หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


กองโจรเวียดกง

โดยคุณ : tan02 เมื่อวันที่ : 23/09/2007 11:39:18

เห็นบอรด์เงียบๆเลยมาเข้ามาโพสอีกซักหน่อยครับ





ความคิดเห็นที่ 1


ธงของแนวร่วมปลดแอกแห่งเวียดนามใต้

กองโจรเวียดกง
The VietCong

เวียดกงชายเวียดกงหญิง

กองโจรผู้พิชืตทหารสหรัฐด้วยความโหดเหี้ยม เล่ห์เหลี่ยม
และความรักชาติจนศัตรูต้องถอยทัพกลับบ้าน

 

ภูมิหลัง

     เวียดกง เป็นชื่อที่เราๆทุกท่านรู้จักกันดีว่าคือ นักรบชาวญวนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาถือปืนไล่ยิง ทหารสหรัฐจนชื่อเสียงก้องโลก เพราะทำให้กองทัพมะกันสูญเสียอย่างหนัก ด้วยพิษสงที่มากเกินตัว เช่นใช้เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจีไปยิงเฮลิคอปเตอร์สหรัฐตก! หรือการที่หน่วยแซบเปอร์เวียดกงเข้าไปวางระเบิดเครื่องบินสหรัฐแหลกคาสนามบิน จะเห็นว่ามูลค่าที่สูญเสียไปของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันอย่างเทียบกันไม่ได้ อย่างจรวดอาร์พีจีลูกหนึ่งย่อมมีราคาถูกกว่าเฮลิคอปเตอร์สหรัฐ 1 ลำอย่างมาก ผลคือเวียดกงได้กำไรไปเนาะๆส่วนพี่กันได้แต่จ่ายแหลกๆถึงจะรวยแต่ก็ขาดทุนไปไม่ใช่น้อย

     เข้าเรื่องกันจริงๆแล้ว ขบวนการกองโจรกู้ชาตินี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่จีนใช้อำนาจยึดครองเวียดนาม (สมัยก่อนคืออาณาจักรญวน) นานมาพันกว่าปีก่อนโน้น(นับประสาอะไรกับประเทศอเมริกาที่เกิดทีหลัง และมีอายุแค่ 200 ปี จะมาสู้ได้) โดยพวกเขาจะทำสงครามแบบกองโจร คือไม่เน้นการบุกเข้าต่อสู้แบบซึ่งๆหน้าแต่จะใช้การลอบโจมตีในเวลากลางคืน การวางขวากหนามเป็นกับดัก การโจมตีแบบฉับพลั้นแล้วก็ถอย ซึ่งก็คือกลยุทธยิงแล้วหนี ( hit and run ) หรือตีหัวเข้าบ้าน ที่สมัยสงครามเวียดนามก็ยังคงใช้อยู่ ถึงจะทำให้ข้าศึกสูญเสียทีละน้อย แต่ก็เป็นการทำให้ฝ่ายตนเองสูญเสียน้อยเช่นกัน และการสูญเสียอย่างหนักก็ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที

     เป็นการทำสงครามยืดเยื้อ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆนานเข้าๆ ในที่สุดฝ่ายจีนก็ล่าถอยไปชาวเวียดนาม จึงปลดแอกของจีนที่วางไว้บนบ่าชาวเวียดนาม มาเป็นเวลากว่าพันปีได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนจะเป็นเคราะห์กรรม ของชาวเวียดนามหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ พวกยุโรปก็เกิดการอยากขยายดินแดน ด้วยการไปยึดประเทศของคนอื่น แล้วตัวเองก็เอาแต่สั่งๆและกอบโกยเอาทรัพยากรธรรมชาติบ้านเค้าไป แถมยังเอาคนในประเทศที่ยึดมาใช้แรงงานเยี่ยงทาสอีก(สบายดีแท้ๆ) ไม่ได้ต่างอะไรกับการไปปล้นบ้านคนอื่นเลย ยุคนี้เรียกกันว่ายุคล่าอาณานิคม หัวโจกใหญ่ๆก็คืออังกฤษ กับ ฝรั่งเศส รองลงมาก็ได้แก่ ฮอลันดา(เนเธอร์แลนด์) , โปตุเกส และ สเปน หรือมากกว่านี้ก็จำไม่ได้

 


