วงรอบการบริหารจัดการภัยพิบัติกับงานกู้ภัยของไทยิ
บทความนี้
เป็นบทความที่มีแรงบันดาลใจมาจากการที่ได้ ศึกษาเกี่ยวกับงานด้านการกู้ภัย
ประกอบกับล่าสุดได้มีโอกาส เข้าร่วมการฝึก การค้นหาช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยอากาศยานประสบอุบัติเหตุ และ การร่วมในการค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน
อุทกภัยน้ำท่วม ที่จว.อุตรดิตถ์ ซึ่งทำให้ได้ทราบถึง
ภาพที่แท้จริงของระบบการค้นหากู้ภัยของไทยที่เริ่มก่อตัวขึ้น จากเหตุการณ์
ภัยพิบัติต่างๆในอดีต เกิด ๑ ครั้ง ก็มีการปรังปรุงขึ้น ๑ ระลอก ตามยุทธ์ศาสตร์การทำงานพื้นบ้านของไทย
คือวัวหายล้อมคอก และไฟไหม้ฟาง
ซึ่ง บทความนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าทั้งจากประสบการณที่ได้รับการฝึกเกี่ยวกับการใช้เชือกที่ประเทศออสเตรเลีย
, การปฏิบัติงานเกี่ยวกับ การเตรียมการสำหรับการรองรับภัยพิบัติซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ของหลักสูตร นายทหารกิจการพลเรือน ของประเทศสหรัฐอเมริกา ,
การเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ซึ่ง เอกสารประกอบการบรรยาย
เรื่องการปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย ของ อาจารย์ พ.อ. กฤษฎา อารีรัชชกุล , เอกสาร
ของ Federal Emergency Management Agency ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบงานด้านการบรรเทาสาธารณภัย และเอกสารอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยที่หลายท่านเข้าใจผิดว่าเป็นการเก็บศพ เป็นหลัก ซึ่งในห้วงแรกจะเน้นที่การปฏิบัติการกู้ภัย
ซึ่ง จะไม่กล่าวถึงระบบการจัดสรรงบประมาณการบริหารจัดการในภาพใหญ่
ซึ่งหลายท่านที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานจะพบว่า เป็นงานหลักที่ยิ่งกว่าภัยพิบัติ
ที่ ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะทหาร ต้องพบ
กับภัยพิบัติการเอกสารท่วมหัวเพียงเพื่อเงินไม่กี่บาท,
การร้องขอทรัพยากรที่ได้ช่วยคนไปแล้ว เหมือนกับขออะไรซักอย่าง
โดยหากเปรียบการทำงานอาจเทียบได้กับการเผชิญกับหมอกควันความไม่แน่นนอนของสงคราม( Fog
Of war ) โดยผมหวังว่าเอกสารนี้จะให้ภาพรวมของการปฏิบัติการ ค้นหากู้ภัย
ซึ่งเป็นจุดเล็ก ในวงรอบการบริหารจัดการภัยพิบัติ แต่เป็นงานที่
แบ่งระหว่างความเป็นและความตาม ที่ เดิมพันด้วยชีวิตคน ในบทความนี้
อาจจะมีการบ่นเล็กน้อยเกี่ยวกับ การตีค่าของชีวิตคนของ ระบบราชการไทย ที่ยังตีค่า
ต่ำมาก ดูจากการลงทุนด้าน เครื่องมือและอุปกรณ์การกู้ภัย ,
การเน้นการรักษาของมากกว่าคน
แต่ก็เพื่อที่จัดให้เกิดจิตสำนึกหรือความคิดที่จะสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะงานกู้ภัยให้กับ
เจ้าหน้าที่ทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งหลายที่ กำลังเสี่ยงทำงานท่ามกลางความขาดแคลนของประเทศไทย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(Department of Disaster
Prevention and Mitigation)
เมื่อ ปี๒๔๔๕รัฐบาลได้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบในการป้องกันและบรรเทาสาธรณภัย ซึ่งได้ยุบรวมมาจาก ๕หน่วยงาน
ซึ่งเป็นความพยายามที่จะบูรณาการงานต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่
๑.
กรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ,
๒.
กองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ,
กรมการปกครอง ,
๓.
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัย,สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ,
๔.
กองสงเคราะห์ผู้ประสบภัย,กรมประชาสงเคราะห์และ
๕.
