การสะสมกำลังทางอาวุธของจีน
|
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจุบันนี้ จีนกำลังมีอัตราความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก และขณะเดียวกันรัฐบาลที่ปักกิ่งก็กำลังพยายามปรับปรุงแสนยานุภาพของกองทัพอย่างเร่งรีบ เพื่อให้มีพลังอำนาจทางการทหารให้สมกับฐานะของประเทศ ดังนั้น ในเรื่องนี้ จึงเป็นที่จับตามองของประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าตนครองความเป็นหนึ่งในโลกอยู่แล้ว เพราะการที่มีจีนซึ่งแข็งแกร่งทั้งทางเศรษฐกิจและการทหารย่อมจะทำให้จีนเป็นปัจจัยตัวแปรสำคัญในด้านการเมืองระหว่างประเทศของโลกได้ในอนาคตอันใกล้ และเรื่องที่ทั้งโลกเป็นห่วงอยู่ก็คือ ต่อไป จีนจะยังเป็นตัวละครสำคัญบนเวทีการเมืองโลกที่ยังรักสงบ มุ่งพัฒนาประเทศและจะยังมีบทบาทในทางสร้างสรรค์ต่อความมั่นคงโดยส่วนรวมของโลกต่อไปหรือไม่ อย่างไร จีนเพิ่งทำการเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีของการก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชน หรือ People's Liberation Army (PLA) เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา PLA ได้เริ่มต้นจากการเป็นกองทัพประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านผู้อยู่ในอำนาจในสมัยนั้นโดยมีอาวุธแบบชาวบ้านจริง ๆ แต่หลังจากเวลา 80 ปีได้ผ่านไป ขณะนี้ PLA จัดได้ว่าเป็นกองทัพที่มีแสนยานุภาพที่สุดกองทัพหนึ่งในโลก ซึ่งถึงแม้ PLA จะไม่ประสงค์ที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐ แต่ก็มีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะสามารถยับยั้งแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐที่จะให้การป้องกันต่อไต้หวันได้ รายงานประจำปีของเพนตากอนต่อรัฐสภาสหรัฐเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ระบุไว้ว่า จีนได้พัฒนากองทัพของตนไปอย่างรวดเร็วมาก และถึงแม้ว่าพลังอำนาจทางการทหารของจีนจะยังแผ่ขยายออกไปได้ในขอบเขตจำกัด แต่จีนก็ยังเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีศักยภาพสูงสุดที่จะแข่งขันกับสหรัฐได้ ในปี ค.ศ. 1995 เมื่อจีนรู้สึกโกรธจัดที่สหรัฐได้ให้การต้อนรับอดีตประธานาธิบดี Lee Teng-hui ของไต้หวันอย่างอบอุ่น ด้วยการยิงจรวดไม่ติดอาวุธเข้าไปในน่านน้ำของไต้หวัน สหรัฐได้ลองเชิงเป็นการเตือนด้วยการส่งเรือบรรทุกเครื่องบินสองลำเข้าไปในน่านน้ำของไต้หวัน ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผล แต่ปัจจุบันนี้จีนได้พัฒนาจรวดติดอาวุธสมัยใหม่ขึ้นมาอย่างมากมาย และได้ติดตั้งจรวดดังกล่าวที่หันเข้าหาไต้หวันถึงราว 900 ลูก ซึ่งจะสามารถทำลายโครงสร้างทางการทหารของไต้หวันได้ราบเรียบก่อนที่สหรัฐจะสามารถโต้ตอบเสียด้วยซ้ำ เอกสารของเพนตากอนประมาณการว่า ระหว่างปีค.ศ. 2000-2005 จีนได้ซื้ออาวุธใหม่เป็นเงินถึงประมาณ 11 พันล้านเหรียญ โดยส่วนใหญ่เป็นอาวุธจากรัสเซีย แต่ก่อนนี้จีนให้ความสำคัญแต่กับกองกำลังทางบก แต่ปัจจุบันนี้ได้มุ่งเน้นกองทัพเรือและกองทัพอากาศขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะนี้จีนได้ซื้อเรือดำน้ำโจมตีขับเคลื่อนด้วยดีเซลที่เรียกว่า Russian Kilo-class diesel attack submarines 12 ซึ่งติดตั้ง จรวดนำวิถีด้วย และยังมีเรือพิฆาตอีก 4 ลำ พร้อมจรวดนำวิถีซึ่งสามารถทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือคุ้มกันได้ ขณะเดียวกันจีนก็ได้นำแบบจำลองเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ ชื่อ the Shang ซึ่งจีนกำลังสร้างและจะทำให้จีนแผ่ขยายกำลังอำนาจในแปซิฟิกออกไปได้อีกไกลมาก สำหรับด้านกำลังทางอากาศ ขณะนี้จีนก็ได้ซื้อเครื่องบินขับไล่ Su-27 และ Su-30 ที่ทันสมัยที่สุดจากรัสเซียถึง 200 เครื่อง และยังมีแผนการที่จะซื้อเครื่อง Su-33 ซึ่งเป็นแบบใหม่ล่าสุดอีกด้วย สำหรับแสนยานุภาพทางอาวุธนิวเคลียร์นั้น สหรัฐยังไม่กริ่งเกรงจีนนั้น เพราะจรวดนำวิถีติดหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในที่เก็บส่วนใหญ่ซึ่งสหรัฐทราบที่ตั้งหมดแล้ว