หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


จากF105 ถึง F16 เครื่องบินด็อกไฟต์สมบุรณ์แบบ

โดยคุณ : PHEETOH เมื่อวันที่ : 06/02/2008 15:11:13

เป็นเรื่องของเรืออากาศเอกจอห์น บอยด์ ต้นคิดในการสร้างF16ให้เป็นเครื่องบินสำหรับด็อกไฟต์สมบูรณ์แบบ

 

ชื่อข้างต้นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันหากผู้อ่านไม่เคยสนใจเรื่องราวของนักบินขับไล่  กระบวนการตัดสินใจใช้อาวุธและเครื่องบินขับไล่มาก่อน  แต่แท้จริงแล้วมันเกี่ยวกัน ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากที่เดียวกันด้วยคือท้องฟ้าเหนือเวียตนามเหนือ

                เรื่องเริ่มขึ้นในวันหนึ่งของเดือนเมษายนปี 1965 ขณะเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯคือF-105 “ธันเดอร์ชีฟ”4 เครื่อง กำลังปฏิบัติภารกิจทำลายสะพานธานห์หัว   จุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ถูกขนานนามว่า”ขากรรไกรมังกร”  ระหว่างกำลังเข้าสู่ที่หมายนั้นพลันเครื่องบิน MiG-17ของเวียตนามเหนือจำนวนหนึ่งได้พุ่งเข้ามากลางวง  ไม่ได้แค่สร้างความประหลาดใจแต่ยังยิงเครื่องบินอเมริกันตกไปสองเครื่องรวด  เครื่องที่สามเสียหายหนักและพยายามหนี   นักบินในF-105เครื่องที่สี่พยายามช่วยเพื่อนแต่กลับพบว่ามีมิกอีกเครื่องมาจี้ท้าย!

                F-105 เป็นเครื่องบินหนึ่งในรุ่นใหม่ล่าสุดของกองทัพอากาศขณะนั้น  อยู่ใน”Century Series”   หรือเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 2 ที่ออกแบบในทศวรรษ 1950  ส่วนMiG-17 คือเครื่องบินขับไล่ใหม่ของค่ายโซเวียตที่มาทดแทน MiG-15 เดิมตั้งแต่ครั้งสงครามเกาหลี   มันขับง่ายกว่า MiG-15 แต่ยังช้ากว่าเจ้า”ธัด”ของสหรัฐฯที่ทำความเร็วได้ 1,300 ไมล์/ช.ม.  เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์เครื่องบินอเมริกันเร็วกว่าหลุดลุ่ย

                แต่สถานการณ์ในตอนนี้ความเร็วช่วยอะไรไม่ได้  ถ้าจะเร่งหนี”ธัด”ต้องเปิดสันดาปท้าย  เร็วจริงแต่เปลืองน้ำมันจนอาจกลับไม่ถึงบ้าน  ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือเข้าคลุกวงในกับMiGแบบยอมแลก  นักบินอเมริกันพยายามหลบด้วยท่าทางการบินตามแต่จะนึกออก  แต่MiGก็เลี้ยวได้แคบกว่าทุกที  มันเลี้ยวดักทางได้ทุกท่วงท่าชนิดที่นักบินอเมริกันไม่มีทางสะบัดหลุด  กลับมาอยู่ในตำแหน่งยิงเบื้องหลังได้ทุกครั้งชนิดเป้าหมายหมดทางสู้

                พอหมดหนทางเข้านักบิน F-105 ก็นึกถึงคำบรรยายของเรืออากาศเอกคนหนึ่งผู้เคยมาเยือน”Fighter Weapon School”หรือโครงการฝึกนักบินขับไล่ขั้นสูง ณ ฐานทัพอากาศเนลลิส เนวาดา  นายเรืออากาศเอกผู้นั้นเคยบรรยายถึงกลยุทธการป้องกันตัวเองยามเข้าต่อตีระยะประชิดกับข้าศึก  เป็นยุทธวิธีที่น่าจะเหมาะกับนักบิน F-105 ด้วยเมื่อคับขัน  คือการดึงคันบังคับเข้าหาตัวอย่างแรงและโยกหลบซ้าย  เหยียบกระเดื่องบังคับแพนหางตั้งเบนซ้ายแล้วกลับลำเครื่องฉับพลัน

