ผมจำได้ว่าในยุคของทักษิน มีการเจรจาตกลงกัน โดยมีทางเลือก 3 ทาง คือ F-16 C/D , Jas 39 Gripen, SU-30 MK จากคุณ : megaxx - [ 20 ต.ค. 50 17:55:25 A:58.9.55.243 X: ]
โดยในรายละเอียดของ F-16 C/D จะไม่พูดถึงอีก เพราะห่วยสุดและ เงินสดอย่างเดียว เจเนอรัลไดนามิคส์ (ผู้
ผลิต จะเลิกสายการผลิตแล้ว ที่มีผลิตอยู่ก็แค่ออเดอร์ที่ตกค้าง เท่านั้น)
แต่อย่างไรก็ตามเครื่องบินรบระดับนี้ ราคาใกล้เคียงกัน คือ ลำละ ประมาณ 35 - 50 ล้านเหรียญ ประมาณ 1190 -
1700 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับออฟชั่นเพิ่มเติม เช่นระบบเอวิโอนิคส์ หรือ ระบบควบคุมอาวุธ ฯลฯ ดังนั้น 12 ลำ น่าจะ
ราคาประมาณ 14280 - 20400 ล้านบาท ยกเว้นกรณี ซื้ออาวุธนำวิถี หรือ อาวุธอื่นฯเพิ่มเติม
สำหรับ กรีเป้น จำได้ว่าเงื่อนไขในยุคทักษิน จะเป็นดังนี้
1. จะสร้างโรงงานในบ้านเราเพื่อผลิตกรีเป้นให้ รวมถึงถ่ายทอดโนว์ฮาวน์ให้หากต้องการ
2. แถมเครื่องบินตรวจการ และ ทำสงครามอีเล็คโทรนิคส์ให้ (เครื่อง AWACS เวอร์ชั่นสวีเดน
3. เป็นบาร์เตอร์เทรด
สำหรับ SU - 30 MK ของรัสเซีย ราคาสูงกว่ากรีเป้นนิดหน่อย แต่ก็อยู่ระหว่าง 35 - 50 ล้านเหรียญเช่นกัน ซื้อกันในออฟชั่น
1. บาร์เตอร์เทรด
2. จะให้การสนับสนุนการสร้างโรงงานซ่อมบำรุง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทหารไทยเรื่องอะไหล่ และ จะให้เป็น
เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงในภูมิภาค (คล้ายๆที่มาเลย์ในตอนนี้) และหากต้องการซื้อโนว์ฮาวน์ไปผลิตเองก็ยินดี อย่างเดียว
กับที่อินเดียทำอยู่ ในปัจจุบัน และ ข้ออ้างของทหารไทยที่ว่า หากซื้อ SU - 30 MK จะมีปัญหาเรื่องระบบอาวุธไม่สา
มารถใช้ระบบของนาโต หรือ อเมริกาที่เรามีอยู่ได้เช่น AAmram เป็นเรื่องโกหก เพราะรัสเซียมีเวอร์ชั่นที่ปรับ
ปรุงระบบอาวุธให้ใช้ของทางนาโต หรือ อเมริกาได้ด้วยดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องนี้ อีกอย่างปัจจุบัน ระบบอาวุธนำวิถี
ของรีสเซีย และ ระบบเรดาร์ดีกว่าของเมกาอีก ดีสุดของอเมริกาจับเป้าหมายได้ ไม่เกิน 80 กม. แต่ของรัส
เซีย จับเป้าหมายไกลสุด 120 กม. เรียกว่า บินอยู่เรายังไม่เจอเค้าเลย แต่เค้าเจอเราแล้ว และท่าบินของ SU - 30
สามารถบินในภาวะที่ไม่เสถียรได้ ขณะที่ของอเมริกาทำไม่ได้ มีเฉพาะ F - 22 , F 35 เท่านั้นที่ทำได้ แต่ F - 35
ลำละ 100 ล้านเหรียญ และให้สมาชิกผู้ร่วมวิจัย พัฒนา ได้สิทธิซื้อก่อนเช่น อังกฤษ และ สิงค์โปร์ ฯลฯ
