เรือประจัญบานยามาโตะ
โทษทีพิมพ์ตกไป เรือประจัญบานยามาโตะครับ
ยามาโตะโดนระเบิดใน สมรภมิทะเลบูชิยัน
ยามาโตะระหว่างการก่อสร้างครับ
ยามาโตะตอนเก็กหล่ออยู่
วาระสุดท้าย
เหตุเกิดที่โอกินาว่า
เกินคำบรรยาย
ยามาโตะขณะหลบระเบิดจากเครื่องมะกัน กับตันสุดยอด
ค้นพบเป้าหมาย
ยืนยันเป้าหมาย
เรือคุมกันโดนเต็มดอก
เรือเก็กหล่อม่ายได้ครับ พวกหล่อนต้องเก็กสวย ยกเว้นเป็นเรือทอม................ ว่าแต่มีชาติไหนจะประสงค์ต่อเรือให้เรือตัวองเป็นทอมมั่ง ??????.....................
วาระสุดท้ายของ ยามาโต้ นั้น เธอสุดแสนหดหู่แห้งเหี่ยวหัวตอ ต่างจาก บิสหมาร์ค รายนั้นจริงๆครับ............................... ยามาโต่ะ สู่วาระสุดท้ายช่วงที่ญี่ปุ่นกรอบเต็มที่แล้ว ................. เธอเคลื่อนที่โดยปราศจากเรือคุ้มกัน ออกไปให้ฝูงแร้งทึ้ง โดยรู้ทั้งรู้............................ น่าเสียดายความใหญ่โตของเธอครับ น่าจะได้ลองฟัดกับเรือประจัญบาญไอ้กันดูซักตั้งให้รู้ดำรู้เขียว ................ เหมือน ป้าฮู้ด กะ สาวน้อยบิสหมาร์ค คู่นั้นตบป้องหูทีเดียวคว่ำ..........................
ภาพนี้ไอ้กันเห็นแล้วตกใจ ยามาโตะลำที่๓ จากขวาไปซ้าย
ยามาโตะหลบระเบิดในทะเลชิบูย่า
โดนไปดอก
หลบกันอุตลุด
รูปนี้ปตอ.จากเรือบรรทุกเครื่องบินไอ้กันที่โอกินาว่า
รบกวนถาม ยามาโต้ กับ บิชมาร์ค ลำไหนใหญ่กว่ากันครับ? แล้วอาวุธใครเจ๋งกว่ากันครับ? ขอบคุณครับบบ
ครับอีกคำถามครับคือไม่ค่อยรู้เรื่องเรือน่ะครับ
ถ้าF-22ถือว่าดีที่สุดสำหรับเครื่องบินต่อสู้ยุคนี้แล้วทางเรื่อล่ะครับลำไหนถือว่าระบบอาวุธดีที่สุดหรือดีพร้อมรอบด้าน,แล้วประจำการหรือยังครับ?ขอบขอบขอบคุณครับบบ
1.ยามาโตะน่าจะ ใหญ่กว่า บิทมาร์ค ครับยามาโตะน่าจะติดปืนขนาด 18 นิ้ว ( เดามั่วเลย )
สำหรับข้อ 2 ตอบไม่ได้ครับ จนปัญญาที่จะมั่วครับ 55
ปล.รอผู้รู้มายืนยัน นอนยันครับ
เรือยามาโต้ ออกเดินไปโอกินาวาพร้อมกับกองเรือสุดท้ายของจักรพรรดินาวี ประกอบด้วย เรือลาดตระเวนเบา"ฮายากิ" (จม) และ เรือพิฆาตอีก 8 ลำ คือ
ไม่ได้เดินทางตามลำพัง โดยไม่มีเรือคุ้มกันนะครับ เพราะกองเรือนี้โดนเครืองบินจากกองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ โจมตี เรือพิฆาตจมไป 4 ลำ เรือลาดตระเวนเบา 1 ลำ และ เรือประจันบาน 1 ลำ กองเรือนี้ขาดกำลังทางอากาศคุ้มกันครับ
ผมว่าถึงมีกำลังทางอากาศคุ้มครอง ก็คงจะโดนโจมตีจนจมอยู่ดี เพราะสหรัฐคงจะทุ่มทั้งหมดที่มี เพื่อหยุดกองเรือนี้ไม่เข้าสู่น่านน้ำโอกินาวา
