ไม่มีอะไรมากครับ แค่คิดถึง เครื่องบิน
รูปร่างประหลาดๆที่อยู่รับใช้ประเทศ
ชาติมานานแสนนาน
ว่ากันว่า รุ่นนี้ลำนี้ ไทยเราได้มาเพราะฝีมือชั้นครู
ของเหล่าเสืออากาศไทย ที่ฝรั่งท้าพนันว่าถ้าขับได้
ก็เอาไปเลย อะไรประมาณนั้น ใครรู้เรื่องราวโดย
ละเอียด ช่วย เล่าให้เกล้ากระผมอ่านด้วยครับจะเป็น
พระคุณยิ่ง
เขาว่ากันว่า (หลายว่าเหลือเกิน) รุ่นนี้นั้นขับยากเหลือ
เกินแต่ ทหารไทยนั้นแสนกล้า ขับได้ง่ายดั่งใจนึก
พี่ Acidและเพื่อนๆสมาชิกที่มีแบบโมเดลกระดาษ ขอความกรุณาโพสต์ โมเดลกระดาษ ผมอยากมีโมเดลกระดาษทำเป็นงานอดิเรกบ้างครับ หรือลิงค์ที่มีแบบให้โหลดก็ได้ครับ ผมมันเงินไม่ถึงที่จะเล่นโมเดลพลาสติก
ผมเคยลงไว้นานมากแล้วลองค้นย้อนหลังดูนะครับ
OV.10 Blongo ในอดีตเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ผกค. เป็น บ.โจมตีใบพัดเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน ที่มีขีดความสามารถสูงในการโจมตีอากาศสู่พื้นในระดับต่ำ แถมใช้เป็นเครื่องบินพยาบาลขนาด 1 เปลได้ด้วย
ปัจจุบันแจกให้ฟิลิปปินส์ไปฟรี ๆ 6 เครื่อง เอาไปซ่อมปรับสภาพเพื่อการอนุรักษ์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งยังใช้งานอยู่ และอีกส่วนหนึ่งเข้าพิพิธภัณฑ์ไว้ให้เด็กดูคับ
Cessna A.37 B. Dragon Fly บ.โจมตีทิ้งระเบิดขนาดจิ๋วเลยดีกว่ามั๊ง กระเดื่องเดชมาจากสงครามเวียดนามยันลาว คู่ปรับอีกตัวของ ผกค. เครื่องบินกระป๋องพวกนี้อย่าดูถูกคับ สร้างผลงานสร้างชื่อเสียงมากมากกว่า เอฟ.16 ซะอีก
Cessna O-1 Birthdog ถูกเวียดกงตั้งฉายาให้ว่า "ไอ้ปากหมา" เพราะมันชอบยิงจรวดควันเข้าใส่ที่ตั้งข้าศึก หลังจากนั้น ปืนใหญ่ก้อจะบรรเลงตามหลัง โดยเล็งไปที่ควัน
หากจำเป็นมันก้อเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดได้เหมือนกัน ทหารไทยหัวใสเหม่ง สงครามช่องบก เอฟ.5 บอมบ์แกวไม่โดนซักที ติดเหลี่ยมเขา เราก้อเอา เอ็ม.26 ใส่แก้ว แล้วถอดสลัก โปรยจากไอ้ปากหมา ผลคือแกวอ่วมคับ
Northrop F.5 A. Freedom Fighter คู่ขวัญมิก.21 จากสงครามเวียดนาม กว่าสหรัฐจะยอมรับว่า มันเท่านั้นที่พอยัน มิก.21 ได้ ก้อแพ้เรียบร้อยแหล่ว
ถั่วลิสงสองฝักที่ปลายปีก เป็นถังน้ำมันสำรอง ทำให้ เอฟ.5 เอ.สามารถบินรวดเดียวจากเวียดนามตอนอเมริกันแตกทัพ มาลงที่เมืองไทยได้โดยสวัสดิภาพ