หน่วยโฆษณาติดอาวุธยุคแรกของเวียดมินห์ ซึ่งประกอบไปด้วย
สมาชิกประมาณ 20 คนเท่านั้น ( คลิกที่รูปเพื่อขยาย )

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:32:59


ความคิดเห็นที่ 2


  พวกฝรั่งเศสได้เข้ามาค้าขายกับผู้คนในอินโดจีน ( ลาว , เขมร และ เวียดนาม ) จากนั้นก็ขยับฐานะจากลูกค้ากลายเป็นเจ้านายหน้าตาเฉย ฝรั่งเศสยึดญวนก่อนพอยึดได้สมใจก็ยังคงไม่พอ(โลภ)มั่วเอาเองว่าลาวกับเขมรอยู่ในความคุ้มครองของเวียดนาม เพราะฉะนั้นลาวและเขมรจะต้องตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย พี่ไทยเราได้แต่งงว่ามันพูดมาได้ไงฟะเนี่ย ? เพราะตอนนั้นลาวและเขมรยังเป็นส่วนหนึ่งของไทย

     แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกับฝรั่งเศสมหาอำนาจของโลกในขณะนั้น(ขณะนี้เป็นหรือเปล่าก็ไม่ค่อยแน่ใจ)ไทยเราจึงจำเป็นต้องยอมสละดินแดนส่วนนี้ให้ฝรั่งเศสไป พออังกฤษเห็นว่าไทยไม่อยากโดนบุก แต่ยอมเสียดินแดนที่ไม่ใช่สยามหรือขวานทองให้ ก็เลยมาหาไทยและก็ได้มาเลเซียไป ถึงแม้ฝรั่งเศสจะทำการปราบปรามชาวเวียดนามที่ทำการต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมต่างๆนานาไม่ว่าจะเป็น การแขวนคอหรือตัดหัวประจาน ด้วยกิโยติน แต่ก็หาได้ทำให้ขบวนการกู้ชาติชาวเวียดนามลดลงไปแต่อย่างใด ทั้งชาว ลาว , เขมร และเ วียดนามในอินโดจีน ต่างเห็นว่าพวกฝรั่งเศสเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามากดขี่ข่มเหงพวกเขา

     ตัวเองเอาแต่นั่งและนอนบนโซฟาและเตียงนุ่มๆ ส่วนชาวอินโดจีนนั่งพื้นนอนพื้น อาหารก็กินแต่อาหารดีๆไวน์รสเลิศ ส่วนชาวอินโดจีนแทบไม่มีจะกินน้ำประปาก็ไม่มี จะไปไหนมาไหนก็นั่งรถยนต์หรือใช้สามล้อที่ชาวอินโดจีนปั่น ส่วนชาวอินโดจีนก็อีกนั้นแหละที่ลำบากกว่าจะไปไหนก็ต้องเดินเอาๆ พวกประเทศที่มายึดครองคนอื่นนั้นไม่เคยคิดที่จะเหลียวแลประชาชนของประเทศที่ตนเองไปยึดเค้ามาเล้ย ดีแต่คิดว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากอินโดจีนบ้าง เช่นได้ข้าว , ป่าต้นยาง , ป่าไม้และแร่ธาตุ ก็เป็นชาวอินโดจีนอีกนั้นแหละที่โดนสั่งให้ไปปลูกข้าวเกี่ยวช้าวกลางแดดที่ร้อน โดยต้องทำทั้งวัน ในขณะที่เจ้านายนั่งสบายอยู่ในบ้าน ด้วยการที่ถูกกดขี่สารพัดสารเพเหล่านี้แหละได้เป็นเครื่องโหมกระพือให้ชาวเวียดนามและชาวอินโดจีนก่อตั้งขบวนการกู้ชาติ เพื่อขับไล่ผู้กดขี่ออกไปและนำผลประโยชน์ของประเทศที่ควรจะอยู่ในกำมือของเจ้าของแผ่นดินกลับมา

