สถานการณ์ล่าสุดในขณะนี้ กองทัพพม่ายิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม, ซึ่งแน่นอน ประกอบด้วยพลเรือน แม่ชี และพระสงฆ์, มีผู้ถูกจับแล้ว 80 คน ตำรวจปราบจลาจลถูกส่งเข้าควบคุมสถานการณ์ มีการยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ผู้ชุมนุมแล้ว
สถานการณ์อย่างนี้ หลับตาแล้ว นึกถึงเหตุการณ์ที่จตุรัสเทียน อัน เมินของจีน, พฤษภาทมิฬของไทย, และแน่นอนเหตุการณ์สั่งหารหมู่ 8888 ในพม่าเอง
เรื่องราวมันชักวุ่นขึ้นทุกที
[มีต่อ...]
ความจริง เรื่องทุกอย่างเริ่มขึ้นจากรัฐบาลทหารพม่าเอง....
ราวสามอาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่าประกาศขึ้นราคาเชื้อเพลิงในประเทศกว่าสองเท่า โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีการชดเชยความเสียหาย รถส่วนใหญ่ต้องหยุดวิ่งเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำมัน
กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามออกมาต่อต้านทันที เริ่มจากการชุมนุมแจกใบปลิวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึงรัฐบาลทหารพม่าก็ไม่ลังเลที่จะจับทุกคนที่ขวางหน้า
แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้ยุติลง ซ้ำร้ายยิ่งบานปลายขึ้นทุกที และเข้าขั้นแตกหักเมื่อพระสงฆ์ ซึ่งชาวพม่าให้ความเคารพนักถือเข้าร่วมการชุมนุมเมื่อ 9 วันก่อน
การชุมนุมขยายตัวมากขึ้นตามเมืองใหญ่ ๆ แต่มีจุดศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดอยู่ที่กรุงย่างกรุง เมืองหลวงเก่าของพม่า จากหลักพัน ผ่านไป 9 วัน เข้าสู่หลักล้าน ในจำนวนนี้เป็นพระสงฆ์ถึงราว 7 หมื่นรูป
จงอย่าแปลกใจ ว่าทำไมพระสงฆ์ถึงเข้ามามีบทบาททางการเมือง พระสงฆ์ในพม่ามีบทบาทมากในการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของพม่าจากอังกฤษ และเมื่อประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของพม่าเข้าสู่ยุคที่ 3 คือยุคเผด็จการทหาร พระสงฆ์ก็มีบทบาทเรื่อยมา ในฐานะผู้นำทางจิตใจ และความคิด
[มีต่อ...]
ซึ่ในหลายแง่มุม การพัฒนาการทางการเมืองและระบอบอมาตยาธิปไตยของทหารมีความเหมือนกับไทยในหลายแง่มุม ทั้งกระบวนการขึ้นสู่อำนาจ กระบวนการรักษาอำนาจ การต่อต้านของกลุ่มนักศึกษา ประชาชน รวมไปถึงการนองเลือด ซึ่งเราสามารถเทียบได้กับยุครัฐบาลทหารของไทย เหตุการณ์ 14 ตุลา ไปจนถึง 6 ตุลาแบบช็อตต่อช็อต
แต่สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองประเทศ และทำให้พม่ายังคงต้องตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อกว่า 20 ปีก่อนก็คือ พม่าขาดซึ่งสถาบันเป็นกลางที่มีอำนาจและอิทธิพลมากพอที่จะยุติความขัดแย้ง หรืออย่างน้อยก็ป้องกันความรุนแรง ในกรณีไทยคือสถาบันพระมหากษัตริย์
[มีต่อ...]