ยามาโตะ ใหญ่กว่าบิสมาร์ค ครับ ระวางขับน้ำยามาโตะราวๆ65000 ตัน ส่วนบิสมาร์ค ประมาณ 40000 ตัน
ถ้าจำไม่ผิดนะครับ ปืนเรือยามาโตะก็ 18 นิ้ว เคยยิงเรือบรรทุกเครื่องบินเบาของอเมริกาจมลำเดียวนะครับ
�
ขอต่อยอดภาพสีเรือ Yamato ภาพแรก
ในภาพต้นฉบับเป็นภาพขาวดำ ถ่ายไว้ในปี 1941 แต่ใครก็ไม่รู้นำไปตกแต่งภาพให้เป็นภาพสี นับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นหนึ่งเลย
ผมเป็นอีกคนหนึ่งครับที่ติดตามไทยเพลย์บอยของอากังฟู.............เอ้ย..................ชื่นชอบความคลาคของเรือประจัณบาญมานานแล้ว.........................โดยส่วนตัวผมชอบอะไรใหญ่ๆครับ........................ถ้าเปรียบเรือเป็นผู้หญิง เรือประจัญบาญก็เหมือนอิสสตรีร่างสูงใหญ่ เธอดูนิ่งเงียบเป็นสง่า เยื้องกรายยักย้ายไปช้าๆ ต่อเมื่อถึงเวลาจึงได้เห็นความมีเร็วอย่างมีพลังจากเรือนร่างอันสูงใหญ่ของเธอ................................. ย้อนหลังท้าวความเมื่อครั้ง วว.๑ เรือลาดตระเวณ เป็นอาวุธทางน้ำเชิงรุกที่บุกไปได้ทั่วทุกคาบสมุทร................................... วิวัฒนาการของเรือลาดตระเวณมีเรื่อยมา จนเกิดเป็นเรือ ลว.เบา และ ลว.หนัก (อาวุธปืน ๘ นิ้วกับร่างสูงระหง ๘-๑๒,๐๐๐ ตัน) และมาสิ้นสุดที่ เรือ ลาดตระเวณประจัญบาญ ด้วยร่างสูงยักษ์เหมือนนักตบลูกยางสาว ขายาวเหมือนจูเลีย โรเบิร์ต ปืนหลักสิบนิ้ว น้ำหนักกว่า สามหมื่นตัน เธอเป็นอาวุธที่สร้างความครั่นคร้ามน่าสะพรึงกลัว..............................................
ในช่วงก่อน วว.๒ วิวัฒนาการของสาวร่างยักษ์ขายาว ได้พัฒนามาถึงจุดสิ้นสุด และนั่นคือกำเนิน "เรือประจัญบาญ" เธอถูกส่งเข้าโปรแกรมเพาะกาย สร้างให้ร่างสูงใหญ่ห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อหนา เธอบึกบึนมากกว่าจะเรียกว่าอ่อนช้อย เธอกลายเป็นสาวนักเพาะกายร่างสูงหกฟุตแปดนิ้ว ที่มีไหล่กว้าง กล้ามเนื้อต้นคอ อก และสะโพก เกร็งแน่นเป็นมัด ยากจะมีอะไรเจาะเธอเข้า .......(ยกเว้นตอปิโดลูกน้อยๆบางลูก)................................ ในอดีต สาวนักตบลูกยางขายาวชื่อฮู้ด เคยวิวาท กับแม่ยักษ์ร่างสูงนามบิสมาร์คถึงขั้นลงไม้ลงมือ และก็เป็นรายแรกที่ถูกเจาะทะลุกลางหน้าอกหน้าใจด้วยอาวุธร้ายจากฝ่ายตรงข้าม เพียงแค่ฝ่ามือแรกและเป็นฝ่ามือเดียวที่ได้ประ-ลองกัน (บ้องหูทีเดียวถึงกับสลบชัก).........................................