โอวี 10 เครื่องยนต์เทอร์โบพร็อพครับ...........และที่บอกว่า เปลพยาบาล 1 เปล นี่คงหมายถึงช่องด้านหลังลำตัวใช่ไหมครับ โอวี 10 จะมีช่องระวางบรรทุกด้านหลังตรงลำตัวสามารถบรรทุกคนหรือสิ่งของได้ แต่ที่เขาเอาไว้ใช้งานจริงๆคือ การบรรทุกนักโดด สำหรับแทรกซึมทางอากาศครับ ซึ่งถ้าจำไม่ผิดบรรทุกได้ประมาณ 2-3 นายครับ สำหรับภารกิจการแทรกซึมทางอากาศ......ยังไม่เคยได้ยินว่าช่องดังกล่าวใช้เป็นเปลพยาบาลแต่อย่างใด แต่ถ้าคิดถึงเหตุผลความเป็นจริงแล้ว ไม่น่าจะเหมาะสมในการทำเปลพยาบาลครับ
1. ถ้าทำเป็นเปลพยาบาลจริงจะทำเพื่ออะไร จะให้ส่งกลับทางสายการแพทย์(คงเข้าใจคำว่าส่งกลับฯนะครับ)ส่งกลับจากแนวหน้ามายังที่พยาบาล แล้วโอวี 10 จะลงไปรับคนเจ็บเพื่อส่งกลับอย่างไร? ลองนึกภาพครับ ผมยังมองไม่เห็นทางที่ โอวี 10 จะลงไปรับได้
2 หรือถ้าคุณหมายความว่าส่งกลับจากสนามบินส่วนหน้าไปยังสนามบินส่วนหลัง ผมก็ยังมองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะเอา โอวี 10 มาใช้เพื่อภารกิจดังกล่าวบรรทุกทีละ 1 เปล เนี่ยนะครับ ไหนจะความยุ่งยากในการดูแลคนเจ็บในระหว่างการลำเลียง ซึ่งมันมีเครื่องบินที่รับภารกิจนี้อยู่แล้ว หรือจะบอกว่า เครื่องบินที่รับภารกิจดังกล่าวมีไม่เพียงพอ มันก็ไม่เวิร์ค อยู่ดีที่จะเอา โอวี 10 มาทำภารกิจดังกล่าว และก็ยังมองไม่เห็นทางจะเป็นไปได้ด้วย
ทหารไทยหัวใสเหม่ง สงครามช่องบก เอฟ.5 บอมบ์แกวไม่โดนซักที ติดเหลี่ยมเขา เราก้อเอา เอ็ม.26 ใส่แก้ว แล้วถอดสลัก โปรยจากไอ้ปากหมา ผลคือแกวอ่วมคับ<------------------------- ทำอย่างไรครับ ลองอธิบายหน่อยสิครับ ผมนึกภาพไม่ออก............ต้องใช้ เอ็ม 26 ซักกี่ลูกต่อ โอ 1 1 ลำ ครับ และต้องใช้ โอ 1 กี่ลำต่อ 1 ภารกิจ แล้วทิ้งลงมายังไงครับ โยนมาทางหน้าต่างหรือครับ แล้วตอนใส่แก้วแล้วบรรทุกไปในเครื่องบินนี่ทำยังไงครับ ผูกรัดมัดตรึงยังไง แล้วถ้าเกิดตอนเทค ออฟ หรือเครื่องบินตกหลุมอากาส แล้วแก้วที่ใส่ เอ็ม 26 มันดันกระทบกันหรือกระทบตัวเครื่องแตกนี่คงมันส์พิลึกครับ สงสัยไม่แกวหรอกครับที่อ่วม ผมว่าลูกเรือ โอ 1 ลำนั้นแหละครับที่อ่วม.......และการบินเข้าไปทิ้งแก้วระเบิดนี่จะต้องบินต่ำๆใช่ไหมครับ เพราะถ้าบินสูงนี่สงสัยมันจะลงตรงไหนก็ไม่รู้ เผลอๆอาจจะไปโดนหัวพวกเดียวกันก็ได้ ผมว่านักบิน โอ 1 ลำนั้นใจถึงสุดยอดครับ บินต่ำลงไปฝ่าห่ากระสุนปืนและอาวุธปล่อยทั้งนำวิถีและไม่นำวิถี เพื่อที่จะไปหยอดแก้วระเบิด แล้วจะหยอดใส่อะไรดีครับ สงสัยต้องเลือกเบิม(บังเกอร์) ทก.(ที่บังคับการณ์) หรือ เบิมสื่อสารก่อน แล้ว เอ็ม 26 มันจะเจาะลงไปได้หรือเปล่าหว่า อืมมมม......สงสัยคนอนุมัติภารกิจดังกล่าวยังแฮงก์ไม่สร่างเลย อนุมัติภารกิจ.........แต่ยอมรับอย่างใจถึงมากครับ
