หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ดำดิ่งใต้น้ำไปกับ ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล

โดยคุณ : Darksquadron เมื่อวันที่ : 01/05/2008 07:44:45

ดำดิ่งใต้น้ำไปกับ ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 เมษายน 2551 15:12 น.
รถบรรทุกเครื่องบินไปยังจ.ภูเก็ต
       “เครื่องบิน”ที่เหินเวหาถลาร่อนลมอยู่บนท้องฟ้า และ “ปะการัง” สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อาศัยอยู่ใต้ท้องน้ำอันกว้างใหญ่ ทั้งสองสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางบรรจบพบเจอกันได้ (ยกเว้นว่าเครื่องบินจะดิ่งตกสู่ท้องทะเลเอง) แต่ก็มีกลุ่มคนที่อาจหาญเอาเครื่องบินลำใหญ่ไปทิ้งทะเล ด้วยความตั้งใจและหวังว่าจะช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมแนวปะการังที่เสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิให้ฟื้นคืนกลับมา
       
       จมเครื่องบิน
       
       เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 ที่ผ่านมา ณ กองบิน2 จังหวัดลพบุรี ได้มีพิธีบวงสรวงและเคลื่อนย้ายเครื่องบินขึ้นรถโดยใช้รถเทรลเลอร์ในการขนย้ายเครื่องบินจากจังหวัดลพบุรี เพื่อออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ที่หมายที่ จังหวัดภูเก็ต เพื่อทำการจมเครื่องบินจำนวนทั้งสิ้น 10 เครื่อง ตามโครงการ “ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล”
       

       โดยเครื่องบินทั้ง 10 เครื่องนี้จะถูกจมในพื้นที่ที่ถูกจัดวางบริเวณอ่าวบางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ทรายโล่ง ห่างจากชายฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร มีระดับน้ำลึกประมาณ 15-20 เมตร เพื่อเป็นปะการังเทียมต่อไป

ตัวอย่างของเครื่องบินที่อยู่ใต้น้ำ
       วิทเยนทร์ มุตตามระ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเพื่อทะเล หนึ่งในกลุ่มคนผู้จุดประกายโครงการฝูงบินปะการังเพื่อทะเล บอกเล่าถึงโครงการฝูงบินปะการังเพื่อทะเลว่า จากการที่มูลนิธิเพื่อทะเลและอาสาสมัครนักดำน้ำกว่า 50 ชีวิต เคยร่วมงานอาสากับมูลนิธิฯในการออกซ่อมแนวปะการัง ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิเห็นว่า
       
       นอกจากแนวปะการังธรรมชาติได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิและแนวปะการังธรรมชาติเหล่านั้น ยังได้รับความเสียหายทรุดโทรมด้วยน้ำมือมนุษย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม วิกฤติการณ์โลกร้อน ภาวะเอลนินโย่ หรือปรากฏการลานีญา ล้วนมีผลต่อการเสื่อมโทรมของแนวปะการังทั้งสิ้น
       
       ดังนั้นมูลนิธิเพื่อทะเลจึงริเริ่มแนวคิดที่จะสร้างแนวปะการังเทียม และเห็นว่าควรเป็นแนวปะการังเทียมที่จะต้องได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไปได้มากพอ ที่จะสามารถช่วยแบ่งเบาจำนวนนักท่องเที่ยวและนักดำน้ำที่ไปดำน้ำในจุดดำน้ำธรรมชาติให้น้อยลงไปได้ และยังจะเป็นการเสริมสร้างระบบนิเวศวิทยาทางทะเล
       
       “สาเหตุที่เราเลือกใช้เครื่องบินที่ปลดประจำการแล้วในการทำแนวปะการังเทียม เพราะด้วยวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมมีความทนทานต่อการถูกกัดกร่อน รูปทรงของเครื่องบินที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อกระแสน้ำ จึงได้มีการพูดคุยและประสานงานกับกองทัพอากาศเพื่อของนำเครื่องบินที่ไม่ใช้แล้วกลับทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอีกครั้งหนึ่ง”วิทเยนทร์กล่าว