กรมการพัฒนาชุมชน(งานบริการด้านช่างพื้นฐาน )
ทั้งนี้เพื่อให้ได้มองเห็นภาพ
ว่าการที่จะต่อสู้กับภัยพิบัติอย่างครบวงจรทำกัน
บทความต่อไปนี้คงจะช่วยให้เห็นภาพรวมและช่องว่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของความไม่พร้อมในการเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติ
ซึ่งหากมีผู้ที่เกี่ยวข้องได้ลองอ่านดูอาจจะนำไปใช้ในการปรับปรุงการพัฒนาศักยภาพในการเผชิญกับภัยพิบัติ
ที่จะต้อง ?มีอีก ไม่ได้แช่ง? ต่อไป
๑.การป้องกันและการลดผลกระทบ
การดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยง หรือประวิงเวลาการเกิดภัยพิบัติหรือมุ่งลดผลกระทบ ลดความเสียหาย,ความรุนแรงเพื่อมิให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน
สถานที่สำคัญ เช่นการสร้างเขื่อน , กำแพงป้องกันน้ำล้นตลิ่งเพื่อป้องกันน้ำท่วม ,การทำแนวกันไฟ,การใช้มาตรกาทางกฎหมายกำหนดพื้นที่หวงห้าม, การพัฒนาสิ่งปลูกสร้างให้ทนต่อแผนดินไหว
,การออกระเบียบการควบคุมการออกแบบก่อสร้างอาคาร
,การวางแผนการสร้างถนนที่ไม่สร้างผ่านพื้นที่ที่เสี่ยง , เป็นต้น
๒. การเตรียมพร้อม
หมายถึงมาตรการต่างๆที่เตรียมขึ้นเพื่อให้รัฐบาล , องค์กร,ชุมชนหรือประชาชนสามารถที่จะเผชิญและรับสถานการณ์ได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิผล (Effectively) มาตรการที่ใช้ได้แก่
การจัดทำ, ปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ, การจัดให้มีระบบแจ้งเตือน,การอพยบประชาชน
,การจัดระบบการติดต่อสื่อสารในภาวะฉุกเฉิน , การฝึกอบรม ซักซ้อม ทดสอบระบบต่างๆ
โดยการปฏิบัติในขั้นนี้จะมี
๒.๑ การแจ้งเตือน?Warning ?
๒.๒การปฏิบัติช่วงชี้ชัดว่าจะเกิดเหตุภัยพิบัติ( Threat
)
๒.๓การเฝ้าระวัง(Precaution
)
๓.
การเกิดภัยพิบัติ
ขั้นนี้จะเป็นการปฏิบัติการทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ
อาจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติการฉุกเฉิน (EmergencyRespond)โดยปกติจะให้ความสำคัญกับการช่วยชีวิต
และการป้องกันทรัพย์สินเสียหายมาตรการที่นำมาใช้ได้แก่
๓.๑ การปฏิบัติตามแผน
๓.๒
การใช้ระบบป้องกัน
๓.๓ การอพยบ
๓.๔ การค้นหาช่วยชีวิต (ค้นหา,กู้ภัย
๓.๕ การแจกจ่ายอาหารและยารักษาโรค การปฐมพยาบาลและการจัดที่พักพิงชั่วคราว
๓.๖การสำรวจและประเมินความเสียหาย
๔.
การฟื้นฟูบูรณะ
เป็นการช่วยเหลือชุมชนที่ประสพภัย ให้กับคืนสู่สภาวะปกติภายหลังที่ภัยพิบัติผ่านพ้นไป อาจจะต้องใช้ เวลานานกว่า ๕-๑๐ ปี เป็นขั้นตอนที่จะเชื่อมโยงบรรดากิจกรมที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ และการพัฒนาประเทศเข้าด้วยกัน
เพื่อให้มั่นใจว่าผลของภัยพิบัติจะสะท้อนไปสู่การวางนโยบายที่เหมาะสม
ขั้นตอนนี้ครอบคลุมถึงการประยุกต์ใช้ประสบการณ์ การจัดการภัยพิบัติเพื่อการวิจัยและการวางโครงการพัฒนาในอนาคต เพื่อมิให้การพัฒนาประเทศกลับกลายเป็น
การสร้างปัญหาภัยพิบัติขึ้นมาเอง
๔.
การพัฒนาประเทศ
เป็นขั้นตอนที่สืบเนืองเกี่ยวข้องกับ ขั้นการฟื้นฟูบูรณะโดยเฉพาะในเรื่องของการปรับแผนการพัฒนาประเทศ ในภาพรวมผลของภัยพิบัติจะต้องนำมาพิจารณาในการปรับแผนในการพัฒนาประเทศในทุกแง่มุม
ซึ่งทุกรั้งที่ผ่านมาการปฏิบัติมุ่งเน้นขั้นตอนที่ ๓และ๔เท่านั้นไม่ได้นำมาสู่การพัฒนาในภาพรวม
Rescue งานค้นหากู้ภัยคืออะไร
คือ
การ ช่วยชีวิต ผู้ที่ประสพภัย ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ,
ระหว่างเกิดหรือหลังพิบัติเกิดขึ้นแล้ว
จากวงรอบการบริหารจัดการภัยพิบัติ นั้น
จะเห็นได้ว่า งานกู้ภัยเป็น งานเล็ก ในหลายงานเมื่อเกิดภัยพิบัติ
ซึ่งบางครั้งอาจะสับสนกับการเก็บกู้ศพ หรือ งานช่วยเหลือประชาชน เนื่องจากในประเทศไทยระบบการแจ้งเตือน
,แผนต่างยังไม่เป็นรูปธรรม หน่วยกู้ภัยที่มีองค์ประกอบครบมีน้อยมาก
และมีก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ตอบสนองได้ทันเวลากับภัยพิบัติ ขั้นตอนการร้องขอที่ดูสั้นในเอกสาร
แต่เวลาปฏิบัติจริงมีข้อแม้ข้อขัดข้องมากกมายที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข
ซึ่งทำให้การตอบสนองที่จะส่งหน่วยกู้ภัยเข้าพื้นที่ล่าช้า
และภาพที่ออกมาคือหน่วยกู้ภัยเข้าไปช่วยเก็บกู้ร่างที่ไร้ชีวิต โดยนานๆครั้งจะมีโอกาสได้ชื่นชมผลงานการช่วยชีวิตที่เกิดจากการเข้าพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วซึ่งส่วนหนึ่ง
อาจจะเกิดจากความอึดของคนไทย ที่เคยชินกับความล่าช้า