สวัสดีวันสงกรานต์(เมื่อวานพิมพ์ผิด)ที่ 13 เมษายนนะครับ วันนี้ก็ขยัน(อีกแล้ว) นำเรื่องบี 17ในลุฟวาฟเฟ่มาให้ชมครับ
บี 17ในลุฟวาฟเฟ่
B17 in Luftwaffe
วูฟเฮานด์ระหว่างการบินทดสอบที่ศูนย์ทดสอบและวิจัยในรีทลิน
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องป้อมบินทิ้งระเบิดบี17ในกองทัพอากาศเยอรมัน(ลุฟวาฟเฟ่)นี้ ต้องขอขอบคุณท่านMIG31 แห่งเว็บไทยไฟเตอร์คลับ ที่ได้เข้ามาพูดคุยกับผมทางMSN แล้วก็เอาภาพบี17ที่มีเครื่องหมายของกองทัพเยอรมันติดส่งมาให้ดู ทีแรกผมก็งงและคิดว่ามันเป็นภาพตัดต่อหรือเปล่า? ทำไมตัดต่อได้เนียนขนาดนั้น ถ้าเป็นภาพจริงก็แสดงว่าเยอรมันเอาบี17ของมะกันที่สอยได้มาซ่อมน่ะสิ 555(หัวเราะ) ซึ่งผมก็หาข้อมูลไปเรื่อยๆจนถึงกับต้องตกใจ! เพราะไอ้ที่ผมพูดเล่นๆนั้นมันเป็นจริงอย่างว่าครับ เรามาดูกันครับว่าเยอรมันยึดบี-17ได้กี่ลำและนำไปใช้ที่ไหนอย่างไรบ้าง
นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่คุณอาจจะไม่เชื่อ เกี่ยวกับหน่วยบินลับสุดยอดของลุฟวาฟเฟ่คือหน่วย เคจี200(KG 200)และ เซอร์คุซ โรซาลุยซ์(Zirkus Rosarius) ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี เครื่องบินแบบหนึ่งที่ถูกหน่วยนี้ยึดไปใช้ก็คือเครื่องบินทิ้งระเบิดสี่เครื่องยนต์ ยี 17 ป้อมบิน(Flying Fortress=ฟลายอิ้ง ฟอร์เทรส)ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเยอรมันสามารถยึดบี-17มาได้ประมาณโหลหนึ่ง แต่ใช้จริงเพียง 7ลำ โดยห้าลำเป็นบี-17 รุ่นเอฟ(B-17F)ส่วนอีกสองลำที่เหลือเป็นบี-17รุ่นจี(B-17G) เรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นการกล่าวสั้นๆเกี่ยวกับบี-17แต่ละลำที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายเยอรมัน
B-17F-27-BO Wulf Hound
วูฟเฮานด์เป็นบี-17ลำแรกที่ถูกยึดโดยลุฟวาฟเฟ่
ป้อมบินบี-17ลำแรกที่ฝ่ายเยอรมันยึดได้ก็คือเครื่องบี-17เอฟ หมายเลข-27-BO ที่มีชื่อว่าWulf Hound(วูฟ เฮานด์ แปลเป็นไทยก็น่าจะได้ว่าสุนัขล่าหมาป่า) หรือที่มีรหัสว่า41-24585 จาก 360BS 303BG Hells Angels(เฮล แองเจิ้ล=เทพธิดานรก) ซึ่งถูกยิงเสียหายจากเครื่องบินขับไล่ของเยอรมัน หลังจากทำการทิ้งระเบิดและกำลังเดินทางกลับ(bombing