หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


รายงานพิเศษ... ?ทหารพราน? ความหวังใหม่ดับไฟใต้?

โดยคุณ : Webmaster เมื่อวันที่ : 11/04/2007 11:42:46

   ?หลังจากมีทหารพรานชุดนี้อยู่ในพื้นที่ เราได้เบาะแสของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมากขึ้น? พล.ต.จำลอง คุณสงค์ เสนาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 (กอ.รมน. ภาค 4) กล่าวถึงประสิทธิภาพของทหารพราน 30 กองร้อยที่ลงปฏิบัติหน้าที่เสริมกำลังทหารหลักในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่ชุดแรก 10 กองร้อยเมื่อกลางเดือน ม.ค. และชุดสอง 20 กองร้อยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
       
       ความที่เดิมเคยเป็น ?ชาวบ้าน? ที่อยู่ในพื้นที่มาก่อน การส่งทหารพรานลงประจำในอำเภอภูมิลำเนาส่งผลประโยชน์ต่อทั้งทางการและความไว้เนื้อเชื่อใจของชาวบ้านได้ไม่น้อย แนวคิดในการเพิ่มกำลังทหารจึงริเริ่มขึ้นอีก
       
       พล.ต.จำลอง เปิดเผยว่า ภายหลังที่กองทัพได้จัดส่งทหารพรานหรือทหารชาวบ้านชุดใหม่ลงพื้นที่ครบตาม 30 กองร้อย เมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กอ.รมน.ภาค 4 กำลังอยู่ในระหว่างการหารือเพื่อขอเพิ่มกำลังทหารพรานลงพื้นที่อีก 20 กองร้อย เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพที่กำลังรุกคืบอยู่ในพื้นที่
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันมีกองกำลังทหารพรานอยู่ในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 56 กองร้อยใน 5 กรมทหารพราน กระจายตัวอยู่ในทุกอำเภอๆ ละ 1 กองร้อย หากพื้นที่ไหน ?แดง? มากหน่อยก็จะมีประจำมากกว่าปกติ 2 ? 3 กองร้อย
       
       เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ระบุต่อว่า การขอกำลังทหารพรานเพิ่มเติม จะต้องขึ้นอยู่กับการประเมินการทำงานของทหารพรานชุดก่อนหน้านี้ว่าสามารถปฏิบัติภารกิจได้ผลมากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังต้องประเมินด้วยว่ามีความจำเป็นต้องเพิ่มกำลังเข้าไปอีกหรือไม่ การรวบรวมข้อมูลการประเมินผลและการหารือใน กอ.รมน.ภาค 4 จะดำเนินอีกสักระยะ ก่อนจะส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้พิจารณาและสั่งการ
       
       ?ถ้าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้มันนิ่งและสามารถควบคุมได้ด้วยกำลังที่มีอยู่ ก็คงไม่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังทหารพรานอีก? เขากล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ระบุว่า รายงานประเมินการทำงานของทหารพรานในเบื้องต้นระบุว่า การทำงานในพื้นที่ของทหารพรานชุดที่เพิ่งส่งลงไปมีประสิทธิภาพดีมาก โดยเฉพาะทหารพรานหญิงที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสลายหรือยุติการชุมนุมของชาวบ้านได้หลายครั้งโดยไม่เกิดความรุนแรง ในขณะที่ทหารพรานส่วนใหญ่สามารถที่จะเข้าไปสนับสนุนอำนาจรัฐในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือ เป็นกองกำลังที่สนับสนุนผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน
       
       ?แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือว่าประชาชนให้ความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐมากขึ้น? พล.ต.จำลองกล่าว พร้อมระบุว่าผลงานในด้านยุทธการหรือการปะทะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เป้าหมายสำคัญของทหารพรานได้แก่การดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ให้รู้สึกว่าอบอุ่นและมีที่พึ่ง อันจะนำมาสู่การสนับสนุนต่อทางการ
       
