The specialist publication said the programme would lift
Citing an internal Thai defence ministry document, Jane's said
There is already a project underway to develop a 160 milimetre MLR with a 40-kilometre range, it said.
Other projects include a "strategic rocket with turbojet engine guided by global position system and inertial navigation system," it added.
Such a rocket is significant because it implies efforts to develop a surface-to-surface missile with a range at the upper limit of the voluntary Missile Technology Control Regime (MTCR).
The MTCR, a global disarmament group involving the
The Thai armed forces do not currently have any surface-to-surface missiles in their inventory, it added.
The ministry document says funding pressures on the defence budget and encouragement by unspecified sectors for greater self-sufficiency is driving the new programme.
Jane's added that the new research and development programme was launched before the coup but gained formal approval when it was submitted to the country's Defence Council about a month afterwards.
Agence
ข่าวดีนะนี่ เราจะลองนับหนึ่งใหม่ในการพัฒนาเทคโนดลยีด้านจรวดและอาวุธนำวิถี หวังว่าจะไม่จบแค่ต้นแบบไว้อวดอ้างแต่ไม่เปิดสายการผลิตจริงจัง แต่คราวนี้คงไม่เหมือนเดิมเพราะกองทัพได้อนุญาติให้หน่วยงานสามารถไปร่วมทุนกับเอกชนได้หรือให้เอกชนทำเองทั้งหมดก็ได้ ดังนั้นถ้าคราวนี้ต้นแบบใช้งานได้จริงน่าจะมีเอกชนนำมันมาพัฒนาต่อในขั้นตอนทางวิศวะกรรมและขั้นตอนสายการผลิต ซึ่งทางกองทัพก็ต้องจัดหาเข้าประจำการในปริมาณที่มีสเกลเพียงพอที่จะเริ่มสายการผลิตได้
ผมขอให้งานชิ้นแรกประสพความสำเร็จด้วยเถอะ คือ MLR-160 ระยะยิง 40 กม. ถ้าประสบความสำเร็จในรุ่นนี้และเข้าประจำการจำนวนมากได้ รุ่น 80 กม. ก็น่าจะเกิด
ส่วน strategic rocket ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตนี่น่าสนใจมากครับ................. ถ้าพัฒนามาใช้งานได้จริง เราจะมีเทคโนโลยีที่จะสามารถต่อยอดไปสู่อาวุธนำวิถีทุกแบบ และถ้าเอกชนของเรามีขีดความสามารถในการผลิตทั้งจรวดและอาวุธนำวิถีได้ ถึงเวลานั้นเราอาจจะสามารถขอสิทธิบัตรการผลิตจรวดและอาวุธนำวิถีรุ่นใหม่ๆของโลกมาผลิป้อนให้กองทัพเราได้ หรือไม่ก็ทำตัวเป็นฐานการผลิตจรวดและอาวุธนำวิถีป้อนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอาวุธได้ ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่จะอยู่รอดในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และที่สำคัญ ควรทำแบรนด์เนมเองด้วยอย่าให้จบแบบอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ก้าวมาถึงขนาดนี้แต่ไม่สามารถมีแบรนด์เป็นของตนเองได้
หวังว่านโยบายที่อนุญาติให้เอกชนและหน่วยงานของรัฐสามารถร่วมทุนกับเอกชนได้ รวมทั้งสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ จะทำให้งานพัฒนาอาวุธของเราไม่จบแค่ต้นแบบเหมือนที่ผ่านๆมานะครับ แต่อยากให้มันเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่สามารถทำเงินและตีตลาดโลกได้ประสบความสำเร็จด้วยครับ
วู้ๆๆ ปีใหม่ไทยช่วงนี้มีข่าวดีๆเหมือนกันแฮะ
ข่าวลือ ขออย่าให้เป็นข่าวลวง ข่าวหนังสือพิมพ์ ก็ขออย่าให้เป็นเพียงลมปากช่วงครั้งช่วงคราวก็พอเน้อ..
แต่ขอตลกตรง MTCRนั่นอะไรหน่อย ไม่ทราบว่าชื่อเรียกภาษาไทยเรียกว่าอะไร แต่ถ้าจะให้ต้องมาชี้แจงว่าเราทำอะไรไปบ้างจริงๆ คงตลก ประเทศฉันเพิ่งเริ่มต้น ระยะยิงก็แค่หลักสิบหลักร้อย ทำท่าจะเป็นห่วง ทีเพื่อนซี้ตำรวจโลกบางจำพวกพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ยังไม่ว่าสักคำ แถมแอบส่งเสริมให้อีก..
ข่าวดีจริง ๆ ครับ และหวังเหมือนท่าน neo คือ...อย่าให้มันจบแต่ในต้นแบบ
MLR นี่น่าสนใจมาก ๆ ครับ ลืมของจีนที่เราเคยพูด ๆ กันไว้ได้เลย ถ้าทำได้แล้วเข้าสู่สายการผลิตจริง จะยอดเยี่ยมมาก
ส่วนขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์นี่ ถ้าทำได้จะสุดยอดมากครับ
ผมลองไปขุดดูข้อกำหนดของ MTCR แล้วเค้าว่าอย่างงี้ครับ
1.A.1. Complete rocket systems (including ballistic missile systems, space launch vehicles, and sounding rockets) capable of delivering at least a 500 kg "payload" to a "range" of at least 300 km.