run=บอมบ์บิ้ง รัน) ในวันที่ 12 ธันวาคม ปี1942 ตัวเครื่องบินเสียหายอย่างหนักจากการยิงของเครื่องบินเมสเชอร์สมิท บีเอฟ110(messerschmitt bf 110)จาก NJG 1 นักบินประจำเครื่องเรือเอก ฟิกคินเจอร์(Flickinger)ได้ประคองเครื่องจนสามารถลงจอดบนสนามบินลีอูวาเด็น(Leeuwarden ไม่รู้อ่านถูกไหมนะ?)ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยช่างของเยอรมันใช้เวลาเพียงสองวัน! ในการซ่อมเครื่องบิน(หลังจากติดเครื่องหมายของเยอรมันแล้ว) หลังจากนั้นเครื่องบี-17ก็ถูกนำบินไปยังเมืองรีทลิน(Rechlin)ในเยอรมนี โดยมีเครื่องบีเอฟ 110สองลำ(รุ่นเดียวกับที่สอยบี-17ลำนี้แหละ)บินคุ้มกันไปด้วย บี-17ลำนี้ ถูกนำไปใช้ฝึกให้นักบินเครื่องบินขับไล่ของเยอรมัน ฝึกซ้อมหาจุดแข็ง(strong points=สตรอง พอยน์)และจุดอ่อน(weak points=วีค พอยน์)ของป้อมบิน เพื่อเตรียมความพร้อมไปเจอกับบี-17ของอเมริกาของจริง การฝึกนั้นกระทำบนน่านฟ้าของเยอรมันและฝรั่งเศส
ทำไมตัวหนังสือมันหวานแหววงี้ละเนี่ย? ตะกี้ลืมรูปอะครับ
เมสเชอร์สมิท บีเอฟ110
จนนักบินเยอรมันมีความมั่นใจว่าจะสามารถสู้รบปรบมือกับป้อมบินได้แล้ว บี-17ลำนี้ก็ถูกนำไปแสดงโชว์ตัวให้ผู้คนได้เห็นที่สนามบินเลาซ์(Larz)ในวันที่ 12มิถุนายน ปี1943 (ทำไมวันที่12เหมือนวันที่ถูกยึดเลยนะ สงสัยจะตั้งใจ) ระหว่างนิทรรศการแสดงเครื่องบินที่ยึดมาจากฝ่ายพันธมิตรได้(คล้ายๆมอเตอร์โชว์ที่กรุงเทพเปล่านะ? 555) นอกจากเครื่องวูฟเฮานด์ลำนี้แล้วก็ยังมี เครื่องบินของพันธมิตรแบบอื่นที่ถูกยึดด้วยได้แก่
เครื่องร่อนแบบ DFS 230 ของเยอรมัน
B-17F-85-BO Flak Dancer
บี-17ลำที่สองซึ่งถูกยึดโดยเยอรมันก็คือ บี-17เอฟ หมายเลข-85-BO ชื่อFlak Dancer(แฟก แดนเซอร์=นักเต้นหลบปตอ.) รหัส42-30048 จาก 544BS 384BG บินโดยนักบินคือ เรือเอกดัลตัน วีท(Dalton Wheat) เครื่องบินได้ร่อนลงจอดที่สนามบินลาออน(Laon)ในฝรั่งเศส หลังจากการซ่อมแซมและทดสอบที่รีทลินตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ก็ได้ถูกส่งไปอยู่ในหน่วย KG 200 เมื่อฤดูใบไม้ผลิ ปี1944 ในรหัสว่า A3+CE
วูฟเฮานด์ถูกเปลี่ยนมือมาอยู่ในหน่วยที่ KG 200 ในเดือนกันยายน ปี1943
B-17F-90-BO Down and Go!