       ในขณะที่ พ.อ.อัคร ทิพย์โรจน์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ทวนผลประเมินการทำงานของทหารพรานให้ฟังว่า โดยภาพรวมประชาชนไทยทั้งประเทศมีความเชื่อมั่นต่อการคลี่คลายปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ โดยเชื่อว่าทหารพรานจะสามารถเข้าถึงประชาชนได้ ในขณะที่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่บริสุทธิ์สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ใกล้ชิดและรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา
       
       เขากล่าวอีกว่า ความสำเร็จอีกประการหนึ่ง คือ บทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์ม็อบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิงที่ถูกปลุกระดมให้มีความโกรธแค้น แต่เมื่อทหารพรานหญิงซึ่งพูดจาอ่อนโยน ยิ้มแย้ม ทำให้อารมณ์รุนแรงอันเป็นองค์ประกอบของการชุมนุมปลุกไม่ขึ้น และนำไปสู่การสลายการชุมนุมด้วยสันติในเวลาต่อมา
       
       ?การคลี่คลายม็อบในลักษณะนี้ ทำให้เรามั่นใจว่าแนวทางสันติวิธีใช้ได้ผล?
       
       พ.อ.อัคร ยังได้ย้ำถึงจุดเด่นของทหารพรานที่ว่าเป็นคนในพื้นที่ที่มีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้คนในเขตดังกล่าว สามารถแยกแยะประชาชนทั่วไปกับแนวร่วมของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู ในขณะเดียวกันก็มี ?ภูมิคุ้มกัน? ในการทำความเข้าใจด้วยการที่สามารถพูดภาษามลายูได้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญของการทำงานตามแนวทาง 3 เกาะติดของผู้บัญชาการทหารบก นั่นคือ เกาะติดมวลชน เกาะติดพื้นที่ และเกาะติดผู้ก่อความไม่สงบ
       
       นอกจากนี้ บทบาทสำคัญของทหารพรานหญิงดังที่ได้กล่าวไปแล้วนี่เอง ทำให้เขาขมวดภาพว่า ทหารหญิงที่กระจายอยู่ในกรมทหารพรานทั้ง 5 แห่งในพื้นที่ กรมละ 24 นาย มีลักษณะ four in one หรือ 4 ใน 1 นั่นคือ เป็นทั้งนักรบ พยาบาล ลูกหลานประชาชน และนักประชาสัมพันธ์
       
       นอกจากผลงานในด้านการเมืองแล้ว หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ พตท. ระบุต่อว่า ทหารพรานยังแสดงบทบาทสำคัญในด้านยุทธการต่างๆ ดังกรณีที่โดดเด่นที่สุด คือ การปะทะกับกองกำลังกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบบนเขาตะเว อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2550 โดยชุด ฉก.ทหารพราน 4509 และ ฉก.ทหารพราน 4303 สามารถทลายค่ายฝึกและสังหารสมาชิกของกองกำลังอาร์เคเคได้ 5 ราย พร้อมยึดอาวุธปืนและอุปกรณ์ฝึกไดจำนวนหนึ่ง
       
       นอกจากนี้ บทบาทของทหารพรานในการรวบรวมข่าวสารจากชาวบ้าน ยังผลให้นำไปสู่การปิดล้อมและตรวจค้นแหล่งเก็บกักอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบได้หลายรายการ จากการเข้าตรวจค้นมัสยิดบ้านดามานูเวาะ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งสามารถยึดยึดปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 กระบอก ปืนลูกซองยาว 1 กระบอก ปืนสั้น .38 ไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก กระสุนจำนวนมาก วิทยุสื่อสารพร้อมแท่นชาร์จ อุปกรณ์ประกอบการทำระเบิด ยารักษาโรค พร้อมทั้งเสื้อลายพรางทหารติดอาร์มที่แขนเป็นรูปมือจับด้ามขวาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มอาร์เคเค
       
