หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


เอาบทความมาฝากครับ..C-130 เดือนนี้ในอดีต "ปฏิบัติการเอนเทบเบ้ "

โดยคุณ : tow เมื่อวันที่ : 20/07/2008 12:52:23

พอดีผมเข้า web thaic-130.com แล้วเจอบทความน่าสนใจ เลยนำมาฝากครับ

C-130 เดือนนี้ในอดีต


ปฏิบัติการเอนเทบเบ้ 

ในปี พ.ศ.2519 (ค.ศ.1976) หน่วยจู่โจมของอิสราเอล ได้บินฝ่าทะลวงเข้าไปในดินแดนข้าศึกกว่า 2,500 ไมล์ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนร่วมชาตินับร้อย ซึ่งถูกผู้ก่อการร้ายจี้ยึดเครื่องบิน และจับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกัน การปฏิบัติการครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ได้พิสูจน์ให้เห็นถึง ความหาญห้าวและการวางแผนรบอันยอดเยี่ยมที่สุด ผู้เกี่ยวข้องในวงการครั้งนั้น ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใดๆอย่างเป็นทางการ เพราะตามกฎหมายของอิสราเอล งานลับเช่นนี้จะเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้ว 25 ปี แต่ในที่สุดเบื้องหลังของการเตรียมงานครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ ก็ได้รับการตีแผ่ออกมาโดยฝีมือของคนสองคนเพียงเวลาแค่สองสัปดาห์หลังจาก แผนฟ้าผ่าสำเร็จลง
    ผู้เขียนได้รับรู้การปฏิบัติการครั้งนั้น ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เพราะคุณพ่อได้ซื้อหนังสือพ๊อคเก็ตบุค ราคาสิบสองบาท ที่เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวไว้อย่างตื่นเต้น ซึ่งผู้เขียนได้เก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนอยากก้าวเข้ามาในกองทัพอากาศ ใฝ่ฝันที่จะเป็นนักบินC-130 และคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศไทย ได้ตัดสินใจซื้อเครื่องบิน C-130 เข้าประจำการ
    เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นทหาร นักบิน นักการเมือง หรือรัฐบุรุษ ที่มีส่วนร่วมผนึกกำลังในแผนฟ้าผ่าทุกคนยอมรับชะตากรรมแห่งชาติที่ถูกทอดทิ้งอย่างโดยดี และหยัดกายขึ้นเผชิญหน้าพญายมอย่างภาคภูมิ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีแห่งชาติของตนไว้ไม่ยอมสยบให้แก่โจรร้าย      
   วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2519 เวลาหลังเที่ยงวันเล็กน้อย เที่ยวบิน Air France139 โดยเครื่องบินยักษ์Airbus ไม่มีผู้โดยสารคนใดคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะต้องประสบเคราะห์กรรมยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของตน และในหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าจะต้องผจญกับชะตากรรมอันร้ายกาจ  ผู้โดยสารในเที่ยวบินมีทั้งนักธุรกิจ ทหาร พลเรือน  นักศึกษา นักโบราณคดี  และเมื่อเที่ยวบิน AF139 ถูกจี้กลางอากาศ ก็ตกเป็นข่าวก้องโลกอยู่เพียงไม่กี่วัน  จนถึงการเจรจายืดเยื้อเมื่อเหล่าร้ายนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน เอนเทบเบ้ ในประเทศยูกานดา  ทวีปแอฟริกา
    เที่ยวบิน AF139 หายไปจากแผนที่การบินของโลก และหายจากพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อมีข่าวอื่นน่าสนใจกว่า เที่ยวบิน AF139 เริ่มจะหายไปจากความทรงจำของทุกคน และทุกฝ่าย  เมื่อการเจรจายืดเยื้อนานวัน ดูประหนึ่งว่าถึงแม้คนนับร้อยชีวิตจะถูกเรียงเด็ดทิ้งเสียด้วยกระสุนปืน ก็คงจะไม่มีใครใส่ใจพะวงนัก   นอกจากยักไหล่แสดงความเศร้า เท่านั้น    แต่เที่ยวบิน AF139 ไม่ได้หายไปจากหัวใจของชาวอิสราเอล และญาติพี่น้องทุกคนของผู้ประสบชะตากรรม    
    คืนวันอาทิตย์ รายงานข่าวเกี่ยวกับโจรที่จี้เครื่องบินเริ่มได้มา แห่งแรกจากลอนดอน มีข่าวว่าคนเยอรมันสงคน   เป็นผู้รับผิดชอบการปฏิบัติการร้ายแรงครั้งนี้   และพวกกองโจรมีแผนการที่ละเอียดอย่างมาก เที่ยวบิน AF139  เชื่อว่าจะไปร่อนลงยังประเทศที่เป็นมิตรกับโจร 
   เที่ยวบิน AF139 ถูกควบคุมโดยผู้หญิงเยอรมันห้านาทีหลังบินขึ้นจากกรุงเอเธนส์   พวกโจรประกอบด้วยผู้ชายเยอรมันอีกคนหนึ่ง และชายอาหรับอีกสามคน ผู้โดยสารที่ได้รับปล่อยตัวออกมาก่อนให้การว่า ผู้ก่อการร้ายทุกคนมีอาวุธ มีระเบิดมือ มีกับระเบิดวางเอาไว้ที่ประตูเครื่องบิน เมืองเบงกาซีเป็นเพียงจุดแวะเท่านั้นเชื่อว่าผู้ก่อการร้ายจะบินไปยังแอฟริกากลาง

    เที่ยวบิน AF139 มีลูกเรือ 12 คน ผู้โดยสารทั้งหมด 245 คน ในจำนวนนั้นเป็นชาวยิว 83 คน ตามกำหนดเดินทางจากกรุงเทลาวีพ เมืองหลวงของประเทศอิสราเอล เพื่อไปกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส โดยระหว่างทางมีกำหนดแวะพักที่สนามบินเอเธนส์ ประเทศกรีซ แต่หลังจากที่ลงจอด เมื่อเครื่องบินทะยานไต่ขึ้นสู่เพดานบิน เครื่องบินได้ถูกจี้โดยผู้ก่อการร้ายหลายคน หลายเชื้อชาติ หน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศ ขาดการติดต่อ ไม่รู้ว่าเครื่องบินจะมุ่งไปที่ใด ญาติที่มารอรับ ได้ฟังจากประกาศที่สนามบินว่า เที่ยวบิน AF139 จะมาล่าช้ากว่ากำหนด แต่จากสัญญาณเรดาร์ พอทำให้ทราบว่า เที่ยวบิน AF139 ยังอยู่ในอากาศไม่ได้หายไปเพราะอุบัติเหตุ แต่เครื่องบินมุ่งหน้าไปทางใต้ แทนที่จะบินขึ้นเหนือสู่ปารีส พอตกเย็นเครื่องบินได้ร่อนลงที่เมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย มีการปล่อยตัวผู้โดยสารบางคน แต่ไม่ใช่ชาวยิว
    หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลได้แอบดักฟังข่าวสารต่างๆ พอทำให้รู้ว่าการจี้ยึดเครื่องบินครั้งนี้มีเป้าหมายมาที่ประเทศอิสราเอลโดยตรง ผู้ก่อการร้ายต้องการให้อิสราเอลปล่อยตัวนักโทษ ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ก่อการร้ายจำนวน 40 คน ที่ถูกทางการอิสราเอลจับคุมขังไว้ ถ้าไม่ยอมปล่อยจะสังหารผู้โดยสารชาวยิว และยังมีจอมเผด็จการอีดี้ อามิน ประธานาธิบดีประเทศยูกานดา(ขณะนั้น)ให้การหนุนหลัง ผู้ก่อการร้ายได้ปล่อยตัวผู้โดยสารชาติอื่นไป43 คน ก่อนที่เที่ยวบิน AF139 จะวิ่งขึ้นจากเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย มาที่สนามบินเอนเทบเบ้ ในประเทศอูกานดา ภายใต้อุ้งมือ อีดี้ อามิน ผู้กระหายเลือด ที่นี่เองมีการ”แบ่งพวก”แยกเอาผู้โดยสารที่เป็นชาวยิวออกจากผู้โดยสารชาติอื่น ซึ่งพอทำให้เห็นแล้วว่า ความจริงอันน่าสะพึงกลัวกำลังจะเผยออกมา