3. แลกกับสิทธิในการพัฒนาทางอวกาศ เช่นส่งคนไปอวกาศ คล้ายที่มาเลย์ทำ
4. เพื่อ แหล่งพลังงานเช่นก๊าซ และ น้ำมัน หรือป่าไม้ในไซบีเรีย (มาเลย์ได้สัมปทานป่าไม้ในไซบีเรียไปแล้วด้วยเงื่อนไขดังกล่าว)
5. แถม ฮ . MI - 19 ด้วย (จำไม่ได้ว่ากี่ลำ)
ผมอ่านนสพ ที่ทหารไทยให้สัมภาษณ์ ทำไมเงื่อนไขบางข้อ หายไป และ ทำไม แพงกว่าเดิม และ ทำไมไม่เลือก
SU - 30 MK
ดีกว่าทั้งในแง่ของสมรรถนะ คุณภาพ และ ผลประโยชน์
ชาติ มีสิทธิผลิตเองด้วย แต่เอาเถอะยังไง กรีเป้นก็ดีกว่า F-16 C/D ( ถึงเวลารบจริง นักบินจะตายไม่รู้ตัว โดนยิงมา
จาก SU - 30MK ตอนไหนยังไม่รู้เลย ยิ่งเวลา Dogfight สมรรถนะในการบิน โดยเฉพาะท่าบิน ไม่เอื้อให้หลบจรวด
ได้อย่าง SU - 30 ) แต่ข้องใจ ทำไมแพงมาก ตกลำละเกือบ 2616 ล้านบาท หรือ 77 ล้านเหรียญ
สงสารประชาชน
สงสารนักบิน
ขอโทษ นะครับ ผมก็อบมา ใจจริงก็ชอบเจ้า grippen นะคับ แต่รู้สึกได้ว่า มันน่าจะแพงเกินไป
จะเอาjas-39ลำละ50ล้านUSก็ได้น่ะครับ เอาเครื่องเปล่าๆมาหัดขับกันเองไม่ต้องฝึกอบรมลองผิดลองถูกกันเอง มาปีกโล่งๆอย่างนั้นเอามั้ยครับ อีรี่อายก็ไม่ต้องเอา
แล้วjas-39ตรวจหาศัตรูที่ไกลเป็นร้อยๆกิโลฯไม่ได้หรอครับ
jas-39 เหมาะกับประเทศเรามากที่สุดแล้วน่ะครับ ผมเชื่อว่าทอ.เค้าคิดไม่น้อยเลยกว่าจะเลือกได้ ค่าใช้จ่ายในการใช้ก็ต่ำระบบอาวุธก็ไม่เป็นรองใครอยากให้ศึกษาข้อมูลของ jas-39ดีๆก่อนครับแล้วเปรียบเทียบ อยากให้มองโลกกันในแง่ดีมั่งครับไม่ใช่คิดแต่ ค่าคอมๆๆ อย่างนี้ประเทศก็ไม่เจริญหรอกครับพอฝ่ายโน้นทำฝ่ายนี้ค้าน ฝ่ายนี้ทำฝ่ายโน้นค้าน อดกันพอดีครับ ขับF-5แหละหมดเรื่อง
อ่านแล้วเหนื่อย
อันนี้ ผมไม่แน่ใจกับ ระเบียบการของบประมาณของกองทัพหรือเปล่า...
กองทัพของงบซื้อ บ.รบ เพื่อทดแทน...
ไม่ได้ของบเพื่อซื้อ บ.ใหม่ คือ บ.ระบบเตือนภัยทางอากาศ....
งบของ บ.ระบบเืตือนภัย กับ ฐานเรดาห์ภาคพื้น สำหรับ JAS-39 จึงรวมอยู่ในราคาตัวเครื่องด้วย...( จึงต้องเรียกเป็นว่า ของแถม เขาแถมมา...ไม่ได้ซื้อ )...
ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็น แพคเกจ ได้...แบบ ออสเตรเลีย ซื้อ บ.F/A18 E/F ร่วม ๆ ลำละกว่า 120 ล้านเหรียญ ซึ่งแพงกว่าราคาขายปกติ...แต่ในการสั่งซื้อของ ออสเตรเลีย จะร่วมเรื่องอาวุธ ระบบอิเลคทรอนิคต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากระบบมาตรฐาน รวมไปด้วย โดยไม่แจงมูลค่าของ อาวุธต่าง ๆ แยกออกไปแต่อย่างใด....
JAS-39 ก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน...
ก็จริงครับ....