     ในที่สุดก็ได้เกิดบรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นบุคคลที่ตลอดทั้งชีวิตได้ทุ่มเทให้กับการกอบกู้ประเทศชาติจนเปรียบเสมือนบิดาของประเทศเวียดนามและอินโดจีน บุคคลผู้นั้นคือ ท่านโฮจิมินห์( Ho Chi Minh) ท่านได้เกิดความรู้สึกของการถูกกดขี่ของพวกฝรั่งเศสตั้งแต่วัยเด็ก พอเป็นหนุ่มก็เริ่มทำการที่เป็นปฏิปักษ์กับฝรั่งเศสและหวิดตะรางมาหลายครั้ง ท่านได้เดินทางไปฝรั่งเศสและทำงานอยู่บนเรือลำนั้น พอถึงฝรั่งเศสก็ทำงานต่างๆนานาและได้ไปพบเห็นชาวเวียดนามและชาวจีนที่ทำงานอยู่ที่นั้นด้วย มีงานหนึ่งพวกยุโรปชอบให้ชาวเอเชียหรืออาณานิคมทำนั้นก็คือ งานเก็บกู้กับระเบิด ที่หลงเหลืออยู่ในสงครามโลกครั้งแรกซึ่งงานนี้ไม่มีใครอยากทำเพราะเสี่ยงอันตรายและอาจตายได้ทุกเมื่อ

 


ลุงโฮ ผู้นำชาวเวียดนามไปสู่อิสระภาพ
จากชาติมหาอำนาจ (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)

 

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:33:38


ความคิดเห็นที่ 3


  ลุงโฮ(ต่อไปขอใช้คำนี้เพราะเป็นคำที่ชาวเวียดนามใช้เรียกท่าน)ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกรุ่นแรกของพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสหรือเป็นรุ่นก่อตั้งนั้นเอง ลุงโฮจึงได้เขียนบทความที่บอกถึงความยากลำบากของชาวอาณานิคมในอินโดจีนรวมทั้งรูปวาดลงบนหนังสือพิมพ์ของพรรคสังคมนิยมให้คนฝรั่งเศสได้อ่าน จนรัฐบาลฝรั่งเศสตามจับอีก แต่ก็หนีรอดหวุดหวิดเช่นเคยด้วยความช่วยเหลือของพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ลุงโฮได้ไปอยู่โซเวียตและหลายๆประเทศและโดนจับที่ฮ่องกงและจีน

     เมื่อถูกปล่อยตัวออกมาลุงโฮได้กลับมาเวียดนามบ้านเกิดอีกครั้ง(ตอนนี้ขอเล่าแบบคร่าวๆก่อนแบบละเอียดขอเขียนในเรื่องของลุงโฮ)และเป็นที่รักและเคารพในหมู่ชาวเวียดนามในทางตอนเหนืออย่างรวดเร็ว ต่อมาฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้ต่อกองทัพนาซีเยอรมันในปีค.ศ. 1940 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้วนั้น และรัฐบาลฝรั่งเศสในอินโดจีนได้ขึ้นต่อรัฐบาลวิซี(ที่เป็นพวกเข้ากับฝ่ายนาซี) ลุงโฮเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่ฝรั่งเศสอ่อนแอลง ได้ก่อตั้งชบวนการกู้ชาติใช้ชื่อว่าเวียดมินห์(แปลว่าเวียดนามเหนือ)โดยใช้คนในเวียดนามทางตอนบนของประเทศและชนบท ไม่นานนักญี่ปุ่นก็ใช้ความที่เป็นพันธมิตรกับนาซีเข้าครอบครองอินโดจีนซึ่งวิซีก็ยอมอยู่แล้ว ลุงโฮเห็นว่าฝรั่งเศสกับญี่ปุ่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นักจึงทำการต่อต้านญี่ปุ่นไปด้วยเลย

 


ประธาน เหมา เจ๋อ ตง ผู้นำลัทธิสังคมนิยม
ปกครองประชากรจำนวนมากที่สุดในโลก
( คลิกที่รูปเพื่อขยาย )

 