การคว่ำบาตรทางทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐและตะวันตกไม่เคยสร้างความเสียหายได้มากพอที่จะทำให้รัฐบาลทหารพม่าลงจากอำนาจ ซ้ำร้ายยิ่งทำให้รัฐบาลทหารพม่าเข็มแข็งมากขึ้น ในทางกลับกัน ผู้รับผลจากมันกลับกลายเป็นชาวบ้าน พ่อค้า ประชาชน
ด้วยการสนับสนุนจากจีนตามยุทธศาสตร์ของจีนเอง และความพยายามในการขยายอิทธิพลของอินเดียตามนโยบายมองตะวันออก (Look East Policy) ยังคงค้ำยันสถานะของรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลทหารพม่าจึงไม่จำเป็นต้องสนใจตะวันตก หรือองค์กรใด ๆ เพราะพม่ามีลูกพี่ใหญ่คอยคุ้มหัว และนั่นก็ทำให้รัฐบาลทหารพม่าทำอะไรได้ "ตามอำเภอใจ" มากขึ้น
งบประมาณทางทหารพม่าสูงมาก มากอย่างน่าตกใจ แต่การพัฒนากองทัพแบบก้าวกระโดดของเขาทิ้งความหายนะทางการศึกษา สาธารณสุขไว้เบื้องหลัง การวางแผนเศรษฐกิจถือได้ว่าล้มเหลวและไม่สามารถแข่งขันกับโลกได้ ที่ซ้ำร้ายที่สุดคือ กลุ่มนายพลในรัฐบาลทหารพม่าต่างหากที่ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ และแน่นอน รับรู้ความร่ำรวยผ่านผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่กลุ่มนายทหารเข้าไปมีบทบาท
แม่ว่า NGO ในไทยและหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกจะออกมาเรียกร้องให้จีนแสดงบทบาทนำในกรณีพม่า แต่ลำพังเสียงของ NGO ไม่ว่าของไทยและโลก คงไม่สามารถหยุดจีนให้หยุดการสนับสนุนพม่าได้
การสนับสนุนพม่าของจีน เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของความมั่นคงของจีนครับ พม่าเป็นสนามทดลองอาวุธใหม่ ๆ ของจีน และให้การสนับสนุนทางการทหารกับกองทัพพม่าในระดับที่สูงมาก จีนสร้างฐานทัพเรือในพม่าเพื่อเป็นแหล่งจอดพักให้กับเรือรบของตน ซึ่งเป็นความพยายามในการขยายอิทธิพลเข้าไปในมหาสมุทรอินเดีย โดยใช้พม่าเป็นทางออก และกดดันอิทธิพลและนโยบายมองตะวันออกของอินเดีย
จีนยังประเมินแล้วว่า นโยบายคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปแทบไม่ส่งผลต่อรัฐบาลทหารพม่าเลย ในทางกลับกันยิ่งทำให้รัฐบาลทหารพม่าเข้มแข็งมากขึ้น นี่เป็นโอกาสดีที่สุดของจีนที่จะเข้าไปมีบทบาทในพม่าแทนที่ประเทศตะวันตก
[มีต่อ...]
วันนี้.......
- รัฐบาลทหารพม่าประกาศเคอร์ฟิวในอย่างน้อย 2 เมืองใหญ่ ห้ามประชาชนออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 21.00 น. จนถึง 5.00 น.
- ประกาศคำสั่งห้ามชุมนุมเกิน 5 คน
- ประกาศฉบับที่ 86 ในโทรทัศน์ของรัฐบาลเตือนประชาชนไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุม
- ตำรวจปิดล้อมวัดหลายแห่ง ห้ามพระสงฆ์ออกจากวัด
- ย้ายนางออง ซาน ซูจี ซึ่งออกมาพบปะให้กำลังใจกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณบ้านของเธอ เข้าสู่คุกอินเส่ง ซึ่งมีการป้องกันภัยในระดับสูง
- ตำรวจปราบจลาจลถูกส่งเข้าไปเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมมวลชนจัดตั้งของฝ่ายรัฐ
- กองพลทหารราบเบาที่ 22 ซึ่งเคยฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 8888 ถอนกำลังจากรัฐกะเหรี่ยง เข้าสู่กรุงย่างกุ้ง
- แกนนำพรรค NLD ถูกจับกุม รวมถึงบุคคลมีชื่อเสียงที่ต้องสงสัยว่าสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุม
- ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม พระสงฆ์ แม่ชี บริเวณหน้าเจดีย์ชเวดากอง
ทางการไทย......
- สั่งการให้กองทัพภาคที่ 3 เตรียมพร้อม เพื่อรองรับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
- รัฐบาลเตรียมแผนอพยพคนไทยออกจากพม่า ถ้าเหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤติ
- การบินไทยยังคงเที่ยวบินจำนวน 3 เที่ยวต่อวันสู่พม่า ซึ่งจะมีการพิจารณาอีกครั้งถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป
ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ....