อันนี้เทอร์โบแฟน
OV.10 สามารถเปิดช่องท้ายลำตัว ซึ่งมีที่กว้างพอบรรจุผู้บาดเจ็บและเปลพยาบาลได้ 1 ที่นะคับ คือตามสเป๊กเขาว่ามาแบบนั้น
หรืออาจใช้บรรทุกอะไรก้อแล้วแต่ที่มันบรรทุกได้ ส่วนการรับผู้บาดเจ็บก้ออาจกระทำได้คับถ้ามีสนามบิน
กรณี เอ็ม.26 ใส่แก้วน้ำนั้น คงต้องไปดูปูมสงครามที่บันทึกไว้ในหนังสือของทหารนะคับ อย่างเช่นยุทธโกษ เพราะผมก้อดูมาจากตู้หนังสือของกองร้อยเหมือนกัน แต่ไม่ได้จำว่าปีไหน
เชื่อว่าสามารถทำได้คับ แล้วก้อหลายวิธี เช่น เอาแก้วใส่ลังขึ้นไป เอาระเบิดยัด ดึงสลักแล้วโปรยลงมา หรือเอาระเบิดใส่แก้วหนาหน่อย ให้กระเดื่องยัดอยู่ในแก้ว มันก้อจะอัดลูกระเบิดแน่นอยู่กับแก้ว แล้วก้อเอาแก้วใส่ลัง ลังที่ใส่แก้วมันก้อเป็นช่อง ๆ ที่บังคับแก้วอยู่แล้ว เครื่องบินตกหลุมอากาศก้อคงไม่กระเทือนมากไปกว่ารถบรรทุกตกหลุมดอกคับ ไม่งั้นเค้าคงขนแก้วใส่ลังไปขายทั่วประเทศไม่ได้ มีหวังแตกป่นปี้หมด
ในการรบจริง อาวุธที่ว่าสุดยอดไฮเท็คบางที่ บางสถานการณ์มันก้อไม่มีความหมาย ในที่สุดก้อสติปัญญาของทหารเองแหล่ะคับ ที่จะนำเอาสิ่งที่มีอยู่มาทำเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และสภาพพื้นที่ในเวลานั้น
ถ้าพูดคำว่าใจถึง สมัยก่อนทหารใจถึงทุกคนคับ ในเรื่องความบ้าบิ่นกล้าทำในสิ่งที่ทหารอเมริกันยังตาค้าง เอาแค่คงจำกันได้ ตอนที่แขกอาหรับจี้รถบรรทุก 6 ล้อ เอาไปบรรทุกปุ๋ยยูเรียคลุกโซล่าหนัก 1 ตัน กะเอาไปถล่มสถานทูตอิสราเอล จนเกิดเฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตำรวจเลยเอามาจอดหน้า สน.ลุมพินี.ได้มั๊ยคับ
พอรู้ว่าเป็นระเบิด พลาธิการของตำรวจก้อมาจัดการเก็บกู้ ภาพการเก็บกู้ระเบิดขนาด 1 ตันของเจ้าหน้าที่ไทย อิสราเอลตาค้างเลยคับ พอหายตกใจ อิสราเอลก้อรีบส่งหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดมาให้ 3 ตัว พร้อมส่งวิทยากรมาฝึกสอนให้ อิสราเอลถึงกับร้อง โอย...ยูใช้มือเปล่ากู้ระเบิดขนาด 1 ตันรึนี่
คับ...ภาพที่ออกไป เจ้าหน้าที่ไทยมีเพียงมือที่สวมถุงมือ เปิดฝาแท๊งก์ระเบิด แล้วก้อเอามือล้วงเข้าไปควักเอาปุ๋ยยูเรียออกมาที่ละอุ้งมือ ใส่กระป๋อง
คิดว่านี่ข้อมูลมั่วอีกหรือเปล่า....