       รวมทั้งการบุกค้นร้านสหกรณ์ของมัสยิดดอเฮะ ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยยึดเสื้อ กางเกงลายพรางและสีทึบ ไหมพรมคลุมหน้าไอ้โมง กระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 60 นัด เครื่องมือสื่อสารของทางราชการพร้อมเครื่องชาร์จ 8 เครื่อง แผ่นซีดีจำนวนหนึ่ง แผงวิทยุสื่อสาร ตลอดจนรถจักรยานยนต์อีกจำนวน 5 คัน
       
       ผลงานเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า ทหารพรานที่เป็น ?คนในพื้นที่? จะเป็นกองกำลังใหม่ที่ให้ความหวังในการรุกรบกลบบทบาทของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ได้ โดยเฉพาะปัญหาความหวาดระแวงระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่และระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วยกันเอง รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะยุติเหตุร้ายรายวันที่ยังคงดำรงอยู่ได้ในอนาคต
       
       แม้ผลการประเมินอย่างกว้างๆ จะให้ภาพด้านบวกของกองกำลังทหารพรานในพื้นที่ ทว่าตั้งแต่การประกาศส่งทหารพรานชุดใหม่เข้ามาในพื้นที่กระทั่งถึงห้วงที่กองกำลังชุดดำเหล่านี้เข้าประจำการก็ปรากฏการเคลื่อนไหวต่อต้านทหารพรานด้วยการ ?ม็อบ? หลายครั้ง โดยยื่นข้อเรียกร้องให้ทหารพรานย้ายออกนอกพื้นที่
       
       ดังกรณีม็อบที่บ้านฆอรอราแม อ.ยะหา ในวันที่ 21 พ.ย. 2549 บ้านตะเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2550 และที่บ้านควนหรัน อ.สะบ้าย้อย เมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการเชื่อว่าเป็นการชุมนุมและข้อเรียกร้องที่เป็นการจัดตั้ง
       
       อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่ทหารพรานสร้างความคลางแคลงใจต่อชาวบ้านเลยเสียทีเดียว โดยเฉพาะ ?กรณีบ้านตาเซะ? ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ายังมีคำอธิบายเหตุการณ์อยู่ 2 ชุด กล่าวคือ ด้านหนึ่งเจ้าหน้าที่แจงว่าเกิดเหตุปะทะระหว่างคนร้าย 3 คนกับทหารพรานสังกัด 4202 จนคนร้ายหนีเข้าไปในปอเนาะและสุดท้ายเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน และหลบหนี 1 คน
       
       ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ชาวบ้าน ญาติ และผู้บาดเจ็บระบุว่า ชาวบ้าน 2 คนถูกทหารพรานยิงโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะหลบหนีมาที่ปอเนาะดังกล่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งในเวลาต่อมาทหารพรานได้นำกำลังมาบุกค้น
       
       แม้ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหารได้ชดเชยค่าเสียหายไปแล้วบางส่วน แต่ทว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นสีเทาและยังไม่คลี่คลาย ในขณะที่คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของประธานกรรมาธิการวิสามัญเพื่อสอบสวนและศึกษาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังนำประเด็นดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุม หลังการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับเจ้าหน้าที่
       
       ขณะนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าการประเมินการทำงานของทหารพรานจะนำมาสู่การเพิ่มกำลังทหารพรานในพื้นที่อีกหรือไม่ แต่การสรุปบทเรียนอย่างรอบด้านอาจทำให้ทางการรับมือกับสงครามที่ชี้วัดกันที่มวลชนครั้งนี้ได้อย่างเท่าทันมากที่สุด โดยไม่ตกอยู่ในเงื่อนไขที่ฝ่ายตรงกันข้ามจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ในภายหลัง

 

โดย ผู้จัดการรายวัน 8 เมษายน 2550 23:09 น.