บี-17เอฟ หมายเลข-90-BO ชื่อDown and Go!(ดาวน์ แอนด์ โก=ตก แล้วก็ ไป! ไม่ใช่วันทูโกนะอย่าจำผิด) เป็นเครื่องบินที่อัปมงคลตั้งแต่ได้มา เพราะสาเหตุที่เยอรมันได้เครื่องวันทูโก เอ้ย! ดาวน์ แอนด์ โก ลำนี้มาก็เพราะเครื่องบินลำนี้เกิดปัญหากับเครื่องยนต์ด้านในสองเครื่องจนดับลง หลังจากเทคออฟขึ้นไปได้ไม่นาน นักบินคือเรืออากาศ เนด พาร์เมอร์(Ned Palmer)ต้องการนำเครื่องไปทิ้งระเบิดที่เยอรมัน แต่ก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายเครื่องยนต์หมายเลขสี่ก็เกิดร้อนจนโอเวอร์ฮีท ต้นหนของเครื่องจึงบอกให้นำเครื่องลงที่สวีเดน แต่ก็สุดซวยเมื่อเครื่องบินลำนี้กลับไปลงจอดบนพื้นที่ควบคุมกองทัพบกเยอรมัน(Wehrmacht exercise field=แวร์มัคท์ เอ็กเซอร์ไซ ฟิลด์)ที่ อาวีดอ ฮอมี(Avedore Holme)ในเดนมาร์กพอดี (ไหนว่าจะลงที่สวีเดนไงฟะ?) เครื่องบินถูกล้อมโดยทหารเยอรมันและก็ต้องยอมจำนนในที่สุด แต่นักบินก็ยังสามารถทำลายศูนย์เล็งปืนแบบนอร์เด็น(Norden gunsight)ซึ่งถือว่าเป็นความลับ เครื่องบินได้ถูกขนย้ายไปยังเมืองคาสทูพ(Kastrup) และถูกซ่อมแซมโดยช่างของโรงงานไฮน์เกล(Heinkel)บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินชื่อดังของเยอรมัน เจ้าเดียวกับโทนาฟ เอ้ย!เจ้าเดียวกับที่ผลิตเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบไฮน์เกล 111 หลังจากการซ่อมแซมและทดสอบที่รีทลิน เครื่องบินลำนี้ก็ถูกนำเข้าในหน่วย KG 200 ในฤดูใบไม้ผลิ ปี1944 ในรหัสA3+EE (ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นA3+BB)
วูฟเฮานด์ถูกนำมาฝึกในบินขับไล่เยอรมันในฝรั่งเศส
B-17F-100-BO Miss Nonalee II
ป้อมบินลำสุดท้ายที่ถูกยึดได้โดยเยอรมันในปี 1943 ก็คือ บี-17เอฟ หมายเลข-100-BO ชื่อMiss Nonalee II(มิส โนนาลี ทู=นางสาวโนนาลี หมายเลขสอง) รหัส42-30336 จาก548BS 385BG บินโดยเรืออากาศจีลีดอน จี เบล(Glyndon G. Bell รู้สึกจะอ่านไม่ถูกนะ) ซึ่งเครื่องบินได้รับความเสียหายในวันที่ 9 ตุลาคม ปี1943 หลังจากทิ้งระเบิดโรงงานผลิตเครื่องบินของบริษัทอราโด(Arado)ที่อันคาม(Anklam)ในปรัสเซียตะวันออก นักบินพยายามจะประคองเครื่องไปให้ถึงสวีเดน(เพราะในสวีเดนไม่มีทหารเยอรมันมั้งนะ) แต่ก็คลาดเคลื่อนอีกจนได้คือไปลงที่สวีเดนที่มีทหารเยอรมันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ก็ยังนับว่าโชคยังดีที่พลประจำเครื่องก็ถูกจับโดยตำรวจเดนมาร์ก ไม่ใช่โดยทหารเยอรมัน และต่อมาตำรวจก็ส่งพลประจำเครื่องอเมริกันไป ให้ฝ่ายต่อต้านของเดนมาร์กและพวกเขาก็ถูกส่งเข้าสวีเดน แต่ฝ่ายเยอรมันก็ได้ตัวเครื่องบินไปโดยได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมากับเครื่องบินขนส่ง อาราโด เออาร์ 232(Arado Ar 232)จากฟาเลนเบิร์ก(Flensburg) หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเครื่องบี-17ก็ถูกทำให้เบาชึ้นแล้วก็ถูกส่งไปยังรีทลิน จากนั้นเราก็ไม่ทราบอีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันในการทดสอบที่รีทลิน