สู่โลกใต้ท้องทะเลไปกับเครื่องบิน
       เขายังกล่าวต่อไปว่า การจัดทำแนวปะการังเทียมครั้งนี้ใช้เวลาเตรียมการมากว่า 2 ปี มีการศึกษาในเรื่องผลกระทบที่จะมีต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งจุดที่เหมาะสมในการจัดสร้าง ตลอดจนผลดีที่คนในชุมชนจะได้รับซึ่งนอกจากโครงการนี้จะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยการสร้างแหล่งดำน้ำใหม่ที่จะมีชื่อเสียงระดับโลกแล้ว ยังทำให้เป็นการศึกษาระบบนิเวศวิทยาทางทะเลในเรื่องของการสร้างที่อยู่ให้ให้สัตว์น้ำและการลงเกาะของปะการัง
       
       โดยคาดว่างบประมาณที่จะใช้ตลอดทั้งโครงการจะใช้งบทั้งสิ้นประมาณ 10,000,000 บาท ทั้งนี้ไม่รวมมูลค่าเครื่องบินที่ได้รับความอนุเคราะห์จากทางกองทัพอากาศ ทั้ง 10 เครื่อง คือ เครื่องบินลำเลียงแบบที่2(C-47)หรือดาโกต้าจำนวน 4 เครื่องและเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 4ก หรือ เอส 58ที (S-58 T) จำนวน 6 เครื่อง
       
       ส่วนทางด้าน สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บ.เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวในฐานะผู้สนับสนุนหลัก ว่า เป็นความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนตอบแทนสังคมกับ “โครงการฝูงบินปะการังเพื่อทะเล”นับเป็นโครงการที่มีประโยชน์และตรงกับวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่บริษัทฯกำหนดไว้

ขั้นตอนการขนเครื่องบินขึ้นรถด้วยความยากลำบาก
       ซึ่งเดิมเมืองไทยประกันชีวิตเคยมีโครงการนำรถไปจัดวางในทะเลแล้ว แต่เมื่อเห็นโครงการนี้ทำให้เราได้เห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่เราสามารถสานต่อความตั้งใจเดิมได้เร็วที่สุด
       
       โดยบริษัทฯมีส่วนร่วมสนับสุนนโครงการเพื่อมีส่วนร่วมในการสร้างแนวปะการังเทียมให้เป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ เกิดประโยชน์ต่อทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยการประชาสัมพันธ์ให้เป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลกสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้
       
       ผลลัพธ์และความคาดหวัง
       

       แน่นอนว่าการลงทุนครั้งนี้ต้องไม่สูญเปล่า สำหรับความคาดหวังที่คาดว่าจะได้จากโครงการนี้นั้น วิทเยนทร์กล่าวว่า ประการแรกคือ มีแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำใหม่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเกิดขึ้น และมีนักท่องเที่ยวดำน้ำไปเยี่ยมชมเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 200 คนต่อวัน สร้างรายได้ทางตรงจากการท่องเที่ยวดำน้ำปีละกว่า 140 ล้านบาทต่อปี และฟื้นฟูระบบนิเวศวิทยาทางทะเลในบริเวณอ่าวบางเทา

พิธีบวงสรวงก่อนลำเลียงซากเครื่อง ณ กองบิน2
       นอกจากนี้ผู้เกี่ยวข้องยังหวังว่า ฝูงบินปะการังเพื่อทะเลนี้ จะกลายเป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลกและแบ่งเบาจำนวนนักท่องเที่ยวจากจุดดำน้ำธรรมชาติลง ให้จุดดำน้ำธรรมชาติได้มีโอกาสพักฟื้น ดึงดูดนักดำน้ำจากทั่วโลกให้เข้ามาดำน้ำในประเทศไทย และที่สำคัญคือเป็นกรณีศึกษาถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยา โดยศึกษาความชุกชุมของสัตว์น้ำที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแนวปะการังเทียมอีกด้วย
       