 

โปรดแสดงความคิดเห็นปราศจากการเมืองน่ะครับ เดี่ยวโดนปิด ยิ่งช่วงนี้กำลังฟิต ขนาด ที่ บ. ผมยังต้องจ้างคนมาลบกระทู้การเมือง






ความคิดเห็นที่ 1


แบะ แบะ แบะ บรู๊วสส์...กุ๊ก กุ๊ก...

ใครหนอช่างคิด...ปิดกั้นสื่อ...ให้ความคิดที่ตรงข้ามกัน มันฝังในจิตใจ ยากแก่การเปลี่ยนทัศนคติ...ก่อให้เกิดการแตกแยกอย่างชัดเจนและฝังลึก.....

ด้วยความคิดเห็นส่วนตัว เรื่องเกี่ยวกับภาคใต้...ผมว่า ไม่มีแนวทาง ที่ก่อให้เกิดความสงบได้ครับ...เพราะมันเป็นการแบ่งแยกดินแดน มาหลายร้อยปี...แม้แต่เจ้าเมืองปัตตานีเองในอดีต ก็เคยก่อการกบฎแบ่งแยกตนเอง มีมาในอดีต....เรื่องการข่มเหง รังแก มันเป็นข้ออ้างมาทุกยุคสมัย...

ด้วยความคิดเห็นส่วนตัว อีกเช่นกันว่า...การตั้งชุมชนคนไทย ขยายเชื้อชาติ และสัญชาติไทย ในพื้นที่ ให้ได้มากที่สุด และต้องใช้ระยะเวลาเป็น สิบปี ตามที่ พระราชินี ตั้งพระราชประสงค์ไม่ให้คนไทยย้ายถิ่นฐานออก นั่นน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด...

และภาครัฐ ต้องดำเนินการทางกฎหมาย ต้องต่อสู้ทางกำลัง ควบคู่กันไป...เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน...

เลิกปูผ้า...หันกลับมาสวมหมวกตำรวจ...ใช้กุญแจล็อคมือผู้ร้าย...วิสามัญ เมื่อมีการต่อสู้...ส่งดำเนินการทางศาล...ทำแบบที่ อารยประเทศ เขาสู้กับโจร นั่นแหล่ะครับ...

 

โดยคุณ juldas เมื่อวันที่ 10/04/2007 11:07:10


ความคิดเห็นที่ 2


 " อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่ทหารพรานสร้างความคลางแคลงใจต่อชาวบ้านเลยเสียทีเดียว โดยเฉพาะ ?กรณีบ้านตาเซะ? ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ายังมีคำอธิบายเหตุการณ์อยู่ 2 ชุด กล่าวคือ ด้านหนึ่งเจ้าหน้าที่แจงว่าเกิดเหตุปะทะระหว่างคนร้าย 3 คนกับทหารพรานสังกัด 4202 จนคนร้ายหนีเข้าไปในปอเนาะและสุดท้ายเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน และหลบหนี 1 คน
       
       ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ชาวบ้าน ญาติ และผู้บาดเจ็บระบุว่า ชาวบ้าน 2 คนถูกทหารพรานยิงโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะหลบหนีมาที่ปอเนาะดังกล่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งในเวลาต่อมาทหารพรานได้นำกำลังมาบุกค้น">>>>>>ลองดูตามนี่นะครับ  http://www.chaotainews.com/modules.php?name=News&file=comments&sid=595&tid=56&mode=thread&order=0&thold=0

 

ไม่อยากวิเคราะห์ว่าใครถูกใครผิดเลย   เหตุการณ์ในภาคใต้มัน ตึงเครียดเกินกว่าจะหาเหตุผล

ยังไงผมสนับสนุนความคิดท่าน Judas ครับ

 

ผมไม่สนับสนุนอย่างยิ่งในการเจรจากับผู้ก่อการร้าย เพราะผมเชื่อว่าความรุนแรงไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่เกิดจากความสับสนวุ่นวาย ของหลายความคิดหลายเหตุกาณ์ การเจรจาอาจจะยุติในส่วนที่ผู้ก่อการร้ายทำได้แต่ภาพรวมของความไม่สงบก็ยังเหมือนเดิมแน่นอน

 

 

โดยคุณ seekmen เมื่อวันที่ 10/04/2007 14:01:26


ความคิดเห็นที่ 3


ภาครัฐ ต้องดำเนินการทางกฎหมาย ต้องต่อสู้ทางกำลัง ควบคู่กันไป...เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน...

