ในระหว่างวันที่ 5-7 เมษายน ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวมาเลเซีย ได้จัดงานกีฬาทางน้ำแห่งชาติ ขึ้นที่
เกาะลังกาวี รัฐเคดาห์ และได้มีการเชิญนักกีฬา สื่อมวลชน รวมไปถึงบุคคลากรทางด้านอื่นๆจากจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ไปร่วมงานดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีตัวแทนชาติอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย จีน อิตาลี มาร่วมงานที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ด้วย จึงขอนำภาพแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และความประทับใจมาเล่าสู่กันฟังคะ
งานกีฬาทางน้ำแห่งชาติของมาเลเซียมีชื่อเป็นภาษามลายูว่า Balau Pesta Air Nasional 2007 หรือ ในภาษาอังกฤษ National Water Festival Month 2007 ที่มีการจัดต่อเนื่องกันมาทุกปี โดยแต่และรัฐ ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหมุนเวียนกันไป บางรัฐที่ไม่มีทะเล ก็จะแข่งขันกีฬากันในแม่น้ำแทนคะ ประจวบกับในปีนี้ การท่องเที่ยวมาเลเซียจัดให้เป็นปี Visit Malaysia 2007 ด้วย จึงมีการจัดซุ้มแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์จากรัฐต่างๆของมาเลเซีย ที่หน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้ชายหาดที่จัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำอีกด้วย
หลายท่านคงจะงงเหมือน OA ว่า ทำไมคำว่าน้ำ (water) ในภาษามาเลย์จึงกลายเป็น air ไปได้ จริงๆแล้วคำว่า air ในภาษามาเลย์หมายถึง น้ำ คะ เป็นคำพ้องรูป เขียนเหมือนกัน แต่ต่างความหมายกัน นอกจากนี้คำที่ทับศัพท์อังกฤษมา เช่น nasional จะเปลี่ยนตัว t ให้เป็น s เดาเอาว่าเพื่อให้ออกเสียงได้ง่ายขึ้น
ลังกาวีเป็นเกาะที่มีสเน่ห์มนต์ขลัง เต็มไปด้วยตำนานพื้นบ้านที่หน้าสนใจและเกี่ยวข้องกับไทยเราด้วย เช่น ตำนานของเจ้าหญิงมัสสุหรี อดีตสาวงามชาวภูเก็ตที่ได้เป็นชายาเอกของเจ้าชายรัชทายาทแห่งเกาะลังกาวี แต่ต่อมาพระนางถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ามีชู้ในขณะที่พระสวามี
ออกรบต่างเมือง ถูกลงโทษประหารชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม พระนางจึงได้สาปแช่งให้เกาะลังกาวีพบภัยพิบัติไม่ประสบความรุ่งเรืองไปถึง 7 ชั่วโคตร และเชื่อกันว่าคำสาปนั้นมาสิ้นสุดในยุคของทายาทคนที่ 7 ของพระนางมัสสุหรี เมื่อไปนานมานี้เอง ในยุคของ นายกรัฐมนตรีคนก่อนของมาเลเซีย คือ ท่านมหาเธร์ ลังกาวีได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีการปรับปรุงภูมิทัศน์และสร้างอนุสาวรีย์นกอินทรี อันเป็นสัญญลักษณ์ของเกาะนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ลังกาวีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัยทัดเทียมเกาะภูเก็ตของไทยเรา เพราะมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน คือ เป็นเกาะกลางทะเล มีชายหาดสวยงามหลายแห่งคะ