       “เราหวังว่าโครงการดีๆแบบนี้จะเกิดขึ้นอีก เครื่องบิน 10 เครื่อง ใช้พื้นที่ในการจมเท่ากับหนึ่งสนามฟุตบอล อาณาบริเวณนั้นผมเชื่อว่าไม่เกินหนึ่งปี ต้องมีแนวปะการังเกิดขึ้นแน่น่อน”วิทเยนทร์กล่าวทิ้งท้าย.
       
       
       


ดาโกต้า
       ประวัติดาโกต้า และ ฮ.4ก
       

       เครื่องบินปลดประจำการที่นำมาใช้ทำแนวปะการังได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศประกอบไปด้วยเครื่องแบบ ดาโกต้า (Douglas C-47 Dakota Skytrain) จำนวน 4 เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ ฮ. 4ก (Sikorsky S-58T) จำนวน 6 เครื่อง
       
       ดาโกต้า :เครื่องบินดาโกต้ามีประวัติเริ่มต้นจากการริเริ่มในปี พ.ศ. 2476ของ สายการบินทีดับเบิลยูเอ ได้มอบให้บริษัทแมคโดนอล ดักลาส ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนอร์ทดาโกต้า สหรัฐอเมริการออกแบบเครื่องบินโดยสารและต่อมาได้พัฒนาและปรับปรุงเครื่องบินดีซี – 2 โดยนำเครื่องหมายเลข X-14988 มาทำการทดลองบินเป็นเครื่องแรกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2478 และได้รับการขนานนามว่า ดีซี – 3 (DAKOTA)
       
       ดาโกต้า ได้รับความสำเร็จอย่างสูง มีผู้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และมียอดการผลิตมากที่สุดในโลกถึง 10,926 เครื่อง ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ดาโกต้าได้รับใช้กองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งด้านการทิ้งร่ม การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง การลากเครื่องร่อนและการขนส่งยุทธปัจจัยซึ่งดาโกต้าได้ตอบสนองภารกิจได้อย่างดียิ่งเนื่องจากเป็นเครื่องบินลำเลียงชนิดเดียวที่มีอยู่มากในขณะนั้น แม้แต่ท่านอดีตประธานาธิบดีไอซ์เซนเฮาว์ แห่งสหรัฐอเมริกายังเคยกล่าวไว้ว่า “ส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ เครื่องดาโกต้า”

ฮ.4ก
       กองทัพอากาศไทยได้รับ ซี-47 ดาโกต้าเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2490 ด้วยการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 2 ของกองทัพอากาศไทย และเรียกว่า บ.ล. 2 ประจำการครั้งแรก ณ กองบินที่ 6 ฝูง 61 จัดเป็นเครื่องบินลำเลียงอเนกประสงค์ที่มีจำนวนสร้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน เคยได้รับเกียรติเข้าร่วมกับสหประชาชาติปฏิบัติการในสงครามเกหลีและสงครามเวียดนาม ยังใช้ในปฏิบัติการตามโครงการพระราชดำริอย่างการทำฝนเทียมอีกด้วย ปัจจุบันปลดประจำการไปแล้วเมื่อปีพ.ศ.2534
       
       ฮ.4ก : ถือกำเนิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2520ทอ.ได้มอบให้บ.ไทยแอม จำกัด ทำการดัดแปลงฮ.4 (Sikorsky H-34)เป็นS-58Tหรือฮ.4ก จำนวน 18 เครื่อง และเพิ่มขึ้นในปีพ.ศ.2530อีก2เครื่อง โดยใช้เป็นเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงทางอากาศยุทธวิธีใช้ในการค้นหาและช่วยชีวิตเคยประจำการในฝูงบินกองบิน2





