กำลังค้นหาเรื่องสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่ให้ทุนแก่นักเรียนนายร้อยเหล่าต่างๆของไทยอยู่ครับ บังเอิญไปเจอ (แต่ไม่ทราบว่ามีท่านใดแนะนำเรื่องนี้ไปหรือยังถ้าซ้ำขออภัยด้วย)
วิทยาลัยป้องกันประเทศญี่ปุ่น (National Defense Academy of Japan) เป็นสถาบันการศึกษาหลักที่ผลิตนายทหารแก่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นทั้งสามเหล่า ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทางโรงเรียนนายร้อยของไทยคือ โรงเรียนนายร้อย จปร., รร.นายเรือ และ รร.นายเรืออากาศ จะมีทุนให้นักเรียนที่มีผลการเรียนระดับดีไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศเช่นที่ ญี่ปุ่น
จากที่ค้นจากข้อมูลชมรมซึ่งนักเรียนร้อย(NDA ใช้คำว่า Cade)ทุกคนต้องสังกัดนั้น ดูส่วนตัวเข้าใจว่าทางญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับไทยเป็นพิเศษครับ ดูจากรายชื่อชมรมที่มีในวิทยาลัยได้(ดูในกรอบสีแดง)
http://www.nda.ac.jp/cc/campus/club.html
ดูเหมือนว่าญี่ปุ่นจะค่อนข้างรู้จักไทยเราดีครับถ้าเทียบกับมิตรประเทศอื่นๆ และคิดว่านักเรียนนายร้อยที่ไปเรียนทุนที่ญี่ปุ่นคงจะมีต่อเนื่องหลายรุ่นด้วยเช่นกัน
มีท่านใดพอทราบข้อมูลของนักเรียนนายร้อยไทยเหล่าต่างๆที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่รวมสารพัดวัฒนธรรมไว้ในที่เดียวกัน ตั้งแต่ การเต้นแซมบ้าแบบบราซิล
คาโปเอร่าการวิชาการต่อสู้ของคนในอเมริกาใต้
แม้กระทั่งชมรมภาษาไทยยังมีเลยครับ ตามมหาวิทยาลัยทั่วไป
จนกล่าวขานได้ว่า วัฒนธรรมไหนที่เกือบจะลืมไปจากแหล่งกำเนิดแล้ว ที่ญี่ปุ่นมักจะมีคนกลุ่มเล็กมารวมตัวกันเพื่อหล่อหลอมเอาวัฒนธรรมนั้นมาจัดสร้างใหม่
ขนาดคุณโจอี้บอย ยังยกนิ้วให้กับญีปุ่นเลยครับเรื่องวัฒนธรรมเพลงมีหมดเยอะกว่าเมืองไทยอีก.
อ้ออีกเรื่องนึงครับ ผมมีเพื่อนคนญี่ปุ่นเขาเล่าให้ฟังว่า
ถ้าคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย และถ้าไปจังหวัดนครศรีธรรมราช เขาจะไปไหว้ป้ายของ ท่านยามาดะ
เขาบอกว่าคนผู้นี้เป็นที่เคารพต่อคนญี่ปุ่น อยากทราบว่า
ประวัติท่านยามาดะนี่เป็นมายังไงมั่งครับ อยากศึกษาเพิ่มเติมเพราะผมลองหาใน web แล้วมันกระจัดกระจายชอบกล