แต่.........คิดถึงเกษตรกรก็ OK ครับ แต่ก็ต้องคิดถึงทอ.เขาด้วย ไม่รู้จริงหรือไม่ หนังสือพิมพ์เคยลงข่าวอ้างว่าได้เอกสารการประเมินค่ามาจากทอ. บอกว่าประเทศอย่างเรา ถ้าใช้ Su-30 ไป 30 ปี เสียเงินอย่างน้อย 5 แสนล้าน เท่ากับปีละ 16 พันล้านบาท........แต่ถ้าข้อมูลนี้ไม่เป็นจริง ก็ลองดูคร่าว ๆ ครับว่า Su-30 บินชั่วโมงหนึ่ง แพงกว่า F-16 2 เท่า แพงกว่า Gripen 4 เท่า อาวุธซื้อใหม่ยกแผง Ground Support ต่าง ๆ ใช้ของเดิมไม่ได้เลย......
ซึ่งผมมองว่า ผมประโยชน์สุงสุดของชาติ ไม่จำเป็นว่าทอ.ต้องได้เครื่องบินในขณะที่ขายไก่ได้ก็ได้ครับ (ได้เครื่องมาแล้วอาจจะบินได้ไม่เท่าไหร่ เพราะไม่มีเงิน) ....... เราจ่ายเงินสดซื้อเครื่องบินชุดนี้ แต่ตามปกติแล้ว กลุ่ม Saab เขาจะมาลงทุนในประเทศลูกค้าเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าที่ขายได้......ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ เงินลงทุนก็จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะสร้างเงินใหม่ขึ้นมาอีก 5 เท่าเช่นกันครับ.....34,000 ล้านบาท = 170,000 ล้านบาท...ตามอนุกรมทางคณิตศาสตร์....ซึ่งถ้าเราไม่เอาการลงทุนจากกลุ่ม Saab เราก็สามารถเจรจาให้ประเทศผู้ขายซื้อสินค้าเรากลับไปในเงื่อนไขขาย Counter trade....แบบปืนใหญ่ของทบ.ที่ซื้อจากอังกฤษไงครับ เราขายสินค้าทางการเกษตรให้เขาไปด้วยเงินสด แล้วเราก็ซื้อปืนใหญ่เขาด้วยเงินสดเช่นกัน....ทุนคน Happy มากกว่า Barter Trade ครับ เพราะกำเงินสด ไม่ได้กำสินค้าที่ต้องไปเปลี่ยนเป็นเงินสดอีกครั้ง
อีกอย่าง Su-30 มันมาเป็นตัวเลือกได้ถึงขนาดนี้ ก็เพราะเหตุผลที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดีครับ
อันนี้ผมโพสในนามคนที่เชียร์ Gripen มาสามปีแล้วครับผม และด้วยความเคารพครับ
ผมก็มีความรู้สึกเ่ช่นเดียวกับท่าน Nars ครับ...แต่เมื่อดูสภาพการเมืองในข้างหน้าแล้ว ผมก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลใหม่ ในสมัยหน้า จะสามารถดำเนินการ นำสินค้าเกษตรแลกอาวุธได้ เหมือนกับรัฐบาลก่อนหน้า รัฐบาลปัจจุบัน...
รัฐบาลใหม่ในอนาคตข้างหน้า (ถ้ามีการเลือกตั้ง) ผมว่าคงยังมุ่งในเรื่องการเมือง และรัฐธรรมนูญ เป็นหลัก...และอายุรัฐบาลสั้น ผมคาดว่าอย่างเก่งก็ 2 ปี...
ความรู้สึกส่วนตัว จึงต้องทำใจว่า ในระยะ 5 ปี นี้ กองทัพคงต้องซื้ออาวุธด้วยเงินสด ๆ อย่างเดียว...แต่มันก็มีความจำเป็นต้องจัดหาจริง ๆ....
โดยในระยะแรกของ บข.20 จะชำระด้วยเงินสด 19,000 ล้านบาท (โดยประมาณ ขึ้นอยู่กับการแข็งค่าของเงินบาทด้วย) แต่ในระยะ 2 ถ้ารัฐบาลใหม่ในสมัยหน้า มีความสามารถจริง ๆ ผมว่าในการต่อรองเงื่อนไข เรื่องการตอบแทนผลประโยชน์ระหว่างกัน ในเรื่องสินค้าเกษตร หรือการลงทุนจาก สวีเดน ยังมีช่องทาง และมีโอกาสอยู่...คนที่มีึความสามารถ มักจะแก้ปัญหาได้เสมอ...
