๑. กล่าวนำ
จากเหตุการณ์ เครื่องบินเล็กของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งตกในพื้นที่เขาใหญ่ การค้นหาช่วยเหลืออากาศยานของ ประเทศไทย ยังไม่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ นอกจากนนี้ยังไม่รวมเหตุการณ์ ที่สายการบินวัน ทูโก ประสบอุบัติเหตุ ที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งภาพที่ปรากฏไม่เหมือนกับประสิทธิภาพ ภาพการสาธิต , ข้อความที่ประชาสัมพันธ์จากการฝึกซ้อมการค้นหาช่วยเหลือ SAREX Search and Rescue[1] Exercise ที่มีการฝึกเป็นประจำทุกปี ในทุกปี การฝึกการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัย เป็นการฝึกภายใต้ความรับผิดชอบ ของกรมขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม เพื่อปรับมาตรฐานการค้นหาและช่วยเหลือฯ เพื่อสนับสนุนยุทธ์ศาสตร์การ เป็นศูนย์กลางการบินนานาชาติของประเทศไทย โดยจะมีการหมุนเวียน การรับเป็นแกนกลางในการจัดงานระหว่าง , กองทัพบก, กองทัพอากาศ,กองทัพเรือ , กรมการขนส่งทางน้ำ ( กรมเจ้าท่าเดิม ) , กรมการขนส่งทางอากาศ( กรมการบินพานิชยเดิม ) , ซึ่งมักจะเน้น การสาธิตมากกว่าการฝึกหน่วย เพื่อให้ภาพเกิดความสวยงาม
แต่สภาพความเป็นจริง งานค้นหาช่วยเหลือ หรือที่เรียกว่า SAR นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของการบินค้นหาเหมือนที่ทำการสาธิตเท่านั้น แต่ ต้องเป็นการบูรณาการ ขีดความสามารถในการค้นหาทั้งมวล ของทุกส่วนงาน ตั้งแต่ ระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ จนถึง หน่วยกู้ภัย ที่อยู่บนพื้นดินที่อยู่ในบริเวณที่คาดว่าอากาศยานจะตก เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ในทุกพื้นที่และสภาพอากาศ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเครื่องตกขณะที่ สภาพอากาศไม่ดีนัก ไม่สามารถใช้อากาศยานในการค้นหาได้ ทางเดียวที่จะเข้าไปค้นหาได้คือ การใช้ชุดค้นหาที่เดินเท้า ซึ่งหลายปีของการฝึกที่ผ่านมา ไม่เคยมีการฝึกอย่างจริงจังในภาพรวมในเรื่องการค้นหาช่วยเหลือ , ระบบบัญชาการเหตุการณ์ที่ควรจะสมบูรณ์พร้อมในการที่จะให้ข้อมูลประสานงาน , แจ้งเตือนหน่วย , นำข้อตกลงที่ได้ประชุมสัมนามาเชิงปฏิบัติการมาใช้ในทางปฏิบัติจริง และผลที่ออกมากลับไม่เป็นเหมือนที่ฝึกสาธิตกันทุกปี หลายปีที่ผ่านมา การฝึก SAREX เป็นการฝึกซ้อมเชิงสาธิต มีการจัดลำดับการเข้าออกของแต่ละส่วน คล้ายกับ การสร้างฉากภาพยนต์ ทำให้ และมุ่งเน้นการค้นหาในภาคอากาศ เท่านั้น โดยไม่ได้มีการฝึก ในขั้นตอนของการค้นหาภาคพื้นดิน หรือ การจัดตั้ง ที่บัญชาการ ณ พื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งในการฝึก ภาพที่สวยหรู มักจะสมมติเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นใกล้สนามบิน และ ท้ายที่สุดได้ภาพที่ดูอลังการณ์ แต่ไร้ซึ่ง ผลผลิตที่ควรจะได้จากการฝึก ซึ่งการค้นหาช่วยเหลือยังคงต้องใช้กำลังทุกส่วนมิใช่เพียงแต่ การค้นหาทางอากาศอย่างที่คนในบุคคลกร วงการการบินโดยทั่วไปเข้าใจ
จากหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ ที่ เฮลิคอปเตอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ตก ในพื้นที่ป่าภูเขาในภาคเหนือ , เหตุการณ์ที่ ขบวนฮ.ติดตาม ขบวน ฮ.พระที่นั่ง ตก ในพื้นที่ อ.สุคิรินทร์ จว.นราธิวาส จุดอ่อนของการค้นหาช่วยเหลือ หลายจุดยังคงไม่ได้รับการปรับปรุง
บทความที่กล่าวถึงในด้านล่างนี้เป็น แนวทางขั้นตอนการปฏิบัติ การทั่วไปของการค้นหาช่วยชีวิต โดยจะไม่กล่าวถึงในรายละเอียดการบินค้นหาทางอากาศ ซึ่งเนื่องจากมีแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยหน่วยงานที่เป็น ศูนย์ประสานการค้นหาควรเข้าใจหลักการค้นหาช่วยเหลือ ไม่เพียงแต่ภาคอากาศเท่านั้น แต่เพื่อให้เห็นภาพรวมให้เกิดความเข้าใจในการเตรียมการในยามปกติ ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสาน ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดในการปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือ , การนำเอาหน่วยงานหลายหน่วยมาทำงานร่วมกันในสภาวะวิกฤติ , การขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการค้นหาช่วยเหลือที่เต็มรูปแบบ มิใช่จากการดู บรรยายสรุป ๑- ๒ หน้า หรือ การอ่านแต่ตำราโดยขาดความสนใจในการปฏิบัติ และการพัฒนา ขีดความสามารถในภาพรวม , ฯลฯ ผู้เขียน หวังว่าบทความนี้คงจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในเรื่องของการค้นหาช่วยเหลือในภาพรวมและนำไปปรับปรุงหน่วยงานองค์กร หรือ บุคคลากรที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง
การค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสพภัย
ประวัติความเป็นมา
การค้นหาช่วยเหลืออากาศยาน แต่เดิม มากจากภารกิจทางทหารที่ต้อง ช่วยเหลือ นักบินทหารที่ถูกยิงตกหรืออากาศยานตกในสมรถภูมิ การปฏิบัติการค้นหาและช่วยชีวิต ได้มีการบันทึกไว้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยในปี ค.ศ.๑๘๗๐ ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่ใช้บอลลูนรับทหารบาดเจ็บ จำนวนรวม ๑๖๐ คนออกจากสนามรบเมื่อกองทัพของบิสมาร์คทำการปิดล้อมกรุงปารีส ในสงครามฟรังโก้ ปรัสเซียน ต่อมาในปีค.ศ.๑๙๑๕ ประเทศฝรั่งเศสได้สร้างประวัติศาสตร์ของการค้นหาและช่วยชีวิตทางอากาศขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเป็นประเทศแรกที่ใช้เครื่องบินเป็นโรงพยาบาลลอยฟ้ารับผู้ป่วยจากประเทศเซอร์เบีย กลับประเทศ
ในปี ค.ศ.๑๙๑๘ กองทัพบก ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ริเริ่มทำการดัดแปลงเครื่องบินรบมาเป็น
โรงพยาบาลในอากาศและในปี ค.ศ.๑๙๓๘ ซึ่งเป็นต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในช่วงของสงครามชิงเกาะ
อังกฤษนั้นเยอรมันก็ได้ใช้เครื่องบินแบบโฮน์เคล ๕ ซึ่งเป็นเครื่องบินทะเลติดเครื่องหมายกาชาดสีแดง ออกทำการช่วยเหลือนักบินของตนที่ถูกยิงตกในช่องแคบอังกฤษโดยใช้ทั้งแพยางและอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ ในปี
ค.ศ.๑๙๔๐ ฝ่ายเยอรมันได้พัฒนาการช่วยชีวิตนักบินฝ่ายตนโดยการวางทุ่นลอยขนาดใหญ่ทาสีเหลืองสด
และมีกาชาดสีแดง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในบริเวณช่องแคบอังกฤษซึ่งในทุ่นลอยนี้มีทั้งอาหารและน้ำดื่มและอุปกรณ์ในการดำรงชีพอื่น ๆ อีกหลายชนิดเพียงพอสำหรับคน ๔ คน ในปี ค.ศ.๑๙๔๑ จำนวผู้ปฏิบัติงานในอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรถูกยิงตกทวีจำนวนมากขึ้นจนน่าวิตก จำเป็นต้องพัฒนาการค้นหาและช่วยชีวิตให้ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อังกฤษจึงได้จัดตั้งโครงสร้างของหน่วยซึ่งมีระบบในการค้นหาและช่วยชีวิตที่การติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นทำให้สามารถรักษาชีวิตนักบินของฝ่ายตนได้เพิ่มมากขึ้น จากผลของความสำเร็จดังกล่าว ใน ค.ศ.๑๙๔๒ อังกฤษและสหรัฐอเมริกาจึงได้ร่วมมือกันเป็นครั้งแรกใน การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานในอากาศให้รู้จักวิธีการค้นหาและช่วยชีวิตตลอดจนเทคนิคต่างๆ ในการดำรงชีวิต โดยการนำแนว-ความคิดของฝ่ายเยอรมันมาใช้ทำให้โฉมหน้าของการค้นหาและช่วยชีวิตเปลี่ยนไป อย่างสิ้นเชิงดังเห็นได้จากในปีค.ศ.๑๙๔๔ ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถทำการช่วยเหลือนักบินและเจ้าหน้าที่ ประจำเครื่องบินทิ้งระเบิดของตนได้ถึง ๒๘ - ๔๓ เปอร์เซ็นต์ และนักบินขับไล่ของกองu3607 กองทัพอากาศอีก๓เปอร์เซ็นต์ ในที่สุดเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๙๔๖ กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดตั้งระบบการค้นหาและช่วยชีวิตทางอากาศขึ้นมาอย่างจริงจัง ทำให้ระบบนี้มีความก้าวหน้าทางเทคนิคเพิ่มขึ้นตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
การใช้เฮลิคอปเตอร์ในภารกิจการช่วยชีวิตทางทหารเริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรก ในสงครามเกาหลีโดยสหรัฐอเมริกาใช้เฮลิคอปเตอร์แบบเอช ๕ ร่วมกับเครื่องบินแบบ ซี ๔๗ และเครื่องบินแบบแอล ๕ทำการช่วยเหลือทหารของฝ่ายสหประชาชาติไปส่งยังพื้นที่ปลอดภัยได้ จำนวนทั้งสิ้น ๘,๖๙๐ คน ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานด้วยเฮลิคอปเตอร์ถึง ๘,๒๑๘ คน และ ๘๖ คน จากจำนวนดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือออกมาหลังแนวรบของข้าศึก ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเวียดนาม กองบินค้นหาและช่วยชีวิตของสหรัฐอเมริกาสามารถช่วยชีวิตผู้ ทำงานในอากาศที่ถูกยิงตกในดินแดนของเวียดนามเหนือได้ถึงหนึ่งในสามของจำนวนทั้งหมดแม้ว่าจะมีการต่อต้านอย่างรุนแรงก็ตาม เมื่อรวมถึงบริเวณอื่น ๆ ก็สามารถช่วยชีวิตได้มากกว่าครึ่ง ซึ่งครั้งนี้เป็นการ ปฏิบัติงานของเฮลิคอปเตอร์แทบทั้งสิ้น