และการปฏิบัติการยังกินเวลามาก ซึ่งจีนกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาหัวอาวุธนิวเคลียร์ที่จะยิงได้รวดเร็วขึ้นและมีระยะทางไกลขึ้นอยู่ในขณะนี้ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าจีนยังพึ่งพารัสเซียในเรื่องยุทโธปกรณ์เป็นอย่างมากรวมทั้งอะไหล่ต่าง ๆ ที่ต้องปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลาด้วย แน่นอน จีนต้องการปลดเปลื้องภาระอันนี้ มีข่าวว่าขณะนี้ จีนกำลังพยายามพัฒนาเครื่อง turbofan ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ สำหรับเครื่องบินรบ แต่ก็ยังไม่สำเร็จเพราะรัสเซียก็ยังไม่พร้อมที่จะให้เทคโนโลยีนี้แก่จีน ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐกล่าวว่า ขณะนี้ จีนมีอาวุธที่พอเชื่อใจได้เพียงอย่างเดียวคือ จรวดนำวิถี อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีผู้ใดที่รู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพในการรบของกองทัพจีนในส่วนรวมอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะจีนทำการซ้อมรบกับประเทศต่าง ๆ น้อยมาก สหรัฐเองก็ได้พยายามเลียบเคียงจีนในด้านนี้ และเมื่อปีที่แล้ว ก็สามารถชักชวนให้มีการซ้อมการปฏิบัติการร่วมในการค้นหาและช่วยเหลือในบริเวณชายฝั่งของจีนและสหรัฐได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่ลึกซึ้งนักเพราะเป็นการร่วมปฏิบัติการที่ไม่ยุ่งยากนัก ประเทศที่จีนไว้ใจที่สุดก็คือรัสเซีย และได้ทำการร่วมซ้อมรบขนาดใหญ่ระหว่างกันเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งก็มีข่าวออกมาว่ารัสเซียไม่ได้ประทับใจกับประสิทธิภาพของกองทัพจีนเท่าใดนัก เนื่องจากการขาดเอกภาพในการดำเนินการ เครื่องมือสื่อสารที่ล้าสมัย และความเชื่องช้าของรถถังที่จีนมีอยู่ ดังนั้น ถึงแม้จีนจะใช้จ่ายในการพัฒนาอาวุธถึง 26.5 พันล้านเหรียญในปี ค.ศ. 2004 (แต่ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษประมาณการว่าจริง ๆ แล้วจีนจ่ายเงินไปมากกว่าที่ประกาศถึงเกือบสองเท่า) แต่รัฐบาลอเมริกันและแม้แต่จีนเอง ก็ยังเชื่อมั่นว่า ขณะนี้กองทัพจีนยังไม่มีสมรรถนะประสิทธิภาพเพียงพอที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐได้ คงยังจำกันได้ว่า เพียงเมื่อไม่นานมานี้ ทั่วโลกก็ยังเกรงกันว่าความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีนจะนำไปสู่ความหายนะทางการทหารของโลก แต่ปัจจุบันนี้ การณ์มิใช่เป็นเช่นนั้น จากการหยั่งเสียงของประชาชนของ Global Affairs and World Public Opinion org. ร่วมกับศูนย์วิจัยต่าง ๆ ในประเทศที่เกี่ยวข้องทั่วโลก ผลปรากฏว่า 8 ประเทศใน 14 ประเทศ เชื่อว่าจีนจะเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจทัดเทียมกับสหรัฐได้ในที่สุด แต่มีเพียง 1 ใน 3 ของแต่ละประเทศเท่านั้นที่เชื่อว่า ความก้าวหน้าดังกล่าวจะนำมาซึ่งผลร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังเชื่อในคำพูดของประธานาธิบดี Hu Jintao ของจีนที่กล่าวไว้ว่า จีนจะมุ่งก้าวหน้าในทางสันติ (peaceful rising) อย่างไรก็ตาม ใน ทางกลับกัน ก็มิใช่ว่า คนทั้งโลกจะยอมรับแล้วว่า จีนได้เปลี่ยนจากมังกรที่มีอิทธิฤทธิ์ไปเป็นหมีแพนด้าที่แสนเชื่องไปแล้ว เพราะผลการหยั่งเสียงก็ยังปรากฏว่า คนส่วนใหญ่ในประเทศส่วนใหญ่ที่มีการหยั่งเสียง ก็ยังไม่เชื่อว่าจีนจะดำเนินนโยบายอย่างรับผิดชอบนอกอาณาเขตประเทศของตน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในเอเชียทั้งหลาย ต่างก็แสดงความห่วงใยในการเสริมกำลังทางอาวุธของจีน และยังต้องการให้สหรัฐยังคงมีบทบาทในด้านความมั่นคงของเอเชียอยู่ต่อไป. |
ความคิดเห็นที่ 1
อีกหลายยยยย..ปีครับ กว่าจีนจะมีอำนาจมากกว่าสหรัฐในเอเชีย
โดยคุณ
galen เมื่อวันที่
20/09/2007 15:37:43
ความคิดเห็นที่ 2
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวครับ
วันนี้ยังไม่ทัน แต่ต่อไปก็ไม่แน่
ก็ต้องดูกันต่อไป ^^
โดยคุณ Zepia เมื่อวันที่
20/09/2007 23:53:14