    คณะรัฐมนตรีของอิสราเอลสั่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจมีทั้งทหารและพลเรือน หลังจากที่เครื่องบินได้ถูกผู้ก่อการร้ายบังคับไปลงที่สนามบินเอนเทบเบ้ หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลต่างๆได้ส่งข้อมูลให้แก่คณะเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ ซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็นสองทีม ทีมที่หนึ่งดำเนินตามแผน A เพื่อเจรจาและยอมตามคำเรียกร้องของผู้ก่อการร้าย ทีมที่สองดำเนินการตามแผน B นำโดยผู้นำหน่วยทหารมือดี เตรียมพร้อมและซ้อมใหญ่เผื่อไว้กรณีแผน Aล้มเหลว เที่ยวบิน AF139 ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับชาวอิสราเอล เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่เป็นการต่อสู้กับกองโจรก่อการ้ายที่เชื่อมโยงกับผู้นำประเทศที่มีความบ้าคลั่ง การเจรจาเป็นขั้นตอนแรก ที่นำมาใช้เสมอเมื่อต้องเผชิญกับการก่อการร้าย
   วันอังคารที่ 29 มิถุนายน ผู้ก่อการร้ายประกาศข้อเรียกร้อง ต้องการให้แลกเปลี่ยนตัวนักโทษจำนวน 53 คน กับผู้โดยสารที่เป็นตัวประกัน โดยกำหนดเส้นตายไว้วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม ความยากลำบากเพิ่มขึ้นอีกเพราะนักโทษที่ถูกคุมขังกระจายอยู่ในเรือนจำหลายประเทศ ทำให้ต้องคอยฟังความคิดเห็นของชาติอื่นๆด้วย
แผนอื่นๆได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกเช่น การลักพาตัวอีดี้ อามิน และ การส่งนายพล โมเช่ ดายัน เข้าไปเจรจา แต่ต้องตกไป และสิ่งหนึ่งที่อิสราเอลตระหนักก็คือ ทรรศนะจากชาวโลก
   การปฏิบัติการทางทหารจะต้องนำเครื่องบิน บินอ้อมดินแดนอาหรับที่เป็นศัตรูอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ต้องหลบระบบการตรวจจับอันทรงประสิทธิภาพด้วยเครื่องมือโซเวียต และต้องบินออกไปไกลเกินกว่าที่รัศมีทำการของเครื่องบินที่อิสราเอลมีอยู่จะไปถึง
     ความห่างไกลระหว่างประเทศอิสราเอล และยูกานดา มากกว่า 2,000 ไมล์ นับเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการปฏิบัติการทางทหาร เพราะช่วงเวลานั้นเกือบทุกประเทศในแถบตะวันออกกลาง และแอฟริกา ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตแทบทั้งสิ้น  ระบบเครือข่ายเรดาร์ และระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศเหล่านั้น อาจทำให้แผนปฏิบัติการพินาศลงได้ ในทันที
     ผู้ร่วมอยู่ในปฏิบัติการแผนฟ้าผ่า  ทั้งชายและหญิงได้รับคำสั่งว่า  การเคลื่อนไหวใดๆ จะต้องปกปิดไม่ให้เกิดการสงสัยขึ้น  ให้แต่งกายพลเรือนเมื่อเดินทางไปเข้าฐานปฏิบัติการ ให้เดินทางโดยรถบัสหรือรถยนต์ส่วนตัว      อย่าใช้ยานพาหนะของทางราชการทหาร  หรือไม่ก็ต้องใช้รถโบกเอา   เนื่องจากในวันที่จะเข้าที่ตั้งนั้นเป็นวันซับบาธ วันพระของชาวยิว การที่จะมีปฏิบัติการทางทหารขึ้น อาจจะขัดต่อการที่ครอบครัวจะพักผ่อนอยู่ด้วยกัน ในวันนี้  
      มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เกี่ยวพันกับแผนนี้ ที่จะรู้ว่า   การซ้อมใหญ่นั้นทำไปเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร  และของจริงจะเป็นอย่างไร  เพราะการซ้อมใหญ่ได้มีการแบ่งแยกออกเป็นช่วงๆ ตามหน้าที่ของแต่ละหน่วย ซึ่งคณะเสนาธิการทหารนำโดย แดน ชอมรอน เป็นผู้กำหนด แต่ละหน่วยจะมีการปฏิบัติการที่เป็นอิสระแก่กัน   แต่ละหน่วยซ้อมเฉพาะหน้าที่ของตน เท่านั้น โดยรู้ว่าจะมีคำสั่งจากผู้บังคับการหน่วยพิเศษ กองกำลังผสมนี้    เมื่อถึงเวลาของการปฏิบัติการจริงๆ  การซ้อมใหญ่ของแต่ละหน่วย   ที่จะสอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    หน่วยแพทย์ทหาร ไม่จำเป็นต้องซ้อมใหญ่ เพราะเคยชินต่อการปฏิบัติงาน “ผ่าตัดกลางอากาศ” มาหลายครั้งหลายหนแล้ว  เพียงแต่ได้รับแจ้งว่าให้เตรียมการเท่านั้น   โดยได้เรียกตัวแพทย์และพยาบาลทุกคนมาเก็บตัวตั้งแต่ตอนบ่าย หมอคนหนึ่งกลับไปที่โรงพยาบาลชั่วคราว เพราะมีการตัดด่วนรออยู่ และเพื่อนของเขาเห็นผิดสังเกต   เพราะหมอมีเข็มฉีดยาที่ออกแบบให้เหมือนเข็มขัดกระสุนปืน      แต่ภายในบรรจุยานานาชนิดและ เครื่องมือผ่าตัดไว้  สิ่งที่เพื่อนของเขาเห็น และการที่แพทย์และพยาบาลหลายคนหายตัวไป ทำให้เกิดข่าวลือ ทั่วโรงพยาบาลว่าจะต้องมีเหตุพิสดารบางอย่างเกิดขึ้นแน่   นอกจากโรงพยาบาลแล้ว การปกปิดความลับในเรื่องนี้เป็นไปอย่างเคร่งเครียด  ครั้งแรกมีคำสั่งให้นักบินเข้าเก็บตัวเช่นกัน แต่หลายคนคัดค้าน ด้วยคำพูดทำนองเดียวกันว่า“ขอให้ผมได้นอนบ้านเป็นคืนสุดท้ายเถิด “  คณะเสนาธิการยินยอมในข้อนี้  เพราะจำนวนนักบินซึ่งให้เก็บตัวนั้น มีมากกว่าจำนวนที่จะเอาไปใช้งานจริงๆถึงสามเท่า และนักบินทุกคนก็เก็บความลับกันที่สุดอยู่แล้ว  เพราะรู้ดีว่าพวกเขาคือ เหยื่อแถวแรกหากความลับรั่วออกไป  นักบินได้รับการยกเว้นในการเก็บตัว       
     ในอดีตนักบินทุกคนต้องประสบกับความกดดันทางประสาทมามาก   ทั้งการถูกยิงตกในชายแดน  และการถูกทารุณกรรม   ทุกคนห่วงใยต่อการคุ้มครองลูกเมีย และการที่พวกกองโจรจะมาแก้แค้นถึงบ้าน    นักบินอิสราเอลจึงได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ปิดปากได้สนิทที่สุดในกองทัพ 
     นายพลเกอร์ย้ำว่า    สิ่งที่จะต้องมั่นใจให้มากที่สุดก็คือ เครื่องบินลำเลียง C-130  เฮอร์คิวลิส  ที่พวกอิสราเอลเรียกว่า “ฮิปโป” นั้น จะสามารถขึ้นบินได้ โดยบรรทุกเต็มอัตรา ไปสู่สนามบินที่ไม่รู้จักมาก่อน และสามารถกลับได้อย่างปลอดภัย หลังจากที่ส่งหน่วยจู่โจม ไปช่วยเหลือผู้โดยสาร  รวมทั้งยานพาหนะ   รถสายพานลำเลียงพล และอาวุธอื่นๆ  รวมทั้งรถจี๊ปที่ติดปืนไร้แรงสั่นสะท้อนถอยหลังและจรวด   โดยจะต้องบินเป็นระยะทางประมาณ 5,000 ไมล์ไปกลับ ไม่มีการช่วยนำทางจากหอบังคับการบิน     จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเครื่องบินใหญ่ๆหลายลำเช่นนี้จะบุกเข้าไปใจกลางทวีปอัฟริกา
    นายพลเกอร์ระบุด้วยว่า จะต้องให้มั่นใจว่า เครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่ หลายลำเหล่านี้ จะต้องมีพลังโจมตีเพียงพอ และจะต้องไม่ให้ถูกตรวจพบในระหว่างการเดินทาง การลงสู่สนามบินที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,800 ฟุต มียามรักษาการณ์แน่นหนานั้น จะทำได้เพียงไหน โดยจะไม่ให้พวกทหารรักษาการณ์รู้ตัว  หากว่า เครื่องบินลำใด ลำหนึ่งเกิดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นฐานล้อ หรือเครื่องยนต์ หรือถูกยิง หรือโดนสะเก็ดระเบิด หรือแม้กระทั่งดูดเอาอีแร้งเข้าไปในเครื่องยนต์ อย่างที่เคยมีมา เราจะช่วยเอาลูกเรือและทหารในลำนั้น ออกมาได้อย่างไร ในเมื่อแผนการกำหนดไว้ว่าจะใช้เครื่องบินไม่เกิน 4 ลำ เพื่อความรวดเร็ว 
   เรื่องนี้คงไม่มีปัญหา แม่ทัพอากาศเบนนี่ เปเลด รับรอง  ในชีวิตนักรบของมอร์เดชาย  เกอร์    ประธานคณะเสนาธิการทหาร เขาได้เข้าสู่ช่วงแห่งการเสี่ยงที่สุดโดยอาสาไปกับการซ้อมใหญ่ ของหน่วยจู่โจมด้วยตนเอง   เขาต้องนั่งอยู่กับที่นั่งนักบินสำรองนานกว่าสามชั่วโมง  ระหว่างการทดสอบเครื่อง โดยการติดเครื่องยนต์กังหันไอพ่นของเฮอร์คิวลิสสี่เครื่องเต็มที่ เครื่องบิน C-130   เฮอร์คิวลิส ของล็อคฮีดนี้ สามารถบรรทุกทหารได้ 92 นาย ในการซ้อมใหญ่ โดยฝึกเสมือนว่าจะต้องนำทหารไป ส่งห่างจากที่ตั้ง 2,000 ไมล์ ในการทดสอบนั้นเครื่องบินจะต้องลงบนสนามบินที่มีสภาพเป็นหลุมบ่อ ส่งปืนใหญ่ รถบรรทุกและทหารลง   แล้วซ้อมรับเอาเตียงพยาบาลขึ้นมาได้ 74 เตียงโดยใช้เวลาอยู่บนพื้นดิน 33 นาที 