ความคิดเห็นส่วนตัว...ตอนนี้จึงเป็นโอกาส ที่คงต้องคว้าไว้ก่อน...เพราะสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน เราก็ไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้อยู่แล้วครับ...เอาไว้ค่อย เช็คบิล ย้อนหลัง...เพราะต้องมีหลักฐานแสดงได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ครับ...ความผิดจึงจะสำเร็จ...คำว่า...เป็นเหตุให้เชื่อได้ว่า...ผมคิดว่า ความผิดยังไม่สำเร็จ ครับ...
ตอนแรกรัฐบาลสวีเดนเคยเสนอโครงการเป็นการแลกเปลี่ยนร้อยเปอร์เซ็นต์กับสินค้าเกษตร
เรื่องเครืองบินแลกไก่สวีเดนเป็นผู้เสนอตอนที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเลือง jas ครับท่าน skymam เผยแพร่ตามสื่อด้วยครับ
^
^
^
ครับท่าน แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่า JAS-39 ไม่ได้เสนอน่ะครับ........ตอนแรกเขาเสนอแค่ 50% ตอนหลังจึงเพิ่มเป็น 100%.........แต่เราก็ทราบกันดีว่า การทำ Barter Trade นั้นมีปัญหามากจริง ๆ กับเครื่องบินทั้งสามแบบ เรียงลำดับกันไป F-16, Gripen, Su-30
ซึ่งถ้าได้ barter Trade ก็ดีครับ.....แต่ในกรณีอาวุธแล้ว แทบจะไม่มีผู้ลิตอาวุธรายใด อยากจะยอมรับ Barter Trade อย่างที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ปรากฏ เพราะอย่างที่บอกครับ เขาได้ไก่ ไม่ใช่ได้เงินสด.......เรื่องยุ่งครับ........อย่างสัญญา Barter Trade คงยังจำกันได้ เราต้องส่งไก่ให้ผู้ผลิตทั้งสามเป็นเวลาเกือบ 10 ปี และเราจะได้รับเครื่องบินประมาณ 2 -3 ปีก่อนส่งไก่ครบ เพราะเขาต้องเอาไก่ไปขายเอาเงินมาจ่ายค่าประกอบเครื่องบิน......ผมจึงเสนอว่าถ้าเราจะไม่เอา Industrial Offset คือการลงทุนในไทยจากเขา ......เราก็ควรใช้วิธี Counter Trade แบบปืนใหญ่ L115 ของทบ. ..............เราซื้อเงินสดเครื่องเขา เขาก็ซื้อไก่เราเป็นเงินสด........ทุกคนถือเงินสด ได้เงินสด Harppy กว่าเยอะครับ
ซึ่งกรณีนี้ก็อยู่ที่การเจรจาครับว่าจะเลือกอะไร เพราะอย่าลืมครับว่าครม.อนุมัติในหลักการเท่านั้น.....ขั้นตอนต่อจากนี้คือคณะกรรมการของทั้งสองฝ่ายจะต้องมานั่งคุยกัน ทั้งในเรื่องของสเปคเครื่อง การฝึก อะไหล่ การส่งมอบ ไปจนถึงวิธีจ่ายเงิน และการตอบแทนการขายของผู้ผลิตครับ......แล้วจึงค่อยมาทำการเซ็นสัญญาครับ
ผมถามคุณ nars
สมมติ ผมเป็นเจ้าของบริษัท ซีพี คุณ เป็นลูกน้องผม
ผมจ่ายเงินเดือน เป็นไก่ อย่างเดียว คุณเอาหรือเปล่าครับ
เรื่องบาร์เตอร์เทรด100% นี่เป็นเรื่องยากครับ ไม่จบง่ายๆ ถ้าวงเงินจัดซื้อไม่สูง ยังพอคุยกันได้ แต่นี่ วงเงินเป็นหมื่นล้านน่ะครับ
ขนาดมาเลเซีย เอาเจ้าsu30 ยังบาร์เตอร์เทรด แค่30% ได้ คือได้แค่ส่วนเดียว