ประวัติของ ยามะดะ นางามาซะ นั้นว่ากันว่าได้รับบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งออกญาเสนาภิมุขสมัยพระเจ้าทรงธรรมครับ(หลังรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรนานพอสมควร เข้าใจว่าเป็นตำแหน่งขุนนางของชาวญี่ปุ่นซึ่งเข้ามารับราชการในไทยสมัยอยุธยาที่มีมาก่อนหน้านั้นนานแล้วครับ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมชาวญี่ปุ่นในไทยและติดต่อการค้ากับชาวญี่ปุ่น) โดยตัวยามะดะเองนั้นก็อยู่มาหลายรัชกาลได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆทางการเมืองในยุคนั้นมาหลายเหตุการณ์ครับ จนกระทั้งมาอยู่ที่นครศรีธรรมราชและเสียชีวิตที่นั้น ซึ่งตามบันทึกที่เล่าต่อๆกันมาของคนนครฯนั้น ยามะดะนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านที่นั้นเป็นอย่างมาก เช่นตัวอย่างเพลงกล่อมเด็กเก่านี้
ไก่อูกเหอ ไก่อูกหางลุ่น
ข้าหลวงญี่ปุ่น ทำวุ่นจับเด็ก
จับเอาแต่สาวสาว บ่าวบ่าวไปทำมหาดเล็ก
ญี่ปุ่นจับเด็ก วุ่นทั้งเมืองนครเอย
ภายหลังต่อมาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอยุธยาและที่ญี่ปุ่นเองในช่วงหลังจากนั้นทำให้ชาวญี่ปุ่นได้เดินทางออกจากไทยไปครับ(เช่นเคยได้อ่านมาว่า ครั้งหนึ่งมีการปะทะกันระหว่างอาสาญี่ปุ่นกับทหารในสังกัดของพระยาราชวังสัน(แขก) ในการชิงอำนาจทางการเมืองในยุคนั้นมาแล้ว ผลคือญี่ปุ่นแพ้และถูกไล่ออกไป)
ประวัติของยามะดะนั้นค่อนข้างจะมีชื่อเสียงพอสมควรในญี่ปุ่นซึ่งก็มีชาวญี่ปุ่นนำไปแต่งเป็น นิยายอิงประวัติศาสาตร์ครับ ซึ่งเรื่องหนึ่งนั้นดูเหมือนว่าตอนจบยามะดะจะโดนลอบวางยาพิษจนตายครับ ซึ่งตอนจบของนิยายนั้นได้กล่าวถึงคนไทยอย่างน่าประทับใจว่า
คนไทยนั้นซ่อนยาพิษเอาไว้ในรอยยิ้ม
สวัสดีครับ ชาวเว็บบอร์ดทุกท่าน
ผมตท.สี่สี่(รุ่นเดียวกับหมวดตี้)เป็นนักเรียนนายเรือที่ได้มาเรียนที่รร.แห่งนี้ตอนนี้ศึกษาอยู่ปีที่สี่แล้วครับ
จะขอเล่าเกี่ยวกับนนร.ไทยที่มาศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นคร่าวๆแล้วกันนะครับ
ประเทศไทยเราจะส่งนร.มาปีละห้านาย ทบ.ทอ.สองนาย ทร.หนึ่งนายครับ โดยคัดมาจากนร.ปีหนึ่งของแต่ละเหล่าทัพ ในปีแรกนั้นเราจะเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวเลยหนึ่งปีหลังจากนั้นก็จะเข้าหลักสูตรที่โรงเรียนแห่ง(โบเอได)นี้สี่ปีครับ หลังจากนั้น ทบ.จะเรียนต่อหลักสูตรป.โทของที่นี่เลยอีกสองปี ส่วนทร.นั้นจะต้องไปต่อโรงเรียนทำการนายทหารที่ฮิโรชิมาอีกหนึ่งปี หลังจากนั้นก็จะเข้าร่วมการฝึกกองเรือ เดินเรือรอบโลกหนึ่งรอบใช้เวลาประมาณเจ็ดเดือนครับ ส่วนทอ.นั้นก็จะไปรร.ทำการนายทหารเช่นเดียวกันที่จ.นารา อีกหกเดือนครับ