สำหรับการค้นหาและช่วยชีวิตของกองทัพอากาศไทย ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๗ เมื่อได้รับโอนฮ.-๑ (เอช ๕๑) มาจากกรมการบินพลเรือนโดยจัดเป็นภารกิจหนึ่งของกองบิน ๖ ฝูง ๖๓ขณะนั้น และต่อมาเมื่อก่อตั้งกองบิน ๓ ขึ้น ฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ คือ ฝูงบิน ๓๑ และ ๓๒ ก็ได้รับมอบภารกิจนี้ต่อมาจนกระทั่งเมื่อกองบิน ๓ ถูกยุบ ฝูงบินเฮลิคอปเตอร์จึงมาขึ้นตรงกับกองบิน ๒ ซึ่งใช้ชื่อฝูงบิน ๒๐๑ และ ฝูงบิน ๒๐๓ ตามลำดับ และยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการค้นหาและช่วยชีวิตเป็นภารกิจหลักตลอดมา
สถานการณ์ในอดีตที่มีนักบินที่ประสพภัย ในสมรภูมิเขาค้อ คือ เรืออากาศเอกชวลิต ขยันกิจ และเรืออากาศโท พงษ์ณรงค์ เกสรศุกร์ เป็นนักบิน ได้เข้าทิ้งระเบิดนาปาล์ม ซึ่งอยู่ในเขตเขาค้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ขณะที่ เรืออากาศโท พงษ์ณรงค์ เกสรศุกร์ ซึ่งเป็นหมายเลขสอง ( หมายเลข 1333 เลข ทอ. บข.๑๘-๑๗/๑๗ Sel.No.71-0264 ) เข้าโจมตีถูกฝ่ายตรงข้ามยิงอาวุธไม่ทราบชนิด ในระยะสูงประมาณ ๑,๐๐๐ ฟุต โดยเครื่องบินได้ทำการเลี้ยวซ้ายมุดลงระเบิดในกลางป่าห่างจากเป้าหมายประมาณ ๒ กม. ซึ่งจากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศที่เครื่องบินตรวจการณ์แบบ โอวัน ได้ถ่ายภาพมาพบว่าเครื่องบินไฟไหม้ตกลงในหุบเขา เขตบ้านภูชัย เขาค้อ ห่างจากแม่น้ำเข็กราว ๑ กม. และมีลักษณะคล้ายนักบินดีดตัวออกจากเครื่อง การช่วยเหลือนักบินที่คาดว่ารอดชีวิตจึงเริ่มขึ้น ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดินได้ถูกปฏิบัติทันที ในขณะนั้น พลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทางยุทธการ กองทัพภาคที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดาของนักบินผู้ที่ถูกยิงตก ได้มาร่วมปฏิบัติการค้นหาในครั้งนี้ด้วย การค้นหาและช่วยเหลือมีการส่งเครื่องบินและทหารจำนวนมากเข้าไปค้นหาตามพิกัดที่ได้จากการแปลความภาพถ่ายทางอากาศ โดยการช่วยเหลือ ใช้ กำลังเดินเท้าของ ทหาร ตำรวจจำนวนมาก
ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่
ประสบภัย โดยมี กรมการขนส่งทางอากาศ เป็นผู้รับผิดชอบหลักโดยใช้ทรัพยากรอันได้แก่อากาศยาน/เรือ
จากหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วย ค้นหาและระวังภัย ร่วมกัน
ขั้นตอนโดยทั่วไปจะเริ่มจาก ศูนย์ความคุมการจราจราทางอากาศ รายงานเมื่อเกิดสถานการณ์ที่อากาศยานยานมีแนวโน้มจะประสบภัย โดยรายงานมายัง ศูนย์ประสานงานการค้นหาช่วยเหลือ กรมขนส่งทางอากาศ และ ศูนย์ประสานงานการค้นหาช่วยเหลือ จะแจ้งไปยัง หน่วยในระบบค้นหา ซึ่งก็คือ เหล่าทัพต่าง , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, หน่วยบินเกษตร , หรือ แม้กระทั่ง กรมการปกครอง ในส่วนของจังหวัด โดยจะมีการตั้ง ศูนย์ประสานงานการค้นหาฯ หรือ ที่บัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งเป็นที่ใช้ควบคุม อำนวยการ ประสานงานในการปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือ
การจัดกำลังในการค้นหาและช่วยเหลือ
ทก. LZ SA MSS Search ResTm |
การจัดพื้นที่ ส่วนควบคุม
