หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


M47 แก๊สขง้างปราบจราจล

โดยคุณ : โต้ง เมื่อวันที่ : 13/10/2008 20:20:09

เป็นบทความของพี่โต สรศักดิ์  สุบงกช เขียนลงมติชนวันนี้

ผมในฐานะแฟนคลับ ขอนำมาโพสให้เพื่อน ๆ อ่านกันครับ

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act03131051&sectionid=0130&day=2008-10-13

 

วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11174 มติชนรายวัน


M47 แก๊สขว้างปราบจลาจล


โดย สรศักดิ์ สุบงกช rhine_gold@hotmail.com



เมื่อไม่กี่วันนี้ใครก็ตามที่ติดตามข่าวการประท้วงหน้ารัฐสภา จะทราบว่าเกิดการปะทะขึ้นระหว่างกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับตำรวจปราบจลาจล

ตามข่าวที่ขานรับเป็นเสียงเดียวกันและรายงานข่าวให้คิดไปในทางเดียวกัน ก็คือเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้พยายามบุกรุกรัฐสภาจน "ขาขาด"

ต่อมายังมีการลำดับเหตุการณ์ด้วยภาพทำนองเปรียบเทียบ เป็นภาพมือตำรวจถือวัตถุกลมขนาดใหญ่กว่ามะกรูดเล็กน้อย ตามด้วยภาพหนึ่งในผู้ชุมนุมนั่งจมกองเลือดในสภาพขาขาด ถ้าไม่คิดให้ดีจะเข้าใจตามลำดับรูปได้ว่าเพราะเจ้าลูกกลมในมือตำรวจนั่นเองที่ทำให้ขาขาด

สิ่งนี้ทำให้ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจตามการชี้นำ ว่าด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ที่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง ตำรวจที่ไหนจะขว้างระเบิดลูกเกลี้ยงใส่ฝูงชน เพราะลำพังแก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียวคงไม่ทำให้ขาขาดดังภาพ มันต้องเป็นระเบิดสังหารที่ส่งสะเก็ดคมๆ กระจายด้วยแรงอัดตัดอวัยวะสำคัญ อยู่ใกล้มากก็แรงถึงตัดเข้ากระดูกทำให้อวัยวะส่วนนั้นขาด

ถ้าเช่นนั้นเจ้าลูกกลมๆ ในมือตำรวจในภาพ และอีกลูกที่ผู้ชุมนุมชูให้ดูหลังจากถูกใช้งานแล้วคืออะไร?

คําตอบก็คือแก๊สขว้างปราบจลาจลแบบ M47 ผลิตในสหรัฐอเมริกา อีกรูปแบบของการใช้แก๊สปราบปรามจลาจล ถูกจัดอยู่ในประเภทอาวุธเพื่อปราบปราม (Non-Lethal Weapon) เพื่อหยุดยั้งการกระทำหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของฝูงชนในขณะนั้น มิใช่เพื่อสังหาร แต่จะทำให้คนถูกขว้างถึงกับขาดขาดได้หรือไม่คงต้องมาดูรายละเอียดการทำงานกัน

เริ่มต้นที่ส่วนประกอบของ M47 ประกอบด้วยเปลือกภายนอกสุดเป็นยางแข็งรูปครึ่งวงกลมสองชิ้นเชื่อมประกบกัน ภายในบรรจุสารซีเอส ไพโรเทคนิค (CS pyrotechnic) ลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ อัดแน่น เมื่อดึงสลักนิรภัยออกจะมีชนวนหน่วงเวลาแบบ M227 ที่จะถ่วงเวลาไว้ 2.5-3.5 วินาที ให้ผู้ใช้งานมีเวลาเงื้อและขว้างระหว่างนั้นจะได้ไม่โดนแก๊สเล่นงาน

เมื่อหมดเวลาที่หน่วงไว้ลูกแก๊สจะทำงานตามขั้นตอน คือ จุดระเบิด เผาสารซีเอสข้างในให้ไหม้ปล่อยลำแก๊สซีเอสแรงดันสูงออกมาทางช่องเล็กด้านบน แรงดันแก๊สนี้จะผลักดันให้ตัวระเบิดกลมๆ หมุนไร้ทิศทางทันทีที่ถึงพื้น ยากแก้การวิ่งไล่จับแล้วขว้างกลับสู่คนขว้างแต่แรก

