หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


up date Cold War ครับ

โดยคุณ : photo pds เมื่อวันที่ : 06/02/2008 15:36:58

สงครามเย็น  (1945-1991)          

                สงครามเย็น  คือลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศช่วง ค.ศ. 1945-1991 ที่กลุ่มประเทศโลกเสรีและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ต่างพยายามต่อสู้กันโดยวิธีต่าง ๆ ยกเว้นการทำสงครามกันโดยเปิดเผยเพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของกันและกัน   สงครามเย็นมีผลสืบเนื่องมาจากสภาพที่บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่  2  ที่ทั้งประเทศผู้ชนะและประเทศผู้แพ้สงครามได้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน  ทวีปยุโรปซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกอยู่ ในสภาพทรุดโทรมอย่างยิ่ง  ต้องสูญเสียอำนาจและอิทธิพลในสังคมโลกให้แก่สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นสองประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคงจนเป็นหลักในการฟื้นฟูประเทศอื่นๆสหรัฐอเมริกาก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตย  ในขณะเดียวกันที่สหภาพโซเวียตมีอำนาจและอิทธิพลเนื่องจากความสำเร็จในการขยายลัทธิคอมมิวนิสต์สู่กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกอยู่ในฐานะประเทศผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์  คำว่าอภิมหาอำนาจ จึงมักหมายถึงความเป็นผู้นำโลกของประเทศทั้งสอง  ซึ่งการแข่งขันกันขยายอิทธิพลจนทำให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเกิดความตึงเครียดสูง

                ภายหลัง  การประชุมที่ยัลตา ( Yalta  Conference )  เพื่อจราจากันเกี่ยวกับการจัดการกับประทศในยุโรปที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายอักษะ  นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลของอังกฤษได้เตือนประธานาธิบดีรูสเวลส์ให้เข้าไปปลดอาวุธทหารเยอรมนีในประเทศยุโรปก่อนสหภาพโซเวียต  มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาติดตามมาภายหลังสงครามยุติลง   แต่ประธานาธิบดีรูสเวลส์มีความเห็นว่าสหภาพโซเวียตรับภาระหนักในการสู้รบกับเยอรมนีหลังจากปี ค.. 1941-1945  ฉะนั้นถ้าสตาลินต้องการอะไรจึงควรเปิดโอกาสให้สตาลินได้ในสิ่งที่ต้องการ สตาลินขอประเทศในเขตยุโรปตะวันออกตั้งแต่ชายฝั่งทะเลบอลติกจนถึงชายฝั่งทะเลเอเจียน ยกเว้นยูโกสลาเวียซึ่งผู้นำคือนายพลตีโต้สามารถปลดอาวุธทหารเยอรมนีด้วยตนเองจึงไม่ยินยอมอยู่ใต้อิทธิพลของสหภาพโวเวียตกับประเทศอัลบาเรียซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยมที่ได้รับความช่วยเหลือจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงเป็นอีกประเทศในเขตยุโรปตะวันออกที่ไม่ได้เป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียต  ฉะนั้นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียตในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกมีประเทศโปแลนด์ เยอรมนีตะวันออก   เชโกสโลวะเกีย   ฮังการี  โรมาเนีย และบัลแกเรียรวมทั้งหมด  6   ประเทศ

 

BERLIN  AFTER W.W.II  UNDER ENGLAND,FRANCE,U.S.A. and U.S.S.R. (RUSSIA)

 

 

