม่น้ำไซง่อน

จนกระทั่งถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐโจมตี จากกองกำลังเฉพาะกิจวันที่ 12 มกราคม 2488 และจมอยู่ในแม่น้ำไซง่อนนั้นเอง


โดยคุณ vasin เมื่อวันที่ 16/10/2008 21:23:12


ความคิดเห็นที่ 7


สิ่งที่เจ็บใจมากที่สุดเรือฝ่ายเราโดยเฉพาะเรือหลวงธนบุรีใช้กระสุนผิดประเภทคือแทนที่จะใช้แบบระเบิดหรือกระสุนเพลิงแต่ดันใช้กระสุนเจาะเกราะแทนผลเลยออกมาอย่างที่เห็นคือว่าเรือฝ่ายนูนถึงจะเสียหายแต่ไม่มากเหมือนฝ่ายเราเรือรบของเราโดนทั้งกระสุนระเบิดและกระสุนเพลิงทำให้เรีอรบทั้ง3เสียหายหนักถึงกับจมถ้าเราใช้กระสุนเหมือนกันสงสัยงานนี้มีเฮเรือธงฝ่ายนูนคงจะเสียหายอย่างหนักหรือไม่ก็จมไปเลย
โดยคุณ ttrc เมื่อวันที่ 17/10/2008 07:37:59