เมื่อพูดถึงชื่อหน่วยคอมมานโดทุกคนรู้จักดีว่าเป็นหน่วยทหารชั้นยอดปฏิบัติการเป็นชุดขนาดเล็กหลังแนวข้าศึก ซึ่ง ในประเทศไทยเราอาจจะชิน กับ ชื่อ เช่น คอมมานโด ทหารอากาศ คอมมานโดกองปราบบ้าง แต่ ที่จะเอามาให้รู้จักนี้ เป็น หน่วยคอมมานโดของกองทัพบกออสเตรเลีย หน่วยคอมมานโดของออสเตรเลียมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีบทบาทในการปฏิบัติการต่อต้านญี่ปุ่น ในช่องแคบมะละกา และ หมู่เกาะทางตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย ซึ่ง การปฏิบัติการของคอมมานโดจะเชียวชาญในเรื่องการใช้เรือเล็ก การปีนหน้าผา หน่วยคอมมานโดภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ภัยคุกคามลดระดับลงมา ประกอบกับ ออสเตรเลียก็มีหน่วยเอสเอสเอส ที่ใช้รูปแบบการจัดคล้ายกับของอังกฤษ หน่วยคอมมานโด จึงลดระดับมาเป็นการใช้เจ้าหน้าที่โครงของหน่วยรบพิเศษ เอสเอเอส มาเป็นส่วนพัวและส่วนครูฝึก โดยมีกำลังส่วนใหญ่เป็น กำลังสำรอง ต่อมาเมื่อราวปี ๑๙๙๕ ได้มีการวางแผนในการที่จะเพิ่ม กองพันคอมมานโดขึ้น โดยจะแปรสภาพ หน่วยกองพันทหารราบ ซึ่งเป็นกำลังประจำการ มาเป็นกองพันคอมมานโด โดยจะยังคงกำลังสำรองไว้ ๑ กองพันเช่นเดิม โดยหน่วยทหารราบที่ได้รับการแปรสภาพ คือ กองพันทหารราบที่ ๔ 4th Royal Australia Regiment การแปรสภาพจะใช้ระยะเวลาประมาณ ๔ ปี( ตอนนี้สมบูรณ์แล้ว ) โดยขั้นแรกจะทำการส่งกำลังพลของหน่วยทหารราบ ไปทำการฝึกหลักสูตรพื้นฐานของหน่วยคอมมานโด ได้แก่
· หลักสูตรส่งทางอากาศ หรือ กระโดดร่ม
· หลักสูตรพื้นฐานหน่วยคอมมานโด
· หลักสูตรการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกของหน่วยคอมมานโด
· หลักสูตรใช้เชือกในการปฏิบัติการของคอมมานโด
โดยผู้ทีไม่ผ่านหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งจะต้องถูกปรับย้าย ออกจากหน่วย ในส่วนกำลังพลที่จะเข้ามาใหม่ จะต้องผ่าน การทดสอบคัดเลือกขั้นต้นของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่เรียกว่า Barrier Test จะประกอบด้วย
· ดันพื้น ๖๐ ครั้ง ลุกนั่ง ๑๐๐ ครั้ง ดึงข้อ ๑๐ ครั้ง
· วิ่ง ๓.๒ กิโลเมตร ประกอบเครื่องสนาม หนัก ๗ กก.รวมอาวุธปืน ในเวลา ๑๖.๓๐ นาที
· เดินเร่งรีบ( เดินทนนาน ๔ ชั่วโมง )น้ำหนัก ๒๘ กก. รวมอาวุธปืน
· ลอยตัวสองนาที , ว่ายน้ำชุดฝึก ๔๐๐ ม.ในเวลา ๑๘ นาที
· สอบการเดินแผนที่เข็มทิศในเวลา ๑๐ ชม. พร้อมแบบกวิทยุสื่อสารด้วย ( เดินจุดต่อจุด โดยที่ไม่กำหนดเวลาเข้าแต่ต้องทำให้เร็วที่สุด )
· ทดสอบทฤษฎี การใช้แผนที่เข็มทิศ , อาวุธศึกษา , ยุทโธปกรณ์
