สงสัยจากหนังสือของท่านพล.อ.ต ปรีชา ศรีวาลัยน่ะครับ
1. สตูก้า(Stuka) ของเยอรมัน ถือว่า เป็นเครื่องบินดำทิ้งระเบิดที่บรรทุกได้หนักที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองหรือไม่ครับ เพราะเห็นว่าบรรทุกได้ตั้ง1,800กิโลกรัมหรือ3,980กว่าปอนด์ ในขณะที่เครื่องดาวน์เทรสและเฮลไดรฟ์เวอร์ของอเมริกา และ ฮอร์กเกอร์ ของอังกฤษ บรรทุกได้2,200ปอนด์ หรือ1,000กว่าปอนด์
2. สตูก้า มีแบบแผนการออกแบบมาจากเครื่องบินแบบใดครับ ในหนังสือกองพันเดนนรกที่แปลโดยคุณสรศักดิ์ สุบงกช ได้แทรกทิปไว้ว่า สตูก้าออกแบบมาจากเฮลไดรฟ์เวอร์ของอเมริกา แต่พอไปเปิดเว็ปดูก็บอกว่า เฮลไดรฟ์เวอร์ออกแบบหลังสตูก้า และอเมริกาไม่เคยส่งเฮลไดร์เวอร์ออกรบในยุโรปเลย แต่ในหนังสือของท่านปรีชาบอกว่า มันออกแบบมาจากเครื่องบินดำทิ้งระเบิดแบบ เคอร์ติส ที่เยอรมันซื้อมาจากอเมริกา2ลำก่อนสงครามโลก
3. นอกจากติดปืน20มม. 2กระบอกเพื่อโจมตีภาคพื้นดินและติดปืน37มม.2กระบอกเพื่อปราบรถถังแล้ว เยอรมันยังมีการดัดแปลงสตูก้าเป็นรุ่นต่างๆอีกหรือไม่ครับ
4. ลุฟต์วาฟ หรือกองทัพอากาศเยอรมันมีแผนที่จะสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดหนัก4เครื่องยนต์หรือไม่ครับ เพราะนอกจาก ไฮน์เกล 177 แบบ2เครื่องยนต์ ก็ไม่มีเครื่องบินใดๆของเยอรมันที่บรรทุกได้หนักปานนี้เลย
5. เยอรมันเคยผลิตเครื่องบินขับไล่รุ่นใดๆที่มีอานุภาพสูงกว่า Me 109 และ Fw 190 (ไม่ใช่ผู้หมวดFW-190ของบอร์ดเรานะ) หรือไม่ครับ
ขอความกรุณาด้วยครับ
4. มี จุงเกอร์ จู 390 บินทิ้งระเบิดขนาด 6 เครื่องยนต์ อีกรุ่นใช้ลาดตระเวณทางทะเลแบบ FW 200 คอนดอร์ ใช้ยิงจรวดแบบ Hs 293 พวกนี้ใหญ่กว่า HE-111 JU 88 มากมายครับ
คุณ Yuri Alexandrovish Orlov ครับ
รอหน่อยนะครับ ผมแจ้งพี่โต ไปแล้ว (สรศักดิ์ สุบงกช)ว่ามีคนอ้างถึง หนังสือกองพันเดนนรก เกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าเดี๋ยวพี่โต คงมาตอบในรายละเอียดครับ
5.ตอบ รุ่นที่ดีกว่าก็เครื่องเจ็ตเครื่องแรกของโลกไงครับMe262ที่ท่านฮิตเลอร์สั่งทำเป็นเครื่องโจมตีทิ้งระเบิด(ทั้งๆที่ทำเป็นเครื่องขับไล่จะดีกว่าแต่บทบาทเครื่องทิ้งระเบิดก็ได้ผลไม่ใช่น้อย)ส่วนแบบอื่นก็น่าจะเป็นเครื่องเจ็ตอีกเหมือนกับเช่นMe163โคเม็ทกับHs162ซาลามานเดอร์ ส่วนบ.ใบพัดแบบขับไล่น่าจะเป็นฟอคเค่ วูลฟ ทา 152ติดปืน30มม.ครับ
ผมว่ามันน่าจะได้แรงบันดาลใจจาก SB2U Vindicator มากกว่าเจ้าเฮลฯ นะครับ
ส่วนเรื่องบอม์บเบอร์ขนาดหนักของเจอร์รี่ มีอยู่สองรุ่นเด่น ๆ ครับ ตัวแรก JU-290 Sea Eagle อีกตัวก็ FW-200 Condor
รูป JU-290
รูป FW-200 ครับ
FW-200 อีกรูปครับ
สเปคคร่าว ๆ พอสังเขป เทียบกับ B-17 Frying Fortress ของเมกันเค้า
?