ความคิดเห็นที่ 1


โชคดีนะทุกท่าน นอนเล่นอยู่ใต้น้ำ เดี๋ยวก็มีคนมาเยี่ยมเรื่อย ๆ ^ ^

เมืองไทยได้มีแหล่งท่องเที่ยวใต้น้ำแบบมนุษยสร้างอีกแหล่งแล้วครับ


โดยคุณ analayo เมื่อวันที่ 28/04/2008 06:22:17


ความคิดเห็นที่ 2


   น่าไปครับ ผมว่าจุดดำน้ำแบบนี้บางทีน่าสนใจกว่าจุดดำน้ำตามธรรมชาติอีกครับ และ ยังเป็นการสร้างบ้านให้กับปลาในทางอ้อมอีกครับ ผมชอบโครงการนี้ครับ

โดยคุณ not95 เมื่อวันที่ 28/04/2008 09:29:26


ความคิดเห็นที่ 3


รับใช้ชาติมามากแล้ว ลงไปพักในน้ำเบ็นๆ สบายๆ เถอะนะครับ

เกิดมีเงินผมจะไปเยี่ยม (ช่วงนี้ถังแตก ฮุๆๆ)

โดยคุณ aek_SBG เมื่อวันที่ 29/04/2008 09:33:47


ความคิดเห็นที่ 4


เรื่องของคน..................ที่ควายอย่างเรายากจะเข้าใจ จริงๆ...............พับผ่า.........................

ขอเสียงคนที่รักบูชาหลงไหลเครื่องบิน ขนาดซีเรี่ยวนัมเบอร์ยังจำได้เป๊ะไม่มีเพี้ยนหน่อยสิครับ.......................ทีงี้ทำไมเงียบเป็นเป่าสาก........................???????????

โดยคุณ กบ เมื่อวันที่ 29/04/2008 21:07:23


ความคิดเห็นที่ 5


จริงๆแล้วผมเห็นด้วยกับพี่กบนะครับ

อย่างอื่นมีให้ทิ้งทะเลเยอะแยะไป แต่เครื่องบิน ถ้าสภาพยังพอดูได้ ก็บูรณะซักหน่อย แล้วไปตั้งแสดงในตจว. หรือ บางลำมีปูมสำคัญๆที่ไหน ก็ควรเอาไปเก็บที่ๆมันมีปูมอยู่

เสียดายน่ะครับ โดยเฉพาะฮ.4 บางลำเท่าที่เห็นสภาพยังดีๆอยู่เลย ถ้าเป็นตปท. เค้าด่ากันขรมแล้วครับ (อย่างอังกฤษ เครื่องบินในตำนานอย่างTSR.2 เอาไปเป็นเป้าซ้อมยิง คนเค้ายังด่ากันขรมเลย )

แหล่งดำน้ำทางธรรมชาติ กับที่มนุษย์สร้างขึ้น  มันต่างกันครับ

และ แหล่งดำน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น มันก็ขึ้นอยู่กับการจัดการ ถ้าเอาไปถมๆกองๆกันอยู่ใต้ทะเล มันไม่มีแรงดึงดูดใจครับ  อย่างรล.ลำนึงของทร.(ลืมชื่อ) ที่ทร.เอาลงไปจมนั้น อันนั้น ดูมีแรงดึงดูดมากกว่าครับ (และปัจจุบันก็เป็นที่นิยมของนักดำน้ำ)  เพราะ มันเป็นเรือครับ เรือที่จมอยู่ใต้น้ำ ดูดีกว่า บ.ที่(ตั้งใจ)จมน้ำ มากกว่าครับ

โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 29/04/2008 23:29:01


ความคิดเห็นที่ 6


เอ่ออออ ....... ผมก็รักเครื่องบินน่ะครับท่าน emo
โดยคุณ Skyman เมื่อวันที่ 29/04/2008 21:57:13