- นำเหตุการณ์ในพม่าเข้าสู่ที่ประชุมเป็นวาระหลัก
- ประธานาธิปดีฝรั่งเศสเตือนรัฐบาลทหารพม่าไม่ให้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม และขู่จะมีมาตราการตอบโต้
- ประธานาธิปดีสหรัฐเรียกร้องให้จีนแสดงบทบาทในครั้งนี้ให้ชัดเจน เพื่อยุติการนอกเลือด
- แต่ผู้แทนจีนกลับเดินออกจากที่ประชุม
[มีต่อ...]
และแม้ว่าผู้นำพม่าจะประกาศว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะต้องยุติใน 15 วัน แต่อดีตผู้นำนักศึกษาต่างมั่นใจว่า เหตุการณืในครั้งนี้ ประชาชนมีโอกาสได้รับชัยชนะสูง จะมั่นใจว่าจะไม่จบลงด้วยความพ่ายแพ้เหมือนในปี 2531 (1988) แน่นอน
ความมั่นใจนี้ยืนยันโดยคำพูดของผู้นำพระสงฆ์องค์หนึ่ง
"We have already decided to risk our lives for the people"
"เราตัดสินใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อประชาชนของเรา"
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป........แล้วแต่บุญแต่กรรมครับ
จบ
คิดกันคนละแบบ ประชาชนอยากได้อิสระ แต่ยังไม่รู้เลยว่าอิสระที่จะได้นั้นคืออะไร ปลดแอกจากรัฐบาลทหารเผ่าพันธ์เดียวกันแล้วต้องไปเป็นทาสทางเศรษฐกิจ ฝรั่ง ญี่ปุ่นเหมือนเพื่อนบ้านติดๆกันหรือเปล่า รัฐบาลทหารก็ยึดหลักการจะปล่อยให้ กระเหรี่ยงไทยใหญ่ ยะไข้แยกไปตั้งประเทศไม่ได้ แต่รัฐบาลทหารก็กดขี่ข่มเหง คอรับชันจริงๆ แต่ถ้าพม่าเป็นปชต.แผนที่พม่าคงเหลือนิดเดียว ไทยเราก็เตรียมรับไทยใหญ่ กระเกรี่ยงเข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของประเทศไทยได้เลย เพราะในอนาคต ประเทศเล็กๆจะดำรงอยู่ในเศรษฐกิจโลกไม่ได้ โดยเฉพาะไทยใหญ่ที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเล และโครงสร้างทางจิตวิญญาณความเป็นชาติก็อิงอยู่กับไทยน้อยครับ
ตัวแปรสำคัญส่วนหนึ่งในด้านความมั่นคงของรัฐบาลทหารพม่านั้นคือบทบาทของประเทศมหาอำนาจที่เข้ามามีอิทธิพลในประเทศพม่าครับ นอกจากจีนที่เป็นประเทศหลักแล้วในช่วงเกือบ5-10ปีหลังที่ผ่านมานี้รัสเซียและอินเดียเองก็เข้ามามีบทบาทในพม่ามากขึ้นเช่นกันเพื่อคานอำนาจและผลประโยชน์ของแต่ประเทศซึ่งรัฐบาลกลางพม่านั้นต่างได้รับผลประโยชน์จากจุดนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าความพยายามในการแทรกแซงและคว่ำบาตต่อพม่าเพื่อให้เกิดกระบวนการประชาธิปไตยขึ้นในพม่าจะกลุ่มประเทศตะวันตกนั้นจะมีอุปสรรคอยู่ตลอดครับ
ส่วนตัวนี้กลัวว่าไปๆมาๆหลังจากการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมครั้งนี้เสร็จสิ้นนี้ เราจะมีปัญหาด้านชายแดนเพิ่มขึ้นอีกนะสิครับ (เช่นผู้อพยพ การลับลอบค้าของหนีภาษี หรือสิ่งผิดกฏหมายอื่นๆ)
และตามความเห็นส่วนตัวแล้วนี้ไม่คิดว่าถ้ามีการประกาศเอกราชของรัฐชนกลุ่มน้อยอย่างกระเหรี่ยงหรือฉาน(ไทใหญ่) ขึ้นมาแล้วนี้รัฐบาลไทยตัดสินใจจะรับเอาประเทศเกิดใหม่เหล่านี้มาเป็นรัฐในอารักขาหรือรวมพื้นที่เข้าด้วยกันหรอกนะครับ เพราะว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ต้องการจะเป็นประเทศเอกราชที่ไม่ขึ้นกับใครนานแล้วครับ และพวกเขาน่าจะขอความช่วยเหลือจากไทยในลักษณะประเทศเพื่อนบ้านโดยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตที่ใกล้ชิดมากกว่า