ไอ้เรื่อง แลกเปลี่ยนทั้งหมดน่ะ ยากครับ ตอนน้น ข่าวหนังสือพิมพ์ก็ออกกันไป แต่หากพิจารณา ด้วยหลักง่ายๆ นี่ ไม่ใช่ง่ายๆเลย
การจัดซื้อนี้หากจะให้ส่วย ก็ควรต่อรองว่า ขอให้ มีการจ่ายเป็นสินค้าการเกษตรสักส่วน ถึงจะเป็นไปได้ แบบที่คุณ skyman บอกน่ะครับ
อ้อ อีกอย่างการบาร์เตอร์เทรดนี่ ยังมีส่วนที่ว่ายากในการเจรจาเรื่องราคากลางที่สองฝ่ายเห็นชอบกันอีกด้วยนะครับ การเจรจา ต้องมีส่วนของกระทรวงอื่นๆ เข้าไปเกี่ยวข้องอีก แม้ว่า ข้อดีคือสงวนเงินตรา ต่างประเทศ แต่ระยะเวลากว่าจะคุยกันจบอีกนานครับ
ง่าย กรณีรถเกราะจากจีน กว่าเจรจากันรู้เรื่อง ลำไยก็เป็นลมไปซะแล้ว เพราะว่าจะเอาแลกเปลี่ยนเต็มมูลค่า น่ะครับ
เรื่องลำไย อย่าให้พูดเลยครับ
มันเป็นเรื่องที่อุบาทว์สุดๆสำหรับประเทศเราและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน
เรื่องลำไย ไล่กันยาวครับ
เอาเป็นว่ายุคนึงลำไยขายได้ราคาดี รัฐก็ดันไปส่งเสริมให้ผลิตกันมาก
มากจนซัพพลายล้นตลาด สุดท้ายเกษตรกรก็มาโวย ประท้วง
รัฐก็ใช้วิธีประกันราคา / เข้ารับซื้อ เอาเงินภาษีประชาชนไม่มากเท่าไหร่หรอกครับ แค่เกือบหมื่นล้านเอง เพราะอุ้มไปตั้งแต่ปี 2544ยันปี 2547 (คงไม่ต้องบอกนะ ว่ารัฐบาลไหน)
มูลค่าของลำไยเลยแลกรถเกราะได้สบาย....
ลำไยมันก็เก็บในสต๊อกโกดัง เป็นลำไยอบแห้ง
เอาเป็นว่ามีการทุจริต เป็นข่าวโด่งดัง
มีหลักฐาน เป็น case study ที่ทำให้ ปปช มีผลงาน มีคนร้าย(ที่มิใช่แพะ)
ประมาณว่า ขรก คิดไม่ซื้อ มีการปล่อยขายลำไย โดยเอาเกรดดีๆ แอบขาย แล้วเอาลำไยเกรดห่วยๆ มาให้แทน
มีหลักฐานว่ามีการทุจริต 2 พันล้าน !!!
ขณะนั้นรัฐบาลกำลังทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับจีนพอดี (อะไรสักอย่าง)
ทำให้เสียความเชื่อมั่น ต้องสั่งประกาศทำลายลำไยทิ้ง มูลค่าเป็นพันล้าน สูญเปล่าไปฟรีๆ เอ้อออ
หลังจากนั้น ข่าวบารเดอร์เทรดลำไย ก็ค่อยๆเงียบหายไป(เพราะลำไยมันฉิบหาย ฉ่าวโฉ่หมดแล้ว)
- -' สรุป ผมว่าใช้เงินน่ะแหล่ะ จบ ง่ายดี
Counter Trade คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ
บาร์เตอร์ มันเป็นไปได้ยากในแ่ความจริง
แต่Counter trade น่าจะเป็นไปได้ครับ
อย่าง วอลโว่ มาสร้างโรงงานผลิตรถในไทย (ผมไม่แน่ใจว่า วอลโว่ในไทย ใช้โรงงานฟอรฺดผลิตรึเปล่า)
หรือ มาลงทุนในไทย ในมูลค่ามากกว่า หรือเท่ากับ มูลค่าอาวุธที่ซื้อไป
แบบเดียวกับเช็ค(หรือฮังการี ผมไม่มั่นใจ) ที่ซื้อยาส แล้วมีการลงทุนในประเทศที่ซื้อในมูลค่าเท่ากัน
ดูเป็นไปได้มากกว่าบาร์เตอร์ครับ
ผมนึกว่าบอร์ดเราไปโลกพระจันทร์กันแล้ว....................ยังมีไอ้ถ่อย ขนอุยอ่อนๆ มาแหกปากเหยงๆ พ่องๆ แม่งๆ กันอยู่อีก.........................................