น่าเสียดายที่แนวคิดในการทำสงครามทางทะเลของไอ้กันกะญี่ปุ่นเปลี่ยนไป .....................ความคลาสิคที่พึ่งพากำปั่นบรรทุกปืนอันเขื่อง เปลี่ยนเป็นฐานบินลอยน้ำ.................(แหม่ ญี่ปุ่นกะอเมริกา ห่างกันหนึ่งมหาสมุทร สนามรบคือทะเล การผสมผสานระหว่างกองกำลังทางเรือและกองกำลังทางอากาศด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน ก็ถือเป็นความชาญฉลาดอย่างยิ่ง)......................... เราจะไม่ค่อยได้เห็นสมรภูมิทางทะเลด้านแปซิฝิก ที่มีการปะทะอารมณ์ร้ายระหว่างสตรีร่างใหญ่ประเภทเรือประจัญบาญ เท่าที่เห็น ก็มีเพียง สงครามเรือ ลว.หนัก ที่ฟิลิปินส์ ครั้งนั้นสาวยุ่นยกแก๊งตบ สาวฝ่ายสัมพันธมิตร คะมำคว่ำอย่างเป็นกอบเป็นกำ................................................
แคนเซิ่ลอันแรกอ่านไม่รู้เรื่อง ห่วยแตก.......................
ผมชื่นชอบความคลาสิคของเรือประจัณบาญมานานแล้ว.........................โดยส่วนตัวผมชอบอะไรใหญ่ๆครับ........................ถ้าเปรียบเรือเป็นผู้หญิง เรือประจัญบาญก็เหมือนอิสสตรีร่างสูงใหญ่ เธอดูนิ่งเงียบเป็นสง่า เยื้องกรายยักย้ายไปช้าๆ ต่อเมื่อถึงเวลาจึงได้เห็นความรวดเร็วอย่างมีพลัง ขับออกจากเรือนร่างอันสูงใหญ่ของเธอ................................. ย้อนหลังท้าวความเมื่อครั้ง วว.๑ เรือลาดตระเวณ เป็นอาวุธทางน้ำเชิงรุกที่บุกไปทั่วทุกคาบสมุทร................................... วิวัฒนาการของเรือลาดตระเวณมีเรื่อยมา เกิดเป็นเรือ ลว.เบา ลว.หนัก (อาวุธปืน ๘ นิ้วกับร่างสูงระหง ๘-๑๒,๐๐๐ ตัน) และมาสิ้นสุดที่ เรือ ลาดตระเวณประจัญบาญ .................ด้วยร่างสูงยักษ์เหมือนนักตบลูกยางสาว ขายาวเหมือนจูเลีย โรเบิร์ต ปืนหลักสิบนิ้ว น้ำหนักตัวกว่า สามหมื่นตัน เธอเป็นอาวุธที่สร้างความครั่นคร้ามน่าสะพรึงกลัว..............................................