ลังกาวี อยู่ใกล้ประเทศไทย ไปมาสะดวก จนกลายเป็นเมืองพี่เมืองน้องของไทยไปแล้ว เนื่องจากมีชาวไทยไปทำงานและสมรสกับคนที่นี่มากมาย ร้านค้าทั่วไปในย่านใจกลางเมืองลังกาวีจึงรับเงินไทยและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วคะ (ไปซื้อของร้านใหน ลองถามเป็นภาษาไทยก่อน ว่า พูดไทยได้ใหม หากเจ้าของร้านพูดไทยได้ ก็จะคุยภาษาไทยกับเราคะ เป็นสำเนียงไทยภาคกลางนี่แหละคะ นอกจากนี้ยังแหลงใต้ (พูดภาษาไทยสำเนียงใต้) กันอีกด้วย) นอกนี้ยังมีกงสุลไทย ประจำเกาะลังกาวี ช่วยเหลือคนไทยที่ไปทำงานที่นี่อีกด้วยคะ
การเดินทางไปลังกาวี โดยมากจะนิยมไปขึ้นเรือเฟอรี่ ที่ท่าเรือตำมะลัง อ. เมือง จังหวัดสะตูล การเดินทางสะดวกสบาย เพราะมีรถตู้รับส่งผู้โดยสาร ระหว่างท่าเรือตำมะลัง และ อ. หาดใหญ่ ตลอดเวลา สามารถเหมารถได้คะ การผ่านแดนไปยังมาเลเซีย จะต้องประทับตรา หนังสือเดินทาง ที่ด่านผ่านแดน บริเวณท่าเรือก่อน จึงจะลงเรือได้ เรือใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะถึงเกาะลังกาวี เป็นเรือที่วิ่งร่วมระหว่างไทยและมาเลเซีย บางลำมีชื่อเป็นภาษาไทย บางลำเป็นภาษามาเลย์
ภายในเรือค่อนข้างเซฟตี้พอสมควร ลำตัวเรือแข็งแรง มีชูชีพเหนือที่นั่งทุกจุด รวมถึงชูชีพสำหรับเด็กคะ บนดาดฟ้าเรือสามารถขึ้นไปนั่งชมวิว ดูบรรยากาศได้ แต่เจ้าหน้าที่บนเรือจะอนุญาตให้ขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังเรือออกแล้ว 5 นาที และก่อนเรือเทียบท่า 5 นาทีก็จะต้องลงมา นอกจากนี้หากคลื่นลมแรง มีฝนตก ก็จะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปเช่นกัน
OA สำรวจดูแล้วว่า ทางขึ้นไปดาดฟ้าเรือแข็งแรงพอสมควร มีขอบกั้นทั้ง 2 ด้าน ยากที่จะหล่นหัวทิ่มลงทะเลได้โดยง่าย ข้างบนดาดฟ้ามีราวเกาะมากมาย และขอบดาดฟ้าสูงขึ้นมาพอสมควรด้วย จึงหนีคุณแม่ ซึ่งเดินทางไปด้วย และขู่ไม่ให้ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ในจังหวะที่ มัมมี๊กำลังงีบหลับ และได้ถ่ายรูปวิวสวยๆมาให้ชมกันสำเร็จคะ
ช่วงเดินทางกลับเมืองไทย คุณแม่จึงยอมปีนขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าเรือ หลังจากมีเพื่อนๆ (วัย 60 อัป) คุยให้ฟังว่าวิวสวยมาก แต่ตอนที่ลูกสาวบอกไม่ยอมเชื่อคะ
ภาพประกอบ วิวสวยๆ 15 นาที ก่อนถึงท่าเรือเจ็ตตี้ เกาะลังกาวี เป็นเกาะกระจิดริ๊ด ไม่รู้ว่าชื่ออะไรคะ
หลังจากเรือเทียบท่า ที่ท่าเรือเจ็ตตี้ คณะนักเดินทาง ก็ต้องเดินเรียงแถวไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ศุลกากร ลังกาวี ภายในท่าเรือ แล้วเดินไปขึ้นรถบัสไปยังที่พักที่ทางรัฐบาลมาเลเซียจัดไว้ให้ทันที เนื่องจากช่วงที่มาถึงสตูล ก็ปาเข้าไป บ่าย 2 แล้ว ถึงลังกาวี เกือบ 6 โมงเย็น ทีเดียว คะ มิมีโอกาสได้ชอปปิ้งที่ ร้านปลอดภาษี ภายในศูนย์การค้าใหญ่ของท่าเรือ เนื่องจากหัวหน้าคณะท่านคงเกรงว่า สะตังค์ในกระเป๋าลูกทัวร์จะหมดไปกับการชอป เสียก่อน เพราะต้องอยู่ในลังกาวีอีก 3 วัน คณะจึงทำท่าหงอยๆ เดินขึ้นรถกัน ในช่วงเดินทางกลับจึงมีเวลาชอปปิ้งที่ท่าเรือ แต่ถึงเวลานั้นกะตังค์ก็หมดเสียแหล๋วววว ... ฮือๆๆๆ ....