เหนื่อยเปล่าถ้าจะมาถกกันรื่องสมรรถนะครับ ผมเองยังยืนยันว่า ซู-๓๐ เหมาะสมกว่าเด็ดขาด แม้จะบวกลบคูณหารกันด้วยประการใด............................. แต่เมื่อคนใช้ เค้าเลือก กริเพ่น ไปแล้ว เค้าเลือกไปแล้วนี่.......... เหมือน น้องนางเข้าดองป้อนกล้วยป้อนไข่ รอแต่จะเข้าห้องหอ ป่วยการที่คนที่สามจะมาฟูมฟายเหยงๆอยู่เล่า เค้าว่า กริเพ่นก็กริเพ่นครับ................... จบเรื่องสมรรถณะและความเหมาะสม...........แต่....................มีต่อ
ผมว่าเพื่อนท่านนี้เชียร์ SU-30 สุดโต่งไปหรือเปล่าครับ ผมนี่แฟน SU-30 MK ตัวยงเลยนะครับ และก็ชอบเตรื่องเชิงรุกมากกว่าเครื่องเชิงรับอย่าง JAS-39 C/D
ราคาที่เข้าเสนอของเครื่องทั้ง 3 แบบอยู่ระดับใกล้เคียงกันนะครับ คือ ราวๆ 42-45 ล้านเหรียญ เอา 33 บาทคูณก็ได้ประมาณ 1,400 - 1,450 ล้านบาทณค่าเงินที่ 33 บาทต่อดอลล์ (เปลี่ยนไปหลายร้อยล้านบาทจากยุดทักกี้เพราะค่าเงินแข็งขึ้นมามากมาย สมัยนั้นตกเครื่องละประมาณ 1700 ล้านบาท)
ราคา JAS-39 จำนวน 12 เครื่อง รวมเป็นเงิน 34,400 ล้านบาท ต้องหักค่าเครื่อง AEW&C ที่ติดระบบเรด้าร์ Ericeye 2 ตัว ก็กว่า 12,000 ล้านบาทแล้วนะครับ เหลือประมาณ 22,400 ล้านบาท ต้องไปหักค่าเครื่อง SAAB A340 ที่มาใช้เป็นเครื่องฝึก(เผื่อซ่อมอะไหล่กินตัวได้ยามจำเป็น)อีก 1 ตัว คงราวๆสัก 1,000 ล้านบาทได้ เหลือ 21,400 ล้านบาท ค่าจรวดอีกจำนวนหนึ่งต้องหักด้วย ก็คงเหลือต่ำกว่า 20,000 ล้านเล็กน้อย เอา 12 หารได้ออกมาเป็นเครื่องละ 1,700 ล้านบาท อืมมมมแพงไปประมาณ 200 - 300 ล้านบาทต่อลำ
แสดงว่าของแถมส่วนอื่น เช่น Source code , สิ่งอำนวยความสะดวกภาคพื้นดิน , ทุนการศึกษา , ความช่วยเหลืออื่นๆในด้านการฝึกนั้น มิได้แถมแหง๋ๆเลย แต่เป็นกลยุทธการขายที่ซื้อแล้วได้ออปชั่นและอุปกรณ์ใช้ร่วมครบเซ็ท
ถ้า JAS-39 C/D batch 3 และอยู่ในสายการผลิตล่าสุดที่ปรับปรุงระบบอิเลคทรอนิคและเพิ่มความสามารถในการโจมตีภาคพื้นดินเรียบร้อยแล้ว ราคานี้รับได้ครับ เพราะประสิทธิภาพทางด้านระบบอิเลคทรอนิคจะต่ำกว่า F-16 50/52+ ไม่มากนัก ถึงจะยังเป็นรองอยู่แต่ก็พอถูไถไปได้ เพราะส่วนด้อยจะถูกชดเชยด้วยระบบ ericeye แต่ในส่วนความด้อยกว่าในเรื่องกายภาพของเครื่อง เช่น นน.บรรทุก รัศมีในการบินรบ ก็ต้องยอมรับกันตรงๆละครับว่าด้อยกว่า SU-30 MK และ F-16 50/52+ มาก แต่การ Dogfight จะดีกว่าเพราะเป็นเครื่องปีกสามเหลี่ยม ถ้าเข้าประชิดได้ (เน้นนะครับว่า "ถ้า") ก็จะอยู่ในสถานะได้เปรียบ F-16 50/52+ (สำหรับ SU-30 MK ยังไม่แน่ใจว่าจะได้เปรียบ เพราะ SU-30 MKI มีระบบปรับทิศทางแรงขับด้วย)
พูดง่ายๆ มองอย่างเป็นกลางแล้วยอมรับได้ ไม่น่าเกลียดนัก เพราะถ้าจัดหา F-16 50/52+ หลังเลือกตั้ง รับรองว่าอดแน่ๆ
สำหรับคุณ VEranda ครับ ผมว่าคุณตอบแบบเข้า JAS-39 แบบสุดโต่งมากเกินไป และยังใช้คำพูดที่แย่สุดๆเลยนะครับ