หลังจากผ่านแล้วต้อง ไปเข้าหลักสูตร พื้นฐานหน่วยคอมมานโดซึ่ง ในหลักสูตรนี้จะมีการปะเมินผลตลอดเวลา และ สามารถที่จะคัดคนที่ไม่เหมาะสมออกได้ตลอดหลักสูตร ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ กองพันคอมานโดได้มีบทบาทในการปฏิบัติการหลายครั้ง เริ่มด้วยการเป็นกำลังระลอกแรกที่เข้าในติมอร์ตะวันออก ไปเกือบจะพร้อมกับ เอสเอเอส รวมทั้งล่าสุดการปฏิบัติการในอิรัก ในปี๒๐๐๓ ก็ได้เป็นกำลังเข้าไปรับช่วงต่อจากการปฏิบัติการเข้าโจมตีทำลายสนามบินในอิรักของ เอสเอเอส ถึงแม้ว่าจะดูเป็นมือรองกว่าเอสเอเอส แต่ หน่วยคอมมานโดก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญมากขึ้น งานของคอมมานโดในปัจจุบันได้รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในออสเตรเลีย โดยมีพื้นที่รับผิดชอบ ในเขตตะวันออกทั้งหมด ( แถบเมือง ซิดย์นีย์ )ซึ่ง ส่วน เอสเอเอส จะรับพื้นที่ แถบตะวันตก และ พื้นที่นอกประเทศ ทั้งหมด ก็คือรับกินทั่วโลกนั่นเอง
เมื่อ ปี๒๐๐๓ ได้มีการตั้งหน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษ ขึ้นมา ซึ่งเลียนแบบ หน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษ ของสหรัฐ โดยมี หน่วยคอมมานโดถ้าเทียบ ก็เหมือน หน่วยจู่โจม หรือ Ranger ส่วน เอสเอเอส จะเทียบ กับ พวก กรีนเบเรต์ กับเดลต้า รวมกัน โดยจะมีหน่วยบินเฉพาะกิจสนับสนุนโดยตรง ซึ่งเหมือนกับ การให้หน่วยเหล่านี้มีเครื่องบินส่วนตัวทีเดียว นั่นก็เหมาะสม เพราะ ตอนนี้ ภัยคุกคามการก่อการร้าย ดูรุนแรงขึ้น ใกล้เข้ามาทุกที ไม่ใช่ว่าออสเตรเลีย จะไม่มีนะครับ เคยมีความพยายามแต่ว่า เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียสามารถตรวจจับได้ก่อน ในปี ๑๙๙๖ ทหารไทย ได้มีโอกาสที่จะไปเข้ารับการฝึกในหลักสูตร หลักของคอมมานโดที่กล่าวไว้ในข้างต้น รวมทั้งเข้าร่วมการฝึกในรหัส Night Crocodile โดยหลักสูตรทั้งหมดได้แก่ Commando Amphibious Course ทำการฝึกที่ กองร้อยคอมมานโดที่ 1 , มลรัฐ นิวเซ้าท์เวล ,หลักสูตร . Commando Training & Induction Course สถานที่ทำการฝึก ศูนย์ฝึก Pakkapanyal , มลรัฐ นิวเซ้าท์เวล, Commando Roping Course ทำการฝึก Houseworthy Barrack , 4th Royal Australia Regiment, และการฝึกในรหัส Night Crocodileพื้นที่การฝึก เมือง ทาวส์วิล ,มลรัฐ ควีนส์แลนด์ ซึ่งในครั้งนั้น เป็นช่วงวิกฤติ เศรษฐกิจพอดี แต่ว่าโชคดีที่กองทัพออสเตรเลียออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ชุดปฏิบัติการ
หลักสูตร คอมมานโดออสเตรเลีย
ในปี ๑๙๙๖ ผมได้มีโอกาสที่จะไปเข้ารับการฝึกในหลักสูตร