     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ลุงโฮเป็นมิตรกับจีนแดงของประธานเหมา เซ ตุง จึงได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์(เรียกแบบหนังจีนกำลังภายใน)การรบแบบกองโจรมา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง(ทำไมเร็วเหมือนในหนังจัง ตั้ง 5 ปีเชียวนะที่ผ่านไป นับตั้งแต่ฝรั่งเศสแพ้นาซี) ญี่ปุ่นได้ยอมแพ้และรอให้ทหารอังกฤษที่จะมาจากทางประเทศไทยมาปลดอาวุธ ดูเหมือนว่าทหารญี่ปุ่นจงใจทิ้งอาวุธบางส่วนให้กับกองกำลังชาตินิยมต่างๆที่พอญี่ปุ่นแพ้ปุ๊บก็ออกมายึดเมืองปั๊บ แบบอัตโนมัติทางใต้เมืองสำคัญคือไซง่อนส่วนทางเหนือคือฮานอยที่ลุงโฮถึงกับจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมาประกาศอิสรภาพ ด้วยบทที่คล้ายๆกับคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา โดยหวังให้อเมริกาสนใจการประกาศอิสรภาพของเวียดนามแต่พี่แกก็เฉยๆ คงคิดว่าถ้าไปปรบมือขานรับให้ก็แย่สิฟะก็ฝรั่งเศสมันเป็นเพื่อนตูนี่หว่า พอทหารอังกฤษเข้ามาแค่นั้นแหละ เปรี้ยง! ได้รับกระสุนรักชาติของชาวเวียดนามไปเป็นห่าฝน คงเพราะชาวเวียดนามไม่เชื่อใจอังกฤษ ก็อังกฤษมันก็เพื่อนล่าอาณานิคมกับฝรั่งเศสไม่ใช่เหรอจะไปไว้ใจได้ไง ถ้าปล่อยให้มันเข้ามาสิเดี๋ยวมันก็มอบเวียดนามให้ฝรั่งเศสอีก

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:35:03


ความคิดเห็นที่ 4


   
นายทหารญี่ปุ่นมอบดาบให้กับนายทหารอินเดีย ในการยอมแพ้ที่เกรุงไซง่อน
ในเดือนกันยายน ปีค.ศ.1945 ( คลิกที่รูปเพื่อขยาย )

 

  อังกฤษต้องต่อสู้กับพวกรักชาติรวมทั้งปราบปรามความวุ่นวายในเมือง เมื่อรับมือไม่ไหวก็หันไปใช้นาวิกโยธินญี่ปุ่นที่ความจริงตัวเองต้องมาปลดอาวุธช่วยด้วยอีกแรงหนึ่ง ทหารจีนก๊กมินตั๋งเริ่มเข้ามาจากทางตอนบนของเวียดนามโดยหวังจะตะครุบเวียดนามให้เป็นส่วนหนึ่งของจีนแบบสมัยก่อนอีกทีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ สถานการณ์ชักไม่ค่อยดีประชาชนเริ่มหมดความเชื่อถือในตัวลุงโฮ

     ทีนี้ลุงโฮจึงต้องไปง้อฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้มีอำนาจพอจะบอกให้จีนถอยทัพกลับไปได้ แต่เวียดนามต้องอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศสตามเดิม โดยมีสิทธิ์มากกว่าแต่ก่อนคือมีผู้แทนที่เป็นชาวเวียดนาม ร่วมในสภาปกครองเวียดนามด้วย ตอนแรกก็พูดกันดีๆเป็นภาษาผู้ดี แต่ในที่สุดฝรั่งเศสก็ส่งทหารมายึดครองเวียดนามอีกครั้งด้วยกำลังทหาร ส่วนใหญ่เป็นทหารอาณานิคมที่ผ่านการรบกับนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว ด้วยกำลังที่ด้อยกว่ามากรัฐบาลของลุงโฮรวมทั้งพลพรรคคอมมิวนิตส์จึงจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ที่ชนบท

 


ฝรั่งเศสพาลุงโฮไปปารีสเพื่อหวังจะใช้ท่านเป็นลูกสมุน
ให้มีอำนาจในอินโดจีนต่อไป ( คลิกที่รูปเพื่อขยาย )

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:35:31


ความคิดเห็นที่ 5


พวกฝรั่งเศสดีใจกันยกใหญ่ที่จะได้ใช้นิสัยและวิธีเดิมๆที่สบายๆกับอาณานิคมอินโดจีนอีกครั้ง แต่หารู้ไม่ว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเพราะได้เกิดบรุษที่มีอุดมการณ์กู้ชาติมุ่งมั่นกว่าผู้นำชาวเวียดนามคนใดในอดีตทั้งหมดนั้นก็คือลุงโฮนั้นเอง ในทีแรกที่ฝรั่งเศสยังไม่คิดจะใช้กำลังกับเวียดนามที่ทำการแข็งเมือง เป็นเพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มของลุงโฮเป็นมิตรกับจีนแดง และได้รับการสอนการทำสงครามกองโจรจากหน่วยโอเอสเอส(ซึ่งกลายเป็นซีไอเอในปัจจุบัน)ของสหรัฐ ที่เห็นว่ากลุ่มของลุงโฮทำงานต่อต้านญี่ปุ่นได้ดีที่สุดในเวียดนามและเคยช่วยเหลือนักบินของสหรัฐที่ถูกยิงตกมาแล้ว ในการนี้จึงได้อาวุธของสหรัฐมาจำนวนหนึ่งเช่นปืนกลมือทอมสัน แต่พอสงครามสงบทหารในหน่วยโอเอสเอสก็ต้องกลับบ้าน จีนแดงของพี่เหมาก็ต้องไปสู้กับจีนก็กมินตั๋งของพี่เจียง ไคเช็คตามอุดมการณ์ เลยเหลือน้องเวียดนามที่ต้องทำการกู้ชาติเอง