                หลังจากการที่สงครามโลกครั้งที่  2  สิ้นสุดลง  (1945)  ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรแบ่งกันครอบครองทั้งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลิน  ต่อมาใน ค.. 1947   สหรัฐอเมริกาได้เจรจาให้ประเทศทั้ง4 ปกครองเยอรมนีใถอนตัวออกแล้วให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเยอรมนี  พรรคใดได้เสียงข้างมากก็จะได้จัดตั้งรัฐบาล  อังกฤษ,ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกามีความเห็นอย่างเดียวกัน  ยกเว้นสหภาพโซเวียตไม่เห็นด้วย  ฉะนั้นสหรัฐอเมริกาจึงจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเขตเยอรมนีตะวันตกและได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตย  แต่สหภาพโซเวียตได้แต่งตั้งรัฐบาลให้ปกครองเยอรมนีตะวันออกตามลัทธิคอมมิวนิสต์  ต่อมาประชาชนในเขตการปกครองของสหภาพโซเวียตในกรุงเบอร์ลินหลบหนีเข้ามาในเขตเบอร์ลินตะวันตกเพราะมีเสรีภาพและมาตรฐานค่าครองชีพดีกว่าทำให้สหภาพโซเวียตปิดการติดต่อระหว่างเขตเยอรมนีตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันตกทำให้สหรัฐอเมริกาต้องใช้เครื่องบินขนส่งเครื่องอุปโภคและบริโภคไปให้เบอร์ลินตะวันตกเป็นระยะเวลาหนึ่งปี  เมื่อสหภาพโซเวียตเห็นว่าวิธีที่ใช้อยู่ไม่ประสบความสำเร็จจึงเปลี่ยนเป็นสร้างกำแพงปิดกั้นระหว่างเบอร์ลินระหว่างตกกับเบอร์ลินตะวันออกเหตุการ์ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นในปี 1949  เมื่อสหรัฐอเมริกาเห็นว่าไม่สามารถช่วยชาวเบอร์ลินตะวันออกได้จึงได้จัดตั้งองค์การ NATO ขึ้นเพื่อหาพันธมิตรช่วยเหลือกลุ่มประเทศสมาชิกถ้าถูกสหภาพโซเวียตและรัฐบริวารรุกราน

                 สาเหตุของสงครามเย็นเกิดจากการแข่งขันกันของประเทศอภิมหาอำนาจ  จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในสงครามโลกทั้งสองครั้ง  ทำให้สหรัฐอเมริกาซึ่งเสียหายน้อยกว่าประเทศคู่สงครามในยุโรป  ทั้งยังเป็นประเทศที่ก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสูง  ประกอบกับเป็นประเทศแรกที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่  2   มีความรู้สึกว่าตนเป็นตำรวจโลกเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยและเสรีภาพ  ส่วนสหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่  2 อย่างรวดเร็วเพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก  สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จเป็นประเทศต่อมา  สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ตามแนวความคิดของมาร์กซ์ขึ้น   ดังนั้นทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจและอุดมการณ์ของตน  เพื่อหาประเทศที่อุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายตรงกันข้าม

                 การแข่งขันเพื่อความเป็นใหญ่ในยุคสงครามเย็นนั้นมีหลายรูปแบบ  ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นความสำเร็จของอุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายตน  ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยเน้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน  ในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชี้ความเสมอภาคของประชาชน  เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละฝ่าย  คือสำนักงานข่าวสาร สำนักงานวัฒนธรรม โครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา บางครั้งใช้วิธีการทางการเมืองและการทูตเพื่อแสวงหาพันธมิตรในทางการเมืองระดับประเทศ หรือบ่อยครั้งใช้วิธีการเศรษฐกิจแก่ประเทศพันธมิตรในรูปขิงเงินกู้ระยะยาว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ  ในทางตรงกันข้าม อาจใช้มาตรการทางเศรษฐกิจตอบโต้ฝ่ายตรงกันข้าม เช่นการงดความสัมพันธ์ทางการค้า(sanction) กับบางประเทศ  นอกจากนั้นวิธีการทางการทหารนับเป็นวิธีการที่ใช้มากที่สุด  มีการสะสมกำลัง  การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศพันธมิตรด้านกำลังทหาร กำลังอาวุธ การจัดส่งเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญทางทหาร  ตลอดจนการส่งกองกำลังของตนเข้าไปตั้งมั่นในประเทศพันธมิตร  จนในที่สุดก็ได้จัดตั้งองค์การป้องกันร่วมกันในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO)  องค์การสนธิสัญญาเอเชีย

ตะวันออกเฉียงใต้  (SEATO)  และกลุ่มกติกาสนธิสัญญาวอร์ซอ (WARSAW PACT) เป็นต้น วิธีการเผยแพร่อิทธิพลวิธีสุดท้ายคือ

วิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แก่ ความพยายามแสดงออกถึงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง เช่นการค้นคิดอาวุธ สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ รวมทั้งโครงการสำรวจอวกาศเพื่อสร้างความศรัทธาแก่ประเทศพันธมิตรและสร้างความยำเกรงแก่ประเทศฝ่ายตรงกันข้าม 