      แม่ทัพอากาศเบนนี่ เปเลด ซึ่งฝึกบินมาตั้งแต่วัยรุ่นยืนยันว่า เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ด้วยประสบการณ์ของเขาเอง   ส่วนนายพลเกอร์   รู้ได้จากการทดสอบด้วยตนเองและรายงานประกอบ   และต้องการจะทดสอบความคล่องตัวและพลังของไอ้ยักษ์บินนี้ ด้วยตนเอง
      คืนนั้น เฮอร์คิวลิส  ลำที่ประธานคณะเสนาธิการนั่งอยู่ด้วย ได้บินขึ้นลงที่สนามบินทะเลทรายหลายครั้ง    บินตัดเข้าไปในเงื้อมเขา ท่ามกลางความมืดสนิท    บินแบบพุ่งไต่ระยะสูงฉับพลัน   โดยเร่งเครื่องสี่เครื่องเต็มขีด  และนักบินต้องเหยียบเบรกติดเท้า เครื่องบินหนัก 70 ตันบินขึ้นได้เร็วเหมือนเฮลิคอปเตอร์ และในการบินลงยังทะเลทรายที่มืดสนิท ก็ทำได้ราวกับตกลงจากท้องฟ้า การซ้อมใหญ่เป็นการเสี่ยงที่สุด หลายครั้ง หลายหน ที่นายพลเกอร์จับท่อนเหล็กยาวยึดตัวไว้แน่นเมื่อเครื่องบินพุ่งขึ้นหรือวูบลง หนหนึ่งเขาเครียดจน ผรุสวาทออกมาว่า “นี่เราจะไปนรกที่ไหนกันวะ!  “
      “ เอนเทเบ้ “  แม่ทัพอากาศตอบพร้อมกับตบไหล่
การซ้อมใหญ่ของเครื่องบินเฮอร์คิวลิส เป็นไปอย่างหนัก เพราะในแผนการรุกเอนเทบเบ้นั้น ต้องให้เครื่องบิน บินถึงอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน และเงียบที่สุด  ต้องใช้ทางวิ่งของสนามบินสั้นที่สุด และต้องบินขึ้นหนีให้เร็วและขึ้นสู่ระยะทางสูงให้เร็วที่สุด  นักบินต้องเตรียมการว่าอาจจะต้องร่อนลงที่ทุ่งนาหากว่าสนามบินถูกทำลายเสียก่อนโดยพวกยูกานดา และจะต้องเตรียมที่จะพาผู้โดยสารเคราะห์ร้ายเหล่านั้นบินหนีขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนเฮลิคอปเตอร์    หากว่าสนามบินกลายเป็นสนามรบ       เฮอร์คิวลิส อาจจะมีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้        แต่เมื่อย้อนไปดูจุดประสงค์การสร้างเครื่องบินนี้ ก็น่าวิตกอยู่เหมือนกัน  เพราะกำหนดไว้ว่า สร้างขึ้นมาเพื่อบินขนส่งด้วยความเร็วไม่มากนัก    การที่จะเร่งเครื่องบิน และบินขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น อาจจะทำให้ปีกที่อ่อนมาก หักได้
     ในการที่จะต้องบินขึ้นอย่างรวดเร็วในเอนเทบเบ้นั้น   การไต่ระดับเป็นภาวะที่เสี่ยงที่สุด  เพราะนักบินจะต้องกระชับมือซ้ายเอาไว้กับคันบังคับการเชิดหัว  และมือขวาอยู่ที่คันเร่ง   เครื่องยนต์สองเครื่องด้านนอกจะต้องเร่งแค่ครึ่งเดียว   ส่วนสองเครื่องด้านในจะต้องเร่งเต็มขีด  นักบินผู้ช่วยจะต้องทำหน้าที่ปรับระดับปีก     โดยใช้ปีกเล็กแก้เอียง เหตุผลของการเสี่ยงเช่นนี้เพราะพลังส่งของเครื่องยนต์ไอพ่นกังหันนั้นอันตรายมาก หากว่า ในเวลานั้น เครื่องยนต์เครื่องใด เครื่องหนึ่งเกิดดับ     ในขณะต้องเร่งถึงระยะ 90 ไมล์ต่อชั่วโมง    ในความเร็วที่ต่ำกว่านั้น  ไม่มีหนทางใด จะแก้การเหวี่ยงของเครื่องบินที่เกิดจากเครื่องยนต์ที่เสียได้  การใช้ปีกแก้ เอียงขณะบินขึ้น เป็นการบินที่บ้าระห่ำพอใช้     แต่จำเป็นต้องทำเพราะยางเครื่องบินจะต้องสูบลมให้อ่อน   ฐานล้อของเฮอร์คิวลิสที่แนบอยู่กับลำตัว ไม่อาจจะช่วยในการที่ปีกข้างใดข้างหนึ่งเอียงลง อาจจะเสียหลักทิ่มลงมาทางข้างเหมือนนักสเก็ตหกล้มได้เพราะฐานล้อแคบเกินไป 
     นายพลเกอร์สยองมากในการซ้อมใหญ่คืนนั้น    เพราะการซ้อมใหญ่ในการบินแบบบ้าระห่ำ  ท่ามกลางความมืด ให้เหมือนการจะต้องปฏิบัติการจริงๆ  นายพลเกอร์เป็นคนแปลกหน้าสำหรับห้องนักบิน    ในขณะที่นักบินและผู้ช่วย  มีเครื่องอุปกรณ์ที่จะรู้ถึงสภาพเบื้องนอกพอสมควร     แต่นายพลเกอร์ไม่รู้อะไรเลย    นักบินได้ลองซ้อมที่จะนำเครื่องบินกระแทกลงในกรณีที่ไม่อาจจะมีเครื่องช่วยลงสู่สนามได้    และตัดความเร็วอย่างกะทันหัน จนไอ้ยักษ์ใหญ่สั่นไปทั้งลำ    และบังคับเครื่องบินเป็นไปอย่างลำบาก      พอกระแทกลงพื้น  เครื่องบินก็ไถลออกทางข้างหน้าเหมือนจะคว่ำ  นักบินได้พานายพลเกอร์ ซ้อมบินขึ้นลงระยะสั้นหลายหน จนรู้สึกเหมือนว่า  เขากำลังอยู่ในลิฟต์ที่ขาดตกจากตึกสูงๆ    โดยทิ้งตัวลงจากระยะสูงกว่า 700 ฟุต ที่คาดว่าจะเป็นระยะสูงเมื่อเฮอร์คิวลิสเข้าถึงสนามบินเอนเทบเบ้  ระยะสูงนี้จะทำให้พวกโจรไม่มีหนทางจะรู้ตัวได้ทัน
     นายพลเกอร์  ได้คุยกับนักบิน และหน่วยรบพิเศษ บนเครื่องเฮอร์คิวลิส ถึงปัญหาต่างๆ ทุกคนมั่นใจว่าเครื่องบินC-130 จะสามารถช่วยให้การปฏิบัติการที่เอนเทบเบ้กินเวลาหนึ่งชั่วโมง 