หลักของคอมมานโดรวมทั้งเข้าร่วมการฝึกในรหัส Night Crocodile โดยหลักสูตรทั้งหมดได้แก่
Commando
Amphibious Course ทำการฝึกที่
กองร้อยคอมมานโดที่ 1
, มลรัฐ นิวเซ้าท์เวล ,หลักสูตร
. Commando
Training & Induction Course สถานที่ทำการฝึก ศูนย์ฝึก Pakkapanyal , มลรัฐ นิวเซ้าท์เวล, Commando Roping Course ทำการฝึก Houseworthy
Barrack , 4th Royal Australia Regiment,
และการฝึกในรหัส Night
Crocodileพื้นที่การฝึก
เมือง ทาวส์วิล ,มลรัฐ ควีนส์แลนด์ ซึ่งในครั้งนั้น
เป็นช่วงวิกฤติ เศรษฐกิจพอดี แต่ว่าโชคดีที่ กองทัพออสเตรเลียออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
ชุดปฏิบัติการของผม มี ๔ คนรวมผมด้วย มีน้องยศร้อยโทไปคนหนึ่ง และลูกน้องระดับจ่าอวุโสไป ๒ คน โดย ๑
ในสองคนนั้น จบหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำมาแล้ว
โดยมีอีกคนก็จะเชี่ยวชาญเรื่องเงื่อนเชือกมากเป็นพิเศษ งานนี้ เราพร้อมรับมือทุกรูปแบบแต่ก็ไม่ลืมว่าเรามาเอาความรู้ไม่ใช่มาเป็นครู
การเดินทางเดินทางโดยสายการบินจิงโจ้แท้
หรือแควนตัส ในวันแรกที่มาถึง ก็ ประทับใจกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรมา เนื่องจากว่า มีกฎว่าห้ามนำของกินเข้าประเทศ
บังเอิญว่า ซื้อมันฝรั่ง เลย์ ขึ้นไปบนเครื่อง พอขาลง ก็ผ่านด่าน เจ้าหน้าที่ ก็
บอกว่าเอาเข้าไม่ได้ เราก็ปฏิบัติตามยื่นซองมันฝรั่งเลย์ที่ยังไม่ได้แกะให้
หลังจากที่เดินคล้อยไปเล็ก น้อย ก็ได้ยินเสียง ไล่หลังมา ว่า ? Hey ? we?ve already got
some snack? โถ อยากกิน ไม่บอก ส่วนเจ้าหน้าที่ที่มาคอยดูแลเรา
เป็นทหารเหล่าข่าว พูดไทยได้ชัดพอสมควร ชื่อ จ่า
มิค ราบี้ ซึ่งเราเรียกแกว่า
ลุงมิค เพราะ แก่กว่าพวกเราทั้งหมด หลังจากนั้น เราก็เข้าที่พักที่
ค่ายของทหารเรือ ฐานทัพเรือ เพนกวิน ซึ่งอยู่ในแถบ มิดเดิลเฮด , ซิดนีย์
มลรัฐนิวเซาท์เวล โดยที่ เมื่อไปถึง มียามใส่ชุดสีน้ำเงิน ผูกเนคไทเรียบร้อย ขอตรวจรถและบัตรประจำตัว ซึ่ง
ที่ยามจะมีรายชื่อพร้อมรูปพวกเรารออยู่แล้ว
ซึ่งยามเหล่านี้ไม่ได้เป็นทหารเหมือนหน่วยทหารบ้านเรา แต่ เป็นลูกจ้างบริษัทยาม
ซึ่งการที่จะมาเป็นยามไม่ง่ายเหมือนในประเทศไทยนะครับ
ยามหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะมีหลายแบบ ตั้งแต่ตำสุดคือยามธรรมดา ไม่พกปืน
แต่จะมีกระบอง สเปรย์พริกไทย ในระดับนี้ต้องผ่านการอบรม
และสอบใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อน ในการอบรมจะมี เรื่อง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย , การป้องกันตัว , การใช้อาวุธกระปอง