ตัวอย่างประเทศเกิดใหม่ล่าสุดนี้ก็ดูการแยกตัวของมอนเตเนโกรจากเซอร์เบียซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของอดีตยูโกสลาเวียอย่างถาวรครับ น่ากลัวว่าอนาคตของพม่าจะมีลักษณะแบบเดียวกันกับอดีตยูโกสลาเวียนี้ครับ(ไทยเราก็ต้องมานั่งเขียนแผนที่ปักปันเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเกิดใหม่อีกวุ่นวายแน่ๆ เพราะฉนั้นการรับรัฐเหล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งของไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ครับ)
ผมว่าพม่าเนี้ย จริงๆแล้วเป็นประเทศที่มีศักยภาพที่จะไปได้ไกลกว่าเรามากเลยนะ มันขึ้นอยู่กับคนที่ปกครองประเทศจริงๆ ถ้ารักประเทศตัวเอง อยากเห็นประเทศตัวเองเจริญก้าวหน้าขึ้นมาเป็นเสือเศรษฐกิจ พัฒนาแล้ว ประชาชนมีความเป็นอยู่ มีเศรษฐกิจที่ดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ (อย่างน้อยก็เทียบกับประเทศในละแวกเดียวกัน) อย่างไทย มาเลเซีย ฯลฯ มันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ
ถ้ารู้ว่ามีปัญหาเรื่องเชื้อชาติเผ่าพันธ์ ก็น่าจะรู้ว่าความคิดแก้ปัญหาตรงๆ แรงๆ ทื่อๆแบบทหารมันใช้ไม่ได้หรอก คิดแต่จะเอากำลังไปปราบ ไปกดเขาอยู่ฝ่ายเดียวแบบที่ทหารพวกนั้นคิด ประเทศมันก็ย่ำอยู่กับที่แบบนั้นแหละ
ถ้าคิดได้สักนิดว่าปราบปรามด้วยพระเดชอย่างเดียวมันกดเขาไม่ได้ตลอดไป แล้วหาทางแก้ปัญหาแบบอื่นอย่างเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ แบ่งเป็นรัฐเล็กๆให้มีอำนาจปกครองตัวเองบ้างในบางเรื่องแล้วมีรัฐบาลกลางจากย่างกุ้งดูแลนโยบายระดับชาติ เหมือนอเมริกา หรือมาเลเซีย หรือประเทศอื่นๆที่เขามีปัญหาเรื่องเชื้อชาติแบบนี้มันก็ทำได้หนะแหละ ค่อยๆคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนซะ ให้มีสภาสูง สภาล่าง มีตัวแทนจากชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มมาร่วมกันบริหาร สามัคคีปรองดองกัน แล้วทหารก็ทำใจให้ได้ว่าตัวเองต้องไปเป็นทหารอาชีพ กลับกรมกองไปซะ มันก็จบแล้ว .... แต่นี้ไม่รู้เพราะคิดว่าตัวเองรักชาติอยู่คนเดียวหรือไง หรือหลงอำนาจมาก ทำงานมันหมดทุกอย่างทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ บริหาร ศาสนา การศึกษา ฯลฯ แล้วก็ทำไม่ได้เรื่องสักอย่าง แทนที่จะให้พลเรือนที่เขาทำเป็นเข้ามาทำ มันก็เลยเละเทะอยู่อย่างเนี้ย แล้วก็มาเป็นภาระกับเพื่อนบ้านอย่างไทยอีก ทั้งเรื่องคนหลบหนีเข้าเมือง ความมั่นคงตามชายแดน ยาเสพย์ติด แทนที่จะได้เป็นเพื่อนบ้านเศรษฐกิจดีๆ แล้วช่วยกันค้าขายกัน แข่งกันพัฒนาเหมือนเรากับมาเลย์
ลองคิดเล่นๆเราเล่นเกมส์แบบ Sim City ดูสิ เราน่าจะทำพม่าให้ไปได้ดีขนาดไหน เขามีทั้งแก๊สธรรมชาติมหาศาล น้ำมัน ป่าไม้ ที่ราบปลูกข้าวก็อุดมสมบูรณ์เหมือนลุ่มน้ำเจ้าพระยาของไทย ทรัพยากรเรื่องการท่องเที่ยวนี้ไม่ต่างจากเราเลย หรืออาจจะดีกว่าอีก มีศิลปะวัฒนธรรมหลากหลายเก่าแก่ ทางเหนือๆก็เป็นป่าเป็นเทือกเขาจากหิมาลัย สู้งขนาดมีหิมะตามยอดเขา เล่นสกี หรือกีฬาในหิมะได้ ทางใต้ก็มีทะเลอันดามัน น้ำใสๆ หาดขาวๆแบบเกาะทางอันดามันของเรา ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็โอเค น่าจะเป็นศูนย์กลางการบินของเอเชียแบบที่เรา มาเลย์ สิงคโปร์กำลังแย่งกันเป็นได้ ประชากรก็มีความรู้ภาษาอังกฤษกันพอตัวเพราะเคยอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษมาสักระยะนึง ฯลฯ
พูดง่ายๆคือ ถ้าการเมืองนึ่ง มีประชาธิปไตย คนสามัคคีกันแล้วนี่ น่าจะไปได้ไกลเลยทีเดียว เสียดายโอกาสแทนชาวพม่าเขาจริงๆ
ผมเอง มองว่า รัฐบาลทหารพม่า ทำถูกในส่วนหนึ่งครับ คือ การที่จะยึดประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น ต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ พม่าตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น ก็เป็นสหรัฐ ที่ประกอบไปด้วยราชรัฐใหญ่น้อยอยู่แต่เดิมแล้ว ซึ่งพอจะรวมศูนย์อำนาจ ก็ยากที่จะเอามารวมกันได้ การที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ รวมชาติให้เป็นหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในแง่สิทธิมนุษยชน ก็ค่อนข้างแย่ เพราะการจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ก็ต้องจำกัดสิทธิประชาชน ไม่ให้ลุกฮือมาต่อต้าน
ผมมองว่า พม่าอาจจะไม่แตกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย แต่อาจจะรวมตัวในแง่ของสหพันธรัฐ หรือ สหรัฐ แต่ละรัฐมีอำนาจของตัวเอง แต่กำลังทหารและนโยบายส่วนกลาง ออกมาจากเมืองหลวง
พม่ามีศักยภาพมากกว่าไทยครับ ถ้าไทยยังเดินหน้า แล้วถอยหลังแบบนี้บ่อยๆ อีกหน่อย ไทยจะตามเค้าไม่ทันแน่ๆ
เรื่องทาสทางเศรษฐกิจนั้น ผมมองว่า ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน คือตัวทำเงินให้ผมครับ เค้ามาจ่ายเงินในเมืองไทย สมมติว่าเค้าซื้อของที่7-11 รัฐก็ได้เงินจากเค้าแล้ว7%ของราคาของที่ซื้อ ไม่นับรวมการจ้างงาน เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ บางที การปลุกกระแสคลั่งชาติ สร้างกระแสเกลียดฝรั่ง อาจจะเป็นการทำลายชาติทางอ้อมก็ได้นะครับ ไทยอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ครับ ฝรั่งไม่ใช่พ่อ แต่เราก็ขาดเค้าไม่ได้เช่นเดียวกันครับ
ทำนา มันยากนะครับ ทุกคนก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำนา ถ้าพูดว่าเราโดดเดี่ยวตัวเอง เราก็อยู่ได้ เรามีข้าวกิน ก็ใช่ครับ แต่ทุกคนไม่ได้มีความสามารถที่จะทำการเกษตรเลี้ยงตัวเองกันทุกคน มองอย่างยุติธรรมชีวิตจะไม่เครียด
ลองปิดไฟสักวันนึง ผมว่าหลายคนอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ
เรื่องทาสทางเศรษฐกิจนั้น ผมมองว่า ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน คือตัวทำเงินให้ผมครับ เค้ามาจ่ายเงินในเมืองไทย สมมติว่าเค้าซื้อของที่7-11 รัฐก็ได้เงินจากเค้าแล้ว7%ของราคาของที่ซื้อ ไม่นับรวมการจ้างงาน เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ บางที การปลุกกระแสคลั่งชาติ สร้างกระแสเกลียดฝรั่ง อาจจะเป็นการทำลายชาติทางอ้อมก็ได้นะครับ ไทยอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ครับ ฝรั่งไม่ใช่พ่อ แต่เราก็ขาดเค้าไม่ได้เช่นเดียวกันครับ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคลั่งชาติสร้างกระแสเกลียดฝรั่งหรอกครับ สมัยร้อยกว่าปีก่อนล่าอาณานิคมกันโดยส่งกำลังเข้าไปยึด แต่สมัยนี้จะรบกันให้เปลืองเลือดเนื้อทำไม สร้างระบบเศรษฐกิจสมมุติเงินตราขึ้นมาหลอกกันดีกว่า ลองคิดกันดูดีๆ ว่า USA. ขาดดุลการค้าดุลการชำระเงินติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี(ลองเปรียบเทียบประเทศกิจการที่ขาดทุนตลอดเวลาจะมีสภาพอย่างไร) เขาเอาอะไรชำระหนี้ชาติต่างๆ เงิน $USA. ไม่มีการใช้ทองคำค้ำประกันเงินตรา แต่ใช้อำนาจทางทหารและเศรษฐกิจค้ำประกัน วันใดที่อำนาจทางทหาร หรือระบบเศรษฐกิจ USA. มีปัญหา ประเทศที่ใช้ทุนสำรองสกุลดอลล่าห์จะเท่าสะสมกองกระดาษ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้กันอยู่เป็นเกมส์ที่ฝรั่งสุมหัวกันกำหนดขึ้นเพื่อ ดูดทรัพยากรและใช้แรงงานชาติในเอเชียและแอฟริกาหรือไม่ ? ถ้าใครเดินทางไปมาหลายๆประเทศเห็นเหมือนๆกันคือ คนยุโรป USA. เค้าทำงานกันสบายจัง มีกำลังซื้อสูงทั้งๆที่ทำงานน้อย ร้านอาหารหรือ เบเกอรี่เล็กๆมีคนนั่งไม่กี่โต๊ะก็สร้างรายได้ให้สุขสบายทั้งครอบครัวได้ ในขณะที่คนเอเชีย ทำงานเหนื่อยแทบตายกลับไม่มีกินมีใช้ มิหนำซ้ำอาหารที่คนยุโรปกินก็ต้องนำเข้าจากนอกทวีปทั้งนั้น มองลึกๆแล้วจะเห็นว่าที่ผมบอกว่าเป็น ทางในระบบเศรษฐกิจที่สมมุติขึ้นมาหลอกนั้นมีอยู่จริงครับ
จงอย่ารอคอย แต่จงติดตามด้วยใจระทึกพลัน
ผมเกิดไม่ทันตอนกวาดล้างนักศึกษา ไม่คิดว่าจะได้อยู่ร่วมในสมัยนี้ วันแห่งชัยชนะของประชาชนพม่า หรือวันแห่งความพ่ายแพ้เช่นเดิมทุกๆวัน
แต่ผมก็เข้าใจรัฐบาลทหารของพม่านะ ที่เขาไม่ยอมให้นางอองซาน ซูจี เป็นผู้นำรัฐบาลเพราะเขากลัวว่า นางอองซา จะชักนำให้ต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตก เข้ามาทำให้ชาติเสียหายได้ ประเทศพม่าตอนนี้เราถึงได้เห็นความเป็นพม่าอย่างแท้จริง ดูจากการแต่งตัว และการใช้ชีวิต ไม่เหมือนพี่ไทย อะไร ๆ ก็เอาเข้าประเทศหมด จนหาความเป็นไทยแทบไม่เจอ
งานนี้พม่าเขาไม่สนใจพวกประเทศต่าง ๆ หลอกเพราะพม่ามีจีนอยู่ข้างหลัง ลองบุกพม่าดิ เจอจีนแน่ อย่าลืมนะว่าประเทศจีนประชาชนเยอะ ฉะนั้นความต้องการด้านพลังงานก็ต้องมากตามไปด้วย และประเทศที่เป็นคู่ค้าด้านพลังงานก็คือ พม่า จีนยังไงก็ไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับพม่าแน่ โดยเฉพาะ สหรัฐ ที่มันหาวิธีเข้ามาสิวน้ำมันพม่าอยู่ เหมืนอกับที่มันทำกับ อีรัก