มีคนมามุ่งดูวูฟเฮานด์เป็นจำนวนมาก(ภาพนี้ถ่ายจากที่ไหนก็ไม่รู้)
อาราโด เออาร์ 232
เรื่องยังไม่จบไว้ติดตามต่อในวันพรุ่งนี้ครับ
บรรณานุกรม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่๒นั้น สวีเดนประกาศตัวเป็นกลางเช่นเดียวกับสเปนครับ แต่ค่อนข้างจะเอียงไปทางด้านฝ่ายเยอรมนีอยู่ครับ (เช่น เรือรบของเยอรมันก็แวะมาจอดที่สวีเดนบ่อยๆครับ)
ขอบคุณครับท่าน AAG_th 1 ที่มาขยายความเรื่องสวีเดน ผมเลยเอ๊ะใจไปดูที่พิมพ์ๆ เลยทราบว่าพิมพ์ผิด (ที่ว่าไปลงสวีเดนแล้วมีแต่ทหารเยอรมัน ความจริงมันคือเดนมาร์กครับ)
วันนี้มาต่อกันจนจบเลยดีกว่าครับ
ป้อมบินลำแรกที่ถูกยึดได้ในปี1944ก็คือ บี-17จี หมายเลข-25-DL รหัส42-38017 จาก349BS 100BG Bloody Hundredth(บลัดดี้ ฮันดเร็ด=ร้อยโลหิต ประมาณนี้ละมั้ง?) บินโดยนักบินคือเรืออากาศ จอนห์ จี กอสเซส(John G. Grossage) เครื่องบินเกิดการเสียหายในวันที่ 3 มีนาคม ปี1944 หลังจากเสียเครื่องยนต์ไปหนึ่งเครื่อง และพลประจำเครื่องคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ โดยเขาเป็นช่างเครื่อง(plane technician) นักบินจึงพยายามจะนำเครื่องบินไปลงจอดที่สวีเดน(ทั้งปี) แต่ต้นหนของเครื่องได้นำทางผิด ทำให้เครื่องบินไปลงจอดที่สนามบินสเลสวิค-จาเกล( Schlezwig-Jagel)ทางตอนเหนือของเยอรมนีแทน ก็เลยถูกยึดแบบที่เยอรมันไม่ต้องทำอะไรเท่าไหร่ ก็อยู่ๆพี่แกก็มาลงจอดบนสนามบินซะเองนี่หว่า หลังจากการซ่อมแซมและทดสอบที่รีทลิน บลัดดี้ ฮันดเร็ดเครื่องนี้ก็ถูกนำเข้าประจำหน่วย KG 200 ในฤดูใบไม้ผลิ ปี1944 โดยอาจจะได้รหัสว่า A3+GE
นักบินเยอรมันประจำป้อมบิน บี-17จี ที่จมูกวาดรูปคนขี่ห่านติดด้วย
B-17F-115-BO Phyllis Marie
บี-17รุ่นเอฟเครื่องสุดท้ายที่ถูกยึดได้โดยเยอรมันก็คือ บี-17เอฟ หมายเลข -115-BO Phyllis Marie(ฟีสลีส มาเรีย) รหัส42-30713 จาก 568BS 390BG ในวันที่ 8 มีนาคม ปี1944 เครื่องบินก็ถูกยึดหลังจากร่อนลงจอดที่สนามบินเวียร์ลูส(Vaerlose)ในเดนมาร์ก แต่พอถึงวันที่ 4 พฤษภาคม ปี1945 เมื่อสงครามสิ้นสุดลงอเมริกาก็ได้มายึดเธอกลับคืนไป เธอจอดอยู่ที่รันเวย์ที่ อัลเทนเบิร์ก(Altenburg)โดนสามารถสังเกตเห็นเครื่องหมายไม้กางเขน(crosses=คร็อสเซ๊น) และตราสวัสดิกะ(swastikas)ได้อย่างชัดเจน โดยเธออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และไม่มีความเสียหายใดๆ
ฟีสลีส มาเรีย เมื่อประจำในหน่วย KG 200 ของเยอรมัน