ในช่วงก่อน วว.๒ วิวัฒนาการของสาวร่างยักษ์ขายาว ได้พัฒนามาถึงจุดสิ้นสุด และนั่นคือกำเนิด "เรือประจัญบาญ".................. เธอถูกส่งเข้าโปรแกรมเพาะกาย สร้างให้ร่างสูงใหญ่ถูกห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อหนา เธอบึกบึนมากกว่าจะเรียกว่าอ่อนช้อย เธอกลายเป็นสาวเพาะกาย มีร่างสูงหกฟุตแปดนิ้ว หัวไหล่กว้าง กล้ามเนื้อต้นคอ อก และสะโพก เกร็งแน่นเป็นมัด ยากจะมีอะไรเจาะเธอเข้า .......(ยกเว้นตอปิโดลูกน้อยๆบางลูก)................................ ในอดีต สาวนักตบลูกยางขายาวชื่อฮู้ด เคยวิวาท กับแม่ยักษ์ร่างสูงนามบิสมาร์คถึงขั้นลงไม้ลงมือ และก็เป็นรายแรกที่ถูกเจาะทะลุกลางหน้าอกหน้าใจด้วยอาวุธร้ายจากฝ่ายตรงข้าม เพียงแค่ฝ่ามือแรกและเป็นฝ่ามือเดียวที่ได้ประ-ลองกัน (บ้องหูทีเดียวถึงกับสลบชัก).........................................
น่าเสียดายที่แนวคิดในการทำสงครามทางทะเลของไอ้กันกะญี่ปุ่นเปลี่ยนไป .....................ความคลาสิคที่พึ่งพากำปั่นบรรทุกปืนอันเขื่อง เปลี่ยนเป็นฐานบินลอยน้ำ.................(แหม่ ญี่ปุ่นกะอเมริกา ห่างกันหนึ่งมหาสมุทร สนามรบคือทะเล การผสมผสานระหว่างกองกำลังทางเรือและกองกำลังทางอากาศด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน ก็ถือเป็นความชาญฉลาดอย่างยิ่ง)......................... เราจะไม่ค่อยได้เห็นสมรภูมิทางทะเลด้านแปซิฝิก ที่มีการปะทะอารมณ์ร้ายระหว่างสตรีร่างใหญ่ประเภทเรือประจัญบาญ เท่าที่เห็น ก็มีเพียง สงครามเรือ ลว.หนัก ที่ฟิลิปินส์ ครั้งนั้นสาวยุ่นยกแก๊งตบ สาวฝ่ายสัมพันธมิตร คะมำคว่ำอย่างเป็นกอบเป็นกำ................................................
เรือประจัญบานยามาโตะเคยได้ทำการยิงเรือรบของสหรัฐ
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ในยุทธการ "โช" (ชัยชนะ) ระหว่างการเดินทางไปเพื่อเข้าทำลายเรือลำเลียงและกำลังรบของ สหรัฐ ฯ ที่ยกพลขึ้นบกที่เกาะเลย์เต ก็ได้ปะทะกับกำลังรบของสหรัฐ ฯ ซึ่งเป็นหมวดเรือบรร ทุกเครื่องบินคุ้มกัน (TG 77.4) ที่บริเวณนอกเกาะ ซามาร์ และเป็นครั้งแรกที่เรือประจัญบาน ยามาโต้ได้ใช้ปืนใหญ่ ขนาด 460 มิลลิเมตร ทำการยิงเรือพิฆาต โฮเอล (DD-533) ของ สหรัฐ ฯ ในระยะยิง 33,000 เมตร จนจมและทำความเสียหายแก่เรือพิฆาต จอนห์ส์ตัน (DD-557) จนต้องถอนตัวออกจากการรบ (แล้วถูกเรือลาดตระเวนและเรือพิฆาตญี่ปุ่น โจมตีจนจม) นอกจากนี้ยังทำความเสียหายแก่เรือบรรทุกเครื่องบินคุ้มกัน แกมเบียร์ เบย์ (CVE-73) จนไม่ สามารถใช้ดาดฟ้าบินได้ (แล้วถูกเรือลาดตระเวนญี่ปุ่นยิงจมเช่นกัน)