เครื่องยนต์ของ OV.10 ตอนแรกก้อคิดว่าเทอร์โบพร็อพเหมือนกัน แต่ดูแล้วเห็นว่าหัวมันโต ไม่เรียวแบบเทอร์โบพร็อพ หาดูในเว็บ ก้อเจอแต่บอกว่าเป็นเครื่องยนต์กำลัง 715 แรงม้า 2 เครื่องยนต์ เลยใส่เทอร์โบแฟนลงไปก่อน เพราะหัวเครื่องยนต์มันโตคล้ายกัน
ถ้าผิดก้อขอขอบคุณท่านที่ชี้แจงมาคับ
เชื่อว่าสามารถทำได้คับ แล้วก้อหลายวิธี เช่น เอาแก้วใส่ลังขึ้นไป เอาระเบิดยัด ดึงสลักแล้วโปรยลงมา หรือเอาระเบิดใส่แก้วหนาหน่อย ให้กระเดื่องยัดอยู่ในแก้ว มันก้อจะอัดลูกระเบิดแน่นอยู่กับแก้ว แล้วก้อเอาแก้วใส่ลัง ลังที่ใส่แก้วมันก้อเป็นช่อง ๆ ที่บังคับแก้วอยู่แล้ว เครื่องบินตกหลุมอากาศก้อคงไม่กระเทือนมากไปกว่ารถบรรทุกตกหลุมดอกคับ ไม่งั้นเค้าคงขนแก้วใส่ลังไปขายทั่วประเทศไม่ได้ มีหวังแตกป่นปี้หมด<------------- ไอ้เรื่องระเบิดแสวงเครื่องนะผมเข้าใจครับ แต่ที่งงก็คือวิธีการโปรยนั่นเอง มันคงทุลักทุเลน่าดู ลองนึกภาพดูครับ เรื่องความสูงอีก เรื่องความคุ้มค่า และที่สำคัญคนที่อนุมัติให้ทำนี่แหละ .............ผมพอรู้แล้วว่าคุณ เอาข้อมูลมาจากไหน........หาอ่านตามหนังสือในห้องพักผ่อนกองร้อย ฟังจ่าโม้บ้างจริงบ้าง+ประสบเจอเองหรือฟังหน่วยที่อยู่พื้นที่เดียวกันเล่าให้ฟัง และสุดท้ายก็มาประมวลผลประติดประต่อกันเองผสานด้วยความรู้สึกของคุณ......อืมมม ผมพอจะมองภาพออกแล้ว.................ดึงถุงปุ๋ยออกนั่นนะ ถ้ามันตัดวงจรไปแล้ว(เข้าใจไหมครับ)ก็ดึงออกได้สบายครับ เพราะไอ้ปุ๋ยนะมันเป็นแค่ตัวขยายการระเบิดครับ(เข้าใจไหมครับ ถ้ายังงง ถามมาได้เลยครับ เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง)............ใครมีข้อมูลละเอียดของเรื่องดังกล่าวหรือเปล่าครับ...แต่ผมเชื่อว่า คงตัดวงจรไปแล้วถึงได้เคลื่อนย้ายถุงปุ๋ย.....หรือไม่เช่นนั้นละก็ ถ้ายังไม่ตัดวงจรแล้วทำเช่นนั้นก็หมายความว่า คนทำไม่รู้ ทำไปด้วยความไม่รู้แต่โชคดีที่มันไม่เกิดอะไรขึ้น
ถูกของท่านคับ ระเบิดชุดที่เป็นตัวจุด คือเชื้อปะทุ กับ ดินทีเอ็นที.ขนาด 1 ปอนด์ 3 แท่งถูกตัดวงจรไปแล้ว เป็นท่านเป็นผมแล้วก้อบอกว่ามันสบายมาก คิดว่า จนท.พลาฯ ก้อคงคิดยังงั้นเหมือนกัน จึงได้เอามือโกยมาเป็นเรื่องปกติที่ทำกันมานานนม
แต่ฝรั่งเค้าไม่เคยทำนี่คับ เค้าก้อร้องมายก้อดหยั่งที่ว่า ผมถึงบอกว่าไอ้สิ่งที่เราทำในสนามรบ บางครั้งมันก้อเป็นเรื่องที่เราทำปกติพื้น ๆ แต่ฝรั่งเห็นมันตกใจคับ
อเมริกันสร้างหนังแรมโบ้ขึ้น เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ แต่ว่าสร้างขึ้นโดยมีแรงดลใจจากสงครามเวียดนาม โดยพระเอกเอาลูกบ้ามาจากทหารไทยนี่แหล่ะคับ
เป็นข้อมูลไม่ยืนยันนะคับ เพราะฟังเค้าว่ามาอีกที
ในการรบที่ช่องบก ผมไม่ได้ไปรบด้วยนะคับ มันก้อเลยต้องดูต้องฟังจากรุ่นพี่ที่เค้าไปกันมา เค้าว่ามามีเหตุมีผล ผมก้อเป็นคนทะลึ่ง ๆ แอบเอาระเบิดยัดแก้วน้ำดู มันก้อแน่นดีคับ คิดว่าเค้าก้อน่าจะทำได้เหมือนกันอย่างที่เค้าว่านั่นแหล่ะ
ประสบการณ์ทหาร ถ่ายทอดจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องอยู่แล้วคับ จะไม่เชื่อรุ่นพี่ได้ยังไง?