๑.ส่วนควบคุม ( ที่บัญชาการเหตุการณ์ : ทก.[1]) โดยปกติ หลังจากที่ ทราบว่ามีอากาศยานหายไปจากจอเรดาห์ หรือมีสถานการณ์ที่มีแนวโน้มว่าอากาศยานตก ศูนย์ควบคุมการจรจรทางอากาศจะแจ้ง มายัง ศูนย์ประสานงานการช่วยเหลือแห่งชาติ ( Search and Rescue Coordination Center : SARCC) จะมีการแจ้งเตือนหน่วยในระบบการค้นหา โดยจะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการ ณ พื้นที่เกิดเหตุ (OSC : On Scene Commander ) [2] ในที่นี้จะมีการ ประสานการใช้ หน่วยต่าง การรวบรวมข่าวสารเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยมี OSC หรือ ผู้บัญชาการ ณ พื้นที่เกิดเหตุ จะต้องเป็นผู้ควบคุมประสานงาน ตั้งแต่การ จัดตั้ง บก.เหตุการณ์ การวางแผน , การควบคุมอำนวยการ แก้ปัญหาระหว่างการค้นหา ,การติดตามสถานการณ์ ,การแถลงข่าวและให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนและญาติ,การบันทึกการปฏิบัติแต่ละวัน สรุปผลการค้นหาว่ามีข้อดีข้อบกพร้องอะไรที่ต้องแก้ไข , การประสานงานด้านการติดต่อสื่อสารของหน่วยที่มาร่วมค้นหา นอกจากนี้ต้องแก้ปัญหา งบประมาณการใช้สิ่งสิ้นเปลืองต่างในการค้นหา เช่น การเติมน้ำมันเชื้อเพลิง การแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณให้กับหน่วยปฏิบัติ การทำความเข้าใจประสาน ผู้ที่มีอำนาจตกลงใจสั่งการสูงสุดเพื่อให้การปฏิบัติการรวดเร็ว
ในส่วนนี้ดูเหมือนเป็นงานง่าย ชี้นิ้วสั่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นงานเริ่มต้นที่ยากที่สุดที่จะทำให้สมบูรณ์และถูกใจทุกฝ่าย หากเริ่มต้นไม่ดีข้อมูลไม่ครบ สั่งการแบบไร้ทิศทาง ก็จะส่งผลถึงประสิทธิภาพการค้นหายกตัวอย่าง เช่น อากาศยานหายไปจากจอเรดาห์ที่พิกัดLat 06องศา 02ลิปดา 54พิลิบดา´Long 101องศา 38ลิบดา10´´ พิลิบดา เมื่อ ส่วนวางแผน ให้ข้อมูลเพียงแค่ อากาศยานหายไปที่พิกัด นี้ โดยไม่ได้พิจารณา ปัจจัยอื่นๆประกอบ เช่นความสูง ความเร็ว, ทิศทาง สภาพความเร็วลมภูมิอากาศบริเวนนั้น อาจจะทำให้ชุดค้นหาเข้าใจผิดว่า อากาศยานตกบริเวณพิกัดนั้น ซึ่งแท้จริงแล้ว การหายไปไม่ได้หมายความถึงเครื่องตกบริเวณนั้น เป็นต้น นอกจากนี้ พิกัด ภูมิศาสตร์ ยังไม่สะดวกในใช้การเดินในภูมิประเทศ เท่า ระบบพิกัด ทางทหาร
หรือ การที่ ส่วนควบคุม หรือ ศุนย์ประสานงานการค้นหาฯเข้าพื้นที่โดยไม่ได้เตรียมเรื่องเครื่องมือสื่อสาร ที่พักชั่วคราว และที่สำคัญที่สุด แผนที่มาตราส่วนที่ใช้กับการค้นหาทางพื้นดิน ซึ่ง ส่วนควบคุมการจราจรทางอากาศ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการบิน นั้นมักจะไม่คุ้นเคยและเชื่อว่าไม่จำเป็น โดยลืมไปว่าหากเครื่องบินตก เครื่องต้องตกลงสูงพื้นโลก ซึ่งต้องใช้แผนที่มาตรส่วนใหญ่ เช่น มาตราส่วน ๑ ต่อ ๕๐,๐๐๐ ในการใช้แผนที่ทางอากาศมาอธิบายกับหน่วยที่เดินเท้าทางพื้นดิน ย่อมใช้เวลานานในการทำความเข้าใจมากกว่า และยากในการแบ่งพื้นที่การค้นหาทางพื้นดิน
๑.ส่วนค้นหาและช่วยเหลือ Rescue Team (ResTm)
คือ ส่วนที่มีเครืองมือ ทรัพยากรในการค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยการอำนวยการของส่วนควบคุม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงการใช้อากาศยานในการค้นหา และ ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องมือในการค้นหามีทั้ง ทางบก ทางน้ำ รวมอยู่ด้วย ซึ่งในวงการการบิน มักจะลืม ส่วนทางบกไปสนิทในการฝึกการค้นหา ซึ่งจากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เรามี กำลังคนที่พร้อมอยากจะช่วยจำนวนมาก เช่น มูลนิธิต่างๆ ซึ่งท่านผู้เสียสละเหล่านั้น มักจะคุ้นเคยกับการช่วยเหลือภัยบนท้องถนนที่ราบเรียบ แต่เมื่อ ต้องเผชิญสถานการการค้นหา แล้ว จะต้องใช้ทักษะการเป็นนักกู้ภัยที่มีมาตรฐาน เช่น ความพร้อมของทักษะส่วนบุคคล ที่จำเป็น การการผจญเพลิง , การอ่านแผนที่การใช้เข็มทิศ , การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บในพื้นที่ลาดชัน , เครื่องมือที่จำเป็นก็ไม่พร้อมเช่น เข็มทิศ,แผนที่ , การเตรียมการส่วนบุคคล เช่น การแต่งกายที่เหมาะสมสำหรับการเดินป่า,รองเท้า,เสบียงสำหรับการค้นหาที่ต้องใช้เวลามากกว่า๖ชม.เป็นต้น
๒.ส่วนสนับสนุน เป็นส่วนที่รับผิดชอบการจัดพื้นที่สนับสนุน
จัดตั้งมาเพื่อสนับสนุนกำลังในการช่วยเหลือ เช่น จัดสรรพื้นที่ในการวางอุปกรณ์,เครื่องมือ,การจัดพื้นที่จอดรถ , ส่วนงบประมาณ,ส่วนจัดอาหารสำหรับส่วนปฏิบัติการ ,จนท.ประจำรถแสงสว่าง , จนท.ควบคุมการเติมน้ำมัน ,ส่วนพัสดุ ทั้งนี้แล้วแต่ สถานการณ์ว่าจะต้องสนับสนุนเรื่องใดบ้างซึ่งก็ไม่หนีเรื่องความต้องการพื้นฐานและวัสดุสิ้นเปลืองในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ควรคำนึงถึง ระบบงบประมาณ ที่จะต้องมีการเบิกจากด้วย ระเบียบที่ซับซ้อนของทางราชการซึ่ง การดำเนินการควรจะมีเจ้าหน้าที่ที่เชียวชาญด้านงบประมาณมาสนับสนุนการดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน ของทุกส่วนโดยเฉพาะส่วนราชการ