“ลองสัก 55นาที ก็แล้วกัน” ประธานคณะเสนาธิการทหารต่อรอง

   ทีมซ้อมใหญ่เริ่มทดลองใหม่อีกหน   คราวนี้ทดลองว่าจะต้องเอา เครื่องเฮอร์คิวลิสตะลุยเข้าไป เพื่อส่งหน่วยจู่โจม  เข้ารุกยามรักษาการณ์สนามบิน ไม่เหมือนคราวแรกที่ซ้อมลงเพื่อช่วยผู้โดยสารอย่างเดียว   ซ้อมหมุนตัวเข้าหาหอเรดาร์ หอบังคับการบิน  และตึกเก่าที่เอนเทบเบ้  อันเป็นผู้คุมขังผู้โดยสารในที่สุดหลังจากที่ซ้อมกันแล้วก็พอประมาณการณ์ได้ว่า เมื่อหน่วยจู่โจมเข้ายิงสกัดยามรักษาการณ์  ที่สนามบินชาวอูกานดาได้แล้ว  ผู้โดยสารจะได้รับการช่วยเหลือในเวลา 75 วินาทีหลังจากนั้น
    นายพลเกอร์ยังไม่พอใจ  เขาขอดูหุ่นจำลองของสนามบินอีกหน  โดยวางตำแหน่งรถถัง   และยามรักษาการณ์เอาไว้ตามที่สายลับรายงานมาเรียกเอาพวก มือปืนและหน่วยจู่โจมแรก ที่จะบุกลงไปศึกษารายละเอียดทุกตารางนิ้วของตึกนั้นอีกครั้ง เพื่อหาวิธีการเข้าถึงตัวผู้โดยสาร และเอากลับมายังเครื่องเฮอร์คิวลิส  ที่จะต้องติดจรวดช่วยเอาไว้ด้วยหากว่าจะต้องบินขึ้นอย่างรวดเร็วจากเอนเทบเบ้ถ้าจำเป็น สิ่งเดียวที่นายพลเกอร์บอกว่าพอใจที่สุดคือ  พวกเขาคิดว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้  สำหรับงานนี้  เขาซ้อมกันเหมือนรบจริงเหมือนว่าเขาอยู่บนสนามบินเอนเทบเบ้ในวินาทีนั้น ซ้อมกันจนกระทั่ง จดจำอิริยาบถทุกอย่างได้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ  เขาจะอยู่กันตรงไหน อย่างไร และยอมที่จะเผชิญภยันอันตรายอย่างไม่หวั่นเกรง
     แต่เหล่าทหารทุกคน ก็ยอมรับว่าการไปทำงานหนัก หนนี้ เสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง ไว้ใจได้ก็ตรงที่มี คณะเสนารักษ์ชั้นดีตามไปด้วย   สามารถจะผ่าตัดกันกลางอากาศได้ทันที พวกคณะแพทย์และพยาบาลเสนารักษ์เองก็ยอมรับว่า การไปทำงานครั้งนี้จะต้องเป็นงานอย่างหนักแน่นอน  และต้องเสี่ยงภัยอันตรายมากมายหลายอย่าง
    นายพลเกอร์ ประธานคณะเสนาธิการทหารได้พูดคุยกับทหารทุกหน่วย ทั้งพวกหน่วยรบและหน่วยสนับสนุน ถึงความจำเป็นที่อาจจะต้องใช้กำลังทหาร แต่ก็จะหลีกเลี่ยงการนองเลือด ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ทุกคนเห็นพ้องกันว่า แผนฟ้าผ่า คือสิ่งจำเป็นจะต้องทำ   เพราะจะต้องพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่า ชนชาติยิวนั้นจะต้องไม่กลัวเกรงต่อการข่มขู่  และต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้าศัตรูอย่างพร้อมเพรียงกันทุกฝ่าย
   ในขณะที่อิสราเอลคิดว่าตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายนั้น มีประเทศหนึ่งที่ยินดีให้ความร่วมมือก็คือ อังกฤษ เพราะอังกฤษดูจะรู้ถึงผลร้ายของพวกกองโจร ได้มากที่สุดจากการที่องค์กรการก่อการร้ายนานาชาติ ให้การสนับสนุนสงครามเลือดในลอนดอนและไอร์แลนด์เหนืออยู่ คนอังกฤษอีกมากยังอยู่ในอูกานดาและอังกฤษก็มีสัญญาลับในการป้องกันร่วมกันกับเคนยาโดยเครื่องบินรบและหน่วยทหารของอังกฤษ จะสามารถใช้สนามบินไนโรบีและสนามบินอื่นๆของเคนยาได้ถ้าจำเป็น
   อังกฤษและเจ้าหน้าที่อิสราเอลได้ร่วมกันประเมินเอาไว้ระหว่างการซ้อมใหญ่ว่า จะมีการสูญเสียเชลยหากมีการปะทะเกิดขึ้นที่เอนเทบเบ้ถึง 35 คน อิสราเอลจะยอมรับความสูญเสียนี้หรือไม่ แต่หากว่าไม่สู้ก็อาจจะต้องสูญเสียทั้ง 105 คน        
มีผู้เกี่ยวข้องมากมายหลายคนในวิกฤตการณ์ครั้งนั้น บางคนชอบอยู่เบื้องหน้า บางคนอยู่เบื้องหลัง บางคนเป็นเหมือนตัวตลกระดับชาติ บางคนได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสมเกียรติ เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง ผู้เขียนขอนำมาให้รู้จักสักสองท่าน
อีดี้ อามิน



    วิกฤตการณ์ในครั้งนั้น ถ้าหากขาดอีดี้ อามิน ผู้นี้คงจะทำให้เรื่องราวต่างๆง่ายขึ้น และแสนจะจืดชืด แต่หากมองในเชิงนิยายสายลับที่มีความตื่นเต้นเร้าใจ ผู้นี้แหละทำให้การปฏิบัติการในครั้งนั้นครบรส มีเรื่องราวให้ชวนติดตามอยู่ทุกนาที อีดี้ อามิน ชอบให้ใครๆเรียกเขาอย่างเต็มยศว่า “จอมพล ด็อกเตอร์ ท่านประธานาธิบดี อีดี้ อามิน ดาดา” เขาเป็นชาวแอฟริกัน ตัวสูงใหญ่ เคยเป็นทหารในกองร้อยปืนยาวอีสต์แอฟริกัน ในขณะที่อังกฤษปกครองอูกันดา เขาแทบไม่รู้ภาษาอังกฤษ แต่มีพรสวรรค์ในการเป็นผู้นำ เขานิยมชมชอบฮิตเล่อร์ หลังจากที่อังกฤษปลดปล่อยอูกันดา อามินได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอก เขาชอบทำอะไรแปลกๆหลายอย่าง เคยนำกำลังทหารบุกตะลุยเข้าไปในดินแดนข้าศึก  สร้างความชอบให้กับตนเองจนประธานาธิบดีโอโบเต้ แต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และต่อมาเขาก็ปฏิวัติโค่นล้มโอโบเต้แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีแห่งอูกานดาเสียเอง  เขาชอบดูหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง และกามิกาเซ่    อีกสิ่งหนึ่งที่เขาชอบคือผู้หญิง คนไหนที่เขาถูกใจต้องตกเป็นเมียเขาทั้งสิ้น เขาเลี้ยงเมียไว้ในทำเนียบมากมาย  เขานำหัวศัตรูของเขาที่ถูกฆ่าเก็บไว้ในตู้เย็น  
    เขามีความหยิ่งทะนงในฐานะประธานาธิบดียูกานดาตลอดชีพ เขาชอบงานเลี้ยงและเสียงปรบมือ เขาชอบที่จะเป็นข่าว หลายประเทศรวมทั้งอิสราเอลพยายามเอาใจเขา ด้วยการให้อาวุธและสนับสนุนทางทหาร   แต่ในที่สุดเมื่อเขาถูกเอาใจเต็มที่ เขาจึงหลงในอำนาจ และเริ่มไม่พอใจอิสราเอลที่ไม่สามารถให้ตามคำขอได้ทุกอย่าง เขาเริ่มหันไปหาฝ่ายตรงข้ามกับอิสราเอลนั่นคือพวกอาหรับหัวรุนแรง  
       ในเหตุการณ์การจี้เครื่องบิน AF139 เขาปารถนาที่จะก้าวสู่เวทีโลก ด้วยการเป็นผู้เจรจา แต่การข่าวของอิสราเอลรูดีว่า เขาให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย เมื่อเครื่องบินบินไปลงลงสนามบินเอนเทบเบ้ของเขา เขาได้เข้าไปเยี่ยมตัวประกันนำอาหารไปให้ตัวประกันและนำอาวุธไปให้โจร ตัวประกันที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ให้การภายหลังว่า โจรมีปืนทุกคน นอกจากปืนกลแล้วยังมีปืนพกและระเบิดมือติดตัวอยู่อีก เห็นได้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจรกับอีดี้ อามิน อยู่ในขั้นดีมาก