     ในปีค.ศ. 1946 จึงเกิดสงครามระหว่างเวียดมินห์และฝรั่งเศสขึ้นอย่างเป็นทางการ ตอนแรกฝรั่งเศสเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพของทหาร มียานพาหนะ รถถัง , เรือลำน้ำ , อากาศยานพร้อม(ได้จากสหรัฐที่กลัวคอมมิวนิตส์ให้มาใช้ไม่ใช่น้อย เพราะอยู่ในช่วงสงครามเย็นและเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะปราบคอมมิวฯในอินโดจีนโดยที่ตนเองไม่ต้องออกแรงให้เมื่อยแต่ทุ่มทุนสร้างสงครามอย่างเดียว) เมืองส่วนใหญ่อยู่ในความควบคุมของฝรั่งเศส ส่วนทางชนบทและป่าอยู่ในความควบคุมของเวียดมินห์ เวียดมินห์สู้กับฝรั่งเศสด้วยอาวุธที่ได้จากญี่ปุ่นและโอเอสเอสสหรัฐ รวมทั้งการรบแบบกองโจรวางขวากกับดักและขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดินซ่อนทหารเสบียงและอาวุธไว้ การรบยืดเยื้อมากไม่ว่าฝรั่งเศสจะมีอาวุธที่วิเศษวิโสกว่าอย่างไรก็เอาชนะไม่ได้ซะที

 


นายพลเกี้ยบ ผู้นำชัยชนะมาสู่เวียดนาม
( คลิกที่ภาพเพื่อขยาย )

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:36:23


ความคิดเห็นที่ 6


 จนกระทั่งจีนแดงของประธานเหมาไล่พี่เจียงและรัฐบาลก็กมินตั๋งไปอยู่เกาะฟอร์โมซ่า(ใต้หวันในปัจจุบัน)ได้สำเร็จ พี่เหมาก็เลยเหมาสมชื่อไปเหมาอาวุธในกองทัพตัวเองและของเจียงและกระสุนมาแจกให้เวียดมินห์ใช้ ไม่รวมเครื่องแต่งกายยุกยาเวชภัณฑ์ต่างๆที่ให้แบบไม่อั้น ฝรั่งเศสเลยเริ่มรู้ตัวว่างานนี้ไม่ใช่หมูๆซะแล้วแต่เป็นช้างๆ โดนทัพเวียดมินห์ไล่ตีค่ายตามชายแดนเวียดนามที่ติดกับจีน แตกไปทีละค่ายสองค่ายเผลอแป็บเดียวน้ำหอมยังไม่ทันทาหรือไวน์ยังไม่ทันได้หมัก ในปีค.ศ. 1950 ก็มาอยู่หน้าฮานอยซะแล้ว ลืมบอกไปแม่ทัพผู้นำทัพเวียดมินห์ก็คือท่านนายพลโง เวียน เกี๋ยพ ผู้โด่งดังที่ตีเดียนฟูแตกและล้อมนาวิกโยธินสหรัฐที่เคซาน ฝรั่งเศสเห็นว่านายพลไม่ได้เรื่องและกลัวจะเสียฮานอยให้เวียดมินห์ จึงได้ส่งนายพลที่มีความสามารถและเคยรบปลดปล่อยฝรั่งเศสจากนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้วนั้นคือ นายพล จัง เดอลัต เดอ ตาสซิญญี (ชื่อจังซะด้วยญี่ปุ๋นญี่ปุ่น)นับว่าเกี๋ยพเจอบอสของศัตรูที่เหนือกว่าซะแล้ว (พูดแบบเกมส์หน่อย จะเรียกว่าเลเวลกับอีเอ็กซ์พีต่างกันก็คงใช่) เกี๋ยพเปลี่ยนทหารของเขาจากกองโจรเป็นทหารแบบธรรมดาอย่างเต็มตัว ผลที่ได้จึงซิปหาย(ไม่อยากพูดไม่สุภาพว่าฉิ _ หาย)