Cessna O-1 Birthdog ถูกเวียดกงตั้งฉายาให้ว่า "ไอ้ปากหมา" เพราะมันชอบยิงจรวดควันเข้าใส่ที่ตั้งข้าศึก หลังจากนั้น ปืนใหญ่ก้อจะบรรเลงตามหลัง โดยเล็งไปที่ควัน >>> Birthdog ตามความหมายของคนที่ตั่งฉายาเจ้าโอวัน คือ หมาของนายพรานครับ เมื่อพรานยิงนกตกลงมาได้ เจ้าหมาที่ว่านี้ก็จะวิ่งไปหา แล้วคาบนกโชคร้ายมาให้เจ้าของครับ มันดันมาตรงกับสำนวนไทย เราเลยเข้าใจว่ามันปากหมา บอกให้เครื่องมาโจมตี
ผบ.บยอ.เป็นประธาน พิธีปลดประจำการ OV-10 C พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการกองบัญชาการยุทธทางอากาศ คล้องพวงมาลัยเครื่องบินโจมตีแบบ ๕ (OV-10 C) เนื่องในโอกาสเป็นประธานในพิธีปลดประจำการภายหลังจากประจำการมานาน ๓๓ ปี โอกาสนี้ พลอากาศเอก ทองเลื่อน ประพัฒน์ทอง ผู้บัญชาการกองบัญชาการสนับสนุนทหารอากาศ ทำหน้าที่หัวหน้าหมู่บินหมู่ ๘ LAST FLIGHT ณ ลานจอดฝูงบิน ๔๑๑ กองบิน ๔๑ กองพลบินที่ ๓ กองบัญชาการยุทธทางอากาศ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๗ อำลา อาลัย เครื่องบินโจมตีแบบ ๕ ( OV-10 C) เครื่องบินมิตรภาพแห่งปี ๒๕๔๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการกองบัญชาการยุทธทางอากาศ เป็นประธานในพิธีปลดประจำการเครื่องบินโจมตีแบบ ๕ (OV-10 C) ณ ลานจอดฝูงบิน ๔๑๑ กองบิน ๔๑ กองพลบินที่ ๓ กองบัญชาการยุทธทางอากาศ เครื่องบิน OV-10 C เป็นเครื่องบินโจมตีที่ได้รับการออกแบบสร้างโดยบริษัท นอร์ธอเมริกัน ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ร็อคเวลอินเตอร์เนชั่นแนล บรรจุเข้าประจำการตามความต้องการของกองทัพอากาศ กองทัพเรือ และนาวิกโยธินสหรัฐฯ เพื่อใช้ในภารกิจการควบคุมอากาศยานหน้าและโจมตีสนับสนุนโดยใกล้ชิด ในระหว่างสงครามเวียดนาม ปี ๒๕๑๕ กองทัพอากาศมีความต้องการเครื่องบินที่ใช้ในภารกิจโจมตีสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นในการ ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทดแทนเครื่องบินฝึกโจมตี AT-6 G และ AT-28 D ที่รับใช้ราชการมานานจนใกล้หมดอายุการใช้งาน จึงมีการจัดส่งนักบินไปทำการประเมินค่าเครื่องบิน OV-10 A ตามคำเชิญของบริษัท จนกระทั่ง ตกลงใจซื้อเครื่องบินแบบนี้ จำนวน ๑๖ เครื่องในวงเงิน ๓๒๐ ล้านบาท ถือเป็นการใช้งบประมาณมากที่สุดภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง กลาโหมสหรัฐกำหนดชื่อรุ่นของไทยว่า OV-10 C กองทัพอากาศทำพิธีบรรจุเครื่อง OV-10 C เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๑๔ ณ ลานจอดอากาศยานกองบัญชาการกองทัพอากาศ กำหนดชื่อเป็น เครื่องบินโจมตีแบบ ๕ (บ.จ.๕) บรรจุในฝูงบิน ๒๑ กองบิน ๒ โดยมี นาวาอากาศโท พิศิษฐ์ ศรีกาฬสินธุ์ เป็นผู้บังคับฝูงบิน OV-10 C คนแรก และเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๗ กองทัพอากาศได้ทำพิธีบรรจุเครื่องบิน OV-10 C ฝูงที่สองอีก ๑๖ เครื่องที่ฝูงบิน ๕๓ กองบิน ๕ โดยในปี ๒๕๒๕ ได้ย้ายฝูงที่สองไปบรรจุประจำการที่ ฝูงบิน ๗๑๑ กองบิน ๗๑ ฯ และย้ายไปรวมกับฝูงบินแรกที่ฝูงบิน ๔๑๑ กองบิน ๔๑ฯ อีกครั้งในปี ๒๕๓๔ จนกระทั่งปัจจุบัน โดยมี นาวาอากาศโท วิธูร ขำเจริญ ผู้บังคับฝูงบิน ๔๑๑ ฯ เป็นผู้บังคับฝูงบิน OV-10 C คนสุดท้าย ตลอดระยะเวลา ๓๓ ปีของการประจำการ เครื่องบินโจมตีแบบ OV-10 C ได้สร้างวีรกรรมไว้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ และชายแดน จนอาจจะกล่าวได้ว่ามีการรบที่ไหน ต้องมีเครื่องบินโจมตีแบบนี้เข้าไปร่วมรบด้วยแทบทุกครั้ง แม้ว่าภารกิจการโจมตีเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงวีรกรรมมากมายทั้งจากนักบินของกองทัพอากาศเอง รวมไปถึงการเป็นวีรบุรุษที่ได้รับการยกย่องจากกองกำลังภาคพื้นของกองทัพบกและกองทัพเรือแล้ว ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอำนาจการทำลายล้างและความแม่นยำในการโจมตีจากบรรดาอดีตผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในสมรภูมิต่างๆ จะไม่มีหรือสิ้นสุดไปแล้วในปัจจุบัน ซึ่ง ณ วันนี้ของ OV-10 C จึงเปลี่ยนจากภารกิจการรบเป็นภารกิจมิตรภาพระหว่างประเทศ โดยเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๖ ที่ผ่านมา พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทำพิธีมอบเครื่องบิน OV-10 C จำนวน ๔ เครื่อง(หมายเลข 17,19,22และ25)ให้ นางกลอเรีย มาร์คาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ณ ฐานทัพอากาศ VILLAMORE ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อบรรจุประจำการในกองทัพอากาศ ฟิลิปปินส์ เพื่อใช้ในภารกิจปราบปรามผู้ก่อการร้าย และในเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗ กองทัพอากาศจะมอบเครื่องบินรุ่นนี้ให้กองทัพอากาศฟิลิปปินส์เพื่อเป็นความช่วยเหลือทางทหารต่อกัน อีกจำนวน ๔ เครื่อง (หมายเลข ๐๔,๐๗,๑๑ และ ๒๘) จึงน่าที่จะกล่าวได้ว่า เครื่องบินโจมตีแบบ OV-10 C นอกจากจะเป็นวีรบุรุษในยุคสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แล้ว น่าที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นเครื่องบินมิตรภาพแห่งปี ๒๕๔๖ อีกด้วย อนึ่งเครื่องบินที่เหลือจะทำการอนุรักษ์ไว้ที่มูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย ฯ ๓ เครื่อง พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ ๑ เครื่อง กองบิน ๗ ฯ และกองบิน ๕๓ฯ แห่งละ ๑ เครื่อง ที่เหลือ ๓ เครื่อง คงเก็บไว้ที่ กองบิน ๔๑ฯ |
ครับ ผมขออนุญาต มาเสริม นิส นึงนะครับ........เรื่องเครื่องยนต์เครื่องบินอ่ะครับ....................................เอาเป็นว่าหยั่งงี้ครับ..............................เครื่องยนต์กังหันก้าซของเครื่องบินนี้ มีหลักๆอยู่ 4 ชนิดครับ เรียงจากกำลังมาก/แพง จากมากไปหาน้อย.....................คือ 1.เทอร์โบเจ็ต 2.เทอร์โบแฟน 3.เทอร์โบพร็อพ 4.เทอร์โบชาฟต์.......................
ข้อแตกต่างระหว่างแบบที่ 1 กับอีก 3แบบที่เหลือคือ เทอร์โบเจ็ตจะใช้แรงดันจากก้าซร้อนพ่นออกท่อท้ายเป็นตัวสร้างแรงกริยา ในขณะที่ 3 แบบหลัง เกียร์ที่ต่อเชื่อมระหว่าง กังหันเทอร์ไบน์จะเป็นตัวส่งกำลังให้กับใบพัด..............................
....เอาหล่ะที่นี้เรามาเริ่มต้นดูหลักการทำงานของกังหันไอพ่น มันทำงานกันอย่างไร...............................มีต้อ
ต่อเรื่องเทอร์โบเจ็ตอีกหน่อย............................เราเห็นเรือบินรบ บางทีตอนกำลังวิ่งขึ้น หรือบางทีตอนไต่อยู่ในอากาศ มีไฟแดงๆพ่นออกมาจากท่อท้าย...........อันนั้นเค้าเรียกว่า อาฟสะเตออร์เบิร์น คือไอพ่นอันเป็นก้าซร้อนผ่านกรรมวิธีดังกล่าวมาแล้ว แต่เมื่อมาถึงท่อท้าย ก้าซร้อนนั้นจได้รับการพ่นเชื้อเพลิงและเผาใหม้อีกรอบ ทำให้กระแสเจ็ทเกิดการขยายตัว เพิ่มแรงขับออกมาอีกเป็นทวีคูณ..............................อาฟสเตอร์เบิร์น หรือ สันดาปท้ายนี้ ไม่จำเป็นว่าเครื่องเทอร์โบเจ็ททุกลุกทุกแบบจะต้องมี แต่ที่แน่ๆ เหล่าดารา พ่นไฟก้นดำกันทุกๆนางเลยเชียว............................................