ความคิดเห็นที่ 7


ผมว่ามันไม่ต่างกันหรอกครับเรื่องตั้งแสดง เพราะมันคือการเปลี่ยนจากการตั้งแสดงบนบกไปตั้งแสดงในน้ำเท่านั้น ในต่างประเทศก็มีหลายแห่งที่ใช้เครื่องบินตั้งแสดงใต้น้ำให้ปะการังเกาะในลักษณะเดียวกับเรือที่ทร.จมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวครับ

แน่นอนว่าแหล่งดำน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นมันไม่ได้ความรู้สึกเหมือนของธรรมชาติ นั่นแหละครับที่เขาต้องการให้เป็นข้อได้เปรียบ เพราะจุดที่เอาเครื่องบินไปลงก็ไม่มีปะการังมาตั้งแต่ต้น หลาย ๆ พื้นที่ในอันดามันก็มีการสร้างรูปปั้นปูนให้ปะการังเกาะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเหมือนกัน

เราไม่ได้ขนเอาไปทิ้งแบบเศษขยะนะครับ ประวัติศาสตร์มันก็ยังติดตัวอยู่กับมัน ใช่ว่าอยู่ก้นทะเลแล้วจะไม่มีใครรู้เลยว่ามันคืออะไรครับ เราให้ความรู้นักท่องเที่ยวได้

ฮ. 4 กับ บ.ล.2 ที่ปลดแล้วยังมีอีกเยอะครับ ผ่านไปบน. 2 ปีที่แล้วยังเห็นอยู่เยอะเลย ที่ Tango บน.41 ก็มีอีกเยอะครับ และมันสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวได้มากกว่าการตั้งแสดงบนบกมากครับ

โดยคุณ analayo เมื่อวันที่ 29/04/2008 23:52:53


ความคิดเห็นที่ 8


^

^

มีหลายล็อกอินจังเนาะ --

จุดสำคัญของการแสดง ถ้าหากหวังผลด้านการท่องเที่ยว ตปท.มีการนำเครื่องบินไปทำแหล่งท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน แต่ เค้ามีพิพิธภัณฑ์ที่พร้อมให้ทุกคนเข้าไปดูอยู่แล้ว (อย่าเอาเทียบกับพิพิธภัณฑ์ทอ.เลยครับ ขนาดของรัฐทำเอง บางทีลายพรางหรือS/N ก็ยังทำตามใจตรู  )  ในขณะที่พี่ไทย เครื่องบินก็น้อยอยู่แล้ว ยังจะไม่มีที่ให้คนนอกเมืองเข้าถึงอีก

ถามว่า จะมีสักกี่คนในไทยครับ ที่สามารถไปดำน้ำดูซากเครื่องเหล่านั้นได้

ผมเห็นด้วยกับพี่กบนะครับ ที่บอกว่า การเข้าถึงของเด็กบ้านนอก มันน้อยกว่าเด็กในเมืองจริงๆ ซึ่งคนที่เรียนและเกิดในเมืองหลวงคงไม่เคยรู้

ผมมันเด็กบ้านนอกครับ ถามว่าจะเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาดูเครื่องบินเหรอ เสียใจครับ ไม่ได้ไปหรอก  

อย่าพูดถึงแม้แต่เรื่องดำน้ำไปหรอกครับ ว่ายน้ำยังไม่เป็นเลย

หรือจะเข้าไปดูที่พิพิธภัณฑ์ เจอป้ายเขตทหารห้ามเข้าก็ฝ่อแล้ว

จุดสำคัญที่ผมจะพูดคือ มันไม่มีอย่างอื่นจะทำเป็นปะการังหรือไงครับ

หรือถ้าจะเอาไปทำ ประชาสัมพันธ์ให้คนรักทหารมากขึ้น ก็เอาทำปะการังสัก3-4ลำก็พอ แบบสภาพที่จะบูรณะก็ยากแล้ว 

