ชิส์ หาว่าเราY นัก เดี๋ยวก็เป็นเจ้าพ่อY ประจำบอร์ดหรอก แหม เราไม่ใด้แนวนี้สักหน่อย โห่ย
ในมุมมองของนักวิชาการแล้ว โดจินชิ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลทางการตลาด แต่โดจินชิคือ สัญลักษณ์ ที่ต้องการการตีความอย่างลึกซึ้ง ท่ามกลางสัญลักษณ์มากมายนี้
shonen-ai (หรือ boys love) และ yaoi เป็นหนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจ อะไรซ่อนอยู่ภายใต้การ์ตูนที่แสดงออกถึงความรักของชายสองคนกันแน่?
ปรากฏการณ์ shonenai (โชเน็นไอ) และ yaoi (ยะโอะอิ) นั้นเกิดขึ้นอย่างน่าพิศวง ครั้งแรกคุณโยเนซาวะได้ลองสังเกตงาน comiket แล้วพบว่านักวาดโดจินชิ 80% เป็นผู้หญิง ในช่วงยุค 70 นั้นโดจินชิมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ โดจินชิที่คิดเนื้อเรื่องและตัวการ์ตูนเอง กับที่นำตัวการ์ตูนจากเรื่องต้นฉบับมาเขียนล้อเลียนซึ่งหนึ่งในการล้อเลียนก็คือ yaoi คำว่า yaoi กำเนิดครั้งแรงช่วงปลายยุค 70 โดยซาคาตะ ยาซุโกะและฮัตสุ รินโกะ ที่ต้องการล้อเลียนโครงสร้างของงานเขียนโคลงจีนยุคเก่าซึ่งต้องประกอบด้วย ki (introduction บทนำ), syo (development ดำเนินเรื่อง), ten (transition จุดผกผัน), และ ketsu (conclusion บทสรุป) พวกเธอยำซะเละโดยสร้างงานที่ Yamanasi (no climax ไม่มีไคลแมกซ์), Ochinashi (no point ไม่มีประเด็น), และ Iminashi (no meaning ไม่มีความหมาย) กลายมาเป็นงานโดจินชิที่ชื่อ Loveri
ต่อมาในยุค 80 คำว่า yaoi ได้หมายความถึงงานการ์ตูนล้อเลียนที่มีผู้ชายสองคนเป็นตัวเอกและเน้นความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเนื้อหาหลัก ส่วน shonenai หมายถึงการ์ตูนที่มีผู้ชายสองคนเช่นกัน แต่เน้นความรักโรแมนติกและน่ารักอ่อนโยนกว่า ทั้ง yaoi และ shonenai ไม่ใช่การ์ตูนที่กล่าวถึงความรักของ เกย์ เลย แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของความรักที่ เหนือ (superior) กว่าความรักระหว่างคนต่างเพศทั่วไป
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ต้นกำเนิดของความสัมพันธ์แบบชายกับชายในการ์ตูนไม่ได้เกิดในดงโดจินชิเป็นที่แรก แต่กลับเกิดในงานการ์ตูนที่มีพิมพ์ขายแบบเป็นล่ำเป็นสัน เรื่องนั้นคือ Kaza to Ki no Uta หรือ A Poem of Wind and Trees งานเขียนของทาเคมิยะ เคย์โกะ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนผู้หญิงในปี 1976 (งานของแกมีพิมพ์ในไทยหลายเรื่อง ที่ขายอยู่ตอนนี้คือ Crystal Lord Opera ของบุรพัฒน์ฯ) เรื่องนี้เป็นเรื่องของกิลเบิร์ต คอคโต เด็กหนุ่มรูปงามในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งที่มีอันต้องร่วมหอลงเตียงกับเพื่อนหนุ่มรูมเมท