สเปรย์ , การปฐมพยาบาล เมื่อสอบผ่านถึงจะมาสมัครเป็นยามได้ แต่ถ้าจะเป็นยามที่พกปืน
ต้องมีใบอนุญาต อีกระดับหนึ่ง ต้องมมีการอบรม มีการสอบทั้งกฎหมายและการใช้อาวุธ
ถ้าไม่ผ่านก็อด , อีกระดับทีน่าสนใจคือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบุคคล ซึ่ง
จะต้องมีการอบรมและการสอบ เช่นกัน โดยที่ใบอนุญาตจะเป็นปีต่อปี ที่พักเป็น ห้อง ๒
ห้องมีเตียง ๒ ชั้น มีโต๊ะเขียนหนังสือ และตู้อยู่ข้าง พออยู่ได้
ดีกว่าโรงนอนทหารไทยแน่นนอน
หลังจากที่ถึงไม่นาน พวกเราก็เดินทางไปยัง กองร้อยคอมมานโดที่ ๑ ซึ่ง
อยู่ห่างไปไม่ถึง ๑ กม. ซึ่งที่นั่น รอบเป็นรั้วตาข่าย มีกลุ่มอาคารชั้นเดียว
มีตู้คอนเทนเนอร์เรียงราย รวมทั้งมีโรงยิมขนาดกลาง อยู่ เมื่อเข้า ไปถึง
ก็มีนายทหารยศ พันตรี ออสเตรเลีย มาต้อนรับ โดยที่ มาทราบภายหลังว่า ท่านนั้น
เคยอยู่หน่วย เอสเอเอส ของ ออสเตรเลีย
และเคยเข้าปฏิบัติการในเวียดนามในช่วงสงครามเย็น
เมื่อไปถึง ไม่มีอะไรมากอกจากบอกว่าพักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้พบกันตอน ๐๘๐๐
วัน
หลังจากนั้นเราก็พากันเดินทางกลับที่พัก และ รับประทานอาหาร การกินข้าว
เจ้าหน้าที่ประสานงาน ลุงมิค ของเราเป็นผู้พาไป โดย ทางค่ายได้ให้บัตรแถบแม่เหล็กใช้ในการรูดเพื่อ
ผ่านเข้าแถว รอรับอาหาร อาหาร ก็เป็น
แบบออสซี่ มีสเต๊กเนื้อ ,สตูว์เนื้อแกะ , ผักสารพัด
แต่ความสมบูรณ์สู้โรงอาหารหน่วยจู่โจม อเมริกันไม่ได้ แต่บรรยายการของฐานทัพเรือ เพนกวิน นั้น สวยมาก
ในส่วนสโมสรก็ เท่าๆกับรีสอรท์หรูในประเทศไทย แรกผ่านไปง่าย
วันรุ่งขึ้น
เราก็พบ กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน ซึ่ง เป็นกำลังพลมาจากกองพันทหารราบที่
๔ และมีนายทหาร จาก เอสเอเอส
มาร่วมทำการฝึกด้วยซึ่ง
นายทหารท่านนั้นมีแผนจะปรับย้ายมาเป็นผู้บังคับกองร้อยที่นี่ แน่นนอนว่า
กำลังพลของเอสเอเอสมีพื้นฐานอยู่แล้ว แต่การที่จะมาเป็นนายคนที่สมบูรณ์นั้นควรจะได้มีโอกาศที่จะร่วมทุกข์กันก่อน
เพราะหน่วยประเภทนี้ต้องการคนที่มีลีกษระผู้นำสูงสามารถปฏิบัติเป็นตัวอย่างได้ไม่ใช่ผู้นำแบบมือไข้วหลังชี้นิ้ว พอคนเริ่มเข้ามาเยอะเริ่มมีการจัดระเบียบเหมือน
หลักสูตรทั่วไป มีการทำโทษบ้างแต่ไม่มาก วันนี้เรายุ่งเกือบทั้งวันในการเบิกสัมภาระ
ต่าง เพราะเราไม่มีอุปกรณ์ทางทหารอะไรติดตัวมาเลยยกเว้นชุดกับรองเท้า เราก็ได้เบิก
เป้ , กระเป๋ากระสุน สายโยงบ่า รวมทั้ง แจกรองเท้าหนังสีน้ำตาลให้ฟรี ๑ คู่
แลวันนี้น เราก็ได้รับปืน สตายเออร์ หน้ากากดำน้ำ, ฟิน ( ตีนกบ ) ชูชีพ , แสนปลิงค์ ,
ชุดพลุและควันสัญญาณ , Strobe
light ชุดกันน้ำ gor ?