จริงๆแล้ว อยากให้ทอ. ทำพิพิธภัณฑ์เครื่องบิน ให้ครบทุกกองบินจริงๆครับ  แล้วบูรณะเครื่องเหล่านี้ไปจัดแสดง (ให้ตรงตามประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ทำตามใจตรู) อย่างนี้ เด็กบ้านนอก ก็มีสิทธิที่จะได้รู้ว่า เครื่องบินที่เคยคุ้มภัยเหนือหัวเค้าน่ะ มีอะไรบ้าง เผื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้มาเป็นนักบิน หรือวิศวกรต่อไป

ของอย่างนี้มองเป็นตัวเงินไม่ได้หรอกครับ ยิ่งเด็กสมัยนี้ขาดแรงบันดาลใจอย่างมาก ไม่มีอะไรทำ ไม่มีแรงบันดาลใจว่ากรูจะเรียนไปเพื่ออะไร ไม่มีที่ให้ความรู้ยามว่าง  เด็กแว้น นักเลง อันธพาลมันเลยเกลื่อนบ้านเมืองไงครับ อย่าตีความไปในด้านมูลค่าทางการเงินอย่างเดียวสิครับ  

โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 30/04/2008 00:23:14


ความคิดเห็นที่ 9


ครับ ก็อาจจะจริงที่เด็กเมืองกรุงอย่างผมมีโอกาสมากกว่าเด็กต่างจังหวัด จะว่าเอาเปรียบก็คงใช่ เพราะกรุงเทพก็ใช้ทรัพยากรจากต่างจังหวัดมากเหมือนกัน

แต่อย่างที่ผมบอกไปครับ ผมยังเห็น ฮ. 4 กับ บล. 2 ที่ลพบุรีอยู่อีก ที่ Tango ก็มี จะเอามาตั้งไม่ใช่เรื่องยากครับ

สิ่งสำคัญที่เขาอยากจะเอาเครื่องไปบินทำปะการังก็คือความแปลกใหม่ครับ บ้านเราไม่มีอย่างนี้ และเราก็มีวัตถุดิบทำได้ และเขาจับกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งแน่นอนครับเด็กต่างจังหวัดหรือแม้แต่เด็กเมืองกรุงเองก็ไม่ค่อยมีคนได้มีโอกาสดำลงไปดูหรอกครับ

แต่ที่ผมบอกว่ามันสร้างมูลค่าเพิ่มได้ซึ่งคือการมองเป็นตัวเงินนั้น ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะละทิ้งคุณค่าหรือแรงบันดาลใจอันจะเกิดจากเครื่องบินเก่าเหล่านั้นครับ แต่มันก็คือโอกาสในการสร้างรายได้ให้ประเทศ และในเมื่อเรายังมีเครื่องบินเก่าในรุ่นสองรุ่นนี้เหลืออยู่อีก จะเอาเครื่อง 10 ลำที่อยู่ในสต็อกมาทำ ความเห็นส่วนตัวผมว่าไม่ผิดครับ มันก็คือการสร้างโอกาสอีกอย่างเท่านั้นเอง ซึ่งในกรณีนี้คือโอกาสทางเศรษฐกิจ

สำหรับเรื่องแรงบันดาลใจ ผมเห็นด้วยครับกับโครงการ 1 กองบิน 1 พิพิธภัณฑ์ (ซึ่งผมเคยได้ยินแว่ว ๆ จากท่านท้าวว่ามีโครงการทำอยู่ ถ้าจำผิดขออภัยครับ) เท่าที่จำได้ตอนนี้ก็มีที่ลพบุรีกับสกลนคร นอกจากเรื่องเครื่องบินตั้งแสดงนั้น อาจจะทำเป็น Open House Day เสริมจากวันเด็กของแต่ละกองบินหมุนเวียนกันไปก็ได้ครับ อันนี้เสนอทอ.เพิ่มเติมจากคุณ icy