เป็นบี-17 ลำสุดท้ายที่ฝ่ายเยอรมันยึดได้ ถูกยึดได้ในวันที่ 9 เมษายน ปี1944 โดยเยอรมันกล่าวว่ามันมีหมายเลข -10-VE มาจาก 731BS 452BG มันอาจถูกใช้ในการขนส่งสายลับเข้าไปในพื้นที่ของฝ่ายพันธมิตรก็เป็นได้ (เนื่องจากบินในเวลากลางคืนจึงเป็นการยากที่ฝ่ายพันธมิตรจะแยกแยะออกว่าเป็นเครื่องศัตรูหรือไม่ ยิ่งเป็นบี-17แล้วแค่เห็นก็อาจจะนึกว่าเป็นพวกเดียวกัน)
แต่สุดท้ายมันก็เข้าตำราที่ว่าหมองูตายเพราะงู เพราะมันถูกสอยโดยปตอ.ของเยอรมันเองในวันที่ 6 เมษายน ปี1944 (ก็มันเหมือนๆกับบี-17ของมะกันนี่หว่าใครจะไปรู้ฟะ)ส่งผลให้นักบินเสียชีวิตกันยกลำ
บี-17จี หลังจากเยอรมันยึดก็ถูกทาสีพรางเทาดำ(dark gray)เพื่อใช้ปฏิบัติการในเวลากลางคืน
บี 17ในหน่วยบิน คัฟเกชวาเดอร์ 200
B-17 in Kampfgeschwader 200
บี-17ทั้งหมดที่ถูกยึด(ยกเว้นMiss Nonalee II ลำเดียว)ถูกส่งไปประจำในหน่วยบิน KG 200 ซึ่งเป็นหน่วยบินพิเศษของลุฟวาฟเฟ่(special Luftwaffe unit) แต่ก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อยและไม่พอกับความต้องการของเยอรมัน บี-17ถูกนำมาติดเครื่องหมายกางเขนของเยอรมันและตราสวัสดิกะ และถูกกำหนดรหัสที่เริ่มด้วย A3- ตามหลังด้วยKG 200 และถูกทาด้วยลาพรางกลางคืนแบบพิเศษ(special night camouflage=สเปเชี่ยล ไนท์ คาโมอุฟลาฉ) โดยเยอรมันได้เพิ่มอุปกรณ์การบินต่างๆของตนเองเช้าไปในบี-17 เช่น เครื่องวัดความกดอากาศ(barometrical=บาโรเมทิคคอล),เครื่องวัดระยะสูง(altimeter=อัลทิเมเตอร์),เครื่องวัดความเร็ว=Airspeed Indicator หรือASI(แอร์สปีด อินดิเคเตอร์)และ เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ(radioaltimeter=เรดิโออัลติเมเตอร์) รุ่น FuG 101 บี-17ใน KG 200 จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญ(Staffel) 2คน โดยในการรบจะพาไปด้วย 1คน เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญเหล่านี้จะทำการสอนพลประจำเครื่องให้คุ้นกับบี-17 โดยมีฐานบินอยู่ที่สนามบินฟินสเตอร์วาดี(Finsterwalde) นักบินเยอรมันที่ได้บินกับเครื่องบี-17ต่างกล่าวว่ารู้สึกมีความสุขที่ได้บินไปกับมัน เพราะมันเป็นเครื่องบินที่แข็งแกร่งและมีอาวุธรอบตัวอย่างน่าเกรงขาม(formidable plane=ฟอร์มิดาเบล เพลน) พวกเขานำมันบินไปหลายที่ไม่ว่าจะเป็นที่ สหภาพโซเวียต,โปแลนด์,กรีซ,อิตาลี,ฝรั่งเศส,เบลเยี่ยม,เนเธอร์แลนด์,ไอร์แลนด์,ปาเลนสไตน์ และในแอฟริกา โดยเครื่องบินลำนี้ถือว่าเป็นความลับสุดยอด ผู้ที่ทราบภารกิจจะมีเพียงแต่นักบินและต้นหนเท่านั้น
บี-17ลำหนึ่งใน KG 200กับลายพรางกลางคืนแบบพิเศษ