๔.ส่วนจัดพื้นที่ปลอดภัยรองรับ (Safe Area: SA)
เป็นส่วนที่ กำหนดขึ้นเพื่อ รองรับผู้บาดเจ็บ, ทรัพยสิน ,ร่างผู้เสียชีวิต(ควรจะแยกออกจากพื้นที่ที่รับผู้บาดเจ็บหรือไม่ให้มองเห็น) ซึ่ง ส่วนดังกล่าวจะต้องประสานข้อมูล ผู้ประสบภัยขั้นต้นกับ หน่วยบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ( Emergency Medical Service:
ซึ่ง ส่วนนี้ ควรจะมี จนท.ตร. , จนท.พยาบาลฉุกเฉิน คอยดูแล ร่วมกับส่วนประชาสัมพันธ์เพื่อประสาน กับญาติผู้บาดเจ็บในการรับทราบการมาถึงของ ผู้ประสบภัย
หมายเหตุ การจัด ส่วนต่างสามารถปรับขนาดของแต่ละส่วนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่ง ทก.อาจจะเป็นแค่ ร่มไม้ หรือ ท้ายรถปิคอัพ มีไวท์บอรด์เล็ก วิทยุสื่อสาร และจนท. ๒-๓ คน โดยเป้าหมายคือ ให้สามารถวางแผน อำนายการ สั่งการประสานงาน,ให้ข้อมูล และ แก้ปัญหาให้การค้นหาได้
ปัญหาข้อขัดข้องของระบบการค้นหาช่วยเหลือของประเทศไทย
ประเทศไทยมีหน่วยงาน องค์การภาคประชาชนจำนวนมาก ดำเนินการเครื่องเกี่ยวกับการค้นหาช่วยเหลือทุกหน่วยมีความตั้งใจและปราถนาดี ในเรื่องของการค้นหาอากาศยานที่ประสบภัย เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรในวงการการค้นหาประการหนึ่ง คือ โอกาศเกิดขึ้นน้อย และ คนในวงการการบินเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบการค้นหาภาคพื้นดินเท่าที่ควร ทำให้ขาดการพัฒนาไปทั้งระบบ ตัวหน่วยงานค้นหาช่วยเหลิอเองขาดองค์ความรู้ ทำให้หลายครั้งตกเป็นเหยื่อของผู้ประกอบการค้าที่ไร้จริยธรรม นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่ทำให้ การค้นหาช่วยเหลือของประเทศไทย ไม่พัฒนาไปเท่าที่ควรทั้งที่ ผู้ก่อตั้งหน่วยงาน องค์กรทั้งหลายความความตั้งใจอย่างมากที่จะทำงานเพื่อสังคม บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ร้ายกับบุคคล ,บ่อนทำลายหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันแก้ไข โดยเป็นปัญหาที่รวมรวมจากการปฏิบัติงานของนักกู้ภัยตามท้องถนน, หน่วยราชการที่ทำหน้าที่การค้นหาช่วยเหลือ
๑.การขาดการฝึกครบทั้งระบบ
ที่ผ่านมาการฝึก SAREX จำกัดให้ความสำคัญกับวงการการบินหรือหน่วยบินเป็นหลักไม่ได้มีการ ให้ความสำคัญกับส่วนอื่นเท่าที่ควร ทำให้เมื่อต้องทำงานจริงภาพที่เห็นคือ ความสับสนของการประสานงานหน่วยต่างๆ ,ความไม่พร้อมของหน่วยค้นหาภาคพื้นดิน , ซึ่ง คงไปโทษหน่วยเหล่านั้นไม่ได้เพราะ งบประมาณที่ใช้ในการฝึกค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัย อยู่ในมือของ กรมขนส่งทางอากาศกระทรวงคมนาคม
ซึ่งปีหนึ่งมีจำนวนไม่น้อย นอกจากนี้ในยามปกติควรจะประสานกับกรมป้องกันเพื่อบูรณาการทรัพยากที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้จริง ทันเวลา
๒.การขาดแคลนและมาตรฐานของ อุปกรณ์การค้นหากู้ภัย
๒.๑ การขาดแคลนอุปกรณ์การกู้ภัย
เนื่องจากส่วนมาก คนที่ทำงานกู้ภัย กับ ผู้ที่ออกทุน เป็นคนละบุคคลกัน ทำให้ บางครั้งการจัดหาอุปกรณ์ ไม่สอดคล้องกับ การทำงานรวมทั้งการมองภาพการกู้ภัยที่อาจจะจำกัดบนท้องถนนทำให้มองข้ามเรื่องอื่นๆ ในส่วนราชการเอง เนื่องจากงานกู้ภัยหรืองานค้นหากู้ภัยเป็นเรื่องที่จำกัดในวงไม่กว้างนักคนที่มีความรู้โดยเฉพาะระดับผู้บริหารยังมีน้อย รวมทั้ง ระบบการจัดหาทางราชการยังไม่เกื้อกูลทำให้ไม่สามารถจัดหาเครื่องมือที่เหมาะสมได้ หรือ ไม่ก็มีคำตอบว่ามีอะไรให้ใช้ไปก่อน ,ต้องการทำงานท่ามกลางความขาดแคลน ซึ่ง ภาพที่เห็น ตราบใดที่ผู้บริหารระดับสูงยังนั่งรถเก๋งราคาเป็นล้าน ,สัมมนานั่งห้องแอร์กินอาหารโรงแรมได้ ประโยคนี้ไม่ควรนำมาใช้กับ เครื่องมือที่ใช้ช่วยชีวิตคน
ตัวอย่างเครื่องมือ อุปกรณ์ที่หน่วยกู้ภัยยังขาดแคลนอยู่เช่น ระบบเชือกกู้ภัย, เครื่องตัดถ่างแบบนำพาด้วยบุคคล , ชุดกู้ภัยผิวน้ำ พื้นที่ที่กระแสน้ำหลาก ,เครื่องหาพิกัดด้วยดาวเทียม
๒.๒ มาตรฐานอุปกรณ์การกู้ภัยในท้องตลาด