ในวันรุ่งขึ้นถัดมา
การออกกำลังกายมีทั้งวิ่งและว่ายน้ำ โดยจะทำการวิ่ง ก่อน ใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที
และลงว่ายน้ำชุดฝึก อีก ๘๐๐ เมตร ขึ้นฝั่งมา ออกกำลังกายอีก ท่าออกกำลังกาย ก็แบบเดียวกับ
หลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม หลังจากจบว่าน้ำ ก็มารับประทานอาหารซึ่ง
ก็ต้องรีบแบบยัดๆหมอน เพื่อไปให้ทันทำการฝึกในตอนเช้า เวลา ๐๗๓๐ ถึง ๑๒๐๐ และ บ่ายก็ฝึกต่อ ตั้งแต่ ๑๓๐๐ ถึง
๑๗๐๐ และ ตอนกลางคืน ฝึกตั้งแต่ ๑๘๐๐ ถึง ๒๒๓๐ ซึ่งเนื้อหาการฝึก ทั้งหลักสูตร
- แนะนำการใช้ยุทโธปกรณ์
เช่น ชูชีพ , ชุดพลุและควันสัญญาณ (Day &
Night Flare )
- แผนที่ทาง
ทะเล , การนำทิศ(Navigation)
- ถอดประกอบเรือยาง F 470
- เครื่องยนต์เรือ ขนาด 25 HP , และการแก้ไขเหตุติดขัด , การแก้ไขปัญหาเครื่องยนต์เมื่อเครื่องตกน้ำ
- รูปขบวนเรือ
และการบรรทุกคนและยุทโธปกรณ์
- การนำเรือ เข้า - ออก หาดที่มีคลื่นลมแรง
- การนำเรือ เข้า - ออก จากฝั่งที่เป็นหินโสโครก ( Rock - Landing )
- การขับเรือ
, การเทียบเรือ
- การนำเรือ ขึ้น-ลง จากเรือใหญ่ ( เรือยกพลขึ้นบก )
- การรบในที่ลุ่มแม่น้ำ
ซึ่ง การฝึก เป็นไปอย่างเข้มข้น ซึ่ง
เน้นการปฏิบัติมากที่สุด ทุกคน จะต้องผ่านการทดสอบทุกบทเรียน
มีการทดสอบซ่อมถ้าไม่ผ่าน สิ่งที่ ยาก บทเรียนหนึ่ง
คือการเอาเรือยางเข้าจอดที่หาดหิน ที่มีคลื่นแรง ซึ่ง ถ้าพลาดหมายถึงขาหัก ในการฝึกในรุ่นก่อกน้านี้มีหน่วยรบพิเศษสหรัฐมาร่วมทำการฝึกด้วยผลปรกฏว่า
ขาหักจากการฝึกดังกล่าว อีกเรื่องหนึ่ง
เป็นแบบฝึกที่ถ้าใครไม่รู้จักแสดงว่าไม่เคยฝึกเรือยางนั่นคือ การหงายเรือ ?Capsize? ซึ่ง จะใช้เมื่อ เรือยางคว่ำ และชุดปฏิบัติการในเรือตั้งพลิกกลับ ซึ่ง
ในทะเลที่มีคลื่นลมแรงจะมีโอกาสที่ต้องปฏิบัติ และการปฏิบัตินี้ จะทำให้รู้ว่าทำไม การใช้เชือกจึงมีความสำคัญมากในการปฏิบัติการโดยใช้เรือ เพราะถ้าผูกมัดของไม่ดี
สิ่งของยุทโธปกรณ์จะหายหมดเมื่อ เรือคว่ำ แต่ถ้าผูกมัดดี ก็จะไม่หาย แต่การผูกนั้น
ไม่ได้ผูกกันมั่วๆนะครับ เขามีวิธีการผูก
ในการฝึกของทุกวัน
จะมีลำดับขั้นการฝึกดังนี้
