เรือประจัญบาน มุซาชิ ได้เข้าร่วมในยุทธการ อะ ในการยุทธ์นอกหมู่เกาะมาเรียนา ที่ฝ่ายสหรัฐ ฯ เรียกว่า การยุทธ์ที่ทะเลฟิลิปปินส์ เมื่อ 19 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2487 และในยุทธการ โช้ ในการยุทธ์ ที่อ่าวเลย์ตี้ แต่ถูกโจมตีทางอากาศจมใน ทะเล ซิบูยัน เมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ.2487
เรดาร์และเครื่องฟังเสียงใต้น้ำของเรือประจัญบานมุซาชิ ใช้การได้ดีหรือไม่
จากการที่ได้รับการฝึกอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เรดาร์ ของเรือประจัญบานมุซาชิ สามารถตรวจจับเครื่องบินที่เข้ามาโจมตีได้ตั้งแต่ระยะห่าง 240 กิโลเมตร และเครื่องฟังเสียงใต้น้ำสามารถตรวจจับลูกตอร์ปิโดที่วิ่งเข้าหาเรือได้ ตั้งแต่ระยะ ห่าง5,000 เมตร
เรือประจัญบานมุซาชิ ถูกฝูงบินสหรัฐ ฯ โจมตีที่ไหน และเป็นจำนวน เครื่องบิน เท่าใด
เมื่อกำลังรบส่วนกลาง อันประกอบด้วยเรือประจัญบาน ยามาโต้ มุซาชิ นางาโต้ กงโง และ ฮะรุนะ เรือลาดตระเวนหนัก โจไก เมียวโกะ ฮะงุโระ คุมาโนะ ซึทสึยา จิคุมะ และโทเนะ เรือลาดตระเวนเบา โนชิโระ และ ยะฮะงิ พร้อมด้วยเรือพิฆาตอีก 15 ลำ เดินทางผ่านทะเล ซิบูยัน เพื่อออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ทางช่องแคบซานเบอร์นาร์ดิโน มุ่งไปยังอ่าวเลย์เต นั้น เมื่อเวลา 1026 ของ วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2487 ก็ถูกกำลังทางอากาศจากกำลังรบเฉพาะ กิจที่ 38 เข้าโจมตี โดยระลอกแรก เป็นเครื่องบินขับไล่ F6F 21 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระ เบิด SB2C 12 เครื่อง และเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด TBM 12 เครื่อง จากเรือบรรทุกเครื่องบิน อินเทรปิด (CV-11) และเรือบรรทุกเครื่องบินเบา คาบอต (CVL-27) ระลอกที่สองด้วยจำนวน เกือบเท่ากัน เมื่อ 1045 ระลอกที่สาม เป็นเครื่องบินขับไล่ 16 เครื่อง เครื่องบินดำ ทิ้งระเบิด 12 เครื่อง และเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด 3 เครื่อง เข้าโจมตีเมื่อ 1550 นอกจากนี้เมื่อเวลา 1330 มีเครื่องบินขับไล่ 8 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด 5 เครื่อง และเครื่องบิน ทิ้งตอร์ปิโด 11 เครื่อง จากเรือบรรทุกเครื่องบิน เล็กซิงตัน (ลำที่ 2) (CV-16) และบางส่วนจากเรือเอ็ส เซ็ก (CV-9) เข้าร่วมโจมตี และเมื่อ 1415 มีกำลังทางอากาศของหมวดเฉพาะกิจที่ 38.4 เรือบรรทุกเครื่องบิน แฟรงกลิน (CV-13) เอ็นเทอร์ไพรส์ (CV-6) เรือบรรทุกเครื่องบินเบา ซานฮาซินโต้ (CVL-30) เบลลิว วู๊ด (CVL-24)] ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ 26 