คือว่า ทหารไทยเขาจะเก็บปืนไว้ในค่ายใช่ไหมครับ ทหารไทยไม่นิยมเเต่ปืนกันหรอกครับโดยอย่างยิ่งปืนยาว หรือว่าปืนไรเฟิลนะเเหล่ะครับ เเต่ถาเป็นลูกปืนนี่มีครับ มีมากด้วย ตอนที่เรียนรด. ปี2 อะครับ มีครูฝึกท่านหนึ่งเคยบอกว่า ลูกปืนเเรมิงตันหรือว่า 5.56 nato ที่ใช้ยิง m16 อะครับ ท่านบอกว่า นำลูกปืน(ที่หัวกระสุน) ใช้เลื่อยตัดเหล็ก ตัดให้เป้นรูปกากบาทครับ เวลายิงนี่ จากที่รูเข้าเท่าปลายนิ้วก้อย เเล้วออกเท่า กำปั้น จะกลายเป็นรูเข้าเท่าเดิม เเละรูออกเท่าฝ่ามีครับ(เเบมือกันกำหมัดหนะครับ)
ส่วนงบที่ให้เเต่ปืนนั้นคงไม่มีมั้งครับ เเต่ถ้าเป็นตำรวจนี่ไม่เเน่ครับ(สังเกตจากลุงผมเอง)
ขขอบคุณครับบบบบบ
ทหารและตำรวจไทยส่วนหนึ่งก็จะมีการจัดหาอาวุธปืนส่วนตัวครับแต่จะเป็นพวกปืนพกมากว่า ในการปรับแต่งปืนในหน่วยรบพิเศษของไทยเองนั้นก็มีการจัดหาอุปกรณ์หลายแบบขึ้นอยู่แล้วแต่หน่วยครับว่าจะจัดหาอะไรมาบ้างตามความเหมาะสม
แต่เคยได้ทราบมาว่าในกรมรบพิเศษของกองทัพบกบางหน่วยมีการทดลองนำอุปกรณ์ของปืน BB มาติดกับปืนจริงนะครับเนื่องจากมีราคาถูกกว่าของจริง
ทหารของเราไม่เคยได้ข่าวเลยว่ามีการแต่งปืน แต่สีกากีได้ข่าวว่ามีบางหน่วยที่เอาปืนที่ยึดได้จากชายแดนมาแต่งใช้งาน
สำหรับทางสหรัฐ หน่วยที่ไม่รบพิเศษ ก็ต้องใช้อย่างที่แจกให้เท่านั้น แต่ถ้าเป็นM16/M4บางรุ่นที่ถอดมือจับได้ ก็มีการซื้อพวกกล้องเล็งอย่าง Acog มาใช้กันเอง โดยเก็บมือจับไว้ถอดเปลี่ยนตอนส่งคืน แต่ก็มีบางหน่วยเช่น รบพิเศษ หรือนาวิกที่หน่วยยื่นหัวเข้ามาดูตลาด(ปืน)แล้วหาของที่จะช่วยให้คนของเขาทำงานสดวก แล้วใช้งบจัดหาให้
เจ้าหน้าที่สรรพาวุธหน่วยของเขาต้องผ่านหลักสูตรการแต่งปืน อย่างน้อยๆเพื่อแต่งปืนที่จะเข้าแข่งขันยิงปืนของกองทัพ (Camp Perry)
เคยไปร้านปืนกับเพื่อนเพื่อไปซื้อกล้อง Acog ให้ลูกที่จะไปอัฟกานิสถาน ตอนนั้นเขาเล่าว่ากองทัพสหรัฐกำลังจะทำบัญชี รายการของที่ทหารออกเงินซื้อเองได้แล้วเอามาเบิกคืนจากลุงSam เป้กระติกน้ำรู้สึกว่าจะอยู่ในบัญชีรายการแรกๆ
เท่าที่ทราบมีบางส่วนที่ซื้ออุปกรณ์บางอย่างเอง แต่ส่วนใหญ่จะใช้อุปกรณ์ที่เป็นของ(ส่วน)กลางของหน่วยงานที่ได้จัดหามา แล้วเลือกติดตามภารกิจใช้งานนั้น ๆ
ส่วนพวกที่แต่งปืนเอง ซื้อปืนเองเลย ของสหรัฐก็เป็นพวกที่รับงานนอก เช่น ทำกับ blackwater หรือรับงานคุ้มกันวีไอพี ในอัฟกานิสถานและอิรัก พวกรับงานนอกนี้ใช้ปืนของตัวเอง แต่งปืนเอง เลือกใช้อาวุธปืนตามแต่ต้องการ บางนายก็มีอาวุธปืนของตัวเองเป็นสิบๆกระบอก (เห็นในเวปนอกที่เขามาโชว์มีเก็บทั้งปืนพก ปืนกลมือ ปืนไรเฟิล ปืนซุ่มยิง ปืนกลเบา ปืนซุ่มยิงขนาดหนัก .. ) เพราะถือว่าเป็นเครื่องมือทำมาหากินอย่างหนึ่ง อันนี้ก็ซื้อเองแต่งเองเต็มที่
สำหรับการบากหัวกระสุน ขอห้ามครับ ผิดมากๆ สอนผิดๆ
ผิดกฎการทำสงคราม (Law of War) ซึ่งได้รับการรับรองในการประชุมสันติภาพที่กรุงเฮก ปี 1899ที่ห้ามการใช้กระสุนที่ อาจเปลี่ยนแปลงรูปร่าง(การบากให้กระสุนบานออกได้)
ทหารที่ถูกจับได้ว่ามีหรือใช้กระสุนชนิดนี้ คู่สงครามมีสิทธิไม่ถือว่าเป็น Combatant และไม่ต้องให้เป็นเชลยศึก คือ ยิงทิ้งได้
ผิดในแง่อาวุธปืน ขอเป็น Myth Busterเรื่องนี้ เพราะไม่สันทัดเรื่องการเมือง