 





ความคิดเห็นที่ 1


หลังสงครามโลกครั้งที่  2  เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างสองอภิมหาอำนาจในภูมิภาคต่าง ๆ  เริ่มต้นจากปัญหาความมั่นคงในยุโรป  สหภาพโซเวียตขยายอิทธิพลเข้าไปในยุโรปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่  2 และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อโซเวียตไม่ปฏิบัติตาม

                สนธิสัญญายัลตา (Yalta  Conference)  ซึ่งกำหนดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นประชาธิปไตยในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เป็นเขตยึดครองของสหภาพโซเวียตแต่โซเวียตประสบความสำเร็จในการบริหารและยึดครองตามและอุดมการณ์ทางการเมืองของตน ทัศนคติ  จนประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออกกลายเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์

                สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยการประกาศหลักการทรูแมน ( Truman ’s  Doctrine)ในเดือนมีนาคม  .. 1947  ซึ่งมีสาระสำคัญว่าสหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศต่าง ๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งภายนอกและภายในประเทศ  รัฐสภาอเมริกันอนุมัติเงินให้ความช่วยเหลือกรีกและตุรกีทันที   หลักการทรูแมนมิได้เพียงแต่ช่วยให้กรีกและตุรกีให้รอดพ้นจากเงื้อมมือลัทธิคอมมิวนิสต์เท่านั้นยังแสดงให้เห็นว่า  สหรัฐจะตอบโต้การรุกรานใด ๆ ก็ตามที่มีต่อประเทศโลกเสรี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน สหภาพโซเวียตได้จัดตั้งสำนักข่าวสารคอมมิวนิสต์ (Cominform)ขึ้นที่กรุงเบลเกรดทำหน้าที่เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์และเป็นเครื่องมือของสหภาพโซเวียต  เพื่อป้องกันมิให้โลกเสรีเข้าแทรกแซงยุโรปตะวันออกเป็นการตอบโต้ลัทธิทรูแมน  การประกาศหลักการทรูแมนของสหรัฐอเมริกาถือเป็นการเริ่มต้นอย่างแท้จริงของสงครามเย็นระหว่างสองอภิมหาอำนาจ

 

                สหรัฐพยายามกอบกู้และฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปเป็นเป้าหมายต่อไปโดยการเสนอให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ทุกประเทศในยุโรปเมื่อเดือนมิถุนายน  ค.ศ. 1947 ตามแผนการมาร์แชล  แผนการนี้มีระยะ  4  ปี  ด้วยงบประมาณ 13ม500  เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในรูปของเงินทุน  วัตถุดิบ อาหารและเครื่องจักรกล  โดยมีข้อแม้ว่าประเทศต่าง ๆในยุโรปจะต้องร่วมมือกันและประสานความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านเศรษฐกิจ  ประเทศในยุโรปตะวันออกถูกสหภาพโซเวียต กดดันให้ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุผลนี้ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปจึงแยกเป็น  2  แนวทางโดยเด็ดขาดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศยุโรปตะวันตก  16  ประเทศจึงได้ร่วมมือกันจัดตั้งโครงการบูรณฟื้นฟูยุโรป (Europe  Recovery Programme) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป(Organization for European European EconomicCooperation) ขึ้นเพื่อสนองตอบแผนการมาร์แชล  ในเวลาเดียวกัน  กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกซึ่งรับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของสหภาพโซเวียตได้ขอรับความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจจากสหภาพโซเวียต  ในเดือนมกราคม  1949  กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียตได้ร่วมมือกันจัดตั้งสภาความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจCouncil for Mutual Economics Assistance:COMECON)  เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มตนให้ทัดเทียมกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก

                นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้านการเมืองการทหารแก่กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก  ใน ค.ศ. 1949  สหรัฐอเมริกาและแคนาดาร่วมกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกอีก  10  ประเทศจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO)ขึ้น ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกทั้งด้านการเมือง  การทหาร เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม อันถือว่าเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยระบบการป้องกันร่วมกันในระดับภูมิภาคที่สอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติ  การจัดตั้งองค์การนาโตถือว่าเป็นจุดสำคัญของนโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต  โดยใช้ความร่วมมือกับทางการทหารของกลุ่มประเทศโลกเสรี  กฎบัตรขององค์การ NATO กำหนดไว้ว่า  หากยุโรปตะวันตกถูกรุกรานสหรัฐอเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโดยทันทีตามหลักการป้องกันตนเอง