                เริ่มแรกการทำเช่นนี้ดูจะช่วยอะไรไม่ได้  ใครๆก็รู้ว่า F-105 นั้นใหญ่อุ้ยอ้าย  เอี้ยวตัวไปทางไหนแต่ละครั้งข้าศึกรู้ทางหมด MiGที่เล็กกว่าย่อมกลับลำได้เร็วกว่า  แต่นักบินอเมริกันไม่มีอะไรจะเสีย  ได้ลองยังดีกว่ายอมถูกยิงร่วง  เขาทำตามคำของครู  ดึงคันบังคับเข้าหาตัวแล้วหักซ้าย เหยียบกระเดื่อง เครื่องบินหมุนแล้วลดความเร็วลงได้เหลือเชื่อจนMiGพุ่งแซงหน้า  นักบินF-105แทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น แทนที่จะเหนี่ยวไกลั่นกระสุนเมื่อเป้าพุ่งผ่านศูนย์ปืนเขากลับงงเป็นไก่ตาแตก จะเหนี่ยวไกยิงก็ช้าเกิน  และการทำลายเครื่องบินข้าศึกก็ไม่ใช่ภารกิจหลัก คิดได้จึงตีวงหักหนีกลับบ้านไปแทนการไล่อัดMiGจนน้ำมันหมด

                เรืออากาศเอกคนดังกล่าวคือจอห์น บอยด์  หรือสุดยอดนักบินขับไล่ผู้มีฉายา”บอยด์ 40วิ” จากการชนะพนันระหว่างฝึกรบกลางอากาศ  บอยด์จะเริ่มด้วยการปล่อยให้เพื่อนมาไล่จี้ท้ายหาตำแหน่งยิง  แล้วภายใน 40 วินาทีเขาก็จะกลับทิศทางมาเป็นฝ่ายสังหารจ่อท้ายเครื่องของเพื่อนได้สำเร็จ  บอยด์วางเงินเดิมพัน 40 ดอลลาร์เริ่มแรกเสมอ   แต่เขาไม่เคยเสียมันไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว

                ประสบการณ์ของบอยด์ทำให้เขาถูกแต่งตั้งมาเป็นครูการบินใน Fighter Weapon School และจากความช่างคิดเช่นกันที่ทำเขาให้สรุปการดำเนินกลยุทธขั้นพื้นฐานขึ้น เพื่อให้นักบินพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งดีที่สุดในการทำลายเป้าหมาย  แนวความคิดทั้งหมดของบอยด์ปรากฏในหนังสือ Aerial Attack Study ซึ่งกลายเป็นบทเรียนยุทธวิธีเบื้องต้นสำหรับการรบทางอากาศทั้งในสหรัฐฯและต่างประเทศ  ด้วยนิสัยห่ามและชอบท้าทายกรอบความคิดแบบเดิมทำให้บอยด์คิดอะไรแปลกๆได้เสมอ     แนวความคิดที่เขาตั้งข้อสงสัยคือเรื่อง”ความเร็ว”ที่พวกนักออกแบบเครื่องบินรบสมัยนั้นพากันคลั่งไคล้

                ความเร็วคือสิ่งที่เครื่องบินรบอเมริกันต้องทำให้ได้ในทศวรรษ 1950  เครื่องบินที่ผลิตออกมาในช่วงนี้จึงเน้นความเร็วเป็นหลักด้วยความคิดว่ายิ่งเร็วยิ่งดี  แต่ประสบการณ์จริงบอกบอยด์ไปคนละเรื่อง  เจออะไรไม่เข้าท่าบ่อยครั้งเข้าเขาจึงเก็บข้อมูลไว้  ก่อนจะพบว่าเครื่องบินที่ถูกตราหน้าว่าห่วยอย่าง MiG-15และMiG-17 ที่ทั้งช้าทั้งสั้นม่อต้อและเหมือนพ้นสมัย กลับยิงเครื่องบินอเมริกันที่เร็วกว่าตกเป็นว่าเล่น   ปัญหาที่บอยด์ขบแตกคือถึงจะเก่าและช้ากว่า แต่เจ้าMiGพวกนั้นคล่องตัวกว่าเครื่องบินอเมริกันที่เร็วและ”ดูเหมือน”ดีกว่า