JUNKER JU-290B-2
Long-Range Transport and Reconnaissance Bomber
เครื่องยนต์ BMW 801 E สูบดาว 4 เครื่อง ๆ ละ 1,970 แรงม้า
น้ำหนักตัวรวมบรรทุกสูงสุด 50,500 ก.ก. (ภารกิจบอม์บเบอร์ เปร์โหลดระเบิด 3,000 ก.ก. หรือ 3 จรวดนำวิถี Hs 293, 294 หรือ FX-1400 Fritz)
ความเร็วสูงสุด 273 ก.ม. / ช.ม.
พิสัยบินไกลสุด 8,000 ก.ม.
ปืนใหญ่อากาศ MG 151 ขนาด 20 ม.ม. x 4 กระบอก
ปืนกลอากาศ MG 131 ขนาด 13 ม.ม. x 4 กระบอก
FW-200C-3 / U4
Long-Range Reconnaissance Bomber
เครื่องยนต์ BMW/BRAMO 323R สูบดาว 4 เครื่อง ๆ ละ 1200 แรงม้า
น้ำหนักตัวรวมบรรทุกสูงสุด 22,700 ก.ก. (ภารกิจบอม์บเบอร์ เปร์โหลดระเบิด 3,000 ก.ก. หรือ ภารกิจลำเลียง บรรทุกทหารพร้อมอาวุธได้ 30 นาย)
ความเร็วสูงสุด 360 ก.ม. / ช.ม.
พิสัยบินไกลสุด 4,440 ก.ม.
ปืนใหญ่อากาศ MG 151 ขนาด 20 ม.ม.
ปืนกลอากาศ MG 131 ขนาด 13 ม.ม. x 4 กระบอก
B-17 G Flying Fortress
Long-Range Medium Bomber / Reconnaissance
เครื่องยนต์ Wright R-1820-97 สูบดาว 4 เครื่อง ๆ ละ 1200 แรงม้า
น้ำหนักตัวรวมบรรทุกสูงสุด 29,710 ก.ก. (ภารกิจบอม์บเบอร์ เปร์โหลดระเบิด 7,983 ก.ก.)
ความเร็วสูงสุด 462 ก.ม. / ช.ม.
พิสัยบินไกลสุด 3,219 ก.ม.
สังเกตุดูซิครับว่า ระหว่างบอม์บเบอร์เยอรมันกับอเมริกัน มีอะไรที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนบ้าง ?