 


นายพลเดอลัต ผู้สร้างความหายนะครั้งใหญ่
ให้กับฝ่ายเวียดมินห์

     เกี้ยบคิดว่าฝรั่งเศสกำลังจะแพ้อยู่รอมร่อแล้ว ไฉนไหนเลยจะเสียเวลาจึงทุ่มพลครั้งใหญ่บุก นายพลเดอลัตเห็นแบบนั้น ก็ทำการสร้างแนวตั้งรับที่แข็งแกร่งรอบฮานอย เรียกว่าแนวเดอลัต ( delattre line ) สนับสนุนด้วยอากาศยาน ปืนใหญ่ และหน่วยพลร่ม ทำให้ทหารเวียดมินห์ตายไปเป็นจำนวนมากและต้องถอยกลับไปอย่างบอบช้ำ หลังจากนั้นมาเกี้ยบก็ใช้ยุทธวิธีกองโจรตลอดมา ซึ่งนานวันๆเข้าฝรั่งเศสก็ต้องสูญเสียทหารและยุทโธปกรณ์ ไปเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่ได้เข้าใกล้ชัยชนะในการที่จะพิชิตอาณานิคมเวียดนามแห่งนี้ได้เลย

     เพื่อการนี้จึงต้องมีแผนเด็ด ที่จะใช้ทำให้เวียดมินห์ต้องสลายหายไปจากเวียดนามและโลกนี้ นั้นก็คือการสร้างฐานทัพที่แข็งแกร่งไม่มีวันถูกตีแตก และเป็นกับดักที่จะล่อให้พวกเวียดมินห์เข้าโจมตี แล้วปืนใหญ่ อากาศยาน และแนวสนามเพลาะจะทำให้กองโจรถูกทำลายย่อยยับ แล้วค่อยรุกไล่บดขยี้ให้หมดสิ้น ซึ่งเวทีที่ถูกฝรั่งเศสเลือกเพื่อชัยชนะ? ก็คือบริเวณหมู่บ้านเดียน เบียน ฟู ( Dien Bien Phu ) ซึ่งอยู่ในเวียดนามตอนเหนือ ใกล้กับชายแดนลาวนั้นเอง ด้วยการใช้พลร่มกระโดดลงมาเต็มฟากฟ้า การเริ่มต้นของแผนประสบความสำเร็จไปด้วยดี มีการต่อต้านของเวียดมินห์น้อยมาก

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:36:56


ความคิดเห็นที่ 7



รถถังเอ็ม-24 ตลกคาเฟ่ของพี่หรั่ง ที่เดียน เบียน ฟู

 

     ฝรั่งเศสจึงเริ่มลงมือขุดคูสร้างสนามเพลาะ วางลวดหนาม ใช้เครื่องบินลำเลียง ขนรถถังเบาแบบ เอ็ม24 คาเฟ่ ซึ่งเป็นรถถังแบบเดียวที่เบาพอจะขนขึ้นเครื่องมาได้ ปืนใหญ่ที่พี่กันให้มา เครื่องบินแบร์แคทที่พี่คนเดียวกันให้มาใช้ ( เป็นสมรภูมิเดียวที่เครื่องบินแบร์แคทได้ใช้งานจริง แต่ก็เป็นเพียงการโจมตีภาคพื้นดินไม่เคยได้ใช้ในการขับไล่ใคร เพราะเวียดมินห์ไม่มีเครื่องบินขี่ ) ฝรั่งเศสได้สร้างสนามบินไว้ที่นี่ด้วย เพื่อจะใช้ส่งเครื่องบินไปบอมบ์ศัตรูที่บุกเข้ามา และเครื่องบินสามารถลงมาส่งเสบียงให้ได้อย่างสะดวกโยธิน เพราะการขนส่งทางบกลำบาก ภูมิประเทศแถวๆนั้นเป็นภูเขา และต้องเจอการรบกวนจากการซุ่มโจมตีของเวียดมินห์ ซึ่งจะทำให้เสบียงถูกทำลายหรือยึดไปก่อนมาถึงฐานทัพ

 


กรัมแมน เอฟ 8 เอฟ-1ดี แบร์แคท ในอินโดจีน

 

