จีน ในสมัย 1421 คือเป็นผู้ค้นพบโลกใหม่ และศักยภาพของจีนยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น แม้แต่ความรู้ทางดาราศาสตร์ ที่ชาวจีนคำนวณ ดาวเหนือและดาวที่อยู่รอบขั้วโลกก็สุดยอดเช่นกัน
บวกการประดิษฐ์เข็มทิศ นาฬิกาทรายทำให้สามารถเดินเรือด้วยความแม่นยำ ซ้ำเป็นผู้เขียนแผนที่โลก
ความยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือจีนตอนนั้น คือ มีกองเรือมหาสมบัติ 250 ลำ ยังมีเรือลาดตระเวณ 1350 ลำ เรือรบ 1350 ลำ โดยมีฐานทัพบนเกาะต่างๆอีกทั้งฐานทัพในโพ้นทะเล มีเรือรบ
ขนาดใหญ่ถึง 400 ลำ และเรือสินค้า 400 ลำ โดยพระเจ้าจูตี้ ต้องการที่จะครองโลกด้วยการ ค้าขาย โดยประเทศเหล่านั้นต้องถวายบรรณาการแก่จีน โดยจีนจะให้การคุ้มครองภัยต่างจากศัตรูและ
สิทธิพิเศษทางการค้า อาจเป็นดอกเบี้ยน้อยหรืแม้แต่ส่วนลด เป็นสงครามการค้าแบบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและการล่าอาณานิคมแบบใหม่
ผู้ได้รับหน้าที่นี้คือ เจิ้งเหอ โดยเขาแบ่ง กองเรือโดยมีกองเรือของ หงเป่า โจวหม่าน โจวเหวิน หยางชิง
- แม่ทัพเรือหงเป่า ได้รับมอบหมาย เขียนแผนที่โลกทางตะวันออก จุดอ้างหมู่เกาฟอล์กแลนด์ โดยหงเป่าค้นพบทวีปแอนตาร์กติก อีกด้วย
- แม่ทัพเรือโจวหม่าน ได้รับมอบหมาย สำรวจโลกทางตะวันตกของอเมริกาใต้
- แม่ทัพเรือโจวเหวิน ได้รับมอบหมาย เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ โดยเดินทางข้ามแอตแลนติกเหนือ สำรวจขั้วโลกเหนือ
- แม่ทัพเรือ หยางชิง แม้เดินทางไม่ไกลกว่าคนอื่นๆ แต่ความสำเร็จของเขาคือ คนของเขาวัดเส้นแวงได้สำเร็จก่อนการคิดค้นนาฬิกาโครโนมิเตอร์ ถึง 3 ศตวรรษ
ทั้งหมดทำให้โลกตะวันตก ต้องงงงัน ต้นกำเนิดของแผนที่โลก ป้ายจารึกสลักหินที่สร้างขึ้น ตลอดการเดินทาง ของกองเรือจีน ทำให้ค้นพบทวีปอเมริกา ออสเตรเลีย แอนตาร์กติกา
และอาร์กติก แม้ชาวยุโรปอ้างเอาเกียรติยศไป แทนที่จะเป็นของแม่ทัพเรือจีนและกองเรือจีนที่ยิ่งใหญ่ โดยขโมยเน้น ขโมย ความรู้ของชาวจีนที่ได้มาอย่างยากเข็ญ
หมายเหตุ ข้อความด้านบนอ้างอิงจาก หนังสือ 1421 ปีที่จีนค้นพบโลก
หนังสือนี้เขียนโดย กาวิน เมนซีส์ เป็นนายทหารเรือดำน้ำ โดยคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.1421.tv คะ
สวัสดีครับคุณแยม นานมากเลยนะครับที่ไม่เห็นคุณแยมโพสในบอร์ด TFC นี้ !!!
กล้าพูดเลยครับว่าคิดถึง รวมถึงคนเก่า ๆ อีกหลายท่านด้วยที่ไม่รู้ว่าหนีหายไปไหนกันหมด !
ดีใจที่ได้เจอะเจอกันอีกครั้งครับ...