ปฏิบัติการสุดท้ายของเรือประจัญบานยามาโต้
เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2488 เรือประจัญบานยามาโต้ พร้อมด้วยเรือลาดตระเวน เบา ยะฮะงิ เรือพิฆาต สึซึสึกิ ฟุยุสึกิ อิโซะคาเซะ ยุคิคาเซะ ฮามะคาเซะ อาซะชิโมะ คาซุมิ และฮัดสึชิโมะ รวม 10 ลำ ได้ออกเดินทางจากที่จอดเรือ ฮัดจิราชิมะ ของจังหวัดยามากุจิ ผ่าน ช่องแคบบังโง เลาะชายฝั่งของแหลมโอซุมิ ของจังหวัด คะโงชิมะ แล้วเดินทางต่อไปทางตะวัน ตก เพื่อเปลี่ยนเข็มลงใต้เข้าสู่เกาะโอคินาวา ก็ถูกโจมตีจากกำลังทางอากาศของกำลังรบ เฉพาะ กิจที่ 58 โดยการโจมตีหลักมาจากหมวดเฉพาะกิจที่ 58.1 ซึ่งประกอบด้วยเรือบรร ทุกเครื่องบิน ฮอร์เน็ต ลำที่ 2 (CV-12) วาส์พ ลำที่ 2 (CV-18) เบ็นนิงตัน (CV-20) เรือบรร ทุกเครื่องบินเบา เบลลิว วูด (CVL-24) ซาน ฮาซินโต้ (CVL-30) และหมวดเฉพาะกิจที่ 58.3 ประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน เอสเซ็ก (CV-9) บังเกอร์ ฮิล (CV-17) เรือบรรทุก เครื่องบินเบา คาบอต (CVL-27) และ บาตาอัน (CVL-29) ส่วนเรือบรรทุกเครื่องบินแฮนคอก (CV-19) ส่งเครื่องบิน 53 เครื่อง ขึ้นช้าไป 15 นาที จึงไม่พบเป้าหมาย กำลังหลักในการ โจมตีทางอากาศของหมวดเฉพาะกิจทั้งสองนี้มีเครื่องบินขับไล่ F6F (เฮลแคท) 283 เครื่อง เครื่องบินขับไล่โจมตี F4U (คอร์แซร์) 180 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด SB2C (เฮล ได เวอร์) 72 เครื่อง และเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด TBM (อเวนเจอร์) 114 เครื่อง เครื่องบินเหล่านี้ ได้เข้าโจมตีกำลังรบโจมตีพิเศษ ที่มีเรือประจัญบานยามาโต้ เป็นเรือธง 6 ระลอกด้วยกัน
จากการโจมตีรวมประมาณ 1,000 เที่ยวบิน ทางฝ่ายสหรัฐ ฯ แจ้งว่าได้ใช้ตอร์ปิโดไป 200 ลูก ลูกระเบิดขนาดใหญ่ (250 - 500 กิโลกรัม) 100 ลูก และลูกระเบิดขนาดกลาง (60 - 100 กิโลกรัม) อีกมากกว่า 200 ลูก หลังจากที่เรือรบญี่ปุ่นคือ เรือประจัญบานยามาโต้ เรือ ลาดตระเวนเบา ยะฮะงิ และเรือพิฆาตอีก 5 ลำ จมไปแล้ว ทหารเรือญี่ปุ่นที่ลอย คออยู่ในน้ำ ได้ถูกเครื่องบินของสหรัฐ ฯ ทำการยิงกราดอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรม และความเป็นชาวเรือ ส่วน พลเรือโท อิโต้ เซอิจิ ผู้บัญชาการ กำลังรบโจมตีพิเศษ และ นาวาเอก อะริกะ โกซักกุ ผู้บังคับการเรือ ประจัญบาน ยามาโต้ ได้สละชีวิตจมไปกับเรือ
Therminator
ทำไมเรือประจัญบานเดี้ยวนี้ถึงไม่มีแล้วหรือไม่มีใครต่ออีกแล้วน่าเสียดายออก