สิ่งสำคัญที่อยากจะย้ำก็คือ ผมไม่ได้บอกว่าเครื่องบินเก่าพวกนี้มันหมดคุณค่าแล้ว เอาไปทิ้งให้ปะการังเกาะเถอะ ผมไม่ได้บอกว่าเราสามารถละทิ้งคุณค่าในอากาศยานเหล่านั้น แม้ว่าเมื่อผมเห็นแบบนี้แล้วอาจจะกลายเป็นว่าผมไม่ได้รักอากาศยานเหล่านั้นก็ตาม แต่ผมอยากจะสื่อว่า ในเมื่อเรามีความพร้อม มันก็น่าจะดีกว่าถ้าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแหล่งท่องเที่ยวของเราครับ

โดยคุณ analayo เมื่อวันที่ 30/04/2008 01:01:37


ความคิดเห็นที่ 10


ถ้าเรื่องเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว

ถามว่า นักท่องเที่ยวอยากจะดูอะไรมากกว่า ระหว่างธีมพาร์คใต้น้ำ ที่มีเครื่องบินที่ถูกแยกชิ้นส่วนผุๆพังๆ แถมไม่มีการบอกว่าเครื่องบินเหล่านี้มีประวัติศาสตร์อย่างไร ได้แต่ประชาสัมพันธ์ว่าจุดนี้นะ มีเครื่องบินจมอยู่ อยากเห็นก็ไปดูซะ กับ จุดดำน้ำที่กองทัพเรือจมเรือไว้ พร้อมกับประวัติศาสตร์ของเธอ

จุดไหนน่าเที่ยวกว่ากันครับ 

และยิ่งเป็นการดำน้ำไปดูแล้ว อยู่บนบกยังมีโอกาสให้คนได้ไปดูมากกว่าครับ

ผมไม่อยากให้ซ้ำรอยโบกี้ใต้น้ำของรฟท.น่ะครับ ไม่อยากให้มันเป็นเพียงแค่เศษเหล็กผุๆพังใต้น้ำ รอวันสลายไป โดยไม่มีประวัติศาสตรเบื้องหลังเลย สำหรับเครื่องบินแล้ว แม้แต่S/Nยังมีคุณค่านะครับ

หรือถ้าอยากสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ นี่เลยครับ พิพิธภัณฑ์ทอ. ทำให้มันดีขึ้นสิครับ ตราบใดยังจัดแสดงเครื่องแบบอนุรักษ์นิยม(แบบทหาร) ถ้าไม่รักกันจริง ไม่ไปดูให้หอบแดดหรอกครับ  


โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 30/04/2008 01:36:30


ความคิดเห็นที่ 11


แหะๆ  เข้ามาดูแล้วบอกว่า  ว่ายน้ำไม่เป็นครับ
โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 30/04/2008 01:49:18


ความคิดเห็นที่ 12


อากง อาม่า ลุงเปี๊ยก ไอ้แกละ ยามว่างก็มาหลบร้อนที่พิพธภัณฑ์ ทอ. แจ๊ค ไรอัน ,ดิง ชาเวซ  มาเมืองไทย เที่ยววัดเบื่อแล้ว มาดูพิพิธภัณฑ์แบบอินเตอร์ๆกันดีกว่า 

ไอ้จุก เรียนอยู่ม.2จะทำรายงานเรื่องเครื่องบิน มาถามพี่ๆที่พิพิธภัณฑ์ พี่เค้าใจดีจริงๆ

 

 


โดยคุณ icy_CMU เมื่อวันที่ 30/04/2008 01:53:51


ความคิดเห็นที่ 13


มันคนละกลุ่มกันครับ นักท่องเที่ยวที่ไปดำน้ำส่วนใหญ่ก็มาเมืองไทยเพื่อดำน้ำโดยเฉพาะ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไปพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นอีกกลุ่มหนึ่งครับ ผมก็ไม่ไปดำน้ำดูเครื่องบินแต่ผมเลือกที่จะไปพิพิธภัณฑ์มากกว่าผมเพราะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ในอีกแง่นักดำน้ำส่วนมากก็ไม่มีใครมาพิพิธภัณฑ์อยู่แล้วครับ