คงต้องขอเริ่มโดยการแบ่งกระสุนปืนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก ใช้หัวลูกปืน(bullet)หนักๆ ใช้ดินปืนให้พอที่จะส่งหัวกระสุนไปถึงระยะที่ต้องการ กระสุนชนิดนี้เน้นแรงปะทะ โดยอาศัยน้ำหนักของหัวกระสุน ที่เรียกว่า Knockdown Power
อีกกลุ่มสมัยใหม่ ไม่เน้นที่น้ำหนักหัวกระสุน แต่เน้นที่ความเร็วกระสุน ใช้หัวกระสุนให้พอเพียงกับงาน ใช้ดินปืนให้มีแรงส่งมากๆ เพื่อให้ลูกกระสุนพุ่งไปเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความเร็วที่ได้ทำให้เกิดมวลอากาศที่จะตามหัวกระสุนเข้าไปในแผลด้วย ที่เรียกว่า Shock Wave บาดแผลจากระสุนชนิดนี้รุนแรง ขนาดยิงถูกแขนก็ทำให้คนโดนยิงเสียชีวิตได้
หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เป็นห้วงเวลาที่คนที่ถือหางสองแนวความคิดนี้ปะทะคารมกัน ไม่เคยมีใครที่เคยถูกยิงด้วยกระสุนสองประเภทนี้ในที่สำคัญๆ แล้วมาเล่าว่า แตกต่างกันอย่างไร อันไหนเจ็บกว่ากัน
กระสุน .223 Remingtion / 5.56 NATO เป็นกระสุนในกลุ่มที่สอง เน้นความเร็วกระสุน ในการฆ่า หัวกระสุนจึงเล็กและค่อนข้างเบาการบากหัวกระสุน จะมีผลทำให้หัวกระสุเสียรูปจากที่ออกแบบไว้ ก็จะมีผลให้กระสุนแกว่ง ไม่แม่นยำ การยิงไกลๆจะหวังผลยาก
นอกจากนั้นทำให้ความเร็วกระสุนลดลง เนื่องจากจะทำให้แรงต้านทานมากขึ้นและกระสุนแกว่ง ในความคิดของผม กระสุน .223 Remingtion / 5.56 NATO สามารถสร้างบาดแผลอย่างที่ต้องการ ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบากหัวกระสุน เลย การดัดแปลงจะไปทำให้ความเร็วกระสุนลดลง และอาจไม่เกิด Shock Wave ที่เป็นจุดแข็งของกระสุนชนิดนี้
ขออนุญาตเล่าซ้ำ เพื่อขยายความเรื่องนี้
พี่ตำรวจท่านหนึ่ง เคยไปแวะเยี่ยมหน่วย ตชด. แถวชายแดน ก็มีน้องๆมาเล่าว่า โจรแถวนี้เล่นของ ยิงโดนจะๆ ร่วงแต่ไม่ตาย ลุกมายิงต่อได้ พี่เขาก็ ให้เอาปืนกระบอกนั้นมายิงต้นไม้ ที่ระยะประมาณสิบกว่าเมตร ผล กระสุนเอาข้างไปปะติดต้นไม้ พี่เขาก็ลองให้ทำความสอาดลำกล้องปืน แล้วเอามาส่องดูลำกล้องปืนกระบอกนั้นแทบไม่มีเกลียวเหลืออยู่
เรียกว่าแทบจะเป็นลำกล้องเกลี้ยงอย่างปืนลูกซอง เกลียวปืนมีผลต่อ ผลการยิงมาก โดยเฉพาะกระสุนที่เน้นความเร็ว กระสุนที่ทดสอบน่าจะทำความเร็วได้ประมาณ ๗๐๐ ฟุต/วินาที หรือต่ำกว่าความเร็วที่ได้จากปืนลำกล้องดีๆเกือบสามเท่า
ถ้าเอากระสุนที่บากหัวไว้มาใช้กับปืนกระบอกที่ทดสอบนี้ น่าจะไม่มีผลแตกต่างเลย คงจะแรงกว่าการยิงด้วยหนังสติกหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าเอากระสุนหัวบากมายิงกับปืนที่ลำกล้องปืนดีๆ ผมว่า แผลเข้าและออกน่าจะเท่าๆกัน แล้วแต่ว่าเอาส่วนไหนแกว่งไปตีเป้า และส่วนไหนเจาะออก ถ้ามีแรงส่งพอ ถ้ายิงในระยะไม่ไกล
คราวนี้การบากหัวกระสุน
เริ่มจากพวกพรานล่าสัตว์ที่ต้องการจะล้มสัตว์โดยไม่ให้หัวกระสุนที่โดนเป้าทะลุวิ่งผ่านตัวสัตว์ไปง่ายๆ ต่อมาก็พัฒนามาเป็นหัวกระสุนชนิดหัวรู หรือ Hallow Point Bullet
ซึ่งก็เหมาะกับกระสุนกลุ่มแรก ที่เน้นแรงปะทะ
การใช้กระสุนหัวรู หลายชาติถือว่าเป็นการสร้างความเสียหาย ทรมาณที่เกินความจำเป็น
นอกจากห้ามการนำมาใช้ในทางทหารแลัว ยังห้ามใช้ในงานด้านการปราบปราม หรือในการล่าสัตว์ด้วย