อ.ทาเคมิยะเล่าให้ฟังว่ากว่าเรื่องนี้จะได้ลงตีพิมพ์ต้องฟาดฟันกับบรรณาธิการอยู่นานมาก แต่หลังจากลงไปแล้ว สิ่งที่เกิดตามมานั้นน่าทึ่งกว่าเพราะมันกลายเป็น ความดังเพียงชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ได้ลงต่อเนื่องยาวนานในนิตยสารการ์ตูนผู้หญิงและส่งให้ shonenai กลายเป็นวัฒนธรรมการ์ตูนแบบใหม่
ต่อมาในปี 1978 นิตยสาร Comic June ได้วางแผงช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มของซาคาตะคิดค้นคำว่า yaoi ถือเป็นนิตยสารเล่มแรกที่มีแต่เรื่องชายกับชาย ที่แปลกว่านั้นคือทำเพื่อขายวัยรุ่นหญิง! ภาพยนตร์ก็ถูกนำมาทำเป็น yaoi เช่นกันซึ่งงานแรกๆที่ถูกจับมายำคือ Star Trek คู่เคิร์กกับสปอค (โอ้ววว)
2005/10/18
ตีความ yaoi และ shonenai ในแง่มุมทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยา
มีหลายข้อสรุปที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ความคลั่งไคล้ shonenai และ yaoi ของเด็กสาวๆ มีผลการสำรวจหนึ่งที่น่าสนใจว่าความชอบ shonenai เกิดจากความเชื่อของผู้หญิงทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกที่ว่าการแต่งงานคือจุดสิ้นสุดของความโรแมนติกเพราะต้องทำหน้าที่ภรรยา, แม่, และแม่บ้านที่แสนจะยุ่งยาก ดังนั้นผู้หญิงที่นิยม shonenai และ yaoi มักอยู่ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (มักเป็นสังคมตะวันออก) การแสวงหาความโรแมนติกโดยที่รู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงไม่มีวันได้รับความรักอันแสนหวานชั่วชีวิตจากผู้ชายได้จึงกลายเป็นให้ ผู้ชาย ด้วยกันเป็นผู้รับความรักนั้นเสียเลย ซึ่งบางทีนี่อาจเป็นสัญลักษณ์ของความต้องการฉีกม่านประเพณีของผู้หญิงญี่ปุ่นก็ได้
อีกข้อสรุปหนึ่งกล่าวว่า shonenai คือ สัญลักษณ์ ของความโรแมนติกขั้นสุดยอดที่ไร้แรงริษยาจากนักอ่าน เป็นความรักที่อยู่เหนืออุปสรรคทั้งปวงโดยเฉพาะอุปสรรคในเรื่องเพศ (ซึ่งคนทั่วไปมองว่ามันเป็นข้อแรกเลยในการเลือกแฟนว่าควรเป็นคนละเพศกับเรา) แท้ที่จริงแล้วตัวเอกชายที่ทำหน้าที่แทนนางเอกก็คือ สัญลักษณ์ ของเพศหญิงนั่นเอง เพราะมักมีรูปร่างหน้าตาอรชรอ้อนแอ้นหวานหยดไม่ต่างจากผู้หญิงจริงๆเลย นิสัยก็มักจะเซนซิทีฟและอ่อนไหวแบบผู้หญิง แต่เนื่องจากเพศหญิงเป็นเพศที่มีความริษยาสูง นางเอกบางคนทำตัวน่าหมั่นไส้ไม่เป็นกุลสตรีที่ดีเหมือนที่นักอ่านหญิงได้รับการสอนสั่งมา จึงได้เกิดเรื่องรักที่ไม่มีทางให้คนอ่านรู้สึกริษยานางเอกได้..เรื่องรักที่ไร้นางเอกนั่นเอง