และใน wikipedia บอกว่า
The scope of the MTCR was expanded in 1992 to include nonproliferation of UAV?s for all weapons of mass destruction, making the payload/range threshold much less rigid than the original 500kg/300km.
นั่นหมายความว่า ขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ที่เรากำลังจะพัฒนานั้นจะต้องมีระยะยิงมากกว่า 300 แน่นอน
ใช้ได้เลยครับ
MTCR: ข้อกำหนดเพื่อการควบคุมขีปนาวุธครับ
เอ
ผมว่ามันฟังดูดีเกินคาดนะ มันข่าวโม้ ข่าวมั่วจากฝรั่งแบบเมื่อก่อนหรือเปล่าครับ ขนาดแค่ทำ UAV เองในประเทศยังเป็นโครงการใหญ่โต วิจัยกันสี่ปี ห้าปี จนตอนนี้ยังไม่เห็นเริ่มสายการผลิตเป็นเรื่องเป็นราวเลย แล้วนี้มีทั้งจะทำ MLR, ขีปนาวุธ พื้นสู่พื้น นำวิถีด้วย GPS เอง แล้วยังใช้เครื่องยนต์เนอร์โบเจตขับเคลื่อนเองด้วย
มันเวอร์เกินไปหรือเปล่าครับ คือถ้าทำได้ มีโครงการจะวิจัย ทำจริงๆ มันก็จะดีมากเลย แต่ผมกลัวว่ามันเป็นแค่ข่าวที่ฝรั่งไปฟังกระท่อนกระแท่นมาจากไหนแล้วมาแปลมั่วๆกันไปเองมากกว่าหรือเปล่า เพราะเราอยู่เมืองไทยเองยังไม่เห็นเคยได้ยินข่าวเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย
หลายๆคงจะทราบกันครับว่า ทบ.เองนั้นมีความต้องการในการจัดหาระบบเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องแบบใหม่มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว(ที่คุยๆกันก็มีทั้ง HIMARS ของสหรัฐฯ WS-1 ของจีน Grad ของรัสเซีย เป็นต้น)
แต่ข่าวที่เราจะพัฒนา MLRS ขึ้นมาเองนี้เป็นแนวคิดที่ดีมากครับ เพราะถ้ามองดูจากประเทศรอบๆเราแล้วนี้ส่วนใหญ่จะมี MLRS ขนาดกลางขึ้นไปประจำการแทบทั้งนั้นแล้วครับ อย่างล่าสุดก็พม่าเป็นต้น(ไทยเองก็มี MLRS 130mm ติดกับ รสพ.Type 85)
อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบขีปนาวุธพื้นสู่พื้นนั้นส่วนตัวตฃคิดว่าถ้าพัฒนาจริงๆอาจจะไม่ถึงระดับขั้นขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ครับ (น่าจะเป็นระดับ Cruise Missile มากกว่า) ประเทศในภูมิภาคนี้ที่มีขีปนาวุธทางยุทธศาตร์ก็มีเพียงเวียตนามเท่านั้นครับคือระบบ SCUD
ก็ตามที่หลายๆท่านหกล่าวมาข้างต้นครับคือให้พัฒนาขึ้นมาใช้ได้จริงและเข้าประจำการจริงเป็นจำนวนมากได้จริงเถิดครับ (Jane น่าจะมีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้นะครับ หวังว่า)
สงสัยฝรั่งเมาเห็นเห่าฟ้าเบอร์200ครับ.ฮิฮิ......แต่ก็มีทางเป็นไปได้ว่าทบ. จะพยายามทำเองหรือจัดหาในเมื่อรอบบ้านเรามีระบบแบบนี้เต็มไปหมด แต่ก็มีสิทธิออกลูกหลงลืม...โครงการจอดสนิทตามระบบการเมืองประเทศไทยครับ ดังเช่นเราๆเห็นประจำ มีให้ทุนวิจัย ทำต้นแบบ แล้วก็พับเก็บโครงการ สรุปท่านบอกว่าซื้อดีกว่า.....
เอ้อ.....ผมสงสัยอย่างหนึ่งครับ หากเราพัฒนาจรวดระยะยิงไกลๆจริงเช่น 80 ก.ม. เราจะใช้ที่ดินส่วนไหนของประเทศในการทดสอบยิงครับ ในเมื่อตอนนี้ เขตทหาร เขตป่าสงวนก็โดนบุกรุก หรือจะยิงทดสอบในอ่าวไทยครับ ( เรือก็มากอยู่น่ะ )
ถ้าผลิตออกมา แล้วใช้ในกองทัพ ส่งขายต่างชาติ แถวๆนี้ก่อน มันก้อดีดิ แล้วค่อยขยายไปขายที่ไกลๆ แต่ที่สำคัญ เงิน ที่พวก ใหญ่จะได้ อันนี้ดิ สำคัญ
Indonesia evinces interest in Brahmos
New Delhi, April 10: After Malaysia, another ASEAN nation, Indonesia, has evinced keen interest in acquiring Brahmos supersonic cruise missile, especially its ship-to-land versions.