เมื่อทำงานแล้วมันจะไหม้ควันคลุ้งอยู่นาน 5-25 วินาที ก่อนจะออกฤทธิ์ตามมาในอีก 15 วินาทีหลัง และจะคงอำนาจการทำให้ระคายเคืองไว้ตั้งแต่ 30 นาทีถึงอีกหลายชั่วโมง

การทำงานของแก๊สน้ำตาขว้างจึงไม่ใช่ระเบิดส่งสะเก็ด แต่ปล่อยแค่ควันลอยเป็นม่านหนา การทำเป็นลูกบอลก็เพื่อให้ขว้างเข้าที่หมายได้ง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ปืนยิง มันใช้ง่ายไม่ต้องเล็ง ถูกเป้าหมายก็ไม่บาดเจ็บนอกจากฟกช้ำเล็กน้อยถ้าถูกส่วนโลหะของลูกแก๊ส แต่หลังจากกลไกทำงานแล้วจะไม่ระเบิดแค่ "พ่นแก๊สน้ำตา" ออกมาเท่านั้น

ส่วนตัวแก๊สที่ใช้ก็คือแก๊ส CS มีชื่อเต็มๆ ยาวเหยียดว่า ทู-คลอโรเบนซาลมาโลโนไนไตรล์ (2-chlorobenzalmalononitrile) เป็นแก๊สพื้นฐานในอาวุธเพื่อควบคุมฝูงชนทั่วไป และเป็นที่ยอมรับในวงการผู้รักษากฎหมายทั่วโลกว่าไม่ทำอันตรายถึงตาย (non-lethal)

เดิมถูกพัฒนาและทดสอบลับๆ ตั้งแต่ทศวรรษ 1950-1960 โดยบริษัทพอร์ตัน ดาวน์ในเมืองวิลท์ไชร์อังกฤษ ใช้ได้ดีกับคน แต่ไม่ค่อยได้ผลกับสัตว์ขนหนา เพราะรูน้ำตาเล็กและมีขนหนาป้องกัน

ใครที่สูดดมแก๊ส CS เข้าไปจะมีอาการอย่างเดียวกันเช่นกับชื่อของมัน คือ เคืองตาจนน้ำตาไหลพร่างพรูถ้าถูกตา เมื่อสูดเข้าปอดจะระคายเคืองถึงขนาดอาเจียน ไม่เคยมีรายงานการทดลองใดแม้แต่ในสัตว์ว่าแก๊สนี้ทำให้ขา แขน หรืออวัยวะอื่นใดขาด

หลังจากสัมผัสแก๊สนี้แล้วผู้ป่วยจะระคายเคืองต่อมาอีกครึ่งชั่วโมงถ้าอยู่ปลายลม แต่จะร้องไห้กันนานแถมอาเจียนอีกตั้งแต่หนึ่งถึงสี่ชั่วโมงถ้าอยู่ในตำบลระเบิดตก

จากภาพที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์และในเว็บไซต์ ระเบิดที่ยังไม่ได้ใช้ในมือตำรวจและซากของมันที่ไม่ได้เสียรูปร่างในมือผู้ชุมนุมคนหนึ่ง ทำให้เข้าใจได้ว่าน่าจะเป็นระเบิดแก๊สน้ำตา M47 ไม่ใช่ระเบิดสังหารแบบ "ลูกเกลี้ยง" ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมและสื่ออีกหลายสำนักพยายามชี้นำให้เข้าใจ

ดูแค่สียังแตกต่างกันชัดเจนแล้ว ระหว่างสีขาวหม่นๆ ของ M47 กับสีเขียวขี้ม้าของระเบิดสังหารบุคคลลูกเกลี้ยง M67 นั้น มันต่างกันแบบดูอย่างไรก็ไม่มีทางเหมือน ในทางการทหารและตำรวจนั้นเขาแบ่งประเภทการใช้งานของอาวุธยิงและขว้างไว้ชัดเจนอยู่แล้วด้วยสี ไม่เว้นแม้แต่ระเบิดขว้างสังหารหรือแก๊สน้ำตาขว้าง