พันโท เยโนนาธาน ยอนนี่ เนตานยาฮู
   
     อีกคนหนึ่งที่ควรจะได้รู้จักในการปฏิบัติการสุดยอดครั้งนั้น เขาเป็นผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เ ขาเป็นลูกชายนักประวัติศาสตร์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาวาดร์ ลูกน้องจึงมักเรียกเขาว่า
 ผู้พร้อมด้วยดาบและคัมภีร์ (มีทหารไทยคนใด บ้างไหม? ที่อยากให้ลูกน้องเรียกตนเองเช่นนี้)
  เขาหลงใหลในแผ่นดินอิสราเอลเป็นอย่างยิ่ง เขารู้จักแผ่นดินอิสราเอลทุกตารางนิ้วที่กล่าวเอาไว้ในคัมภีร์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เขาสามารถกล่าวอ้างถึงแผ่นดินตรงนั้นเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อิสราเอลได้เสมอ แม้เขาได้ใช้ความมีไหวพริบ ความฉับไว และความแม่นยำ ในการคัดเลือกทหารเข้ามาเป็นหน่วยจู่โจม แต่ไม่กี่นาทีสุดท้ายก่อนที่จะปฏิบัติการแผนฟ้าฝ่า เขาได้คัดเลือกเอาเฉพาะบางคนเข้าร่วมแผน   ทหารคนหนึ่งในหน่วยจู่โจมบอกว่า
   “ประสาทของพวกเราเครียดมาก และคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้ไปร่วมงานในครั้งนี้เสียใจถึงกับร้องไห้ ร้องไห้อย่างขมขื่น เราได้ฝึกซ้อมกันจนประสาทเครียดแล้ว แต่กลับเครียดหนักด้วยความเสียใจที่ไม่ได้ไป ”

   นักบินลำเลียงของอิสราเอลคนหนึ่งเปรยว่า
  “ปกติพวกเราเหมือนลูกเมียน้อย เราไม่เคยมีโอกาสจะได้มีชื่อเสียงโก้หรูอย่างพวกนักบินขับไล่ที่สามารถจะดวลกับเคริ่งบินMIG กลางอากาศหรือโจมตีฐานจรวดของพวกศัตรูเลย เราเป็นพวกสิบล้อเท่านั้นเอง”

    สำหรับผู้เขียนเองแล้วขอบอกอย่างไม่อายว่า แทบทุกครั้งที่ C-130 ของเราออกไปทำงานในลักษณะนี้ ผู้เขียนพลาดโอกาสที่จะได้เข้าร่วม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนไม่ได้เป็นนักบินประจำฝูงบินเสียทุกครั้ง แต่ขอยืนยันได้ว่าในระหว่างที่ผู้เขียนเป็นนักบินประจำฝูงบิน ผู้เขียนชอบที่จะฝึกบินแบบเดียวกับที่นักบินอิสราเอลทำกันอยู่เป็นประจำ  ฝึกและสอนนักบินรุ่นน้อง ให้คุ้นเคยกับการขึ้น-ลง ทางยุทธวิธี ฝึกบินเดินทางต่ำเรี่ยยอดไม้ดูบ้าง ด้วยหวังว่า ได้ทำหน้าที่ส่งไม้ผลัดต่อให้นักบินรุ่นหลังอย่างเต็มความสามารถ แม้ในภารกิจบินเมล์ไม่ว่าจะออกจากดอนเมืองไปกองบินต่างจังหวัดหรือกลับเข้ากรุงเทพฯ ผู้เขียนแอบยิ้มและภูมิใจเสมอที่ได้มีส่วนพาเพื่อนข้าราชการและผู้โดยสารทุกคนกลับถึงบ้าน ได้พบหน้าคนรักได้อย่างปลอดภัย

   กองรบตามแผนยุทธการแผนฟ้าผ่าได้ทะยานขึ้นสู่อากาศก่อนแล้ว ก่อนที่ ครม.อิราเอลจะมีมติให้ลงมือได้  ครม.กำลังประชุมและถกเถียงกันอยู่  กองบินรบ แบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือกองบัญชาการลอยฟ้าและโรงพยาบาลลอยฟ้า เป็นเครื่องบินแบบ Boeing 707 มุ่งหน้าไปยังสนามบินไนโรบี ประเทศเคนยา ซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวที่ยังคงเป็นมิตรของอิสราเอล ส่วนที่สองคือหน่วยปฏิบัติการพิเศษใช้เครื่องบิน C-130 สี่ลำเป็นหน่วยจู่โจมทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์    การประชุมล่าช้าออกไป นักบินถึงกับบ่นว่า “ถ้าพวกโง่นั้นยังเอาแต่นั่งพูดกันละก็ น้ำมันเราจะหมดเสียก่อนแน่”
    ความกังวลของทุกคนในกองกำลังนั้นสะท้อนออกมาในทางเดียวกัน ทุกคนได้รับการฝึกฝนมาเพื่อการรบ เพื่อต่อสู้ แต่การที่ต้องมานั่งรอ กงล้อแห่งประชาธิปไตยในคณะรัฐมนตรีที่หมุนอย่างเชื่อช้า โดยมีชะตากรรมของประเทศและของเขารองรับอยู่นั้น อยู่ในภาวะที่เกือบจะสุดทน เครื่องบินพร้อมกำลังรบเต็มอัตราศึก กำลังเดินทางมุ่งสู่เป้าหมาย แต่ยังไม่มีคำสั่งให้รุกจากพวก “ ตาแก่ที่เอาแต่นั่งลูบหนวด คิดกันอยู่นั่นเอง” เหลือเวลาน้อยเต็มที และเวลาแห่งการปฏิบัติการก็ถูกตีกรอบจำกัดเข้ามา ผู้โดยสารจะถูกฆ่าในวันรุ่งขึ้น
     ครม.อภิปรายกันอย่างยืดเยื้อ นายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่ต้องการจะจำกัดเวลาในการแสดงความคิดเห็นของรัฐมนตรีแต่ละคน ดังนั้นการตัดสินใจจะเป็นไปอย่างอิสระโดยไม่ถูกเงื่อนเวลาบังคับ เพราะรัฐมนตรีแต่ละคนก็ล้วนอยากจะพูดในวาระประวัติศาสตร์สำคัญนี้ทั้งสิ้น และเพราะเหตุนั้นการตัดสินใจขั้นสุดยอดก็ต้องยืดออกไปอีก
   กองบินรบ ได้บินมาอยู่เหนือ ชาร์ม อัลชิคปลายใต้สุดของอาณาเขตอิสราเอล ที่การตัดสินใจของ ครม.ไปถึงแจ้งนักบิน

 “ ไปได้!!”