พวกเราจะเรียกแทนตัวเองว่า ทหารไกลบ้านครับ
http://www.geocities.com/thainda/boudai/boudai.html
นี่เป็นเว็บเพ็จของพวกเราเองครับ
ถ้าใครมีข้อสงสัย เกี่ยวกับเรื่องการฝึก การศึกษา อาวุธยุทโธปรกณ์ของที่ญี่ปุ่น สอบถามได้นะครับ
ไม่คิดว่าจะมีนักเรียนนายร้อยไทยที่เรียนที่ NDA มาตอบใน Topic นี้นะครับ ต้องขอขอบคุณคุณ watachi44 ด้วยครับ
ขออนุญาตสอบภามข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกของ NDA ดังนี้ครับ
ในส่วนการฝึกและศึกษา
1.นอกจากการเรียนภาษาญี่ปุ่น1ปีแล้ว นักเรียนนายร้อยจะศึกษาที่ NDA 4ปี โดย NDA นี้จะรวมนักเรียนทั้งสามเหล่าทัพ(JGSDF, JMSDF และ JASDF) ไว้ร่วมกันในที่แห่งเดียว ตรงนี้อยากทราบว่าในส่วนของการแบ่งรายละเอียดหลักสูตรการฝึกศึกษาของแต่ละเหล่านั้นมีรายละเอียดอย่างไรบ้างครับ เพราะอย่างของไทยเรานั้นโรงเรียนนายร้อยเหล่าต่างๆจะแยกออกไปเป็นของตนคนละแห่งครับไม่ได้รวมในที่ๆเดียวแบบของญี่ปุ่น
2.ทราบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งซึ่งเปิดรับสุภาพสตรีเข้าศึกษาเป็นนักเรียนนายร้อยของ NDA ด้วย อยากทราบว่ารายละเอียดการฝึกศึกษานักเรียนที่เป็นผู้หญิงนั้นมีลักษณะอย่างไรครับ เช่นการแยกสถานที่พักหรือระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (แต่เท่าที่ดูจากภาพนั้นดูเหมือนนักเรียนนายร้อยหญิงจะต้องตัดผมทรางคล้ายๆกับนักเรียน ม.ต้น ไทยเราครับ)
3.อยากทราบรายละเอียดการฝึกของนักเรียนนายร้อยที่สังกัด กกล.ป้องกันตนเองทางเรือครับ เช่น หลักสูตร การฝึก ธรรมเนียมระเบียบปฏิบัติ เรือฝึกและอาวุธต่างๆ ที่ใช้ว่าเหมือนหรือต่างจากของไทยอย่างไร
ในส่วนเรื่องนอกNDA
ปกติในช่วงที่หยุด เช่นวันเสาร์-อาทิตย์ หรือ ปิดภาคเรียนนั้น นักเรียนนายร้อยไทยที่ญี่ปุ่น ทำกิจกรรมอะไรนอกโรงเรียนบ้างครับ เช่น การเดินทาง วิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น มีชุมชนคนไทยในแถบโยโกชูกะหรือไม่ครับ
(คงไม่ได้ถามเยอะไปนะครับ)
ขออนุญาตตอบนะครับ
1.ใช่ครับถึงแม้ที่นี่โรงเรียนนายร้อยจะอยู่ที่เดียวกัน แต่เวลาฝึกจะฝึกแยกตามเหล่าครับ ส่วนนร.ชั้นปีที่หนึ่งนั้นจะฝึกหลักสูตรรวมของทบ.ครับ แต่เวลาเรียนวิชาการจะเรียนรวมกันโดยแยกตามสาขาเรียนครับ เช่นในส่วนของผมนั้นทางทร.กำหนดมาให้เรียนทางด้านวิศวะกรรมไฟฟ้า เพื่อนในตอนเรียนก็จะมีทั้งสามเหล่าทัพครับ การฝึกโดยทั้วไปนั้นจะฝึกอาทิตย์ละครึ่งวันครับ แล้วก็จะมีช่วงฝึกภาคยาวๆอยุ่ปีละสามภาคครับ อย่างเช่นเดือนกค.