ในระหว่างรอพรรคพวกที่ยังอยู่ภายในด่านศุลกากร บางท่านแวะไปถ่ายรูป อนุสาวรีย์นกอินทรี สัญญลักษณ์ของเกาะลังกาวี ซึ่งอยู่ใกล้กัน แต่ OA ไม่ได้ไป เพราะสาละวนเช็คของอยู่ อนุสาวรีย์นกอินทรีนี้จะถูกนำมาจำลองเป็นของชำร่วยขายตามร้านต่างๆมากมายคะ
กล่าวกันว่า ลังกาวีพัฒนาขึ้นมากในสมัยนายก มหาเธร์ เนื่องจากมารดาของท่านเป็นชาวลังกาวี สถานที่แห่งนี้จึงเปรียบเหมือนบ้านเกิดของท่านเช่นกันคะ
ในภาพ เป็นสวนบริเวณท่าเรือเจ็ตตี้
กระถางต้นไม้ ริมทาง ใกล้ที่พัก นำภาพมาให้ชมกันคะ เป็นกระถางต้นไม้ ลวดลายโบราณแปลกตาดี นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารอินเดียสุดอร่อย ราคาถูกอีกด้วย ข้าว 1 จาน + กาแฟเย็น เพียง 3.5 ริงกิต (ประมาณ 35 บาท ไทยคะ)
นี่จึงเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของลังกาวี ของที่ระลึกและอาหารน้ำดื่มที่นั่น จะมีราคาพอประมาณ ไม่แพงมากนัก เป็นราคาที่นักท่องเที่ยวและชาวบ้านจ่ายเท่ากันคะ ไม่มีการขึ้นราคาสินค้านักท่องเที่ยวอย่างมหาโหด แต่ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในลังกาวี มีการเพิ่มจากหลายปีก่อนอย่างมากเช่นกัน เช่น พิพิธภัณฑ์นายกมาหเธร์ ค่าเข้าชม 10 ริงกิต (100 บาท) เพิ่มจากเดิมที่จ่ายเพียง 3 ริงกิต (30 บาท) และหากต้องการถ่ายภาพก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 2 ริงกิตคะ
ยามค่ำคืนภายในตัวเมืองลังกาวี จะมีตลาดใหญ่ ชื่อ ตลาดกัวร์ ขายของที่ระลึก ขนม และของใช้ ชอคโกแลตที่นี่มีหลายยี่ห้อและราคาถูกมากคะ นอกจากนี้จะมีคริสตัลทำเป็นภาชนะต่างๆและอนุสาวรีย์จำลอง
ราคาไม่แพงมากนัก สำหรับโถแก้วขนาดกลาง ราคาประมาณ 500 บาทไทย ร้านเหล่านี้จะปิดประมาณ 4 ทุ่ม ครึ่ง ตามเวลาของมาเลเซีย ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ช.ม.
ของอีกอย่างที่คณะนิยมซื้อมาก คือ กระเป๋าเดินทาง
ราคาถูกทำจากจีนแดง มีมากมายหลายสีหลายขนาดวางขายทั่วไปในตลาดกัวร์ แต่ OA ไม่แน่ใจว่าจะแข็งแรงทนทานหรือไม่นะคะ
เห็นผนังร้านขายของร้านหนึ่งในตลาด มีภาพโฆษณาเป็นภาพวัยรุ่นแต่งตัวสะดุดตา จึงนำมาให้ชมกันคะ ต่างจากบรรยากาศทั่วไปในลังกาวี ที่วัยรุ่นนิยมแต่งตัวตามวัฒนธรรมที่ดีงามในประเพณีของชาวมาเลย์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นค่านิยมที่รัฐบาลมาเลเซีย กำลังรณรงค์อยู่
วันรุ่งขึ้น รถบัสมารับคณะจากเมืองไทย ไปร่วมงานกีฬาทางน้ำตั้งแต่เช้า ชายหาดสถานที่จัดงาน เป็นชายหาดที่สวยที่สุดของลังกาวีคะ จำชื่อไม่ได้ แต่จะนำมาบอกภายหลัง ทรายที่นี่ละเอียดและนุ่มมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กๆจะกระโจนลงไปเล่นทรายทันที ที่มาถึงชายหาด
แห่งนี้ ริมหาดและในทะเลจะมีเครื่องเล่นขนาดใหญ่ให้เด็กๆเล่นกัน