ในต่างประเทศมีองค์กรกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์การกู้ภัย เช่น NFPA สมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติ National Fire Protection Association ของสหรัฐ , COMITE EUROPEEN DE NORMALISATION (CEN) คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานของสหภาพยุโรป แต่ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้โดยตรงมีเพียง กรมโรงงานอุตสหกรรม ซึ่ง ขาดผู้ชำนาญการและองค์ความรู้ที่เพียงพอในการกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ รวมทั้งอำนาจทางกฏหมายในการควบคุมมาตรฐานของ อุปกรณ์การกู้ภัย ซึ่ง จะต้องมีการหารือในระดับรัฐบาล หาหน่วยงานที่รับผิดชอบและพัฒนาองค์ความรู้ให้มีศักยภาพในควบคุมกำกับดูแล มาตรฐานอุปกรณ์ การกู้ภัย อย่างเป็นรูปธรรม
๒.การขาดทักษะการค้นหาช่วยเหลือ
การค้นหาช่วยเหลือของหน่วยงานเอกชน หรือแม้กระทั่งทหารตำรวจ บางหน่วยเอง ก็ทำกันตาม ความคิดตัวเอง ( ตามมีตามเกิด )การค้นหาช่วยเหลือไม่ใช่การเดินหาของในสนามหญ้า ที่เดินเป็นหน้ากระดานค้นหาได้ หรือ ตามหา ลูกหลานที่หลงในห้างสรรพสินค้า แต่เป็น สิ่งที่ต้องมีการฝึกฝนซึ่ง ควรจะมีการฝึกหรือให้ความรู้ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยามปกติ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งทักษะจะต้องมีการดำรงขีดความสามารถไม่ใช่พอฝึกจบรับใบประกาศแล้วจะไม่ต้องฝึก
๒.๑ ทักษะพื้นฐานทั่วไป
การใช้แผนที่ประกอบเข็มทิศ ในการเดินทางในภูมิประเทศ , การปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตขั้นต้น , ความรู้และความเข้าใจในระบบบัญชาการเหตุการณ์โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่
๒.๒ หลักสูตร,มาตรฐานของนักกู้ภัยทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
๒.๓ การกำหนดมาตรฐานและการดำรงรักษามาตรฐานและการพัฒนาศักยภาพของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน
๒.๔ ระบบการบัญชาการเหตุการณ์ ที่สามารถใช้งานได้จริง
ระบบบัญชาการเหตุการณ์ในภาวะวิกฤติ ควรจะมีการพัฒนาในภาพรวมให้สามารถใช้งานร่วมกันได้เป็นมาตรฐานเดียว ซึ่ง เท่าที่ผ่านมา การอบรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารวิกฤติยังมีทิศทางไม่ชัดเจน บางก็เอา นักวิชาการด้าน ธุรกิจมาบรรยาย เรื่องของ Crisis Management ภาคธุรกิจมาใช้ ซึ่งบางครั้งไม่สามารถทำให้ผู้รับฟังเข้าใจและนำมาประยุกต์ใช้ไม่ได้ การบัญชาการเหตุการณ์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จะต้องมีการฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงนั่งฟังบรรยาย หรือสัมมนาไม่กี่วัน
โดยเรื่องของ ระบบบริหารจัดการวิกฤติการณ์ ในระดับประเทศ สมช. ได้พยายามที่จะดำเนินการร่างแผนแม่บทโดยใช้แนวทางการหลักฐานเอกสารของหลายประเทศโดยให้ มีการวิจัยและออกเอกสารมาเป็นร่าง แผนแม่บทการจัดตั้งหน่วยบริหารวิกฤติการณ์ระดับชาติ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ของการปรับปรุง แต่ ปัญหาที่ตามมาคือการนำเอาตัวอักษรมาปฏิบัติประยุกต์ใช้กับหน่วยงานในระบบ ซึ่ง แต่ละหน่วยงานก็มีองค์ความรู้ด้านนี้ที่แตกต่างกัน และภาพที่ออกมาคือ ความสับสนทุกครั้งที่เกิดวิกฤติต่างๆ ดังนั้นควรจะมีการสนใจที่จะพัฒนาระบบนี้ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่การสัมนาหรือฟังนักพูดบนเวทีแต่หากต้องเป็นสิ่งที่นำไปสู่การฝึกปฏิบัติการบริหารเหตุการณ์วิกฤติ ของผู้บริหารทุกระดับ
๓. ยังไม่มีหน่วยงานที่ควบคุมมาตรฐานของการค้นหาช่วยเหลือ หรือ ระบบการเผชิญภัยพิบัติ
๔. การยอมรับความเป็นจริง การรู้ขีดความสามารถขีดจำกัด และการรวบรวมองค์ความรู้แลกเปลี่ยนประสพการณ์และการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในประเทศรวมทั้งไม่มีองค์กรพัฒนาศึกษาวิจัยพัฒนาขั้นตอนวิธีการจากประสบการณ์ของหน่วย