ไม่ต้องถึงขั้นพ่อของพวกเราหลอกครับ แค่เพื่อนหลายคนในเวปบอร์ดนี้ก็น่าจะรู้เรื่องประสิทธิภาพของเครื่อง SU-30 MKI JAS-39 C/D batch 3 F-16 50/52+ ดีกว่าทั้งตัวคุณและก็คุณพ่อของคุณมากด้วยนะครับ ย้ำเลยนะครับว่าทุกท่านที่เป็นสมาชิกเก่าแก่ของที่นี่รู้กันดี เพราะศึกษากันมาอย่างโชกโชน มีแต่คุณเท่านั้นแหล่ะครับที่มั่วสุดๆ
ในเครื่อง 3 รุ่นแล้ว JAS-39 C/D batch 3 มีประสิทธิภาพต่ำสุดแล้ว
ส่วนข้อที่ว่าเครื่องของรัสเซียแบบ SU-30 นี้ใช้ระบบอาวุธของอเมริกาไม่ได้ กรุณาไปหาความรู้มาใส่สมองที่มีแต่ขยะให้มากกว่านี้หน่อยนะครับ เพราะ SU-30 MKI ที่เราจะซื้อ ทางทอ.ยุคนั้นก็มีทีท่าว่าจะทำการโมดิฟายให้ใช้งานกับระบบอาวุธทุกชนิดในคลังแสงของทอ. ยืนยันว่าทำได้ครับ เพราะอิสราเอลเป็นผู้โมดิฟาย ใช้ได้หมดทั้ง AIM-9 L-M , PGM , MARVERIK , POPEYE , ระเบิดนำวิถีแบบต่างๆ กระเปาะ Lightenning 2 , กระเปาะสงครามอิเลตทรอนิคทุกแบบของอิสราเอล
ถ้าไม่เชื่อลองไปตรวจเสเปกเครื่องที่เวเนซุเอล่าซื้อมาสิครับ ให้อิราเอลโมดิฟายด์แล้วใช้อะไรได้บ้าง
เข้าเวปนี้กรุณาหาความรู้มาอย่างดีก่อนนะครับ ถ้าทำไม่ได้กรุณาถามเพื่อนๆที่เวปก็ได้ ทุกคนยินดีตอบนะครับ แต่กรุณาอย่ามาแสดงความ "ถ่อย" ที่เวปเป็นกลางและเน้นวิชาการกันพอสมควรเลย อายชาวบ้านเขานะครับ เพราะที่นี่มีแต่เซียน
ตาย..หละหว่า...อะไรกันนี่....ละคนไม่ใช่เซียน..อย่าง..ผมคงหมดสิทธิ์..แสดงความคิดเห็น..อะดิ..ครับ...
คุณ CAPT.TOM ครับอย่าพึ่งน้อยใจไปครับ เวบบอร์ดเค้ามีไว้แสดงความคิดเห็น ผมเชื่อว่าหากคุณไม่เขียนอะไรที่หยาบคายหรือไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้ คุณมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นของคุณ หากความคิดเห็นของคุณถูกมองว่าผิดก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ และตรวจสอบด้วยเหตุผลว่าผิดจริงหรือเปล่า
ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเซียนหรือผู้รู้ดีมาตั้งแต่เกิดหรอกครับ ทุกคนก็เริ่มจากศูนย์กันทั้งนั้น ผมเชื่อว่าหากคุณเรียนรู้ไปเรื่อยๆสักวันคุณก็เป็นเซียนเองแหละครับ
ต่อจากท่านนีโอสยามนะครับ ที่ทอ.จะให้อิสราเอลโมซู30ให้เข้ามาตรฐานนาโต้นั้น ทำได้แน่นอนครับ แต่ผมยังสงสัยอยู่นิดๆว่าจะโมAIM120ให้ติดกับซู30นั้นจะเป็นไปได้หรือป่าวเพราะผมยังไม่เคยเห็นสเปคของเจ้าSu-30MKV 24 ลำนั้นเลยนะครับ แต่แน่ๆเลยคือไม่ต้องซื้อใหม่หมดแน่ๆมีปัญหาอะไรไปหาพี่ยิวเลย
ต่ออีกนิด ที่คุณว่าPropagandaนะมันอเมริกาชัดๆไม่เชื่อไปดูหนังสงครามแต่ละเรื่องสิ แล้วกรุณา
ใช้คำพูดที่สุภาพด้วยครับ
จริงๆแล้วผมชอบ ซู 30 อยู่แล้ว แต่ถ้าซื้อ กริบเพ่น แล้วให้รหัสมาก็โอเค ครับ
ขอให้ได้มาสักอย่างเถอะ ที่ใต้มันโหวงเหวงมานานแล้ว............