                MiGเปลี่ยนทิศทางได้รวดเร็วกว่า  เทียบกันโค้งต่อโค้งเห็นได้ชัดว่าวงเลี้ยวแคบกว่า นักบินอเมริกันจะหลบหรือสาดโค้งยังไงก็สะบัดไม่หลุดพาตัวเองเข้าไปอยู่ในศูนย์ปืนข้าศึกทุกที  สถิติเป็นตัวยืนยันว่าบอยด์ถูก  เขาชี้เปรี้ยงว่าระหว่างพันตูกันกลางหาวนั้นเน้นเร็วอย่างเดียวก็สูญเปล่า  ยิ่งมีข้อมูลเครื่องบินโซเวียตเพิ่มขึ้นบอยด์ยิ่งมั่นใจว่าทฤษฎีของตนถูก  ลำพังความเร็วย่อมไม่มีทางได้เปรียบความคล่องตัว เมื่อนำข้อมูลทางวิศวกรรมและประสบการณ์ของนักบินสองค่ายมาเทียบกัน  ผลสรุปก็ยิ่งน่าตกใจ  หากปล่อยให้ยังดวลกันอย่างนี้ต่อไปรับรองได้ว่าเครื่องบินอเมริกันถูกสอยร่วงไม่เหลือ

                คำถามของบอยด์ต่อกองทัพอากาศ  คือ”กองทัพอากาศเอาแต่ออกแบบเครื่องบินที่แพ้ข้าศึกวันยังค่ำได้ยังไง? หรือหากจะถามแบบบอยด์ก็คือ”นักบินขับไล่ของเราโดนไอ้พวกป่าเถื่อนนั่นยิงตกได้ไงวะ?”  นอกจากเร็วเกินแล้วเครื่องบินในCentury Series ยังใหญ่ ควันขาวเห็นแต่ไกล นักบินมองเห็นไม่รอบตัว  คนถูกยิงที่สะพานธานห์หัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าMiGพุ่งมาจากไหน  เห็นได้ชัดว่านักบินMiGมองเห็นเครื่องบินอเมริกันก่อน ปรับตัว ตัดสินใจและใช้อาวุธได้ก่อน จึงมีโอกาสชนะมากกว่า

ข้อมูลที่รวบรวมได้ผนวกประสบการณ์ส่วนตัวทำให้บอยด์สรุปกระบวนการตัดสินใจเข้าต่อตีเป็นอักษรสี่ตัวคือ OODA(Observe สังเกต,Orient ปรับตัว,Decide ตัดสินใจ และ Act ใช้อาวุธ) กระบวนการตัดสินใจเป็นวงรอบซ้ำไปมานี้ถูกรวมเรียกง่ายๆว่า”OODA loop”  นักบินผู้ดำเนินกระบวนการ”อูดา”นี้ได้เร็วกว่าข้าศึกย่อมชนะ   จุดใหญ่ใจความคือผู้ประมวลผลข้อมูลได้ดีกว่าคือผู้ชนะ

                สมมุติว่าเครื่องบินของฝ่ายเราบินเลี้ยวได้แคบกว่าข้าศึก 10 หรือ 20  เปอร์เซ็นต์  ไม่ว่าจะได้เปรียบอย่างไรก็ตามมันจะไม่มีประโยชน์ถ้ายังไม่ได้ทิ้งโค้ง  แต่ถ้าข้าศึกหักเลี้ยวได้เร็วกว่าเราซึ่งกำลังคิดและหาทางใช้อาวุธ  ลงมือยิงก่อน  ความได้เปรียบของเราก็ไร้ค่า จากตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้เห็นก่อน ปรับตัวได้ก่อน ตัดสินใจและใช้อาวุธได้เร็วกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ  ใครก็ตามที่เข้าสู่”วงรอบอูดา”ได้ก่อนและเสร็จสิ้นเร็วกว่า จะทำลายเป้าหมายได้ก่อน