ภารกิจของบี-17ในหน่วย kG 200 นั้นมีความอันตรายเป็นอย่างมาก เครื่องบินลำแรกที่เสียหายและสูญเสียเกิดขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม และ 27 มิถุนายน ปี1944ในระหว่างภารกิจโจมตี ลำต่อมาที่เสียหายอย่างหนัก ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี1944 ก็คือเครื่องDown and Go! โดยมันได้ถูกทำลายลงที่เขตพรมแดนระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส (Spanish-French border ) นักบินคือคแนปเพนชไฮเดอร์(Knappenscheider) และ วอน เพกมาน(von Pechmann) ซึ่งมีผู้ร่วมมือชาวฝรั่งเศส 10คน(French collaborators=เฟร็น ค็อลแล็บโบเรเตอร์) รวมอยู่ด้วย วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี1945 ด้วยการมองจากเครื่องบินที่ระยะสูง 100เมตรจากเครื่องบิน ก็พบร่องรอยของเครื่องบินตกและซากเครื่องบิน หลังจากพบซากไม่นานก็ทำให้ทราบว่าทุกคนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด เครื่องบินลำสุดท้ายที่สูญเสียไประหว่างสงคราม เกิดขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม ปี1945 เครื่องบินได้บินจากสนามบินชตุทท์การ์ท(Stuttgart) ไปยังอูสเตอร์ดินเจนท์(Euchterdingen) โดยมีพลประจำเครื่อง 8คน,สายลับ(agents=เอเจนท์) 9คน,คอนเทนเนอร์ 3ตู้ และอุปกรณ์อื่นๆ ระหว่างที่เครื่องบินกำลังบินกลับก็ได้ถูกยิงตกโดยเครื่องบินขับไล่กลางคืนมอสคิโต้ของอังกฤษ ทำให้ทุกคนต้องกระโดดร่มสละเครื่อง
ในช่วงเดือนกันยายน ปี1944 บี-17ของKG 200ได้ออกบินจากสนามบินฟินนาว(Finnow) ในช่วงต้นเดือนบี-17ได้ปฏิบัติการโจมตีเหนือสหภาพโซเวียตและโปแลนด์ หนึ่งในภารกิจที่อันตรายมาก ก็คือในวันที่ 20 ธันวาคม ปี1944 โดยบี-17บินขึ้นจากสนามบินคราโคร(Cracow)ในโปแลนด์ เพื่อส่งสายลับ 6คนกระโดดร่มลงเขตเมืองโอเดสซ่า(Odessa)ในโซเวียต แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันก่อนที่การกระโดดจะเริ่มขึ้น เมื่อสายลับคนหนึ่ง ซึ่งที่แท้จริงแล้วเป็นสายลับของโซเวียตที่แฝงตัวมา ได้ขว้างระเบิดมือเข้าใส่พลปืน แต่พลปืนก็ได้รีบจับระเบิดขว้างโยนออกไปนอกเครื่องบินก่อนที่มันจะทำงาน หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันจับสายลับโซเวียตโยนลงไปจากเครื่องบินในขณะที่เค้ายังสลบอยู่
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เครื่องบินก็ถูกบินขึ้นจากสนามบินฮิลเดสเฮม(Hildesheim),แวกเกอร์สเลเบน(Wackersleben) และ เฟราซเทนเฟลบัค(Furstenfelsbruck) เพื่อปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ในวันที่ 2 พฤษภาคม ปี1945 เครื่องบินทั้งหมดอาจถูกทำลาย หรือไม่ก็นักบินถูกจับเป็นเชลยโดยฝ่ายโซเวียต
บี-17อีกลำหนึ่งของ KG 200 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆติดอยู่
อวสานแล้วคร้าบ มีความเห็นว่าอย่างไรก็เข้ามาคุยกันบ้างนะครับ
ปล.เว็บฯของผมคงจะกลับมาดีได้ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าครับ ระหว่างนี้ถ้ายังมีไฟพอผมก็จะนำเรื่องต่างๆมาเสนอให้สมาชิกทุกท่านได้รับชมกันครับ