- การกล่าวนำ
- การชี้แจงมาตรการรักษาความปลอดภัย บนบกและในทะเล
- การสอน,
การแสดงตัวอย่าง
- การปฏิบัติของผู้รับการฝึก
- การสรุปการปฏิบัติ และการแก้ไข,ข้อบกพร่อง
- การทดสอบ
โดยใช้สถานที่ ในพื้นที่ อ่าว ซิดย์นีย์ ซึ่งบางที่เป็นชายหาดสวยงามมาก
ซึ่งมีนักท่องเที่ยว อยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกัน
โดยสถานที่เหล่านี้ผู้อ่านที่เคยไปออสเตรเลียอาจจะเคยไป และบ่นอิจฉา ว่าโอโห
ได้ไปเที่ยวชายหาดด้วย ไม่ต้องอิจฉาหรอกครับ เพราะเวลาฝึกไม่มีโอกาสได้สนใจโลกภายนอกเท่าไร
เพราะต้องตั้งใจฟัง ต้องทำตามที่ครูฝึกบอก
ทั้งการสอนและการออกกำลังกายนอกเนื้อหาหลักสูตร ที่กล่าวไว้
สถานที่ที่ไปทำการฝึกได้แก่ พื้นที่ โรงเรียนดำน้ำของกองทัพเรือ Navy diving school , Balmalro beach,
Mainly
beach,
ซึ่งวัตถุประสงค์การฝึก ของหลักสูตร Commando Amphibious คือ
?ต้องการให้ผู้รับการฝึกสามารถปฏิบัติการและวางแผน
ในรูปแบบของ Commando
Amphibious Operation
ได้ รวมทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ Coxswain(สหรั่งเรือ) หรือคนขับเรือนั่นเอง
และ Bowman ( พลหัวเรือ จะเป็นผู้ที่นั่งที่หัวเรือเพื่อ ตรวจการและบอกทิศทาง ) Swimmer Scout (พลลาดตระเวนนำทางน้ำ คือ คนที่ จะต้องลงจากเรือว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งก่อนเพื่อตรวจดูพื้นที่ที่จะส่งกำลังส่วนใหญ่ขึ้นสู่ฟั่ง
ว่าปลอดภัยหรือไม่
๑.
เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกทราบและสามารถปฏิบัติตามกฎนิรภัยต่าง
ๆ ที่ใช้กับการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกได้
๒.
สามารถใช้งาน แก้ไข
เหตุติดขัดและปรนนิบัติบำรุงเรือยางติดเครื่องยนต์ แบบ SEA- PRO
๒๕ แรงม้า ของบริษัท MERCURYได้
๓.
ให้ทราบถึงขั้นตอนการวางแผนการปฏิบัติการ
ยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก ในรูปแบบของCOMMANDO
๔.
มีขีดความสามารถในการอ่านแผนที่ทางเรือและการเดินเรือเล็ก
๕.
สามารถคำนวณกระแสน้ำขึ้นลง และดวงอาทิตย์ขึ้นและตก
ดวงจันทร์ขึ้นและตก ในพิกัดต่าง ๆ ได้
๖.