เลิกปูผ้า...หันกลับมาสวมหมวกตำรวจ...ใช้กุญแจล็อคมือผู้ร้าย...วิสามัญ เมื่อมีการต่อสู้...ส่งดำเนินการทางศาล...ทำแบบที่ อารยประเทศ เขาสู้กับโจร นั่นแหล่ะครับ...>>>>>เห็นด้วยครับ

โดยคุณ nok เมื่อวันที่ 10/04/2007 16:14:19


ความคิดเห็นที่ 4


ผมคิดว่าควรเสริมกำลังเข้าไปอีกตามกำหนด ต้องเอาให้เด็ดขาด อย่าทิ้งไว้ทำเชื้ออีก จากนั้นดำเนินสร้างกองพลตามที่เคยกำหนดไว้ ปัญหาก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น



ปล. ก่อนลบกระทู้ผมโปรดแจ้งหน้อยก็ดี
โดยคุณ น้ำเค็ม เมื่อวันที่ 10/04/2007 17:07:57


ความคิดเห็นที่ 5


................ถ้าเราทำบ้านเมืองให้เป็นนิติรัฐ กฎหมายบ้านเมืองต้องสามารถบังคับใช้ได้ทุกคน ไม่มีบุคคลคนๆใดอยู่เหนือกฎหมาย.....โดยต้องไม่ยินยอมอ่อนข้อให้แก่การนำมวลชนมาปิดกั้นถนน และมาปิดล้อมสถานที่ราชการ เพื่อสร้างเงื่อนไขบังคับให้รัฐต้องย่อมปล่อยผู้ต้องสงสัยต่างๆ ไปตามเงื่อนไขของมวลชน ........ในเมื่อประชาชนคนไทยทุกภาคทั่วทั้งประเทศ ยังต้องยินยอมให้มีการพิสูจน์ความถูกผิดกันในศาล.......บุคคลในสามจังหวัดภาคใต้ ไม่ว่าจะมีศาสนาใดๆก็ต้องยอมปฏิบัติให้มีการพิสูจน์ความถูกผิดกันในศาลได้เช่นกัน.....เพราะความเสมอภาคและความยุติธรรมนั้น ต้องมาพร้อมๆกันเสมอ....ดังนั้น การใช้กองกำลังทหารพรานเป็นกลไกในการแก้ปัญหานี้ ทั้งในเชิงรุกและในเชิงรับนี้ จึงสมควรแก่เหตุการณ์อย่างยิ่ง......ครับ/สกายนาย
โดยคุณ สกายนาย เมื่อวันที่ 10/04/2007 19:43:43


ความคิดเห็นที่ 6


ทหารพรานในพื้นที่ ถูกต้องแล้วครับ ปัญหาที่มองโดยส่วนตัว สร้างสถานการณ์ก่อให้เกิดการอพยพออกจากพื้นที่ ทำอย่างไรให้ย้ายกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมได้ ถ้าเพิ่มจำนวนทหารพรานแล้วทำให้ประชาชนมีความสงบสุขเกิดขึ้น ก็ทำเถอะครับ กรณีที่เกิดการไม่สมดุลย์ทางเชื้อชาติ ผมว่าระบบการศึกษาที่เหมาะสมกับคนในพื้นที่จะช่วยได้ครับ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดจากการเรียนรู้ครับ...
โดยคุณ tik เมื่อวันที่ 11/04/2007 11:42:46