A visit to the Brahmos complex here was the highlight of a tour by Indonesian Navy chief Admiral Siamet Soebijanto.
Indonesia has taken keen interest in the cruise missile developed by India and Russia.
On a three-day visit here, the Indonesian Naval chief had a meeting with the Defence Minister A K Antony after talks with his Indian counterpart Admiral Sureesh Mehta.
Soebijanto was also given a detailed briefing on the security secnario in India and threat perceptions specially in its sprawling Island territories. He also met the Defence Secretary Shekhar Dutt.
India and Indonesian Navies have been maintaining very close collobration over the past few years and have participated in bilateral as well as multilateral exercises in Andaman seas, Malacca Straits as well in waters off the Indian coast.
After his meeting with the top defence brass here, the Indonesian Naval Chief is visiting Western Naval Command at Mumbai, where he is likely to be shown top-of-the-shelf warships.(Agencies)
แถมให้ครับจาก Alert5.com
เพื่อนบ้านเราทั้งอินโดนิเวีย หมาเลเซียก็ไม่เบาครับ จะเล่น Supersonic Criuse Missileเลย สงสัยจังจะจัดหาไปทำไมกัน แบบี้มีหวังภูมิภาคนี้จะกลายเป็นแบบอินเดีย ปากีสถานในอนาคตแน่ ฝ่ายหนึ่งประกาศของฉันยิงได้ 200km อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกว่าจะจัดหาหรือสร้างเองให้ยิงได้ 300km....เล่นกันแบบนี้ไม่จบง่ายๆครับ อาเซียน
โครงการนี้คงอาจเกิดจากการที่ประเทศเพื่อนบ้านเราจัดหาลูกยาว? แต่คงเป็นอย่างที่คุณBean ว่าไว้ มาเลย์ก็ซื้อไม่เลิกเป็นตัวจุดฉนวนดีๆในภูมิภาคนี้ดีแท้ ไม่ใช่แค่ Cruise missileน่ะครับ ข้างล่างนี้เขาก็จัดหาแล้ว ลูกยาวๆทั้งนั้น
Malaysia buys artillery guns, rocket system
New Straits Times
November 27, 2000
THE army has bought military hardware worth M$977.36 million (US$257.2 million) from South Africa and Brazil, including 22 155mm G5 medium-range artillery guns from the former.
The contract for the medium-range guns costing RM185.44 million was signed on Wednesday while the deal for the purchase of 18 Brazilian-made Astros II multiple launch rocket system (MLRS) was signed on Friday.
The signing of both contracts came after months of evaluation by the armed forces from a host of other offers.
The army's modernisation programme took a back seat in the 1990s when the Royal Malaysian Air Force and Royal Malaysian Navy took a large chunk of the budget.
In announcing this recently, Deputy Defence Minister Datuk Shafie Apdal said the entire package of the MLRS would be delivered within the next 20 months, while the G5 artillery guns would be delivered in stages, with the first batch expected within the next 12 months.
He said the purchase was part of the ongoing process to modernise the armed forces.
"As our military procurement exercise was shelved during the economic downturn in the 1990s, we feel that the time now is right to commence with this exercise."
He said this after holding a discussion with New Zealand air force chief Air Vice-Marshall D.M. Hamilton at his office in Wisma Pertahanan.
Hamilton, on his first visit to the ministry, also called on air force chief Jen Tan Sri Ahmad Saruji Che Rose.
Capable of achieving a maximum range of 90km, the four-tube truck-mounted Astros II MLRS is currently in operation in Brazil, Croatia, Iraq, Libya, Qatar and Saudi Arabia.
The system, to be used by the air artillery unit, has three types of warheads: high explosive incendiary, anti-personnel and anti-material mine deployment, and airfield denial munitions capable of penetrating up to 400mm of reinforced concrete.
With the purchase, Malaysia becomes only the second Southeast Asian country to operate an MLRS system, the other being Thailand, which operates the system produced by Norinco of China.
The G5 155mm medium-range artillery guns are capable of hitting a target up to 39km away.
Emphasising that the procurement was not aimed at creating an arms race or to intimidate other countries, Shafie said it was to modernise the army.
"Other countries should not be unduly worried as this exercise is part of an ongoing process to establish a credible force with sufficient deterrent power, not for aggression.
"We feel that the time has come for us to modernise our force, and this is what we are doing."
On his meeting with Hamilton, Shafie said both parties touched on various matters pertaining to bilateral military issues, including joint training and exercises.
"I am happy to say that our relations with New Zealand have been good, by virtue of us being a member of the Five-Power Defence Arrangement pact."
Besides New Zealand and Malaysia, the other FPDA member countries are Singapore, Australia and the United Kingdom.