   วินาทีเดียวนั้นเอง อิสราเอลได้สั่งตัดการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องบินทั้งสี่โดยสิ้นเชิง วิทยุทหารทุกข่ายระงับการติดต่อ เพื่อป้องกันการดักฟัง ย่ำสนธยา กองบินรบก็เข้าเส้นทางเหนือประเทศไนโรบี ไม่มีหนทางที่จะร่อนลงที่ไหนได้อีกแล้วก่อนที่จึงยูกานดา   เครื่องบินขับไล่คุ้มกันได้กลับไปแล้ว เบื้องหน้าคือเป้าหมายการเดินทาง สนามบินเอนเทบเบ้ บัดนี้เครื่องบิน C130 ทั้งสี่ลำไม่มีโอกาสพรางตัวการตรวจจับของเรดาร์ว่าเป็นเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ได้อีกต่อไป เพราะได้บินออกนอกเส้นทางบินของเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ C130 ทั้งสี่ลำได้ลดระดับลงสู่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า
    อาศัยคลื่นวิทยุจากหอบังคบการบินเอนเทบเบ้ เครื่องบิน C-130 สามารถจับทิศทางของสนามบินได้แล้ว แผนการเข้าหาสนามบินวางเอาไว้ว่า เครื่องสองลำจะร่อนลงที่ทางวิ่งใหม่ อีกสองลำที่เหลือจะลงที่ทางวิ่งเก่า การบินอันยาวนานเจ็ดชั่วโมงเต็มโดยไม่ได้ใช้วิทยุติดต่อกันไม่มีการส่งสัญญาณนำทาง ใช้แต่เพียงการตัดสินใจของนักบินลำหน้าเท่านั้น บางช่วงของการเดินทางเครื่องบินต้องบินเข้าหาพายุแทนที่จะบินอ้อมเพื่อรักษาน้ำมันเอาไว้ให้มากที่สุด สิบนาทีสุดท้ายเครื่องบินลดความเร็วลง หยาดน้ำกระเซ็นเพราะแรงเป่าของลมขึ้นมาที่กระจกหน้า แล้วลู่ออกเป็นแนว ทันใดนั้นทางวิ่งของสนามบินเอนเทบเบ้ ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีฝนตกโปรยปรายสลับกับสายฟ้าแลบ เครื่องบินลำแรกได้ลงสู่สนามบินเอนเทบเบ้เป็นผลสำเร็จ นักบินไม่ใช้ระบบReveres เพราะไม่ต้องการให้เกิดเสียงดัง เพียงแต่ประคองเครื่องให้อยู่ในทางวิ่งและเข้าไปจอดตามจุดที่กำหนดไว้ตามแผน  ลำที่สองร่อนลงตามมา

    เพราะการฝึกซ้อมที่ดี การมาของถึงของเครื่องบินสองลำแรกเงียบเสียจน ผู้ก่อการร้ายไม่รู้ตัว บางคนยังนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้นวม นักบินคนหนึ่งกล่าวว่า “ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนอยู่ในนรก เงียบจนเหมือนเรารอเวลาตาย มันไม่น่าจะเงียบถึงขนาดนั้นเลย ไม่มีเสียงปืน ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน ความเงียบอย่างนั้นมันน่ากลัวเสียกว่าจะถูกยิงเสียอีก เงียบเหมือนอยู่ในนรก รู้สึกว่านั่งรอเวลาตายแท้ๆ มือข้างหนึ่งอยู่ที่คันบังคับ รอว่าเมื่อไรกับดักที่เขาดักเราไว้จะกางออก”

   ประตูท้ายเปิดออกหน่วยจู่โจมแต่ละส่วนเข้าวิ่งประจำตามจุดที่กำหนดไว้ พลเเม่นมือควานหาเป้าหมายของตน เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นก่อนเที่ยงคืน  ลูกน้องของยอนนี่เด็ดชีพผู้ก่อการร้ายชาวเยอรมัน ขณะที่นิ้วของมันแตะอยู่ที่ไกปืน ระหว่างหมุนตัวกลับหันมายกปืนขึ้นเตรียมยิง เสียงปืนของทหารอิสราเอลแผ่กัมปนาทแหวกความมืดแทรกเข้าร่างมันเสียก่อนเป็นศพแรก  ผู้ก่อการร้ายผู้หญิงชาวเยอรมันอีกคนมีระเบิดอยู่ในมือ ยืนตะลึงพลันรู้ว่าตัวเองสิ้นหวัง เมื่อหน่วยจู่โจมของอิสราเอล จ่อกระบอกปืนมาที่เธอห่างไปเพียงสองสามหลา แล้วกดไกจนกระสุนหมด เขาบอกว่า “เขาไม่เคยยิงผู้หญิงมาก่อน ยิงไปแล้วเหมือนไม่มีสติไปด้วย”
   กำลังเสริมจากเครื่องลำที่สามเข้ามาพอดี เสียงร้องตะโกนเข้าไปในตัวตึกเป็นภาษฮีบรู ว่าให้ “หมอบลง หมอบลง” ผู้โดยสารซึ่งเป็นตัวประกันบางคนตกตะลึง ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ผู้ก่อการร้ายชาวอาหรับสองคนยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้โดยสาร คนหนึ่งใช้ปืนกลยิงตอบโต้และยิงใส่กลุ่มตัวประกัน อีกคนหนึ่งใช้ปืนรีวอลเวอร์ หน่วยจู่โจมของยอนนี่หันไปหาที่มาของเสียงปืน แล้วปืนทุกกระบอกก็ลั่นกระสุนเข้าใส่เป้าเดียวกัน ความอลม่านเกิดขึ้นบ้าง เพราะผู้โดยสารบางคนคิดว่าผู้ก่อการร้ายลงมือสังหารตัวประกัน เด็กบางคนตกใจร้องไห้  ยอนนี่และหน่วยจู่โจมของเขาไล่ล่าผู้ก่อการร้ายที่เหลืออยู่ขึ้นไปบนตัวตึกชั้นบน คนหนึ่งแอบในตู้ คนหนึ่งอยู่ในส้วม ทั้งคู่มีอาวุธ และถูกเด็ดชีพในที่สุด ผู้ก่อการร้ายคนที่เจ็ดวิ่งหนีไปทางด้านเหนือของตัวตึกแต่ถูกจัดการได้ในที่สุด  ทหารยูกานดาที่อยู่ในหอบังคับการบินเริ่มรู้ตัว ระดมยิงใส่ทหารอิสราเอล มีเสียงออกมาจากวิทยุว่า “ยอนนี่ ถูกยิง ยอนนี่ ถูกยิง” เสียงนี้เขย่าขวัญทหารทุกคน เขย่าขวัญผู้บัญชาการทหารทุกคนในเทลาวีฟ ที่เฝ้าฟังการปฏิบัติการ ได้จากการติดต่อวิทยุเท่านั้น เขาล้มคว่ำลงตรงหน้าประตูหอบังคับการบิน เลือดออกอย่างน่ากลัว แต่หน่วยจู่โจมของเขาก็รุกหน้าไปเพื่อเข้าควบคุมหอบังคับการบินให้ได้
   รถสายพานลำเลียงและรถจี๊บติดปืนไร้แรงสะท้อน แล่นออกไปที่หน้าสนามบิน เพื่อเตรียมรับมือทหารยูกานดาที่คาดว่าอาจจะเคลื่อนกำลังเข้ามา ประเมินว่าอาจจะมีรถถังเข้ามาร่วมด้วยแต่โชคดีที่มีเพียงหน่วยทหารขนาดเล็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หลงเข้ามาและถูกทหารอิสราเอลซุ่มโจมตีเสียก่อน
  ระหว่างนั้นเครื่องบิน C-130 หมุนตัวหันท้ายเข้าหาผู้โดยสารที่กำลังวิ่งเข้ามา แต่ละลำที่ลงจอดจะมีหน่วยคุ้มกันลำละสิบสองคน เดิมมีแผนที่จะแอบเติมน้ำมันที่สนามบินเอนเทบเบ้ แต่การปฏิบัติการเสร็จเร็วเกินคาด จึงเปลี่ยนแผนไปเติมที่เคนย่าห่างออกไป 50 นาทีในขณะที่เหลือน้ำมันบินได้อีก เพียง 90 นาที นักบินเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้า  
เสียงรายงานที่พอจับใจความได้ว่า