นี้ก็จะเป็นการฝึกภาคฤดูร้อนหนึ่งเดือน นร.แต่ละเหล่าก็จะแยกออกไปฝึกนอกที่ตั้งรร.ตามเบสที่ต่างๆครับ อย่างผมในปีนี้ก็จะฝึกเรือชื่อซาวะกิริ ออกจากโยโกซุกะ แวะโทคุชิมา แล้วก็เข้าคุเรครับ หลังจากนนั้นก็จะปิดเทอมประมาณสามอาทิตย์ครับ นร.ไทยเราก็รอช่วงเวลาแบบนี้ล่ะครับที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านครับ
2.ที่นี่ร้อยละสิบจะเป็นนร.หญิงครับ การฝึกศึกษาไม่ต่างไปจากนร.ชายเลยครับ แต่เกณฑ์บางอย่าง เช่นการทดสอบร่างกายก็จะแตกต่างจากผู้ชายครับ ส่วนตึกนอนนั้นนอนตึกเดียวกันครับ แต่จะอาศัยอยู่คนละชั้นครับ แล้วในกองร้อยนั้นก็จะมีนร.หญิงปะปนกันไป ทรงผมนั้นใช่ครับชั้นหนึ่งนั้นจะไม่มีสิทธิไว้ผมยาวเกินติ่งหูครับ แล้วก็ไล่ยาวกันไปตามลำดับชั้นครับผม
3.การฝึกส่วนมากนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากบ้านเรามากมายเลยครับ อย่างที่บอกขั้นต้น นร.ชั้นหนึ่งก็จะฝึกของแบบฝึกทบ.(บุคลลท่ามือเปล่า อาวุธ ยิงปืน บุคคลทำการรบเป็นต้น)พอขึ้นชั้นสองก็จะแยกตามเหล่าทัพครับคร่าวๆว่า ทบ.ก็จะเน้นบุคคลทำการรบ เข้าตีกลางวันกลางคืน เดินทางไกล ทร.ก็จะฝึกการเดินเรือ เทียบเรือ พายเรือกะเชียงทน การสื่อสาร ทอ.ก็จะเน้นการดูงาน การทดลองขึ้นบิน ป้องกันฐานบิน เป็นต้นครับ
ปลย.ของนร.ที่นี่เป็นปืนแบบ64(เรียกตามปีที่ผลิต)เก่าครับ หนัก ชิ้นส่วนเยอะ แต่ยิงนิ่งครับ ที่นี่เค้าจะสอนให้เรารัก ดูแลของๆหลวงมากๆ(ทั้งๆที่ประเทศมันรวย เรียกว่าน๊อตหายตัวเดียวเรียกรวมนร.คลานหาทั้งกองพันเลยครับ)
แต่ ก็มี่ส่วนการฝึกที่ต้องฝึกร่วมกันเป็นชั้นปีไม่แบ่งแยกเหล่าก็มีครับ เช่นชั้นหนึ่งว่ายน้ำทน ชั้นสองฝึกพายเรือกะเชียงทน ชั้นฝึกวิ่งแบกโหลด ชั้นสี่นี่วิ่งมาราธอนครับ
4.ที่โยโกสุกะนั้นมีคนไทยอยู่น้อยครับ ถ้าโตเกียวละก้เยอะอยู่ครับ ในวันหยุดนั้นส่วนมากพวกเราก็จะมีเข้าชมรมกีฬาซ้อมกีฬาช่วงเช้า ตอนบ่ายก็แล้วแต่ว่าจะไปเดินเล่น หรือออกไปหาอะไรทาน หรือบางคนก็ไปเที่ยวหาโฮมสเตย์ที่เป็นคนญี่ปุ่นครับ บางครั้งก็จะไปพักรวมกันที่สถานทูตทหารประจำโตเกียวครับที่นั้นก็จะเหมือนบ้านที่อบอุ่นของพวกเรา เวลาเรารวมกันก็จะสังสรรค์กันครับ
คงจะเป็นคำตอบให้ได้พอสมควรนะครับ
ขออนุญาตตอบนะครับ