คำตอบแรกคือจำนวนปืนที่ลุงแซมจะพกติดตัวไปสำหรับป้องกันตนเอง จะมีมากกว่าของเจอร์รี่มากครับ เนื่องจากในระยะแรก ๆ ของการเข้าบอม์บแผ่นดินเยอรมัน บี-17 มีภารกิจหลักที่จะต้องบินฝ่าบรรดาฝูงอินเตอร์เซ็ปของเยอรมันเข้าไปทิ้งระเบิดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ลึกเข้าไปในแผ่นดินเยอรมันกลางวันแสก ๆ โดยไม่มีฝูงเอสคอร์ท แบบว่าไปตัวคนเดียวก็ต้องพกปืนให้เป๋าตุงไว้ก่อนนั่นแหละครับ (อังกฤษรับภารกิจกลางคืน ใช้แลงคาสเตอร์ และ ฮาลิแฟกซ์ เป็นหลัก) จนกระทั่งมัสแตง P-51 ปรากฎตัวขึ้นนั่นแหละครับ ทีนี้ละ เยอรมันราบเป็นแถบ ๆ
ต่อมาก็เรื่องของพิสัยบินครับ ภารกิจหลักของ บี-17 ในยุโรปคือ บินขึ้นจากอังกฤษไปบอม์บเยอรมัน จึงไม่จำเป็นต้องมีพิสัยบินไกล ๆ มากนัก เก็บ payload ส่วนของน้ำมันไว้โหลดระเบิดแทนเยอะ ๆ ดีกว่า
เมื่อเทียบกับของเยอรมันแล้ว ทั้ง JU-290 และ FW-200 ต่างก็มีภารกิจต่างไปจาก บี-17 โดยสิ้นเชิง คือ เยอรมันตั้งใจจะใช้เจ้าเครื่องบินสองแบบนี้สำหรับถล่มคอนวอยของเมกันในมหาสมุทรแอตแลนติก รวมถึงการรข้ามแอตแลนติกไปถล่มเมืองชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของเมกาด้วย โดยจะใช้ฝรั่งเศสและนอร์เวย์เป็นฐานปฏิบัติการ จึงต้อง payload น้ำมันเยอะ ๆ สำหรับบินไกล ๆ เหลือไว้สำหรับบรรทุกระเบิดนิดเดียว (3 ตัน ของน้องจูกับพี่เอฟดับบลิว เทียบกับเกือบ 8 ตันป้อมบินแยงกี้)
เนื่องจากมีพี่โต มีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อย สมัครสมาชิก TFC แล้วโพสไม่ได้ รบกวนท่าน เว็บมาสเตอร์ช่วยด้วยครับ
จึงฝากข้อความมาให้ผมโพสให้แทนครับ
ตอบผู้ข้องใจกรณีเครื่องบินทิ้งระเบิดสองที่นั่ง"ชตูกา"ของเยอรมัน ว่ามันมีแผนแบบมาจากไหน ผมได้ค้นแล้วจากหนังสือชื่อ"Blood Tears and Folly" รหัสหนังสือ ISBN 0-06-101135-5 เขียนโดยเลน ดีตัน(Len Deighton) พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฮาร์เปอร์(Harper)
เนื้อความเกี่ยวกับชตูกาและเฮลไดเวอร์ในหน้า 36มีดังนี้
"การบินดำทิ้งระเบิดคือหัวใจในการสนับสนุนการรบของกองบินทหารบก แต่ไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยกองทัพอากาศเยอรมัน(ลุฟท์วัฟเฟ่อะ) ร้อยโทแฮรี่ บราวน์แห่งฝูงบินที่ 84 แห่งกองทัพอากาศอังกฤษคือผู้คิดค้นยุทธวิธีนี้ขึ้นเมื่อปี 1917 หลังจากนั้นกองทัพอากาศอังกฤษก็นำไปทดสอบก่อนจะละทิ้งเทคนิคนี้ในที่สุด ปรากฎห้วงเวลาที่ถูกนำยุทธวิธีนี้กลับมาใช้อีกตั้งแต่ปี 1928 เมื่อนักบินนาวิกโยธินสหรัฐฯได้ทิ้งระเบิดจากเครื่องบินโอซี-1(OC-1) สร้างโดยบริษัทเคอร์ติส(เป็นแบบที่ดัดแปลงมาจากเครื่องบินขับไล่สองที่นั่งแบบ F8C-1) ลงเป้าหมายในนิคารากัว เคอร์ติสตั้งชื่อเวอร์ชั่นที่ 2 ของเครื่องบินแบบนี้ว่า"เฮลไดฟ์เวอร์"(Helldiver) และใช้ชื่อเดียวกันกับเครื่องบินรุ่นต่อมา...