การปฏิบัติงานของการกู้ภัย แต่ละครั้ง หลังจบภารกิจจะต้องมีการทบทวนหลังการปฏิบัติ ทบทวนว่าทำอะไรไปบ้าง อะไรที่ดี อะไรที่ไม่ได้ มีข้อแก้ไขอะไรบ้าง เพื่อนำมาแก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น แต่ ในไทยการแลกเปลี่ยนความรู้ น้อยมาก อาจจะเนื่องจากสาเหตุ ที่คนไทยไม่ชอบที่จะบันทึกความผิดพลาด ทั้งที่ เราเองก็มีภาษิต ที่ว่าผิดเป็นครู พอไปสัมมนา นำเสนออะไรที่ไหน ก็บรรยายว่าสิ่งที่ทำอยู่ดีไปหมด เลอเลิศมาก และพอปฏิบัติงานจริงข้อบกพร่องมีให้เห็นมากมาย หน่วยงานค้นหากู้ภัยส่วนมากระดับผู้ปฏิบัติทราบดีว่า มีความต้องการหรือข้อบกพร่องของตนเองอย่างไร แต่พอมาในระดับผู้บริหารมักจะไม่ยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ ซึงการนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นจริงส่งผลกระทบอย่างมากเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติ รวมที่ทำให้หน่วยงานไม่สามารถพัฒนาทันต่นสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน การปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลิอของไทยมีการปฏิบัติ หลายครั้ง แต่หาข้อมูลรายละเอียดการปฏิบัติการได้อย่างยากลำบาก ถ้าได้มาก็เป็นการรายงานที่มีการแต่งเติม ตัดต่อให้เกิดภาพที่เหมาะสมกับการรายงานตามระบบราชไทยโบราณ คือ ปฏิบัติงานได้ดี มีปัญหาเล็กน้อย สำเนาให้ส่วนที่เกี่ยวข้องนำไปแก้ไขในโอกาสต่อไป ดังนั้น หากมีหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลและบันทึกรายการข้อบกพร่อง ข้อดีข้อเสียต่าง จะทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์เราดีพัฒนาขึ้น ตัวอย่าง เช่น เหตุการณ์ ขบวน ฮ.ติดตามเสด็จฯ ตกที่สุคีริน ปัญหาข้อขัดข้องครั้งนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งถ้าระดมกันปรับปรุง เหตุการณ์ ที่เขาใหญ่ เมื่อ เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา คงไม่เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กล้องช่วยค้นหาติดเฮลิคอปเตอร์ , ไฟค้นหา ,การฝึกชุดค้นหาทางพื้นดิน,เป็นต้น
ปัจจุบัน กองทัพอากาศที่ประกาศตัวว่าเป็น หน่วยที่เป็นแกนนำ มีกิจเฉพาะหลัก[1]ในการค้นหาช่วยเหลือ อากาศยานหลักในการค้นหาช่วยเหลืออากาศยานใช้งานมาตั้งแต่สงครามเวียดนาม ไม่มีขีดความสามารถในการค้นหาเวลากลางคืน เป็นเครื่องยนต์เดียว ๒ ใบพัด การค้นหาต้องใช้สายตาของเจ้าหน้าที่ รอกที่ใช้ก็อายุการใช้งานมากกว่า๑๐ ปี และชำรุดบ่อย ซึ่ง ปัจจุบัน อากาศยานมาตรฐานสากลในการค้นหาควรจะเป็นอากาศยานที่สมรรถนะสูง ๒ เครื่องยนต์ ๔ ใบพัดขึ้นไป รวมทั้งควรมีเครื่องช่วยเดินอากาศ และเครื่องช่วยการค้นหาให้พร้อม แต่กองทัพอากาศก็ให้ความเร่งด่วนในการจัดหาในลำดับหลังๆทั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับการช่วยชีวิต รวมทั้งกรมขนส่งทางอากาศที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เองก็มิได้ใส่ใจรับรู้ปัญหาความขาดแคลนนี้คงต้องรอจนกว่าจะมีการสูญเสียที่มิอาจรับได้เกิดขึ้น
๕. ความตระหนักในเรื่องความปลอดภัย( Safety) และระบบบริการฉุกเฉินในระดับผู้บริหารยังมีน้อยเกินไป
เรื่องของระบบความปลอดภัย หรือ นิรภัย เป็นเรื่องที่ประเทศไทยเพิ่งมาให้ความสนใจ ก็เนื่องจากการมีกฏหมายคุ้มครองแรงงาน แต่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจนักของผู้บริหารเนื่องจากกระบบดังกล่าวเป้นการลงทุนที่ หลายคนมองว่าไม่มีผลกำไร ต้องมีการบังคับด้วยกฎหมายถึงจะมีการตื่นตัว ระบบความปลอดภัยจะมักถูกมองเป็นเรื่องสุดท้ายเสมอในการวางแผนการทำงาน ตัวอย่าง เช่น เครื่องมือในการค้นหาช่วยเหลือ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์ที่มีศักยภาพสูงของกองทัพอากาศ กลับได้รับการพิจารณาเป็นเรื่องหลังๆ , การฝึก SAREX ที่ทุ่มให้กับงบประชาสัมพันธ์และการสาธิต มากว่างบการฝึกจริง เป็นต้น
๖. การขาดจิตสำนึกหรือ คุณธรรมจริยธรรมของผู้ประกอบการค้าอุปกรณ์ และ ผู้จัดหาเครื่องมือ ของแต่ละหน่วยงาน
จากปัญหาที่ไม่มีหน่วยงานหลักทั้งหน่วยงานควบคุมมาตรฐาน หน่วยงานทางวิทยาการการค้นหาช่วยเหลือของรัฐ ที่เข้มแข็ง ทำให้ องค์กรที่ทำหน้าที่ดังกล่าวต้องแสวงหาองค์ความรู้กันเอง ซึ่ง บางส่วน ต้องตกเป็นเหยื่อของ ผู้ประกอบการที่แฝงหรือแอบอ้าง องค์กรต่างประเทศแบบไม่ถูกต้องนัก เช่น มีผู้ประกอบการรายหนึ่ง ติดต่อบริษัทต่างประเทศขอไปดูงานต่างประเทศที่โรงงาน ถ่ายภาพเยอะ และนำมาแอบอ้างว่าตนเองจบหลักสูตรโน้นหลักสูตรนี้ เข้ามาครอบงำทางความคิด เทคนิคปฏิบัติ รวมทั้งนำของที่ไม่ได้คุณภาพ หรือ ราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ , บางครั้งก็นำมาลอกเลียนแบบ และขายในราคาเท่ากับของต้นฉบับ การลดคุณลักษณะเฉพาะลงเพื่อให้ได้ของ ถูกกว่า โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ ,โดยในส่วนจัดหาเองบางส่วนก็เห็นแก่ค่าคอมมิสชั่นหรือผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการเสนอ
๗. ขาดการดูแลเรื่องระบบการส่งกำลังบำรุงและงบประมาณร่วมกัน
หลายครั้งที่ผ่านมาการติดขัดของภารกิจมักเกิดจากข้อจำกัดของ การใช้จ่ายงบประมาณ สิ่งอุปกรณ์สิ้นเปลือง การซ่อมบำรุงสิ่งของเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน งานค้นหาช่วยเหลือต้องทำงานแข่งกับเวลาเป็นวินาที แต่ระบบงบประมาณและการส่งกำลังบำรุงของชาติกลับไม่ตอบสนอง เจ้าหน้าที่งบประมาณของทุกส่วนงานควรมานั่งประจำที่บก. เหตุการณ์เพื่อแก้ปัญหาด้านการสนับสนุน เพราะสุดท้าย งบประมาณก็ออกมาจาก รัฐบาลไทยอยู่ดี ปัญหาด้านนี้กองทัพประสพปัญหามาอย่างต่อเนื่อง หน่วยเหนือมักตำหนิหน่วยปฏิบัติว่าทำไม่ถูกต้องตามขั้นตอนระเบียบแบบแผน ซึ่งแนวทางแก้ไจง่ายๆคือ ให้ จนท.ปช.ของกองทัพมานั่ง ณ บก.เหตุการณ์๒๔ ชม. จัดชุด จนท.ทำเอกสารมาสนับสนุน ซึ่งจะทำให้หน่วยปฏิบัติใช้ความพยายามทั้งมวลในการช่วยเหลือและแก้ปัญหาที่เกิดจากภัยพิบัติ ไม่ใช่มานั่งทำเอกสาร
๘.การซักซ้อมที่มุ่งเน้นการแสดงหรือสาธิตภาพความพร้อม มากการการซักซ้อมเพื่อหาความชำนาญและ ข้อบกพร่อง
ทุกครั้งที่ผ่านมาการซักซ้อมการเผชิญภัยของหน่วยงานส่วนใหญ่ในประเทศไทย เป็นการซักซ้อมเพื่อการแสดงให้ ผู้บังคับบัญชาชม การซ้อมแผนมักจะเป็นการซ้อมแบบสาธิตการปฏิบัติที่มีการกำหนด ขั้นตอน การปฏิบัติและเวลาอย่างแน่ชัด ซึ่งจะเป็นภาพที่สวยแต่จะไม่ได้อะไรมากนัก ซึ่งการฝึกที่แนะนำตามลำดับขั้น ควรจะเป็นดังนี้
การฝึกทักษะของแต่ละส่วนงาน
· การฝึกของหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน
· การฝึกการผจญเพลิง
· การฝึกของ หน่วยกู้ภัยบนท้องถนน หรือ หน่วยกู้ภัยในพื้นที่
· การฝึกการวางแผน และการอำนวยการ CPX
· การฝึกของ หน่วยบิน ,เรือ , รถพยาบาล
การฝึกเป็นภาพรวมของพื้นที่
· การซ้อมความเข้าใจบนแผนผังหรือแผนที่
· การซ้อมการติดต่อสื่อสาร
· การซ้อมเฉพาะหน.หน่วย บนพื้นที่จริง
· การซ้อม แบบ ไม่ต้องนำอุปกรณ์มาแต่ใช้ผู้ปฏิบัติจริง
· การซ้อม แบบ กึ่งสาธิต ( รู้ขั้นต้นการปฏิบัติและเวลา )
· การฝึก เต็มรูปแบบในสถานการณ์สมมติ
ซึ่งโดยปกติเราจะนิยมแต่ในข้อ ๕ เพราะ สามารถสร้างภาพได้งดงามตามความต้องการของผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ทราบว่าปัญหาคืออะไร ซึ่งต้องยอมรับว่าการซักซ้อมจะต้องพบข้อบกพร่องเสมอ แต่ นั่นคือการซ้อม และข้อบกพร่องที่พบตอนซ้อมจะเป็นหนึ่งในข้อบกพร่องที่เรารู้ว่าจะแก้อย่างไรเมื่อภัยจริงมาถึง แต่การพบข้อบกพร่องในการซ้อม ไม่เลวร้ายเท่าเกิดเหตุการณ์จริง โดยสุดท้ายคำที่ไม่อยากได้ยินเลยคือคำว่า มันเป็น เหตุสุดวิสัย และเราจะหามาตรการป้องกันหรือแก้ไขภายหลัง ถ้าข้อบกพร่องเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เราป้องกันได้และสามารถตรวจพบหาซ้อมกันจริงๆ เช่น ความพร้อมของเครื่องมือ อุปกรณ์ , ความพร้อมของระบบ ,คน ฯลฯ
ทั้ง ๘ ข้อนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่เด่นชัด ของระบบการค้นหาช่วยเหลือของประเทศไทย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในระบบซึ่ง ร่วมปฏิบัติการในครั้งนั้นคงจะรู้ดีว่าสิ่งที่ต้องแก้ไขคืออะไรบ้าง อย่าใหการสูญเสียของ นักบินทั้งสองสูญเปล่า ความพยายามของทุกท่านล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ที่ผู้เขียนเองก็ขอชื่นชม แต่ ความพยายามของพวกเราไม่ควรสูญเปล่า ควรจะนำข้อบกพร่องไปปรับปรุงแก้ไข ให้เกิดประสิทธิภาพที่แท้จริงในระบบการค้นหาช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยของประเทศไทยต่อไปเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพที่แท้จริง
[1] Core Function ตามเอกสาร แนวทางการพัฒนาด้านการค้นหาและช่วยชีวิตของประเทศไทยในภาพรวม
จากผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการค้นหาและช่วยชีวิตโดยผู้เกี่ยวข้องจากเหล่าทัพ ส่วน ราชการ และภาคเอกชน เมื่อ ๓๐ มิ.ย. ๒ ก.ค.๔๗ พัทยา จ.ชลบุรี หน้า ๑๕ ข้อ ๑๖.๒