......มาที่ 3 แบบที่เหลือ....................หลักการ/กรรมวิธีการอัดอากาศและเผาใหม้ก็เหมือนกับเทอร์โบเจ็ททุกประการ จะต่างตรงขั้นสุดท้ายคือส่วนกังหันเทอร์ไบน์ นั่นคือ 3แบบหลังนี้ จะไม่มีกระแสเจ็ทบายพาส หมายความว่า กระแสเจ็ททุกเม็ดทุกหน่วยจะถูกถ่ายทอดไปยังกังหัน เมื่อกังหันเกิดการหมุนจากแรงดังกล่าว ก็จะถ่ายกำลังไปยังเกียร์ ส่งต่อกลับไปหมุนชุดคอมเปรสเซอร์ส่วนหนึ่ง และที่เหลือส่วนใหญ่ถุกใช้ไปในการหมุนชุดใบพัด.......................เป็นที่ทราบกันว่า เครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ทั้ง 3 แบบนี้ ขับเคลื่อนด้วยใบพัด............................แต่เจ้าเทอร์โบแฟนนี่คือตัวเจ้าปัญหา..............................บางทีเราอาจสับสนว่าเทอร์โบแฟนคือเทอร์โบเจ็ท เนื่องจากไม่ปรากฏใบพัดใดๆอยู่ด้านนอกของเครื่อง ดูมนเป็นก้อนๆกลมๆ ดูแล้วน่าจะเป็นเทอร์โบเจ้ท..................แต่เปล๊า........ถ้าดูจากภาพข้างบน เทอร์โบแฟนก็คล้ายกับเทอร์โบพร็พ คือแกนต่อจากกังหันเทอร์ไบน์ส่งกำลังหมุนใบพัด เทอร์โบพร็พมีใบพัดอยู่นอกเครื่องเห็นชัดเจน เราก็เรียกว่าเครื่องบินใบพัด.............................แต่เทอร์โบแฟนนี่ ใบพัดอยู่ข้างใน...........มีต่อ
ก่อนอื่นขออภันนะครับ บางที่ผมชอบเขียนเล่นๆสนุกๆ บางทีดูไร้สาระ ยกตัวอย่าง "อาฟสะเต้อเบิรน" เดี๋ยวทึกทักว่าจริงจังนอกจากไม่ขำแล้วเดี๋ยวสวดไม่แข็งแรงแล้วยังเดาะ ......จริงๆแล้ว ปะกิต เค้าเขียน after-burn อ่านว่า อาฟเตอร์เบิร์นนะครับ แปลตรงๆว่า เผาทีหลัง ซึ่งตรงกับภาษาไทยว่า เผาจริง ตรงข้ามกับ บีฟอร์เบิร์น แปลว่า เผาหลอก.......................