 ”ขึ้นเครื่องยี่สิบแล้ว ยี่สิบเอ็ด มาอีกสิบทั้งกลุ่ม”

   ร่างไร้วิญญาณของยอนนี่ถูกนำขึ้นเครื่องพร้อมกับผู้โดยสาร ลูกน้องของเขาร้องไห้เพราะคิดว่าเขาเพียงบาดเจ็บ อาศัยเวลาที่เหลือทหารอิสราเอลจับตัวทหารอูกานดาได้สองคน และมัดมือมัดขาเอาไว้เพื่อเป็นของขวัญให้แก่ อีดี้ อามิน  ทหารอิสราเอลหลีกเลี่ยงที่จะฆ่าทหารยูกานดา เพราะเป็นทหารที่อิสราเอลเคยมาฝึกไว้ให้ อิสราเอลประมาณว่ามีทหารยูกานดาตายเพียง 20 นาย แต่ทางการยูกานดารายงานว่ามี 45 นาย เชื่อว่าจำนวนที่เกินมา เกิดจากน้ำมือของ อีดี้ อามิน ที่สั่งฆ่าลูกน้องของตนเพราะความโกรธแค้น
    แผนปฏิบัติการใช้เวลาเพียง 55 นาที เร็วกว่าที่คาดไว้ 2 นาที ก่อนที่กองบินรบของอิสราเอลจะลาจากเอนเทบเบ้  อิสราเอลได้ทำลายสถานีเรดาร์ และเครื่องบิน MIG ที่จอดอยู่เพื่อป้องกันการไล่ติดตาม แถมยังได้แอบถอดอุปกรณ์พิเศษบางอย่างติดมือกลับไปอีกด้วย พวกผู้ก่อการร้ายคาดว่าจะมีทั้งหมด10คน ถูกสังหารไป 7 คน อีก 3 คนที่เหลือคาดว่าน่าจะถูกจับเป็น แต่ทางการอิสราเอลปฏิเสธ สิ่งที่อิสราเอลสูญเสียไปคือ เครื่องปั๊มน้ำมันทันสมัยซึ่งเตรียมไว้เพื่อเติมน้ำมันที่เอนเทบเบ้  อิสราเอลจำต้องทิ้งไว้ เพื่อให้เครื่องบินมีระวางบรรทุก พอที่จะนำอุปกรณ์เรดาร์โซเวียตที่เป็นความลับกลับประเทศ
  มีเสียงระเบิดและเปลวไฟจากเครื่องบิน MIG ให้ได้ยินได้เห็นก่อนประตูท้ายของเครื่องกำลังปิดลง เครื่องบินที่ลงเป็นลำแรกได้ออกจากเอนเทบเบ้เป็นลำสุดท้าย    กองบินรบทั้งหกลำมุ่งสู่สนามบินเอมบากาซี ประเทศเคนยา สองลำแรกที่ลงก่อนเป็นเครื่องบิน Boeing 707   ต่อมาอีกสามสิบนาทีเป็นเครื่องบิน C-130 ทยอยกันมาลง หอบังคับการบินเอมบากาซีมึนงง และสับสนกับการมาถึงของเครื่องบินที่ไม่มีกำหนดการบินล่วงหน้า แต่ก็อนุญาตให้ลงเพราะได้รับแจ้งว่ามีเหตุฉุกเฉินต้องร่อนลงโดยด่วน
    เครื่องบินเติมน้ำมันจนอิ่ม ผู้โดยสารได้รับการช่วยเหลือ พวกบาดเจ็บสาหัสสองคนต้องเข้ารักษาพยาบาลในเคนย่า  เวลาก่อนรุ่งเช้าสองชั่วโมง กองบินรบอิสราเอลทั้งหมดได้ขึ้นจากเอมบากาซี  มุ่งหน้าสู่อิสราเอล
    ในขณะที่ปฏิบัติการฟ้าฟาด ดำเนินอยู่ อีดี้ อามิน อยู่ระหว่างการหลับใหล เขาไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งเกือบรุ่งเช้า เขาจึงทราบข่าวการบุกเอนเทบเบ้ และโทรศัพท์ไปต่อว่าอิสราเอล ก่อนจะวางหูเขาสารภาพว่า ”พูดอย่างทางทหารนะ ไม่ใช่นักการเมือง ผมอยากจะบอกคุณว่า ทหารของคุณเยี่ยมมาก หน่วยจู่โจมของคุณเก่งจริงๆ”
    เครื่องบิน C-130 บินกลับถึงกรุงเทลอาวีพในตอนเช้า อันเป็นวันชาติของอเมริกา วันที่ 4 กรกฎาคม 2519  ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ผ่านมาแล้ว 32 ปีพอดี
      ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมวีรกรรมของทหารอิสราเอล ที่พวกเราควรถือเอาแบบอย่าง แต่ใช่ว่าจะเกลียดชังผู้ก่อการร้ายเสียเลยทีเดียว เพราะคิดเสมอว่า ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนามีสิทธิ์ที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีเกียรติ เท่าเทียมกัน 
   ปฏิบัติการของอิสราเอลที่สนามบินเอนเทบเบ้ ก็เหมือนกับการเข้าช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม  สิทธิของประเทศที่จะเข้าสอดแทรกโดยใช้กำลังเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชนของตนในอาณาเขตของประเทศอื่นนั้นเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปทั้งในคำพิพากษาและโดยการปฏิบัติ เพราะอารยชนย่อมถือว่าเสรีภาพของมนุษย์สำคัญกว่ากฎหมายอื่นใด และจะไม่มีบูรณภาพของดินแดนใดละเมิดเสรีภาพของมนุษย์ได้

เครดิต

http://www.thaic-130.com/content_567_9403_TH.html3


 





ความคิดเห็นที่ 1


นบ C-130 เป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริงครับ เขาช่วยให้ใครหลายคนได้กลับบ้าน ให้ครอบครัวได้พบกัน
โดยคุณ helldiver_V2 เมื่อวันที่ 20/07/2008 01:52:24