               ก่อน ค.ศ. 1955  สหภาพโซเวียตยังไม่เห็นความจำเป็นในการก่อตั้งองค์การป้องกันร่วมกันทางทหารกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกในรูปแบบขององค์การนาโต  เพราะตนมีกองทัพอยู่ในประเทศฮังการีและประเทศโรมาเนียตามสนธิสัญญาสันติภาพ  ค.ศ. 1947  กับประเทศทั้งสอง  นอกจากนั้น  รัฐบาลของสหภาพโซเวียตยังสามารถควบคุมรัฐบาลของกลุ่มประเทศของประเทศยุโรปตะวันออกไว้ได้อย่างเต็มที่  เท่ากับสหภาพโซเวียตสามารถควบคุมกำลังทหารของประเทศเหล่านั้นด้วย  ครั้นถึง พ.ศ. 1955  สหภาพโซเวียตต้องถอนทหารออกจากประเทศฮังการีและโรมาเนียตามสนธิสัญญาสันติภาพกับออสเตรเลีย  สหภาพโซเวียตจึงต้องถอนทหารออกจากประเทศฮังการีและโรมาเนียตามสนธิสัญญาสันติภาพกับออสเตรเลีย  สหภาพโซเวียตจึงจำเป็นต้องมีกองทหารไว้ควบคุมเขตอิทธิพลของตนในรูปแบบใหม่  มีการประชุมเพื่อดำเนินการจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกขึ้นที่กรุงวอร์ซอประเทศโปแลนด์  ก่อให้เกิดกลุ่มกติกาสนธิสัญญาวอร์ซอ(Warsaw  Pact)  ขึ้นอันเป็นช่องทางให้สหภาพโซเวียตสามารถมีกองกำลังของตนไว้ในประเทศสมาชิกได้  การกำหนดนโยบายขององค์การสนธิสัญญาวอร์ซอเป็นสิทธิของสหภาพโซเวียต เพียงประเทศเดียว

               นอกจากทวีปยุโรปแล้ว  สองอภิมหาอำนาจยังแข่งขันกันในภูมิภาคต่าง ๆ ส่งผลให้สงครามเย็นเพิ่มความตึงเครียด  ทวีป

เอเชียเป็นอีกเวที หนึ่งของสงครามเย็นในแถบตะวันออกไกล  จีนเป็นดินแดนที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ประสบความสำเร็จมากที่สุด  เมื่อจีนคอมมิวนิสต์นำโดยประธานเหมา เจ๋อ ตงเป็นฝ่ายที่มีชัยชนะในสงครามกลางเมือง  ยึดครองแผ่นดินใหญ่ของจีนได้เมื่อ ค.ศ. 1949  รัฐบาลจีนคณะชาติซึ่งเป็นฝ่ายโลกเสรีและได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกาต้องหนีไปตั้งรัฐบาลที่เกาะฟอร์โมซา  ชัยชนะของจีนคอมมิวนิสต์มีผลกระทบต่อดุลอำนาจการเมืองระหว่างประเทศ ถือเป็นการพ่ายแพ้ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาและเป็นการสียดุลอำนาจครั้งสำคัญของโลกเสรี  สหภาพโซเวียตและจีนเป็นสองประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีทรัพยากรมาก และมีจำนวนประชากรมหาศาล ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเ มิกาและจีนจึงตึงเครียดมานับตั้งแต่นั้น