สวัสดี ค่ะ คุณเสือใหญ่ คิดเหมือนกันเลย สบายดีใช่ไหม คะคงอาจเป็นหน้าที่การงานที่เพิ่มขึ้น เลยมีเวลาที่จะเข้ามาในนี้ น้อยลง คะ แต่ก็ดีใจมากที่วันนี้ คุณ เสือใหญ่ เข้ามาทักทาย
สวัสดีครับ คุณ แยม ไม่ได้เห็นซะนานเลย ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งครับ
สวัสดีครับ สาวน้อย
ไทย PBS เคยเอามาฉายแล้วครับ ผมเคยดู 2 ครั้ง
กองเรือของจีนสามารถบุกไปยึดประเทศอื่นได้เลยครับ
แต่เมื่อองค์พระมหากษัตริย์สิ้นพระชน หรือจะเรียกว่า ห้องเต้ (พิมพ์ถูกหรือเปล่าไม่แน่ใจ) พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชแทน แต่กลับไม่รักษากองเรือไว้ กับให้ยุบกองเรือ และสั่งห้ามสร้างเรือที่มีขนาดใหญ่
พอมาถึงช่วงยุโรบล่าอนานิคม จีนจึงไม่มีกองเรือไว้ต่อสู้ ถ้ายังคงรักษากองเรือนั้นไว้ ผมว่าไม่มีประเทศไหนบุกจีนได้แน่
สวัสดี ค่ะ คุณ โย, ผู้หมวด fw190, คุณ ลมหมุนวน ดีใจจังที่ทุกคน ในวิง21 ยังอยู่กันเยอะเลย ดีใจจริงๆ หวังว่าทุกคนคงสบายดี นะคะ นี่ก็ใกล้สงกรานต์แล้ว ขอให้ไปเที่ยว ไปทำบุญ หรือไปพบญาติผู้ใหญ่ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยและมีความสุขมากๆในปีใหม่ไทย นะคะ
ตอบคุณ u209
การติดต่อระหว่างสยามกับจีน ในสมัย พระเจ้าจูตี้ ฮ่องเต้
พระบรมราชโองการเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ.1430 มีใจความว่า :
รัชกาลใหม่แห่งซวนเด๋อได้เริ่มขึ้นแล้ว และทุกอย่างจะต้องเริ่มกันใหม่ แต่ประเทศต่างแดนไกลโพ้นดูเหมือนจะยังไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นเราจึงจะส่งขันทีเจิ้งเหอและขันทีหวังจิ่งหง (Wang Jinhong) ออกไปพร้อมด้วยโองการแห่งเรา เพื่อแนะนำประเทศเหล่านี้ให้ปฏิบัติตามโอรสแห่งสวรรค์ด้วยความเคารพ และดูแลประชาชนในบังคับบัญชาของตนอย่างดี เพื่อให้มีโชคดีและสันติสุขสืบไป
ส่วนหนึ่งของคณะทูตนี้ได้พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรสยาม(ไทย) กับราชอาณาจักรมะละกา เจิ้งเหอได้รับประกาศิตจากพระจักรพรรดิให้ทูลกษัตริย์สยาม แนะนำให้พระองค์หยุดการรุกรานมะละกา ในพระบรมราชโองการแห่งพระจักรพรรดิ พระองค์ได้บริภาษกษัตริย์สยามที่กักตัว หน่วงเหนี่ยวกษัตริย์มะละกาไว้ระหว่างพระองค์เสด็จไปยังราชสำนักหมิงว่า
นี่คือวิธีที่เจ้าปกป้องทรัพย์สมบัติและความสุขของเจ้าหรือ? พระจักรพรรดิเขียน เจ้าผู้เป็นกษัตริย์ ควรจะทำตามคำสั่งของเรา และปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านของเจ้าอย่างดี และแนะนำคนของเจ้าว่าอย่าไปรุกรานและทำให้ผู้อื่นรู้สึกอายโดยมิได้ตักเตือนก่อน หากเจ้าทำเช่นนี้ เราจะถือว่าเจ้าเป็นผู้นับถือสวรรค์ นำสันติสุขมาสู่ประชาชน และมีไมตรีจิตต่อเพื่อนบ้านของเจ้า นี่คือหลักเมตตากรุณาที่เรายึดถือไว้ในใจเสมอมา