อีกข้อสรุปกล่าวถึงทฤษฎีว่าด้วยบุคคลที่ 3 ซึ่งอธิบายว่าเวลาเราพูดถึงสิ่งไม่ดีของตนเองนั้นยาก แต่หากพูดถึงสิ่งไม่ดีของคนอื่นนั้นง่ายกว่า ดังนั้นความรักแบบผิดศีลธรรมหรือรักแบบรุนแรงถ้าใช้นางเอกเพศหญิงอาจทำให้นักอ่านหญิงที่ถูกสอนว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องน่าอายของสังคมยอมรับไม่ได้ แต่ถ้านางเอกเป็นผู้ชายซึ่งไกลตัวออกไปหน่อยทำให้ยอมรับได้ง่ายขึ้น หรือแค่การจินตนาการถึงเรื่องเพศระหว่างชายหญิงก็ถือเป็นเรื่องน่าอายในสังคมที่เคร่งครัดแบบญี่ปุ่นแล้ว ดังนั้นการจินตนาการถึงชายสองคนบนเตียงเดียวกันจึงรู้สึกขัดเขินน้อยกว่า
โอตาคุ yaoi กลุ่มหนึ่งได้ลงความเห็นว่า ผู้ชายในสังคมเรามีแต่พวกชอบกดขี่ ดังนั้นใน shonenai และ yaoi ได้ให้โอกาส สร้างชายในฝัน ขึ้นมา และในทางกลับกันความรู้สึกเกลียดเพศหญิงที่ต้องอ่อนแอและถูกกดขี่อยู่ตลอดได้สร้างตนเองในจินตนาการให้มีรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งเป็นชาย บางคนถึงกับกล่าวว่า ไม่อยากเกิดเป็นผู้หญิงเลย แต่อยากเกิดเป็นผู้ชาย แต่ในเวลาเดียวกันก็อยาก ได้รับความรักจากผู้ชายด้วย ความต้องการที่ซับซ้อนนี้มาลงตัวที่ shonenai พอดี
จากข้อสรุปอันสุดท้ายนี้ จึงมีการตีความความสำเร็จของ Comic June ว่าเป็นเพราะ June คือสถานที่ที่ใช้เยียวยาผู้หญิงที่เคยถูกทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ผู้หญิงหลายคนไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นที่รักของใครเลยไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่, เพื่อน, หรือผู้ชาย ดังนั้นวัฒนธรรม shonenai นี้จึง ช่วยรักษารอยแผลของผู้หญิงที่ระทมทุกข์เพราะไม่มีวันจะเท่าเทียมกับผู้ชายในสังคมนี้ได้เลย
ข้อพิสูจน์เหล่านี้ที่ว่า yaoi เป็นเพียง สัญลักษณ์ ไม่ใช่ ความเป็นจริง พิสูจน์ได้จากการลองให้โอตาคุ yaoi ดูภาพเปลือยของผู้ชายแท้ๆกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ผลคืออ้วกแตกกันหมดเพราะไม่เหมือนใน จินตนาการ ที่คิดไว้ และให้เกย์ตัวจริงอ่านการ์ตูน yaoi คุณเกย์ก็ว่ามันไม่ใช่ การ์ตูนเกย์ แม้แต่น้อย ดังนั้นถ้าใครคิดว่าคนอ่านการ์ตูน yaoi แล้วจะกลายเป็นเกย์ก็ผิดมหันต์ หรือถ้าคิดว่า shonenai เป็นเรื่องผิดศีลธรรม การดูภาพแนวแอบสแทรกท์ (abstract) ที่ต้องตีความกันหลายชั้นก็คงผิดศีลธรรมเช่นกัน เพราะ shonenai เป็นเพียง สัญลักษณ์ ของนามธรรมแห่งความรักแบบต่างเพศ (heterosexual) ที่นำเสนออย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้เท่านั้นเอง
การตีความยังล้ำลึกไปได้อีกกว่านี้ เช่น การที่นักอ่านไม่ได้จิ้นว่าตัวเองเป็นฝ่ายรับแต่กลับเป็นฝ่ายรุกที่ดูแมนสุดๆแถมยังมีไอ้ที่อยู่หว่างขาเหมือนผู้ชายเสียด้วย เลยไปถึงการตีความชายหนุ่มที่ชอบอ่านการ์ตูน Yuri หรือ Loli หรือแม้แต่หูแมวและสาวแว่นก็ล้วนมาจากพื้นฐานวัฒนธรรมตะวันออกที่ลึกลับทั้งนั้น
เครดิต ffman
อืมม์...เป็นอย่างนี้นี่เอง
ไม่ต้องรอให้ถามมากเลยนะ น้องไอซี่...