ที่ผ่านมายังไม่เคยเจออะไรที่มันลงตัวซักกะที ใน ชีวิต จึงขอให้เรา เอาใจช่วยกันสอดส่องแทนจะดีกว่าครับ
ผมทราบครับว่าทุกท่าน หวังดี...........................................
-*- ตกลง กระทู้นี้มันยังไงล่ะเนี่ย ออกทะเลไปซะงั้น
ปล. แฟน16 อย่างผม ไปนั่งมุมห้อง แอบเซ็งทำไมมีแต่แฟน30 กับ39 แต่ว่าได้39ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้อะไร
รู้สึกว่า แฟนคลับ Su-30 จะใช้คำพูดที่แรงเกินไปนะครับ........
คงามจริงผมก็ชอบ เจ้าซูเนี่ย แต่ชอบเพราะอะไร ผมบอกไม่ได้ เพราะสมรรถนะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่อง ว่ามันจะใช้ได้ดีหรือไม่
มันขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละประเทศต่างหาก ที่จะมีไว้ทำอะไร และใช้อย่างใหน......หากประเทสใหน รู้จักใช้เครื่องที่เหมาะสมกับประเทศของตน ก็ไม่ทำให้เสียเปรียบด้านสมรรถนะมากนัก แต่ยังจะสร้างความน่าเกรงขามให้ฝ่ายตรงข้าม
เช่น สิงคโปร์..
........ประเทศเล็กๆ กำลังทหารราบน้อย แต่ด้วยพลังทางเศรษฐกิจที่มีมหาศาล จึงมีการประจำการสุดยอดเครื่องบินรบรุ่นเฮฟวี่เวตจากฝั่งตะวันตกมา เอฟ-15
...เพราะสภาพที่เป็นเกาะ หากถูกข้าศึกล้อมแล้ว จะกันตั้งรับอย่างเดียวคงไม่ได้นาน ย่อมก่อเกิดปัญหาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังชายฝั่งท่าเรือที่ยาวเหยียด แถมจะท่อน้ำจืดที่ต่อจากมาเลย์ด้วย เขาเลยเสริมด้วย อาปาเช่ ลองโบว์....พร้อมกองทัพเรืออีกมหึมา
....เป็นการแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีพื้นที่น้อย แต่ก็มีกำลังรบที่สามารถตอบโต้ข้าศึกได้อย่างถึงบ้านถึงเมืองเลยทีเดียว....
เขารู้จักใช้ รู้จักคิดครับ และเขาตังค์เยอะด้วย....
ส่วนกระทู้นี้ เมื่อคิดบวกลบมาแล้ว สิ่งที่ได้จากการซื้อกริปเป้น ผลที่ได้ก็ดีแล้วครับ....เจ้านี่ เหมาะกับเราดีแล้ว
ขอยอมแพ้....จากใจครับ T T
ผมว่าการที่ ทอ.เราเลื่อก น้องกริฟ ผมว่ามาจากหลายๆ
สาเหตุ ผู้ใหญ่ในกองทัพอากาศผมว่าน่าจะมีเหตุผล
พอแล้วถึงเลือกน้องกริฟ (ใจจริงผมก็หลงรักสาวงาม
จาก USA เช่นกัน) ในแง่ยุทธศาสตร์ ความคุ้มค่า จุดอ่อน
จุดแข็ง ผมว่าทางผู้ใหญ่ในกองทัพคงจะนำใช้ประกอบ
มามากพอสมควร อย่าลืมนะครับ ว่าการซื้ออาวุธแต่ละครั้ง
ต้องถูกจับตาจากสื่อแน่ๆ ไหนจะพวก NGO ประชาชนบางส่วน
ที่มักจะบอกว่าซื้อมาทำไม โลกทุกวันนี้เค้าไม่รบกันแล้ว(ไม่
แน่ใจว่าบ้านท่านเหล่านั้นมี TV หรือเปล่า)ดังนั้นทางกองทัพ
ต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้ ซึ่งผมก็พอใจว่าทาง ทอ.เค้า
เตรียมตัวมาดี ..