การตระเตรียมกองเรือมหาสมบัติหนนี้ถือว่าใช้เวลายาวนานกว่าปกติ เพราะห่างจากการท่องสมุทรครั้งก่อนหน้าถึง 6 ปี และครั้งนี้ถือเป็นการสำรวจทางทะเลครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งมีจำนวนเรือมากกว่า 100 ลำ และลูกเรืออีก 27,500 คน เรือเหล่านี้ถูกตั้งชื่อว่า ความสามัคคีปรองดอง ความสงบอันเป็นนิรันดร์ และความสงบอันกรุณา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นกองเรือเพื่อสันติ
ดูเหมือนเจิ้งเหอ ซึ่งบัดนี้อายุอานามถึง 60 ปี จะรู้ตัวครั้งนี้ว่าน่าจะเป็นการออกสำรวจทางทะเลครั้งสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านได้พยายามอย่างมากที่จะจารึกไว้ซึ่งความสำเร็จของท่านในการออกสำรวจครั้งที่ผ่านๆ มาโดยการจารึกเรื่องราวไว้บนศิลา 2 แผ่น
อีกข้อมูลเพิ่มเติม ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน
ในการเดินเรือทั้ง 7 ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยอย่างลึกซึ้ง คือครั้งที่ 2 เนื่องจากในครั้งนั้น นายพลเรือผู้เกรียงไกรเสด็จมาเยือนกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของ สมเด็จพระรามราชาธิราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์อู่ทอง
ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า ในสมัยนั้น ราชบัลลังก์สยามมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และขั้วอำนาจที่เข้มแข็งและเป็นไม้เบื่อไม้เมากับราชวงศ์อู่ทองก็คือราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งเคยครองราชบัลลังก์มาแต่เดิม
ก่อนที่ เจิ้งเหอ จะมาเยือนไทยนั้น ทั้งอู่ทองและสุพรรณภูมิ ต่างแก่งแย่งชิงอำนาจกันอย่างถึงพริกถึงขิง โดย 2 เจ้าอาณาจักร คือ สมเด็จพระรามราชาฯแห่งอู่ทอง และเจ้านครอินทร์แห่งสุพรรณภูมิ ถือเป็นคู่แค้นสายโลหิตอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากพี่ใหญ่จีนมากกว่าก็คือ เจ้านครอินทร์ เนื่องจากราชวงศ์สุพรรณภูมิมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับราชวงศ์หมิงมาแต่เดิม โดยเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีฯยังครองราชอยู่นั้น ความสัมพันธ์ไทย - จีนอยู่ในขั้นดีเยี่ยม ก่อนที่สุพรรณภูมิจะเสียบัลลังก์ให้กับอู่ทองไป
อีกทั้งตัวเจ้านครอินทร์เอง ทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ด้วย และเคยเสด็จไปเมืองจีนมาแล้วถึง 3 ครั้ง ดังนั้น ราชสำนักจีนจึงเป็นกองหนุนอย่างดีของสุพรรณภูมิ เพราะอยากให้เจ้านครอินทร์ ซึ่งเป็น Good Boy ของตัวเองขึ้นครองราชแทนสมเด็จพระรามราชาฯ
เมื่อ เจิ้งเหอ นำพระราชสาสน์จากจักรพรรดิ์จีนมาถึงเมืองไทย แทนที่จะตรงมาเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระรามราชาฯที่กรุงศรีอยุธยา กลับแวะไปอินทรบุรีเยี่ยมเจ้านครอินทร์ก่อน และต้อนรับขับสู้กันอย่างสนิทชิดเชื้อ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวกมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระรามราชาฯที่กรุงศรีอยุธยา เจิ้งเหอ กลับแสดงอาการเย็นชาใส่พระองค์ ทั้งๆที่ได้รับพระราชทานการต้อนรับอย่างเอิกเกริก