แม้แต่ขนาดและน้ำหนักก็ยังต่างกัน ระเบิดสังหาร M67 นั้นหนักและใหญ่กว่า M47 มันต้องใหญ่กว่าเพราะต้องบรรจุเนื้อโลหะให้มากเพื่อแตกออกทำลายเป้าหมายเป็นวงกว้าง ต้องหนักกว่าเพื่อให้ขว้างได้ไกลไม่เป็นอันตรายต่อคนขว้าง มีสีเขียวคาดเหลืองหรือเขียวล้วนๆ ไว้ เพื่อบอกให้ทราบว่าใช้งานเพื่อทำลาย แตกต่างจากลูกซ้อมที่เป็นสีฟ้าเข้มทั้งลูก และยิ่งแตกต่างจากแก๊สขว้าง M47 ตรงสีที่ชัดเจน ระหว่างเขียวและขาวหม่น

ที่สำคัญคือเมื่อทำงานแล้วจะระเบิดออกเป็นสะเก็ดเล็กๆ พุ่งด้วยความเร็วสูงเจาะเข้าเป้าไม่สามารถเก็บมาถ่ายรูปได้เป็นลูกๆ ตามภาพข่าว เว้นแต่ระเบิดด้านที่จะยังคงสภาพเดิม แต่ในภาพต่างๆ กลับไม่พบภาพใดเลยว่าเป็น M67

ไม่มีภาพตำรวจหรือผู้ชุมนุมคนใดเลยที่ถือ M67

เราจะไม่พูดถึงว่าตำรวจได้กระทำอย่างถูกขั้นตอนของการปราบจลาจลและควบคุมฝูงชนหรือไม่ แต่อยากเน้นที่วิธีการเสนอข่าวของสื่อซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่เสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา จะด้วยความหวังเพื่อเพิ่มยอดขายหรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะไม่รู้จักก็ตาม พอเห็นลูกกลมๆ เกลี้ยงๆ ก็ทึกทักเอาว่าเป็นระเบิดสังหารลูกเกลี้ยง โดยมองข้ามหลักเหตุไปว่าในสถานการณ์เช่นนี้

เจ้าหน้าที่ถูกจับตามองจากหลายฝ่ายเรื่องการใช้ความรุนแรงอยู่แล้ว ย่อมต้องระวัง ไม่นำอาวุธสังหารมาใช้เพื่อควบคุมฝูงชนเด็ดขาด เพราะจะเป็นความรุนแรงเข้าทางฝ่ายที่ยั่วยุต้องการให้เกิดอยู่แล้ว

เว้นแต่ความรุนแรงนั้นจะเกิดเองในหมู่ผู้ประท้วง ซึ่งเป็นไปได้ตั้งแต่ขว้างระเบิดใส่กันเองไปจนถึงนำระเบิดมาจะขว้างแล้วพลาด ทำตกพื้นใกล้ๆ จนขาขาดหรืออื่นๆ ที่ท่านอื่นๆ ตั้งสมมติฐานไว้แล้ว ซึ่งจะไม่ขอพูดถึงนอกจากเสนอรายละเอียดความแตกต่างไว้ เพื่อให้เข้าใจว่าแก๊สขว้างนั้นลำพังไม่สามารถตัดแขนขาขาดได้ และโดยสามัญสำนึกแล้วฝ่ายปราบปรามจะไม่ใช้เด็ดขาด

ส่วนที่เหลือขอให้ผู้อ่านมติชนทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณเอาเอง


หน้า 6





ความคิดเห็นที่ 1


น่าจะใช้รถน้ำฉีดเนาะไม่น่าใช้แก๊ชน้ำตาเลยบอกตามตรงลัดขั้นตอนไปนิดจะได้ให้หายอารมณ์ร้อนกันเสียที
โดยคุณ ttrc เมื่อวันที่ 13/10/2008 07:20:45