1.ใช่ครับถึงแม้ที่นี่โรงเรียนนายร้อยจะอยู่ที่เดียวกัน แต่เวลาฝึกจะฝึกแยกตามเหล่าครับ ส่วนนร.ชั้นปีที่หนึ่งนั้นจะฝึกหลักสูตรรวมของทบ.ครับ แต่เวลาเรียนวิชาการจะเรียนรวมกันโดยแยกตามสาขาเรียนครับ เช่นในส่วนของผมนั้นทางทร.กำหนดมาให้เรียนทางด้านวิศวะกรรมไฟฟ้า เพื่อนในตอนเรียนก็จะมีทั้งสามเหล่าทัพครับ การฝึกโดยทั้วไปนั้นจะฝึกอาทิตย์ละครึ่งวันครับ แล้วก็จะมีช่วงฝึกภาคยาวๆอยุ่ปีละสามภาคครับ อย่างเช่นเดือนกค.นี้ก็จะเป็นการฝึกภาคฤดูร้อนหนึ่งเดือน นร.แต่ละเหล่าก็จะแยกออกไปฝึกนอกที่ตั้งรร.ตามเบสที่ต่างๆครับ อย่างผมในปีนี้ก็จะฝึกเรือชื่อซาวะกิริ ออกจากโยโกซุกะ แวะโทคุชิมา แล้วก็เข้าคุเรครับ หลังจากนนั้นก็จะปิดเทอมประมาณสามอาทิตย์ครับ นร.ไทยเราก็รอช่วงเวลาแบบนี้ล่ะครับที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านครับ
2.ที่นี่ร้อยละสิบจะเป็นนร.หญิงครับ การฝึกศึกษาไม่ต่างไปจากนร.ชายเลยครับ แต่เกณฑ์บางอย่าง เช่นการทดสอบร่างกายก็จะแตกต่างจากผู้ชายครับ ส่วนตึกนอนนั้นนอนตึกเดียวกันครับ แต่จะอาศัยอยู่คนละชั้นครับ แล้วในกองร้อยนั้นก็จะมีนร.หญิงปะปนกันไป ทรงผมนั้นใช่ครับชั้นหนึ่งนั้นจะไม่มีสิทธิไว้ผมยาวเกินติ่งหูครับ แล้วก็ไล่ยาวกันไปตามลำดับชั้นครับผม
3.การฝึกส่วนมากนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากบ้านเรามากมายเลยครับ อย่างที่บอกขั้นต้น นร.ชั้นหนึ่งก็จะฝึกของแบบฝึกทบ.(บุคลลท่ามือเปล่า อาวุธ ยิงปืน บุคคลทำการรบเป็นต้น)พอขึ้นชั้นสองก็จะแยกตามเหล่าทัพครับคร่าวๆว่า ทบ.ก็จะเน้นบุคคลทำการรบ เข้าตีกลางวันกลางคืน เดินทางไกล ทร.ก็จะฝึกการเดินเรือ เทียบเรือ พายเรือกะเชียงทน การสื่อสาร ทอ.ก็จะเน้นการดูงาน การทดลองขึ้นบิน ป้องกันฐานบิน เป็นต้นครับ
ปลย.ของนร.ที่นี่เป็นปืนแบบ64(เรียกตามปีที่ผลิต)เก่าครับ หนัก ชิ้นส่วนเยอะ แต่ยิงนิ่งครับ ที่นี่เค้าจะสอนให้เรารัก ดูแลของๆหลวงมากๆ(ทั้งๆที่ประเทศมันรวย เรียกว่าน๊อตหายตัวเดียวเรียกรวมนร.คลานหาทั้งกองพันเลยครับ)
แต่ ก็มี่ส่วนการฝึกที่ต้องฝึกร่วมกันเป็นชั้นปีไม่แบ่งแยกเหล่าก็มีครับ เช่นชั้นหนึ่งว่ายน้ำทน ชั้นสองฝึกพายเรือกะเชียงทน ชั้นฝึกวิ่งแบกโหลด ชั้นสี่นี่วิ่งมาราธอนครับ
4.ที่โยโกสุกะนั้นมีคนไทยอยู่น้อยครับ ถ้าโตเกียวละก้เยอะอยู่ครับ ในวันหยุดนั้นส่วนมากพวกเราก็จะมีเข้าชมรมกีฬาซ้อมกีฬาช่วงเช้า ตอนบ่ายก็แล้วแต่ว่าจะไปเดินเล่น หรือออกไปหาอะไรทาน หรือบางคนก็ไปเที่ยวหาโฮมสเตย์ที่เป็นคนญี่ปุ่นครับ บางครั้งก็จะไปพักรวมกันที่สถานทูตทหารประจำโตเกียวครับที่นั้นก็จะเหมือนบ้านที่อบอุ่นของพวกเรา เวลาเรารวมกันก็จะสังสรรค์กันครับ
คงจะเป็นคำตอบให้ได้พอสมควรนะครับ