     ฝรั่งเศสไม่รู้ตัวเลยว่านายพลเกี้ยบนั้น เป็นนายพลผู้เด็ดดวงขนาดไหน วันๆเอาแต่อยู่ในฐานทัพนั่งรอว่า “ เมื่อไรไอ้พวกลิงผิวเหลืองมันจะมาให้ยิงซะทีหว่า “ ในความเป็นจริงแล้วเวียดมินห์กำลังเคลื่อนพลมาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล เรียกว่าทั่วเวียดนามคงไม่ผิด ก็ศัตรูมันมากระจุกกันอยู่ตรงนี้ให้ขยี้แล้ว จะมัวไปซุ่มยิงมันทีละนิดละหน่อยทำไมให้เมื่อย สู้ลุยเข้าไปเหยียบคาฐานทัพมันเลยดีกว่า ในการนี้ฝ่ายเวียดนามใช้อาสาสมัครซึ่งเป็นชาวเวียดนามธรรมด๊าธรรมดา ไม่ติดอาวุธอะไรสักอย่าง จะมีก็แต่หัวใจที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์กู้ชาติ ที่จะทำให้ความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางไกลหมดสิ้นไปได้ พวกเขาถูกใช้ในการขนเสบียงป้อนให้กับฝ่ายเวียดมินห์ ด้วยจักรยาน หรือแม้แต่ก็แบกเอา เป็นเส้นเป็นสายไม่สิ้นสุด ดุจดั่งแถวมดที่วิ่งออกหาอาหารแล้วนำเข้าสู่รัง ส่วนอีกแถวก็ออกไปหาอาหารต่อ ไปๆมาๆ

 

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:37:41


ความคิดเห็นที่ 8



จักรยานบรรทุกเสบียงเต็มคัน ที่อาสาสมัครเวียดมินห์จูงขึ้นเขา

 

     แต่เท่านี้ยังไม่น่าตกใจเท่ากับ อาวุธหนักต่างๆที่เวียดมินห์นำขึ้นไปบนเขาได้อย่างไร? เครื่องบินก็ไม่มีแบบฝรั่งเศส คำตอบก็คือ พวกเขาใช้แรงงานคนเนี่ยแหละช่วยกันลากปืนใหญ่ขึ้นเขา โดยใช้เชือกและคนประมาณ20-30คน ออกแรงชักคะเย่อทีละนิดๆ ไม่ก็ใช้แรงงานช้าง หรือถอดประกอบเป็นชิ้นๆ แล้วค่อยไปประกอบกันมันบนภูเขา สิ่งหนึ่งที่ฝรั่งเศสมองข้ามไปก็คือ ที่เดียน เบียน ฟู นี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ส่วนฐานทัพอยู่ด้านใต้ เป็นชัยภูมิที่เสียเปรียบสุดๆ หรือคงคิดว่าไม่มีทางที่ชาวเวียดนามตัวเล็กๆ ท่าทางอ่อนแอแบบนั้น จะขนปืนใหญ่ไปไว้บนภูเขาได้และคงหามาไม่ได้หรอก ถ้าหามาได้กว่าจะขนปืนใหญ่มาได้ก็คงใช้เวลานาน


ทหารฝรั่งเศสในสนามเพลาะ

     แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามอย่างที่คิด ฝรั่งเศสมารู้ตัวเอาว่าเข้าตาจน ก็เมื่อส่งหน่วยลาดตะเวนออกจากฐานทัพไปหาเวียดมินห์ ก็ได้รับกระสุนออกมาจากพุ่มไม้เป็นไปหมด และต้องวิ่งเปิดกลับมาที่ฐานทัพ บัดนี้พวกเวียดมินห์ได้ล้อมเดียน เบียน ฟูไว้แล้วทุกด้าน จากนั้นไม่นานปืนใหญ่ของเวียดมินห์ซึ่งมีมากกว่าฝ่ายฝรั่งเศสหลายเท่า เรียกว่าหามาทั่วเวียดนามเท่าที่จะหาได้ ปืนใหญ่นานาชนิดได้ยิงถล่มฐานทัพที่เดียน เบียน ฟู ทหารฝรั่งเศสทั้งหลายต่างตกตะลึง และต้องรีบวิ่งเข้าหาสนามเพลาะโดยด่วน หน่วยปืนใหญ่ของฝรั่งเศสทำการยิงตอบโต้ แต่ก็หาทำให้ปืนใหญ่ของศัตรูเงียบเสียงลงได้ และยังโดนกระสุนปืนใหญ่เวียดมินห์ทำลายปืนไปอีกต่างหาก นั้นเป็นเพราะชัยภูมิที่ต่างกัน ปืนใหญ่ฝรั่งเศสนั้นเพียงแค่ขุดหลุมลงไปเล็กน้อย สามารถถูกพบเห็นได้ง่าย เพราะเวียดมินห์อยู่บนภูเขา ส่วนปืนใหญ่ของเวียดมินห์นั้นอยู่ในป่านู้น แม้จะใช้เครื่องบินลาดตะเวนก็ยังไม่สามารถหาเจอ และยังมีแบบที่สร้างเป็นบังเกอร์ป้องกันปืนใหญ่สามารถยิงได้ทิศเดียวด้วย ปืนใหญ่ฝรั่งเศสจึงหมดพิษสงและกลายเป็นของเล่นไปเลย จนผู้บังคับบัญชาหน่วยปืนใหญ่ต้องใช้ระเบิดมือปลิดชีพตัวเอง