......................ถึงไหนละ..................เดี๋ยวกลับไปอ่านก่อน .....มีต่อ
ผมว่า ในการรบที่บ้านร่มเกล้า ทอ. ยังติดวิธีการใช้กำลังทางอากาศโจมตีแบบคลาสสิคอยู่นั่นเองครับ..............................กล่าวคือ ในสมัยสงครามเวียตนาม ก่อนไอ้กันมันจะส่งทหารราบเข้าตีญวน มันจะส่ง เอฟ- 4 เอฟ-5 เอฟ-105 เข้าทิ้งบอมบ์ก่อน หลังจากคลื่นการโจมตีระรอกแรกๆบดบี้ข้าศึกง่อยเปลี้ยได้ที่ เอ-1 หรือ ที-28 จะตามมาเก็บสแปร์อีกรอบ รอบหลังนี้ ก๊อเนื่องจากอกาศยานบินได้ช้า ประกอบกับส่วนต่อสู้อากาศยานของข้าศึกโดนมหาไฟกวาดบรรลัยไปมากแล้ว เหล่าท่านจึงมีเวลาบินอ้อยอิ่ง ค่อยบรรจงทอยเก็บเสี้ยนหนามที่หลงเหลือได้อย่างปราณีต..................................... น่าขนลุกซ์ ตรงที่ข้าศึกของเราที่บ้านร่มเกล้า เป็นเกลอเก่ากะสหายรบครั้งเวียตนาม เพราะฉนั้นมุกตื้นๆเหล่านี้เค้าอ่านขาดหมด........................ แนวคลาสสิค จึง โดนดัดหลังด้วย สไตล์โมเดิ้ล และโพสโมเดิ้ล ร่วง เดี้ยงไปเป็นแถบ............................. ถึงตรงนี้พูดได้เลยว่า โอกาศที่เครื่องบินโจมตีใบพัดจะกลับเข้ามารับใช้ชาติอีกครั้ง คงยากส์เต็มทีแล้ว นอกเสียจากจะเป็นเครื่องบินดัดแปลง ที่ใช้ปืนยิงออกทางด้านข้าง บินวนที่ระยะสูงแล้วสาดเม็ดถั่วลงมาเป็นข้าวตอกแตก อย่างนี้แนวนี้ คงพอยังได้เกิด ไอ้กันก็ยังมีใช้(เอซี-130)....................................พูดถึงสถิติการดีดตัวของ โอวี-10 ถือว่าใช้ได้ครับ เท่าที่ได้ยินข่าว ดีดออกทุกที........................แต่เคสสุดท้าย (ก่อนปลดราว 3-4ปี) บรองโก้ เครื่องขัดข้อง นักบินประคองม้าขาเป๋บินวนไปที่อ่างเก็บน้ำ พอถึงจุดก็สละอากาศยาน ปรากฎว่าการดีดตัวราบรื่น แต่ตอนลงน้ำ สายร่มพันตัวยุ่งเหยิง นักบินค่อยๆจมลง มีชาวประมงใกล้รุดพายเรือไปช่วยแต่ไม่ทัน ภาพสุดท้ายที่เห็นคือ นักบินค่อยๆจมลง พร้อมคำขอร้อง "ช่วยด้วยๆ" ก่อนจมมิดหายไปต่อหน้าต่อตา
ที่นั่งของนักบิน OV-10 ทุกรุ่นนั้น เป็นที่นั่งที่สามารถดีดตัวได้ครับ ในประเทศไทย เท่าที่ทราบก็มีสองครั้ง ครั้งแรกน่าจะเป็นครั้งของครูมอส ที่ OV-10 ของท่านถูกยิงขณะเข้าโจมตีเป้าหมายบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นักบินทั้งสองท่านสามารถดีดตัว และได้รับการช่วยเหลือกลับมาออกมาได้อย่างปลอดภัย ส่วนครั้งที่สอง ก็ที่บ้านร่มเกล้า ที่เครื่อง OV-10 ถูกยิง นักบินคือ น.ท.สมนึก เยี่ยมสถาน (ขออภัยถ้าจำนามสุกลของท่านผิด) ส่วนนักบินที่สองจำไม่ได้ครับ ทั้งสองท่านดีดตัวออกจากเครื่องได้ แต่ถูกฝ่ายลาวควบคุมตัวไว้และมอบกลับมาให้กับฝ่ายเราในภายหลัง ในครั้งบ้านร่มเกล้านี่ขอถามหน่อยเถอะครับว่า กองทัพอากาศคิดยังไง ถึงได้ส่งเครื่องบิน OV-10 ไปโจมตีเป้าหมายที่มีการป้องกันจาก ปตอ. และ จรวดแซม อย่างหนาแน่ขนาดนั้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่มี A-37 ร่วมกันการรบครั้งนั้นเลย รบกวนท่านที่ทราบบอกหน่อยเถอะครับ สงสัยมาเกือบจะ 20 ปีแล้ว
พี่ๆครับ เจ้า OV-10Cนี่ผมสงสัยตรง เก้าอี้นักบินครับ มันสามารถดีดตัวออกได้หรือปล่าวครับ ผมเห็นมันหนาๆ ดูเหมือนเก้าอี้ที่มันดีดตัวได้ สงสัยครับสงสัย
...ฮาด้วยคนฮะพี่ไอซ์ อิอิ....
...ปล.ผมยังไม่ลืม เรื่อง ระยะยิงหวังผล ของปืน ไม่ได้เลย เอิ๊ก ๆ ๆ....คงจำกันได้นะคับ ปลย.เอ็ม-16 หวังผล แค่ 50 เมตร ใครก็ไม่รู้ บอกไว้...555+
คิดถึง T33 นะจ๊ะ ฮือๆ~
ขำๆครับ แฮ่