เรื่องของ ยามาดะ กับ อาษายี่ปุ่น 500 นายในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร นี่ ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่นะครับ เพราะ
1..ในสมัย สมเด็จพระนเรศวร ผู้นำอาษายี่ปุ่นจริง ๆ คือ [b]ออกพระสุมิฮิโร[/b] ลองมาไล่ดู ผู้นำหมู่บ้านยี่ปุ่น (เขียนแบบโบราณดีกว่า ได้บรรยากาศ..อิๆๆ) มีดังนี้
ออกพระสุมิฮิโร(ค.ศ.1600-1610) พ.ศ. 2143 - 2153 (พระนเรศวรทรงสวรรคต ปี พ.ศ. 2148 พูดง่าย ๆ ออกพระสุมิฮิโร ดำรงตำแหน่งหัวหน้าอาษายี่ปุ่นมาแล้ว 5 ปี สมเด็จฯ ถึงจะทรงสวรรคต ดังนั้นไม่ใช่ นางามาสะ ยามาดะแน่ ๆ ครับ )
คิดวเอมอน ชิโรอิ (ค.ศ.1610-1617)
นากามาซา ยามาดะ หรือออกญาเสนาภิมุข(ค.ศ.1617-1630)
ตาเอมอน อิโตยา กับ คุนิชุเก ฮรามัตซุ(ค.ศ.1633-1640)
และฮันไซมอน คิมุระ กับ เซน เอมอน อันโตนี(ค.ศ.1640-?) <--- ยุคนี้ ยี่ปุ่นปิดประเทศสมัย รัฐบาลโตกุงาว่า รุ่นที่ 3
ข้อมูลจาก http://www.thai-japanasso.or.th/aboutus/japanvillage_th.html <--- เวปหมู่บ้านยี่ปุ่น มีความเชื่อถือได้สูงครับ
--------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------
ส่วนข้อมูลที่บอกว่า นางามาซะ ยามาดะ เป็นผู้นำอาษายี่ปุ่น ในคราวนำอาษายี่ปุ่น 500 นาย ตามหนังตำนานฯ นั่น มาจากสำนวนของ พงษาวดารฉบับพิสดาร ร.ศ. 120
ซึ่งตำราเล่มนี้ มีข้อปลีกย่อยที่เพิ่มเติม (แต่งเติม ? ) อยู่มาก ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ครับ
2..
เรื่องการเสียชีวิตของ ยามาดะ นี่ ตามประวัติศาสตร์ว่า เป็นผลมาจากบาดแผลที่ได้รับจากการไปรบกับ ปัตตานี ครับ (รู้สึก ปัตตานี สมัย ราชินี บีรู ไม่ก็ ฮิเญา หละครับ ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ช่วงไหน เปิดทีวี TPBS ตอนเย็น ๆ 6 โมงเย็นดูละคร รายากุนิง นั่นหละครับ เป็นยุคก่อน รายากุนิง ครับ )
ทางอยุธยาพอทราบข่าว สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงประทานยาสมานแผล (ผสมยาพิษ) มาให้ พอทาแล้ว ไม่นาน ยามาดะ ก็ถึงแก่ความตายครับ
หลังจากนั้น ลูกชายของยามาดะ ก็ตายไปด้วยเหมือนกัน (จำชื่อไม่ได้แล้วครับ ) พรรคพวกที่เหลือ จึงหนีไปอยู่กัมพูชา ครับ เพราะ ที่เมืองนคร ประชาชนรังเกียจ ยามาดะ และพวกยี่ปุ่นเหลือคณา อย่างที่คุณ AAG บอกไป บางท่านก็บอกว่า สุสานที่รัฐบาลญี่ปุ่นสร้างให้ใหม่ที่ จ.นครศรีธรรมราชเนี่ย คนนครศรีธรรมราช มักไปถุยน้ำลายรดป้ายวิญญาณอยู่บ้าง ก็มีครับ
3..
3..