ความคิดเห็นที่ 2


ตำรวจไม่มีรถฉีดน้ำของตนเอง ไปยืมหน่วยงานท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ก็ไม่ให้ยืม บอกว่าน้ำไม่สะอาด กลัวผู้ชุมนุมระคายเคือง เลยเป็นสาเหตุให้ใช้ได้แค่แก๊สน้ำตา แต่จริง ๆ แล้วรถฉีดน้ำก็อันตรายไม่ใช่เล่น โดนแรง เข้าหู เข้าตา ถึงขั้นสาหัสได้ แถมยังฉีดไม่ได้นานด้วย พอน้ำหมดก็ถูกยึดรถ เอามาขับชนขับเหยียบตำรวจได้อีก อันตรายครับ สรุปคือระเบิดแก๊สแบบขว้างไม่อันตราย แต่แบบยิงอันตราย เพราะว่าคุณหญิง หมอพรทิพย์ สรุปแล้วว่ามีสารประกอบระเบิด ดังข่าวนี้ครับ จาก  http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=344023&lang=T&cat=

แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เผยว่า จากการตรวจสอบแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ในการสลายผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา พบสารอาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นสารประกอบระเบิดร้ายแรงผสมอยู่ในแก๊สน้ำตาจากประเทศจีน ส่วนแก๊สน้ำตาจากสหรัฐอเมริกาไม่พบสารนี้
"ที่มากคือลูกของจีน ทั้งชนิดลูกยิงและลูกขว้าง เป็นสารระเบิดอาร์ดีเอ็กซ์ ในการจุดชนวนชนิดเดียวกับที่พบในเกิดเหตุ" แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว
แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมซึ่งมีผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานให้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ซึ่งตำรวจมีการใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายผู้ชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภา และ หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 คน
เขา ระบุอีกว่า ในวันที่ 7 ต.ค.ตำรวจใช้แก๊สน้ำตารวม 6 ชนิด แบ่งเป็น ชนิดยิง 4 แบบชนิดขว้าง 2 แบบ โดยมีการสั่งซื้อจากจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ส่วนใหญ่เป็นของจีน ซึ่งมีสารอาร์ดีเอ็กซ์ผสมอยู่ และเมื่อขว้างไปจะทำให้เกิดหลุมกว้างและต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งนาทีกว่าจะระเบิดออกมา
ขณะที่แก๊สน้ำตาจากอเมริกา ไม่มีสารดังกล่าวผสมอยู่
ด้าน นายสุรสีห์ โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายการชุมนุม เผยว่า สรุปจากพยานหลักฐานและวัถตุที่ใช้ในที่เกิดเหตุ แสดงให้เห็นว่า มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นจริงจึงต้องมีการเชิญตำรวจและผู้บาดเจ็บมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งต้องใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานอีกระยะขณะที่บ่ายวันนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหญ่ จะมีการประชุมกัน
โดยคุณ yoyo เมื่อวันที่ 13/10/2008 08:54:57


ความคิดเห็นที่ 3


จำได้ไหมครับ พอหลังจากเหตุการ พฤษภาทมิฬ มีข่าวออกมาว่าต่อไปนี้ในการควบคุมฝูงชนให้ใช้ตำรวจ และมีคำถามต่อไปอีกว่าเรื่องของอุปกรณ์ทีใช้ในการปราบจลาจล รวมถึงรถที่ใช้ในการปราบจลาจล ที่ตอนนั้นมีข่าวถึงเรื่องการขอและตั้งงบประมาณ ในเรื่องที่จะซื่อรถที่ใช้ปราบจลาจลโดยเฉพาะ แต่เรื่องคงเงียบหายไป เพราะมันไม่มีโผล่มา  หรือเจอวิกฤตต้มยำกุ้งเข้าไป  เลยไม่โผล่ (วิกฤตต้มยำกุ้งเกิดปี40 แต่เหตุการณ์เกิดขึ้น ปี 35 )

เรื่องนี้สำคัญมากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วแต่ไม่เอามาเป็นบทเรียนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  ถ้ามีรถที่ใช้ควบคุมฝูงชนโดยตรงอาจจะไม่บานปลายถึงขนาดนี้

ป.ล.ถ้าซื้อมาขออย่าให้เป็นรถจากจีนเลย ยังเข็ดรถจากจีนไม่หาย (หมายถึงรถ ปอ. สีเหลืองที่รถร่วมใช้วิ่งอยู่ตอนนี้ เบาะแข็งและแคบมาก)
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 13/10/2008 09:20:09