สิ่งนี้เอง เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ความอดทนของกษัตริย์แห่งราชวงศ์อู่ทองสิ้นสุดลง เมื่อ เจิ้งเหอ กลับไป สมเด็จพระรามราชาฯ จึง สั่งลุย ทันที ด้วยการสั่งจับกุมทหารและพรรคพวกของเจ้านครอินทร์ทั้งหมด ทำให้เจ้านครอินทร์อดรนทนอยู่ไม่ไหว จำต้องยกทัพจากเมืองอินทร์มาบุกกรุงศรีอยุธยา
ผลปรากฏว่า ทัพของผู้มาเยือนเป็นฝ่ายมีชัยและยึดกรุงศรีฯได้ เจ้านครอินทร์จึงปราบดาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนครินทราธิราช หรือ พระอินทราชา และฟื้นฟูราชวงศ์สุพรรณภูมิกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับการสิ้นสุดลงของราชวงศ์อู่ทอง ความสัมพันธ์ไทย - จีนจึงกลับมาแน่นแฟ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่า จีนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดอนาคตของไทย ไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อม แม้ราชบัลลังก์ของไทย จีนก็ยังมีส่วนร่วมชี้ชะตา สำหรับตัวท่าน เจิ้งเหอ นั้น ทุกวันนี้ยังเป็นที่กราบไหว้กันของคนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งคนไทย โดยรู้จักกันดีในนามของ พระซำปอกง
รวบรวมจาก เว็บโบราณคดี กับที่มาอีกแหล่งที่แยมจำไม่ได้ ต้องขออภัยแหล่งที่มานั้นด้วย ค่ะ
หายไปนานๆ สงสัยจะซุ่มอ่านอย่างเดียวแหงม เหอๆๆ เข้าใจว่าก็เหมือนสมาชิกรุ่นอาวุโสหลายๆ ท่านล่ะครับ
สวัสดีคร้าบบบบบ
ปล.กระทู้นี้เป็นกระทู้นับญาติ นะครับ < >
ขอขยายนิดครับ ย่อไปหน่อย ถึงทะเลแดงแล้วก็ถึงศูนย์กลางการค้าของอาหรับ กะเปอร์เซีย ซึ่งก็จะไม่ไกลที่จะไปให้ถึง(โดยทางบก หรือการลงเรือต่อ)ไปยังยุโรป ที่ตอนนั้นเวนิส กะเจนัวก็เป็นศูนย์กลางทางการค้าของยุโรป แค่ขนของลงเรือไปขายแถวทะเลแดง ก็ตัดความยากลำบากของการเดินทาง ทางบกด้วยเส้นทางสายใหม ได้มากครับ
เท่าที่ทราบสมัยเจิ้งเหอนั้นอยู่ในยุคอโยธยาครับ (ราวศตวรรตที่14 )ไม่ใช่ยุคอยุธยาอย่างที่ข้างบนบอก เพราะวัดซำปอกง ที่ท่านเจิ้งเหอสร้างนั้นมีมาก่อนพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาอย่างนัอยสิบปีขึ้นไปครับ ดังนั้นเรื่องความขัดแย้งระหว่างราชวงต์สุวรรณภูมิกับอู่ทองน่าจะไม่ถูกต้องครับ
สมัยนั้น เรามีเมืองเอกอยู่สองเมืองครับคือละโว้ กับอโยธยา ( ไม่ใช่อยุธยานาครับ คนละเมืองกัน) ละโว้เป็นเมืองเก่ากว่า ถือเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักขอมที่ครอบครอง ดินแดน ที่เป็นประเทศไทยอยู่ในตอนนี้ จีนรู้จัก เมืองไทยในนามเมืองละโว้ ครับ ภาษาจีนออกเสียงป็นเสียมล้อ ซึ่งจีนใช้เรียกไทยเรามาจนกระทั่งทุกวันนี้
ท่านเจิ้งเหอเคยมาเมืองไทยสองครั้งครั้งแรกขึ้นฝั่ง แต่ครั้งสุดท้ายอยู่แต่ในเรือไม่ได้ขึ้นฝั่งให้ตัวแทนมาขึ้นฝั่งแทนครับ
ตัวเจิ้งเหอเองสำรวจโลกไกลสุดที่ชายฝั่งอาฟริกาครับแต่ได้ส่งตัวแทนอีกหลายสายไปสำรวจในส่วนต่างๆของโลก ไกลถึงฝั่ง อเมริกาเหนือและใต้ครับ ที่ไม่ไปยุโรปเพราะตอนนั้นยุโรปยังเป็นแค่เมืองโดดๆยังไม่เป็นอาณาจักรครับ ไม่สลักสำคัญอย่างไร ยังด้อยกว่าพวกตะวันออกกลางเสียด้วยซ้ำครับ