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด 21 เครื่อง และเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด 18 เครื่อง ก็เข้าร่วมโจมตีด้วย รวมแล้วในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2487 สหรัฐ ฯ ได้ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีกำลังรบส่วนกลาง ของญี่ปุ่น ในทะเล ซิบูยัน เป็นจำนวน 259 เที่ยวบิน
วาระสุดท้ายของเรือประจัญบาน มุซาชิ เป็นอย่างไร
เรือประจัญบาน มุซาชิ ซึ่งได้รับการทาสีใหม่จนเด่นเพื่อดึงความสนใจของเครื่องบิน ข้าศึกก็ได้ถูกโจมตีตั้งแต่ระลอกแรกเรือถูกตอร์ปิโดที่ท้ายเรือกราบซ้าย 1 ลูก แรงสั่นสะเทือน ทำให้ศูนย์รวบของปืนใหญ่ ขนาด 460 มิลลิเมตร ชำรุดยังผลให้อำนาจการยิงลดลงเพราะต้องให้แต่ละป้อมยิงอิสระ การโจมตีระลอกที่ 2 และ 3 ก็ติดตามมาโดยเฉพาะในระลอกที่ 3 นี้ จะ เน้นที่เรือมุซาชิ นอกจากจะโจมตีด้วยลูกระเบิดและตอร์ปิโดแล้ว เครื่องบินขับไล่ข้าศึกยังได้ทำการยิงกราดลงมาด้วยปืนกล ขนาด 12.7 มิลลิเมตร ที่มีลำละ 6 กระบอก ทำให้ทหารประจำปืนกลต่อสู้อากาศยาน ซึ่งไม่มีโล่ปืนกำบังได้รับ บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เรือมุซาชิความเร็วลดลงจาก 27 นอต เหลือเพียง 16 นอต จึงตามกระบวนเรือไม่ทัน ถูกทิ้งห่างออกไป ต่อมาความเร็วของเรือก็ลดลงอีก จนทำความเร็วได้ไม่เกิน 12 นอต แม้ฝ่ายพรรคกลิน จะได้ พยายามซ่อมแซมแล้วก็ตาม แต่เรือก็ถูกตอร์ปิโดหลายลูก เครื่องไฟฟ้าหมายเลข 3 และ 5 ขัดข้อง เรือเริ่มเอียงจนถึง 25 องศา การโจมตีระลอกที่ 5 ทำให้สะพานเดินเรือเสียหาย ต้อง ใช้สะพานเดินเรือสำรองนำเรือต่อไป
ความเร็วของเรือมุซาชิ เหลือเพียง 6 นอต น้ำเข้าเรือมากจนดาดฟ้าหัวเรือจมอยู่ใต้น้ำ ในการโจมตีระลอกที่ 5 นี้ เรือถูกลูกระเบิด 2 ลูก และตกใกล้เรืออีก 3 ลูก ลูกที่ตกถูกเรือได้ ทะลุดาดฟ้าลงไปทำลายหม้อน้ำ หมายเลข 1 และพัดลมของหม้อน้ำ หมายเลข 2 และ 5 ด้วย ต่อมาหม้อน้ำหมายเลข 2 4 และ 6 ก็เสียหายตามไปด้วย ทำให้ไอน้ำส่งไปยังเครื่องจักรใหญ่ไม่ได้ เรือมีความเร็วเหลือเพียง 2 นอต แต่ยังไม่ยอมจมง่าย ๆ เรือถูกตอร์ปิโดรวม 21 ลูก และลูกระเบิด ขนาด 450 กิโลกรัม อีก 17 ลูก นอกจากนั้นยังมีลูกระเบิดที่ตกระเบิดใกล้เรืออีกกว่า 20 ลูก แต่เรือที่ได้รับการออกแบบให้ทุกส่วนมีการป้องกันอย่างดี จึงเสียหายไม่มากนัก ปัญหาสำคัญก็คือ การปรับสมดุล แก้อาการเอียงของเรือ เมื่อเรือถูกตอร์ปิโดทางกราบซ้าย ก็ต้องปล่อยน้ำทะเลเข้าถังอับเฉาทางกราบขวา เพื่อแก้อาการเอียง แต่ เมื่อถูกหลายลูก เข้าก็ต้องปล่อยน้ำทะเลเข้า มาแก้เอียงมากขึ้น จนหัวเรือมุดต่ำลง จน ดาดฟ้าจากหัวเรือจนถึงป้อ ปืนหมายเลข 1 มีน้ำท่วมเต็มเหมือนทะเลสาบ แม้การโจมตีจะผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง แล้วก็ไม่สามารถแก้ไข อาการจมน้ำของหัวเรือได้ เรือต้องลอยลำ อยู่รอเวลาจมเท่านั้น ในที่สุด พลเรือตรี อิงุจิ โตชิฮิระ ผู้บังคับการเรือประจัญบาน มุซาชิ ก็จำต้องสั่งสละ เรือใหญ่ โดยตัวท่านได้ยอมจมไปกับเรือ ต่อมาไม่นานส่วนท้ายเรือ มุซาชิ ก็ยกสูงขึ้น เพราะหัวเรือได้จมลงไปใต้น้ำแล้ว เรือเอียงซ้ายแล้วจมลงสู่ใต้ทะเล และจมมิดน้ำเมื่อเวลา 1930 ของวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2487 ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี
ตอนที่เรือประจัญบานมุซาชิจม มีเรือลำอื่นเฝ้าอยู่จนวาระสุดท้ายหรือไม่
เมื่อเรือประจัญบานมุซาชิ ถูกโจมตีได้รับความเสียหาย ความเร็วลดลงจนไม่สามารถตามกระบวนได้ทัน พลเรือเอก คุริตะ ผู้บัญชาการทัพเรือ ก็ได้สั่งการให้เรือ ลาดตระเวนหนัก โทเนะ เรือพิฆาตฮามะคาเซะ และ คิโยชิโมะ อยู่ให้ความคุ้มกัน ต่อมาเรือพิฆาต ชิมะคาเซะ ก็เข้ามารับหน้าที่แทนเรือ ฮามะคาเซะ ซึ่งได้รับความเสียหายจากการโจมตีระลอกที่ 5 จาก นั้น เมื่อเห็นว่าเรือมุซาชิต้องลอยลำรอเวลาจมเท่านั้น เรือลาดตระเวนหนักโทเนะ ได้ขออนุมัติแยกตัวใช้ความเร็วตามกระบวนเรือใหญ่ไปปฏิบัติภารกิจหลัก จึงเหลือเรือพิฆาต 2 ลำ ที่อยู่ จนวาระสุดท้ายของเรือ มุซาชิ เพื่อช่วยเหลือพลประจำเรือที่สละเรือใหญ่ คือ เรือพิฆาต ชิมะ คาเซะ และเรือพิฆาต คิโยชิโมะ
เรือประจัญบานมุซาชิ มีกำลังพล เท่าใด และหลังจากที่เรือจมไปแล้ว มีผู้รอด ชีวิตเท่าใด
เรือประจัญบาน มุซาชิ มีกำลังพล นายทหารสัญญาบัตร 112 นาย นายทหารประทวน และพลทหาร 2,287 นาย รวม 2,399 นาย จำนวนผู้รอดชีวิตหลังจากเรือจมไปแล้ว มีนาย ทหารสัญญาบัตร 73 นาย นายทหารประทวนและพลทหาร 1,303 นาย โดยได้รับการช่วย เหลือจากเรือพิฆาต ชิมะคาเซะ และ คิโยชิโมะ นำไปส่งที่เกาะคอร์เรจิดอร์ ปากอ่าวมะนิลา ของฟิลิปปินส์
กำลังพลที่สูญหายไปเพราะเหตุใด
กำลังพลของเรือประจัญบาน มุซาชิ ที่สูญหายไป เป็นนายทหารสัญญาบัตร 39 นาย นายทหารประทวนและพลทหาร 984 นาย นั้น คาดว่าคงจะเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจาก การโจมตีทางอากาศจมไปกับเรือ หรืออาจจะจมน้ำเสียชีวิตหลังจากที่สละเรือใหญ่แล้ว
หลังจากที่ขึ้นระวางประจำการแล้ว เรือประจัญบานทั้งสอง (ยามาโต้กับมูซาชิ) ลำได้รับการ ปรับปรุง อะไรบ้าง