ข้อความตอนต่อมาในหน้า 37 มีว่า"เอิร์นสต์ อูเด็ตมักจะเป็นผู้ริเริ่มเสมอ พบว่าเทคนิคดำทิ้งระเบิดนั้นใช้ได้ จึงนำเครื่องบินฟ็อคเค่อะวูล์ฟ เอฟวี 56(ชตอสเซอร์)แบบปีกสูงชั้นเดียวมาติดตะขอเกี่ยวระเบิดและระเบิดเทียมสร้างจากคอนกรีตเพื่อสาธิตในสนามบินเมืองเบรเมน นักบินอังกฤษผู้หนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้น
"ในปี 1936 ผมได้ไปเยือนกรุงเบอร์ลินระหว่างการแข่งโอลิมปิก และได้เข้าสัมผัสกับนายทหารจากกองทัพอากาศเยอรมัน เอิร์นสต์ อูเด็ตผู้สนับสนุนการดำทิ้งระเบิด ขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะวิศวกรรมแห่งทบวงอากาศยานแห่งเยอรมัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 เขาได้ไปชมการสาธิตการทิ้งระเบิดของกองทัพเรือโดยเครื่องบิน"เฮลไดฟ์เวอร์"ของเคอร์ติส ที่คลิฟแลนด์ โอไฮโอ และประท้บใจมากจนลงนามในสัญญาว่าจ้างให้ออกแบบเครื่องบินแบบเดียวกันในวันที่ 27 กันยายน ปี 1933 เครื่องบินยุงเคอร์ ยู 87"ชตูกา" คือผลจากการออกแบบนั้น เครื่องบินต้นแบบเริ่มบินครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิปี 1935 โดยมีอูเด็ตผู้ภาคภูมิใจเป็นสักขีพยาน"
หวังว่าคงให้ความกระจ่างแก่ท่านที่สนใจได้ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สรศักดิ์ สุบงกช
สวัสดีครับ พี่เสือใหญ่
พี่โต โทรมาบอกว่าตัวหนังสือเล็ก ช่วยทำให้ใหญ่หน่อย จัดให้ครับ
ตอบผู้ข้องใจกรณีเครื่องบินทิ้งระเบิดสองที่นั่ง"ชตูกา"ของเยอรมัน ว่ามันมีแผนแบบมาจากไหน ผมได้ค้นแล้วจากหนังสือชื่อ"Blood Tears and Folly" รหัสหนังสือ ISBN 0-06-101135-5 เขียนโดยเลน ดีตัน(Len Deighton) พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฮาร์เปอร์(Harper)
เนื้อความเกี่ยวกับชตูกาและเฮลไดเวอร์ในหน้า 36มีดังนี้
"การบินดำทิ้งระเบิดคือหัวใจในการสนับสนุนการรบของกองบินทหารบก แต่ไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยกองทัพอากาศเยอรมัน(ลุฟท์วัฟเฟ่อะ) ร้อยโทแฮรี่ บราวน์แห่งฝูงบินที่ 84 แห่งกองทัพอากาศอังกฤษคือผู้คิดค้นยุทธวิธีนี้ขึ้นเมื่อปี 1917 หลังจากนั้นกองทัพอากาศอังกฤษก็นำไปทดสอบก่อนจะละทิ้งเทคนิคนี้ในที่สุด ปรากฎห้วงเวลาที่ถูกนำยุทธวิธีนี้กลับมาใช้อีกตั้งแต่ปี 1928 เมื่อนักบินนาวิกโยธินสหรัฐฯได้ทิ้งระเบิดจากเครื่องบินโอซี-1(OC-1) สร้างโดยบริษัทเคอร์ติส(เป็นแบบที่ดัดแปลงมาจากเครื่องบินขับไล่สองที่นั่งแบบ F8C-1) ลงเป้าหมายในนิคารากัว เคอร์ติสตั้งชื่อเวอร์ชั่นที่ 2 ของเครื่องบินแบบนี้ว่า"เฮลไดฟ์เวอร์"(Helldiver) และใช้ชื่อเดียวกันกับเครื่องบินรุ่นต่อมา...