และเนื่องจากในวันที่ไปร่วมงาน คือ วันศุกร์ ซึ่งเป็นวันหยุดทางราชการของที่นี่ ชาวบ้านจึงหอบลูกจูงหลานมาเที่ยวกันเต็มไปทั้งชายหาด ร้านขายอาหารตั้งวางเรียงรายเต็มไปหมด โดยเฉพาะน้ำดื่มจะขายดีเป็นพิเศษคะ น้ำหวานที่นี่จะวางขายต่างจากในเมืองไทย ของเราจะแยกขวดน้ำหวานและน้ำแข็งไว้คนละที่ เวลามีคนมาซื้อก็จะตักน้ำแข็งใส่แก้วและใส่น้ำหวานตาม แต่ที่นี่ จะทำที่ใส่น้ำขายขนาดใหญ่ เป็นแก้วใสรูปร่างเหมือนตู้ปลาเปี๊ยบ ผสมทั้งน้ำแข็งและน้ำหวานลงไป คนๆให้เข้ากัน ใครมาซื้อก็จะใช้ทัพพีขนาดใหญ่ ตักใส่แก้วให้เลย สนนราคาแก้วละ 1 ริงกิต (10 บาท) นัยว่าสะดวกประหยัดเวลาดี แต่กลัวน้ำแข็งมันจะละลายทำให้น้ำหวานจืดไปจัง น้ำหวานที่ใส่จึงน่าจะเข้มข้นมากๆคะ น้ำหวานที่นิยมวางขายก็มี น้ำส้ม น้ำแดง (มีกลิ่นเหมือนน้ำยาอุทัยของเราปนอยู่ด้วย) และน้ำมะม่วงคะ
นอกจากนี้ยังมีถั่วลิสงขนาดใหญ่ต้ม ใส่ห่อกระดาษขายห่อละ 2 ริงกิต (20 บาท) แต่ของเขาจะไม่ต้มแล้วสะเด็ดน้ำให้แห้งก่อนวางขายเหมือนของเรา แต่จะต้มแช่ในน้ำเกลือผสมขมิ้น แล้วนำขึ้นมาวางผึ่งไม่นานก่อนนำมาขาย เปลือกถั่วจึงมีสีเหลืองสดใส กัดออกมามีน้ำเกลือฉ่ำอยู่ข้างในคะ
กีฬาทางน้ำที่หาดแห่งนี้มีมากมายคะ ในภาพ คือ เจ็ตสกี หรือปล่าว?
วันนั้นนั่งแกร่วกันอยู่ที่ชายหาดกันจนเย็น ทีมจากหาดใหญ่ไม่มีใครลงชื่อแข่งกีฬาชายหาดกันซักคน นัยว่ากลัวผิวจะเสีย เลยนั่งชมนกชมไม้กันริมชายทะเล ในชัยภูมิที่มีร่มไม้บังแดด กินแฮมเบอร์เกอร์ ไอติม และถัวต้ม กันอย่างเมามัน อะโฮ๊ะๆๆ
ช่วงบ่ายคล้อยหน่อยๆ น้องหนู 2-3 คน ที่มาด้วย ชักครึ้มเลยมาเล่นทรายกับป้า OA เผลอนิดเดียวมันจะเอาทรายมาฝังป้าทั้งเป็นซะแล้ว ... เริ่มจากถมทรายที่ขาเรา (หนูๆบอกว่าจะทำหางนางเงือกให้คะ) แล้วลามขึ้นมาที่อกเรื่อยๆ ร้ายจริงๆ ...
ยิ่งตกบ่ายยิ่งมีกิจกรรมชายหาดมากขึ้นคะ ในภาพ คือ แข่งเล่นห่วง ฮูลาฮู๊ป กัน
ตุ๊กตายางรูปปลาโลมาลอยตุ๊บป่องๆกลางทะเล มีเด็กๆลงไปเกาะเล่นเต็มไปหมดเช่นกัน
เกมส์ตกปลาในกระป๋อง กิจกรรมริมชายหาดอีกอย่างหนึ่ง
นักกีฬา ซ้อมพายเรือในทะเล
ตอนที่ 1 ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้นะคะ ตอนต่อไป จะนำเรื่องราวเกี่ยวกับซุ้มงานแสดงของรัฐต่างๆ ใน Visit Malaysia 2007 และที่ท่องเที่ยวอื่นๆมาให้ชมกันคะ สวัสดีคะ
ยินดีหาข้อมูลให้คะ น้อง marineen ^_^ แนะนำให้ไปช่วงหน้าร้อน เพราะทะเลจะสวย คลื่นไม่แรงอันตราย แต่ตัวจะดำนิดนึง (เหมือน OA) คะ อิอิๆ ...ถ้าลงมาหาดใหญ่ก่อนแล้วต่อไปสตูล ถึงลังกาวีจะไม่ไกลคะ เดินทาง 3 ช.ม. (พอๆกับกรุงเทพไปอยุธยา) แต่ค่าที่พัก-อาหารไม่ทราบว่าเท่าไหร่ เพราะตอนไปจ่ายแค่ 1000 บาท คะ เพราะทางมาเลย์รับรองค่าที่พัก-อาหารให้ แต่ราคาอาหาร - ที่พัก ที่นั่นน่าจะพอๆกับเมืองไทย แต่ถูกกว่านิดหน่อย เช่น อาหารจานละประมาณ 20-25 บาท คะ
ยังมีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆอีกเช่น หาดทรายดำ ที่ฝังศพพระแม่มัสสุหรีขึ้นกระเช้าลอยฟ้าชมเมืองลังกาวี จะทะยอยนำภาพ-ข้อมูล มาให้ชมกันคะ ^_^