ผมก็ขอย้ำอีกรอบว่าที่เห็นด้วยกับโครงการนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่ใจคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของมันนะครับ แต่ในเมื่อเรามีวัตถุดิบมากพอ การเปลี่ยนมันไปทำอย่างอื่นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร นอกจากนั้นมันยังสร้างเงินสร้างแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มอีกด้วย และเราก็ไม่ได้เอาอากาศยานทั้งหมดไปทำแหล่งท่องเที่ยวใต้น้ำครับ

 

โดยคุณ analayo เมื่อวันที่ 30/04/2008 02:17:35


ความคิดเห็นที่ 14


ก็ถือว่า เป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ และทำเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ของปลาด้วย

กลุ้มตรงที่ ดำน้ำไม่ค่อยเป็นนี่แหละ

 

โดยคุณ Exocet เมื่อวันที่ 30/04/2008 04:18:45


ความคิดเห็นที่ 15


ไม่ค่อยจะอยากโผล่แสดงความเห็นสักเท่าไหร่

แต่ผมส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับโครงการนี้

เรื่องการท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการังนี่ ส่วนมากก็เน้นชักชวนให้คนต่างชาติมาเที่ยวมากกว่าคนไทยมาเที่ยวเสียมากกว่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ ซึ่งรายได้หลักของประเทศคือท่องเที่ยว

เรื่องแรงบันดาลใจจะจัดแสดงให้เด็กต่างจังหวัดให้มีแรงบันดาลใจ อันนี้ขอแย้งไอเบะ เอ๊ยยยยยยยย ไอซี่ซังนะครับ คือผมว่าเรื่องของแรงบันดาลใจนี่ เรื่องการแสดงเครื่องบินให้เยาวชนเห็นเป็นแรงบันดาลใจในการจะเป็นนักบินหรือวิศวกรนี่ ผมว่ามันไม่ได้ช่วยได้มากหรอกครับ เพราะปัจจุบันสังคมไทยในแง่ของมวลชนตอนนี้ อยู่ที่กระแสสังคมเป็นหลักครับ แรงบันดาลใจหากไม่สุดยอดถึงขั้นโอตาคุอย่างพวกกระผมที่มีต่อเครื่องบินนี่ คงยากครับที่จะนำเครื่องบิน

การนำเครื่องบินทำปะการังเทียมนี่ ผมว่าก็ช่วยในเรื่องของการอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่พอสมควร (ผมสาวก Green Peace สาเหตุหลักเหรอครับ? คิดเอาเอง คิกๆ กำเดาพุ่งอีกแย้ว) เป็นทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและแหล่งท่องเที่ยวที่เราจะกอบโกยผลประโยชน์ได้อีกมหาศาลในอนาคต

และภายหลังหากเรานำเงินตรงส่วนนี้มาพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ นำมาพัฒนาที่นา สร้างเมกกะโปรเจคลงปุ๋ย ลงน้ำให้ที่นามีประสิทธิภาพสูงสุด (ฝันมานานแล้ว สี่ห้าปีละ)

ทางออกมันมีหลายทางครับ

การกระทำของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ บลาๆ ผมว่าเขามีคณะกรรมการหรือ คณะทำงานมาศึกษาถึงผลประโยชน์และผลเสียของโครงการดังกล่าว

ถ้าหากมีข้อสงสัยหรือโต้แย้ง และเป็นการกระทำเพื่อความรักในเครื่องบินจริงๆ ผมว่า รายการสนทนาของนายก ลองเขียนจดหมายไปถามดูก็ดีนะครับ ^^ (ชอบหรือไม่ชอบ ยังไงกลไกสถาบันก็สำคัญอยู่ดี)

โดยคุณ BloodRoyal เมื่อวันที่ 30/04/2008 20:44:46