                ความหัวแข็ง ยึดมั่นในความคิดและไม่ยอมใครของบอยด์ทำให้อยู่ยากในกองทัพ  หลังจากรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเป็นนายพลเขาจึงลาออกในปี 1975 พร้อมแนวความคิดการสร้างเครื่องบินเพื่อช่วยให้นักบินจบกระบวนการ”อูดา”ได้เร็ว  ทั้งที่เป็นพลเรือนแล้วแต่ยังทำงานให้กระทรวงกลาโหม ทฤษฎีของบอยด์ก่อให้เกิดเครื่องบินขับไล่แบบใหม่คือ F-15 ที่เน้นความคล่องตัวระหว่างคลุกวงใน  แต่ถูกพัฒนาออกไปอีกหลังจากหลุดพ้นกองทัพ  F-16 คือเครื่องบินขับไล่ประสบความสำเร็จสูงทั้งด้านการตลาดและสมรรถนะจากหัวคิดของบอยด์  สิ่งที่ดีอยู่อยู่แล้วใน F-15 ได้ถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นใน F-16 มันคล่องตัวกว่าและทัศนวิสัยของนักบินก็ดีกว่า  ด้วยฝาครอบห้องนักบินกระจกชิ้นเดียวไร้รอยต่อเหนือลำตัว ที่นั่งยกสูงและเอน  เป็นเครื่องบินขับไล่สมัยใหม่ที่ย้อนยุคไปใช้แนวความคิดเดิมของเครื่องบินรุ่นเก่าอย่าง F-84”ธันเดอร์เจ็ต” และ F-86 “เซเบอร์”เพื่อออกแบบห้องนักบินและฝาครอบทรงกลม เอื้ออำนวยต่อการเข้าสู่วงรอบ”อูดา”ของนักบินให้เร็วที่สุด

                นอกจากคล่องตัวและทัศนวิสัยยอดเยี่ยม  มันต้องเบาและไม่แพงจนกองทัพอากาศสามารถซื้อไว้ใช้ได้ทีละมากๆ  บอยด์เชื่อว่าสงครามเวหาในอนาคตต้องการเครื่องบินความคล่องตัวสูงเยี่ยงนี้ เพราะเป็นสงครามที่วัดผลแพ้ชนะกันด้วยข้อมูลข่าวสาร ใครมีข้อมูลมากและดีกว่า จบกระบวนการ”อูดา”ได้เร็วกว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

                หลังจากหมดภารกิจในกระทรวงกลาโหมปี 1988 บอยด์ย้ายไปใช้ชีวิตในฟลอริดา  “OODA loop”ของเขามีประโยชน์มากกว่าแค่ใช้สอนนักบิน  ดัดแปลงให้ดีมันใช้ได้ด้วยกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน  นักบาสเก็ตบอลที่จบกระบวนการ”อูดา”ได้เร็วกว่าฝ่ายตรงข้ามจะดักทางเคลื่อนไหวตัดลูกได้ถูก  กองกำลังภาคพื้นดินที่ดำเนินกระบวนการ”อูดา”เร็วกว่าจะยึดที่หมายได้ก่อนและสูญเสียน้อย 

แม้ในเชิงการค้าถ้าธุรกิจใด”รู้เขา”(Observe),”รู้เรา(Orient),ตัดสินใจ(Decide) และดำเนินกลยุทธการตลาด(Act)ได้เร็วกว่า  ก็ย่อมทำกำไรได้มากกว่าและกันคู่แข่งออกจากตลาดได้

                มีคนรู้น้อยเหลือเกินว่าบางแนวความคิดในการทำธุรกิจ  แท้จริงมีต้นตอจากแค่นักบินอเมริกันคนหนึ่งพยายามหาทางยิง MiGข้าศึกให้ร่วงเท่านั้น!





ความคิดเห็นที่ 1


 

เข้ามาลงชื่อว่า อ่านจบแล้ว ครับ

 

ขอบคุณครับพี่โต

 

 

โดยคุณ CoffeeMix เมื่อวันที่ 05/02/2008 01:03:27


ความคิดเห็นที่ 2


ปัจจุบันต้องให้ไต้ฝุ่นเขาไปครับ เปลี่ยนท่าการบินกระทันแม้แรงจีจะอยู่ที่สูงๆได้สบาย  ผบ. ฝูงแรบเตอร์ที่แลงรี่ย์เขาลองมาแล้ว บอกอีกว่าเทียบกับแรบเตอร์ไม่ได้เพราะเหมือนกับ แนสคาร์กับ เอฟวัน คนละจุดประสงค์

โดยคุณ seesaning เมื่อวันที่ 06/02/2008 04:11:14