ไม่ต้อง วาย เวอย อะไรหรอก
แค่ อาร์ ดี ๆ ก็มีความสุขแล้ว
ลอง Lust-Caution ดูซิครับ
พี่เหลียงเฉาเว่ย...ทำไป...ด้ายย...
ระดับคานส์เลยนะ...ขอบอก
เสริมนิดนะคับ เรื่อง วาย ๆ เนี่ย ช่วย(ซ้ำเติม)พี่ไอซ์ อิอิ
คือที่ผมรู้ว่า เพื่อนสาว (เพื่อนผู้หญิงอ่ะ อย่าคิดมาก - -) ของผมบอกว่า
ที่เรียกว่าพวก วาย หรือ สาวกวาย ส่วนใหญ่ เค้าจะเรียกพวก สาว ๆ หรือผู้หญิง ที่นิยมหรือคลั่งไคล้ ชายรักชาย กัน อ่ะฮะ แบบว่า ไปทางที่ชอบให้ผู้ชายรักกัน ไรเงี๊ยะ ไม่ค่อยใช้เรียกผู้ชายเท่าไหร่ เพราะเค้าจะเรียกชายรักชายตัวจริงว่าเกย์ไปเลย แต่คำว่าเกย์ก็ไม่ใช่ว่าจะหมายถึง ช/ช เท่านั้นนะฮะ เพราะ ญ/ญ หรือ ทอม/ดี้ ก็คือ เกย์ สปีชีร์หนึ่ง
สรุป คือ เกย์ หมายถึงพวกรักเพศเดียวกันอ่ะ
ปล.ออกตัวไว้นิดส์ เพื่อนสาว (เพื่อนผู้หญิง) บอกมาอีกที (มันก็ออกแนววายเหมือนกันอ่ะ พวกบ้าจิ้นให้ผู้ชายรักกัน โดยเฉพาะพวกดารา) เดี๋ยวจะว่า เห็นข้อมูลผมแน่น ๆ จะหาว่าเปงสาวก วาย อีกคนอีก เหอะ ๆ - -
ขอบคุณท่าน icy_nominee...
แหมมม...อ้ายกระผมก็แว๊บ ๆ แอบไปเล่น เพริทช์...ก็เป็นที่สงสัยยิ่ง...ทำไม๊ ทำไม...ผู้ชายบางคน ประกาศหาเพื่อนเที่ยว เพื่อนคุย แล้วบอกคุณสมบัติตัวเองว่า ผมเป็นรุก ผมเป็นรับ....อ้ายเราก็..งง..มันรุก มันรับ อะไรกันฟร่ะ....วันนี้เลยกระจ่างแย๊ววววว....
: เห่อๆ จุดเริ่มต้นมาจากเจ้าโจ๊กแหละฮะพี่ เค้าหาว่าผมเป็นเกย์ ทั้งๆที่ไม่ใช่ ผมไบต่างหาก เฮ้ย!!! ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว ไปดีกว่า |
โดยคุณ : icy_nominee วันที่ : 2008-02-04 11:44:18 |
...
...
....
อ้าว อย่างงี้คนที่ Y ตัวจริงก็ .........................
พี่พี่
โครต Y
เพื่อนผมคนนึงที่มหาลัยเขาก็เรียกกันพี่เสือครับ ..... แต่ไม่ใช่เสือผู้หญิง
แต่เป็นเสือผู้ชาย
สยองจริงเชียว
^
^
หรือตามที่ตาโจ๊กบอก ตาโยจะเอา 20,000 ล้านที่ได้มา ไปแปลงเพศ เผื่อจะสวยกว่าไอซ์ซี่