ข้อความตอนต่อมาในหน้า 37 มีว่า"เอิร์นสต์ อูเด็ตมักจะเป็นผู้ริเริ่มเสมอ พบว่าเทคนิคดำทิ้งระเบิดนั้นใช้ได้ จึงนำเครื่องบินฟ็อคเค่อะวูล์ฟ เอฟวี 56(ชตอสเซอร์)แบบปีกสูงชั้นเดียวมาติดตะขอเกี่ยวระเบิดและระเบิดเทียมสร้างจากคอนกรีตเพื่อสาธิตในสนามบินเมืองเบรเมน นักบินอังกฤษผู้หนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้น
"ในปี 1936 ผมได้ไปเยือนกรุงเบอร์ลินระหว่างการแข่งโอลิมปิก และได้เข้าสัมผัสกับนายทหารจากกองทัพอากาศเยอรมัน เอิร์นสต์ อูเด็ตผู้สนับสนุนการดำทิ้งระเบิด ขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะวิศวกรรมแห่งทบวงอากาศยานแห่งเยอรมัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 เขาได้ไปชมการสาธิตการทิ้งระเบิดของกองทัพเรือโดยเครื่องบิน"เฮลไดฟ์เวอร์"ของเคอร์ติส ที่คลิฟแลนด์ โอไฮโอ และประท้บใจมากจนลงนามในสัญญาว่าจ้างให้ออกแบบเครื่องบินแบบเดียวกันในวันที่ 27 กันยายน ปี 1933 เครื่องบินยุงเคอร์ ยู 87"ชตูกา" คือผลจากการออกแบบนั้น เครื่องบินต้นแบบเริ่มบินครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิปี 1935 โดยมีอูเด็ตผู้ภาคภูมิใจเป็นสักขีพยาน"
หวังว่าคงให้ความกระจ่างแก่ท่านที่สนใจได้ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สรศักดิ์ สุบงกช
เครื่องคนละรุ่น คนละสมัยแต่ชื่อเดียวกันสินะ
ขอบคุณคุณสรศักดิ์ สุบงกช และทุกท่านที่มาให้ความกระจ่างครับ
....เสริม ท่านเสือใหญ่ แล้วกันครับ สำหรับเครื่องแบบ จู 390 นิวยอร์ค บอมเบอร์
..ใช้เครื่องยนต์ของBMW801ERadialmotore in Zweierreihe 18 สูบ กำลัง 1970 แรงม้า จำนวน 6 ครื่องยนต์ น้ำหนักรวม 75500 กิโลกรัม
...สามารถบินได้ไกลสุดที่ 9700 กิโลเมตร ที่ความสูง 6200 เมตร ที่ความเร็วสูงสุด 505 กิโล/ช.ม. และความเร็วเดินทางที่ 430 กิโล/ช.ม. ติดปืน 13 ม.ม. กับ 20 ม.ม. ส่วนการบรรทุกอาวุธ จะใช้บรรทุก จรวดแบบ วี1 วี2และ ระเบิดนิวเคลียร์
1.
2.
หวัดดีด้วยครับคุณโต้ง เมื่อไหร่จะเจอกันละครับ...