 

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:38:01


ความคิดเห็นที่ 9



พันเอก คริสเตียน เดอ คาสตรีส

 

     สถานการณ์ของฝรั่งเศสเพลี้ยงพล้ำลงทุกขณะ หมู่บ้านรอบๆฐานทัพที่มีการตั้งรับที่อ่อนแอ เริ่มถูกเวียดมินห์ใช้การบุกแบบคลื่นมนุษย์ ที่เข้ามารับกระสุนฝรั่งเศสแบบไม่กลัวตาย แกมีเท่าไหร่ก็ยิงมาให้หมดเลย รอแกกระสุนหมดก่อนเถอะ ข้าจะเข้าไปใช้ดาบปลายปืนแทงให้ไส้ทะลัก ปืนใหญ่เวียดมินห์ก็ระดมยิงอย่างหนักและโหดร้าย เรียกว่าก่อนฝ่ายป้องกันจะทันยิงต้านทานข้าศึก ก็ต้องตายไปเป็นเบือแล้ว ทำให้ต้องเสียหมู่บ้านที่ตั้งชื่อตามผู้หญิงของ พันเอก คริสเตียน เดอ คาสตรีส์ ผู้บัญชาการป้อมเดียนเบียนฟูไป โดนเวียดมินห์พรากไปทีละคนสองคน ( ฮา )

เครื่องบินทิ้งระเบิดผลิตในอเมริกา บี-26 ในอินโดจีน

 

     ทางศูนย์บัญชาการของฝรั่งเศสที่ฮานอยและไซง่อนต่างตกใจกับข่าวที่ได้รับมาเป็นอย่างมาก ก็ความจริงแผนนี้เราต้องเป็นฝ่ายยำเวียดมินห์สิถึงจะถูก แล้วทำไมมันกลายเป็นยำฝรั่งเศสไปได้ฟะ? ( ฝรั่งไม่เคยกินมาก่อน ) เร่งส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-26 และอากาศยานนานาชนิดเข้าโจมตีสนับสนุนรอบๆเดียนเบียนฟู ด้วยการทิ้งระเบิดมั่วซั่ว เพราะไม่สามารถมองเห็นข้าศึกที่อยู่ในป่าได้ และนักบินฝรั่งเศสก็ต้องตกกะใจ เมื่อเจอของเล่นใหม่ของเวียดมินห์ที่พี่หมีขาว นมตราหมีรัสเซีย ( คำขวัญของพี่หมีนี้คือ “ ตายเร็วๆนะ ” ) นั้นคือ ปืนต่อสู้อากาศยานครับท่าน ทั้งแบบ 37-85มม. และปืนกลหนัก ดีเอสเอชเค ( Dshk ) ขนาด 12.7 มม.ในสงครามโลกครั้งที่สอง ยิงจนระเบิดกลางอากาศหรือพรุนเป็นลูกพรุนบินได้ จนเครื่องบินฝรั่งเศสต้องบินไปอยู่สูงๆโน้น ทำให้การทิ้งระเบิดขาดความแม่นยำลง

   

เล่ามาซะยาวขนาดนี้ คงต้องเอาไว้ต่อกันในคราวหน้าครับ โปรดติดตามชม

โดยคุณ tan02 เมื่อวันที่ 23/09/2007 11:39:18