เรื่องการเข้า ๆ ออก ๆ ของยี่ปุ่นนี่ เรื่องปกติครับ ตอนสมัยเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ (พระโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ) พวกยี่ปุ่น 100 กว่าคน ก็เคยบุกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังมาแล้ว เพียงเพราะไม่พอใจ ที่ทางการไทยไปบังคับเรื่องการค้าขาย
หนักข้อขนาดที่ว่า เข้าไปจะจับเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์เป็นตัวประกันเลยหละครับ แต่ต่อรองกันได้ พวกยี่ปุ่นก็เลยหนีไปทางเขมร
ไป ๆ มา ๆ ไม่นานจากนั้นก็กลับมาอีก พอจนถึงสมัยพระเจ้าปราสาททอง ที่ไม่ทรงเป็นมิตรกับ ยามาดะ นางามาสะ เท่าไร ภายหลังจาก ยามาดะ ตาย ก็มีการกวาดล้างพวกยี่ปุ่น จนต้องหนีไปอยู่ เขมร อย่างที่ผมบอกไป แต่ไม่นาน พระเจ้าปราสาททอง ก็ทรงอภัยโทษให้พวกนี้ กลับเข้ามาอยู่ต่อ จนถึง ปี ค.ศ. 1640 พวกยี่ปุ่นทั้งหมดจึงต้องกลับประเทศ เพราะรัฐบาลของ โชกุน โตกุงาว่า ทำการปิดประเทศ ครับ
แต่ถึงจะปิดประเทศ ก็ไม่ได้ปิดจริงเท่าไรนัก ปิดเฉพาะกับ ฝรั่งบางชาติเท่านั้น ยกเว้น ฮอลันดา (ฮอลแลนด์) ที่ยังค้าขายกับยี่ปุ่นได้ตามปกติ และ สยามก็ยังคงค้าขายกับยี่ปุ่นได้เหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ว่า ลำบากมากขึ้นนิดนึง เพราะโดนจำกัดโควต้าเรือที่จะเข้าสู่ยี่ปุ่นโดยตรง บางทีก็ต้องไปอาศัยเรือสัญชาติจีน เข้าไปค้าขายแทนก็มี (เพราะครบโควต้าที่รัฐบาลโตกุงาว่า ให้ไว้แล้ว )
มูลเหตุที่ยี่ปุ่นต้องปิดประเทศ ก็เพราะเรื่องการเมืองภายใน บรรดาไดเมียว (เจ้าเมือง) บางคนที่นับถือ คริสต์ศาสนา ก็ดันทำสงคราม เพื่อปลดปล่อยตั้งตัวเองเป็นรัฐอิสระ เช่น กรณี กบฏชิมาบาระ เป็นต้น
สงครามที่ชิมาบาระ นี่ ละเลงเลือดกันนองปฐพีไม่น่าดูครับ (น่าจะเป็นสงครามที่อ้างศาสนาครั้งเดียวในยี่ปุ่น เกิดขึ้น 2 ระลอก )ผู้เสียชีวิตของทั้งสองฝ่าย ไม่น่าจะต่ำกว่า 6 หมื่นศพ เมื่อรัฐบาลโตกุงาว่า ปราบกบฏได้ ก็เลยเกรงว่า พวกโรมันคาทอลิก ก็ฝรั่งนั่นหละครับ จะเข้ามาช่วย พวกกบฏอีก ก็เลยปิดประเทศซะ
แต่ฮอลแลนด์ ถ้าจำไม่ผิด จะนับถือ โปรเตสแตน ก็เลยไม่เป็นไรครับ ค้าขายต่อได้
ถ้าไปอ่านในบางเวปของฝรั่ง (samuraiarchive.com) ก็จะมี อ.ฝรั่ง จาก ม.ฮาวาย เสนอแนวคิดของท่านว่า ตัวยามาดะเอง แต่ก่อนเป็นลูกเศรษฐี แล้วหนีออกจากบ้าน ต่อมาได้เข้าทำงานเป็นคนหามเกี้ยวของไดเมียวเมืองหนึ่ง ต่อมา ก็ลงเรือออกผจญโลกกว้าง จนเข้ามาสู่อยุธยาครับ
ก็ว่ากันไป สนุกสนานดีครับ