ขอบคุณคุณ MIG31?สำหรับรูปภาพข้อมูลของน้องจู390?ครับ ( อ่านว่าจู หรือ เจยู เอ่ย ? ) ใหญ่เบิ้มจริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยครับ เหมือนกับเอา Ju-290 ขยายปีกขยายลำตัวแล้วเพิ่มเครื่องยนต์เข้าไปอีก 2 ให้นึกถึงโปรเจ็ค Heavy Bomber ของญี่ปุ่น Nakajima G-10N Fugaku?จริง ๆ?ครับ นี่ถ้าเจ้าสองตัวนี้เสร็จออกมาปฏิบัติการได้ ตอนจบของสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจเปลี่ยนไปก็ได้นะครับ
รูป G-10 N Fugaku ครับ
Ju ย่อมาจาก Junkers น่าจะอ่านว่า "ยุนเคอร์" หรือ "ยุงเค่อะ" ครับ
ญี่ปุ่นยังมี บ.ทิ้งระเบิดขนาดใหญ่4เครื่องยนตร์ แบบหนึ่งที่พัฒนาในช่วงสงครามคือ Nakajima G8N Renzan ครับ ซึ่งเครื่องต้นแบบสามารถผลิตออกมาได้จำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่ทันได้ใช้งานจริงครับ
สำหรับ Ju-87 นี่แบกได้หนักที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักแล้วครับคือ 1,800 กก. (รุ่น D) แต่ผมไม่ทราบว่าโซเวียตจะทำได้มากกว่านี้หรือเปล่าเพราะพี่หมีเล่นทำออกมาแต่ละอันใหญ่ๆ แบบหลุดโลกทั้งนั้น
Ju-87 ทำออกมาหลายแบบเหมือนกันครับดังนี้
A - รุ่นแรก บรรทุกได้ 500 กิโลแต่ต้องถอดปืนท้ายและมีพิสัยสั้นแค่ 800 กิโลเมตร
B - บรรทุกได้มากขึ้นหน่อยเป็น 1,000 กก. แต่ก็ต้องถอดปืนเหมือนเดิม
C - ใช้ประจำการเรือบรรทุกเครื่องบินกราฟ เซปเปอลินของเยอรมัน (เรือลำนี้สร้างไม่เสร็จเพราะเฮอร์มัน เกอริงเตะถ่วงเอาไว้เพราะไม่อยากเห็นทัพเรือมีเครื่องบินใช้ น่าเตะจริงๆ) ดัดแปลงมาจากรุ่น B
D - โด่งดังที่สุด แบกน้ำหนักได้ 1,800 กก. แต่พิสัยสั้นหน่อยแค่พันกว่า (1,165) กิโลเมตรเอง
D-5 - ขยายปีกเป็น 15 เมตร เพิ่มอำนาจการยิงด้วยการถอดเอา MG17 ออกไปเอา MG151/20 มาแทน
E - ใช้บนเรือ ดัดแปลงมาจากรุ่น D แต่ไม่ได้สร้าง
K - ส่งออก
H - เครื่องฝึก
สำหรับเครื่องนิวยอร์กบอมเบอร์ Ju 390 นี่ว่ากันว่าเคยบินไปไกลเกือบถึงนิวยอร์กมาแล้ว แต่เถียงกันไม่เลิกว่าได้บินจริงหรือเปล่า และเชื่อว่ามีการทดสอบติดตั้งสมาร์ตบอมบ์รุ่นแรกๆ 'Fritz X' (ใช้ได้ผลด้วยการถล่มเรือวอร์สไปท์ของอังกฤษจนเสียหายและจมเรือโรมาของอิตาลี) สำหรับโจมตีเรือด้วย แต่เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักไม่ค่อยจะมีใครเหลียวแลกันครับและเกิดปัญหาบ่อยมากทั้งที่วางโปรเจ็กต์บอมบ์อเมริกา (Amerika Bomber) ตั้งนานก่อนประเทศนี้จะเข้าร่วมรบ หลักฐานอะไรๆ เลยไม่ค่อยจะมี
บ. ขับไล่ที่ดีกว่า BF109 และ FW190 นี่ก็ไม่ค่อยมีครับเพราะเน้นการพัฒนาสองรุ่นนี้ให้ดีขึ้นมากกว่า แต่ก็มี Ta-152 (ติด NOS แบบรถแข่งเลย) บินได้เร็วเกือบเท่าเครื่องเจ็ต แต่ปัญหาเดิมก็เล่นงานอีกคือมันมาช้าไปและมีจำนวนน้อยเกินกว่าจะทำอะไรได้ ลองคิดดูสิครับว่าหากเยอรมนีสามารถนำเทคโนโลยีที่มีในปี 1945 มาใช้งานในปี 1935 ล่ะครับจะเกิดอะไรขึ้น
เครื่องบินดำทิ้งระเบิดสตูก้า
ชื่อเต็มๆของมันคือ สตูก้าอัมฟลุกซอย
ผมชอบเสียงเจ้า ชตูก้า เป็นที่สุด ฟังกี่ครั้ง ก็บาดจิต...ยิ่งตอนมันดำดิ่งลงมา....ท้องใส้ปั่นป่วน....