มีการปรับปรุงระบบอาวุธต่อสู้อากาศยาน โดยเมื่อฤดูใบไม้ร่วง พ.ศ.2486 ได้ลดปืน ขนาด 155 มิลลิเมตร จากป้อมละ 3 กระบอก จำนวน 4 ป้อม เหลือเพียง 2 ป้อม ที่หัวเรือ และท้ายเรือเพิ่มปืนต่อสู้อากาศขนาด 127 มิลลิเมตร ป้อมละ 2 กระบอก จาก 6 ป้อม เป็น 12 ป้อม เพิ่มปืนกลต่อสู้อากาศยาน ขนาด 25 มิลลิเมตร จากที่มีเพียงแท่น 3 กระบอก 8 แท่น หรือ 24 กระบอก เป็นแท่น 3 กระบอก และแท่นเดี่ยว เมื่อรวมกับปืนกล 13 มิลลิเมตรแท่นคู่ที่มีอยู่เดิม 2 แท่น แล้ว จะมีปืนกลต่อสู้อากาศยานถึง 184 กระบอก ส่วนด้านอื่น ๆ มี การติดตั้งระบบแสงอินฟราเรด เพื่อใช้บอกฝ่ายในเวลากลางคืน มีการติดตั้งเรดาร์เพื่อตรวจจับการเข้ามาของเครื่องบินข้าศึก ติดตั้งเครื่องฟังเสียงใต้น้ำเพื่อตรวจจับการเคลื่อนที่เข้ามา ของตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำข้าศึก ปรับปรุงเครื่องถือท้ายอะไหล่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการลดสิ่งของเครื่องใช้ประจำเรือ ที่อาจเป็นเชื้อเพลิง เมื่อเกิดเพลิงไหม้ให้น้อยลง เพิ่มเครื่องสูบ น้ำในระบบน้ำดับไฟ ปรับปรุงถังน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีความจุเพิ่มขึ้น เตรียมติดตั้งปืนใหญ่ต่อ สู้อากาศยานขนาด 100/65 มิลลิเมตร ไอ้ก้านยาว เพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีของ เครื่องบินข้าศึก
Career | |
---|---|
สั่งต่อเรือ: | มิถุนายน ค.ศ. 1937 |
วางกระดูกงูเรือ: | 29 มีนาคม ค.ศ. 1938 |
ปล่อยเรือสู่ทะเล: | 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 |
ขึ้นระวางประจำการ: | 5 สิงหาคม ค.ศ. 1942 |
อับปาง/ปลดระวางประจำการ: | อับปาง 24 ตุลาคม ค.ศ. 1944 ในทะเลซิบูยัน |
โจมตี: | 31 สิงหาคม ค.ศ. 1945 |
ข้อมูลจำเพาะ | |
ระวางขับน้ำ: | 68,200 ตัน |
ความยาว: | ยาวโดยรวม 263 เมตร ยาวตามระดับน้ำ 256 เมตร |
ความกว้าง: | 38.9 m (127.8 ft) |
กินน้ำลึก: | 11 เมตร เมื่อบรรทุกเต็มที่ |
เครื่องจักร: | 12 Kanpon boilers, driving 4 steam turbines 150,000 shp (110 MW) four 3-bladed 6.0 m propellers |
ความเร็ว: | 27.46 นอต (50.86 กม./ชั่วโมง) |
รัศมีทำการ: | 7,200 ไมล์ทะเล ที่ความเร็ว 16 นอต (13,000 กม. ที่ความเร็ว 30 กม./ชั่วโมง) |
กำลังพลประจำการ: | 2,399 นาย |
เกราะป้องกัน: | 650 mm on front of turrets 410 mm (16.1 in) side armor 200 mm (8 in) deck armor |
อาวุธในเดือนสิงหาคม 1942 (เมื่อสร้างเสร็จ): |
9 × 460 mm (18.1 in) (3×3) 12 × 155 mm (6.1 in) (4×3) 12 × 127 mm (5 in) (6×2) 24 × 25 mm AA (8×3) 4 × 13 mm (2×2) |
อาวุธในเดือนตุลาคม 1944 (เมื่ออับปาง): |
9 × 460 mm (18.1 in) (3×3) 6 × 155 mm (6.1 in) (2×3) 12 × 127 mm (5 in) (6×2) 130 × 25 mm AA (32×3, 34×1) 4 × 13 mm (2×2) |
อากาศยานประจำการ: | 7 ลำ พร้อมแท่นปล่อยอากาศยาน 2 แท่น |
By Therminator