ตามคุณสมบัติเรือนั้น ร.ล.จักรีนฤเบศรสามารถรองรับ บ.AV-8S ได้9ลำหรือ ฮ.Seahawk 6ลำครับ ซึ่ง บ.F-35B นั้นมีขนาดใหญ่กว่า AV-8S เล็กน้อยทำให้จำนวน บ.ที่จะบรรทุกไปกับเรือในระดับปฏิบัติการได้สูงสุดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6-8ลำครับ

แต่การจัดกำลังอากาศประจำเรือนั้นจะจัด บ.พร้อมกับ ฮ.ลงไปพร้อมกัน ดังนั้นอัตราส่วน F-35B ต่อ Seahawk น่าจะอยู่ที่ 4:4 หรือ 6:2ลำครับ

อย่างไรก็ตามถ้ามีการจัดหา F-35B มาประจำการบนร.ล.จักรีนฤเบศร อาจจะมีการประเมินว่าต้องปรับปรุงตัวเรือบางส่วนเช่น Lift ยกอากาศยาน ดาดฟ้าลานบิน และ Hangar ครับ

ความจริงถ้ากองทัเรือต้องการจัดหา F-35B มาประจำการในเรือจักรีจริง เครื่องบินขับไล่บนบกของกบร.ก็ควรจะเป็น F-35A มากกว่าครับ เพื่อลดความหลากหลายของแบบอากาศยาน เนื่องจากการมี F-35B แค่ 6 - 8 ลำ ซึ่งซ้อนกัลเครื่องบินขับไล่แบบอื่นอีกราว 8 ลำคงจะไม่คุ้มค่าและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายด้านอะไหล่โดยใช่เหตุครับ

แต่ในกรณีนี้ ซึ่งอีกนานมากกว่าประเทศไทยจะสามารถจัดหา F-35 ได้ การจัดหา AV-8B ของ USNC และ F/A-18C/D มือสอง หรือ F/A-18E/F มือหนึ่ง หรือแม้แต่ใช้ AV-8B ทั้งบนเรือจักรีและฝูงบินขับไล่ของกบร. ก็จะช่วยประหยัดไปได้มาก ในขณะที่ทร.ก็ยังสามารคงกำลังรบไว้ได้อยู่ครับ (แต่ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่า AV-8B จะเข้ากับความต้องการเครื่องบินขับไล่บนบกของกบร.หรือไม่)

ถ้ามองว่าแผนการจัดหา บ.ขับไล่ในอนาคตของกองทัพอากาศคือ F-35A แล้ว ทางกองทัพเรือก็น่าจะจัดหา F-35B ใน กบร.ทั้งฝูงแทนที่จะแยกรุ่นเป็น F-35A และ F-35B ดีกว่าครับ เพราะว่าการมี บ.สองรุ่นถึงแม้จะแม้จะเป็นแบบเดียวกันก็ยังคงมีความสิ้นเปลืองในการบำรุงรักษามากกว่ามี บ.รุ่นเดียวอยู่ดีครับ

อย่างไรก็ตามเนื่องจากความล่าช้าในการพัฒนา บ.F-35 ทั้งรุ่น CTOL และ STOVL นั้น(รุ่น CV ยังไม่มีการประกอบเลย) ทำให้กว่าที่ประเทศหลักในโครงการ JSF เองจะได้มอบเครื่องนั้นยังอีกนานครับ ซึ่งถ้า กบร.จะหา บ.ขับไล่/โจมตีใหม่ ก็คงต้องเป็น บ.ที่อย่าง AV-8B หรือ F/A-18F ครับ(กบร.คงจะไม่น่าจะจัดหา บ.มือสองแล้ว)

แต่ว่าการจัดหา บ.ขับไล่/โจมตีของ กบร.ในช่วง 5ปีนี้มีความเป็นไปได้น้อยครับ ดังนั้น ร.ล.จักรีนฤเบศรคงจะเป็นเรือบรรทุก ฮ. ไปจนกว่ากองทัพเรือจะมีการประกาศการจัดหาใหม่ครับ