                  ประเทศเกาหลีอยู่ในสภาพเดียวกับประเทศเยอรมนีที่กลายเป็นเวทีความขัดแย้งในสงครามเย็นจนถูกแบ่งออกเป็น  2 ประเทศที่มีอุดมการณ์ตรงกันข้ามกันในเดือนมิถุนายน ค.. 1950กองทัพเกาหลีเหนือซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ได้ยกกำลังเข้ามารุกรานเกาหลีใต้อย่างฉับพลัน สหประชาชาติจึงจึงมีมติให้สหรัฐอเมริกาและกองกำลังทหารของสหประชาชาติจาก   18  ประเทศสมาชิกช่วยเกาหลีใต้ต่อต้านการรุกรานครั้งนี้ จีนส่งกองกำลังช่วยเกาหลีเหนือ  ก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากันจนกระทั่ง ค..1953  จึงมีการทำสนธิสัญญาสงบศึก  สงครามเกาหลีก่อให้เกิดก่อให้เกิดความตืนตัวต่อการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย  สหรัฐอเมริกาเห็นความจำเป็นในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียอย่งจริงจัง  สำหรับประเทศญี่ปุ่นลัทธิคอมมิวนิสต์ประสบความสำเร็จในวงแคบเสถียรภาพทางการเมือง  ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มาตรฐานทางสังคมในระดับสูงอันเป็นผลงานของสหรัฐอเมริกา(ทั้งนี้เนื่องมาจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเข้าไปปกครองญี่ปุ่นโดยนายพลมาร์แชล  ได้พยายามให้ญี่ปุ่นยกเลิกการเป็นประเทศเผด็จการทหาร  ยกเลิกกระทรวงทางทหาร มีเพีบง กรมตำรวจ รวมทั้งงบประมาณทางด้านการป้องกันประกันให้มีเพียง 0. 9 ของ GDP  สหรัฐเซ็นสัญญาทำหน้าที่ป้องกันประเทศให้ญี่ปุ่นโดยยังคงทหารสหรัฐอเมริกาไว้ในญี่ปุ่นและฐานทัพของสหรัฐอเมิรกาไว้ในแปซิฟิก ฉนั้นญี่ปุ่นจึงพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่  ส่วนทางด้านการปกครองสหรัฐอเมริกาได้ให้ญี่ปุ่นปกครองในระบอบรัฐสภาฉนั้นเมื่อสหรัฐถอนตัวออกจากญี่ปุ่นในปี 1952 ญี่ปุ่นจึงสามารถพัฒนาประเทศให้มีเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างเต็มที่)ทำให้ญี่ปุ่นเป็นกำลังสำคัญของโลกเสรีในทวีปเอเชีย    การขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ในภูมภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มจากอินโดจีน    คือ  เวียดนาม ลาว เขมร  ซึ่งเมื่อได้รับเอกราชการฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาสันติภาพปารีส ปี 1954  เวียดนามถูกแล่งเป็น 2ส่วน โดยใช้เส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ เวียดนามเหนืออยู่ภายใต้การปกครองลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีโฮจิมินห์เป็นผู้นำ เวียดนามใต้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีโงดินห์เดียมเป็นผู้นำ โดยจะให้มีการเลือกตั้งภายในระยะเวลา 1 โดยจะให้มีการเลือกตั้งภายในระยะเวลา 1 ปีเพื่อรวมเวียดนามเป็นประเทสเดียวกัน  การขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปในอินโดจีน  ทำให้สหรัฐอเมริกานำนโยบายการจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา ( Containment  Policy)  มาใช้ในเอเชียด้วย นายจอห์นฟอสเตอร์  ดัลเลส (John  Foster Dulles)  รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาขณะนั้นประกาศว่าจะไม่ยอมให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัวต่อไป  โดยเชื่อมั่นในทฤษฎีโดมิโนว่าถ้าประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์แล้วประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ ก็จะพลอยเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วย  เมื่อวันที่  8  กันยายน  1954 ได้มีการทำสนธิสัญญาที่กรุงมะนิลาเพื่อจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(South East Asia Treaty Organization=SEATO)  ขึ้นประกอบด้วยประเทศสมาชิก  8  ประเทศ  ได้แก่  ไทย  ฟิลิปปินส์ปากีสถาน สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ด้วยวัตถุประสงค์ทำนองเดียวกับ NATO                                      

 

โดยคุณ photo pds เมื่อวันที่ 06/02/2008 04:33:55


ความคิดเห็นที่ 2


ที่เหลือติดตามอ่านต่อได้ที่ http://thaimilitary.multiply.com/journal/item/22/Mega_Project_continue_to_Cold_WAR_Part_I ครับเพราะว่าเหลืออีกเยอะครับ ไม่อยากเปลืองที่ในนี้ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามต่อนะคราบบบบบบ

โดยคุณ photo pds เมื่อวันที่ 06/02/2008 04:36:59