สามารถปฏิบัติหน้าที่ Swimmer scout (พลลาดตระเวนนำทางน้ำ) ได้
การฝึกดำเนินไปทุกวันไม่มีวันหยุด
ราชการ ในเดือนแรก ผมเห็น โอเปร่าเฮาส์ หรืออาคารที่คล้ายๆเปลือกหอย
ที่ขึ้นชื่อของออสเตรเลีย จากบนเรือยาง ส่วนในยามค่ำ คืน ผมก็ได้ไปเที่ยวนะครับ
แต่นั่งเรือยางเที่ยว ในพื้นที่อ่าวซิดย์นีย์
อากาศก็ไม่เท่าไร แค่ ๑๐ องศาเท่านั้นเอง
ยังไม่รวมลมกับน้ำที่กระจายทั่วเรือขณะเรือวิ่ง
ก็ธรรมดาครับ ไม่ได้นั่งเรือยอรช์ นี่นา
เรือยางของหน่วยคอมมานโด ใช้ เรือ Zodiac ซึ่ง เป็นเรือยางที่
หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทั่วโลกส่วนใหญ่ไว้วางใจ แน่นนอนว่าราคา แพงหูฉี่
เรือลำหนึ่ง ก็ราคาเกือบ ๓ แสนบาท ยังไม่รวมเครื่องยนต์ ซึ่งในส่วนของเครื่องยนต์
หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ออสเตรเลีย จะใช้๒ เครื่องยนต์มาเชื่อมต่อกัน
เพื่อประกันความสำเร็จ
ฝึกขับเรือ
ในการฝึกการใช้เรือนั้นก่อนหน้าที่จะไปขับเรือต้องรู้กฏการจรจรทางน้ำก่อน
เรื่องพวกนี้จะรวมถึง การดูประภาคาร สัญญาณไฟต่าง , การใช้แผนที่เดินเรือ
ซึงก่อนหน้าที่จะออกไปขับเรือจริงๆเราต้อง สอบ กฎจราจรทางน้ำก่อน หลังจากนั้น
จึงเริ่มการฝึก ตั้งแต่การประกอบเรือ การดูแลรักษา การขับเรือ การลากเรือที่เสีย
การจอดเทียบเรือใหญ่ เราฝึกขับเรือทุกวันจนคล่อง
หลังจากช่วงขับเรือผ่านไปจะเริ่มเข้าสู่การวางแผน การเทคนิคการปฏิบัติการ
ซึ่งจะรวมถึงการคำนวณน้ำขึ้นน้ำลง เพื่อกำหนดเวลาที่จะเข้าสู่ฝั่ง ,
การหาเวลาที่มืดสนิทของในแต่ละเดือน เพื่อหาเวลาที่ทัศนวิสัยจำกัด
หรือมืดที่สุดเพื่อ ลดการถูกตรวจพบ โดยข้าศึก เรียนเรื่องการวางแผนประสานงานกับ
หน่วยทหารเรือ ทหารอากาศ ,การปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในการรบ Combat Search and Rescues
ในส่วนของการฝึกเป็นพลลาดตระเวนนำทางน้ำ
ซึ่ง เป็นกำลังพลในชุดคนแรกที่จะต้องขึ้นฝั่ง ในการฝึก จะสมมติพื้นที่
ให้เป็นพื้นที่เป้าหมาย และ จะจอดเรืออยู่ห่าง จาก ฝั่งพอสมควร
ให้รอดพ้นจากการตรวจการ แล้วจึงส่ง พลลาดตระเวนนำลงไป โดย จะ ต้องว่าน้ำเป็นคู่
ใส่ ตีนกบ หน้ากากดำน้ำ พร้อมอาวุธปืนเล็กยาว ว่ายน้ำเข้าฝั่ง
เมื่อใกล้ฝั่งถึงพื้นที่ที่พอเดินได้จะเริ่มถอดตีนกบ
เตรียมอาวุธให้พร้อมถอดหน้ากาก และค่อยเคลื่อนที่ เพื่อตรวจพื้นที่
การฝึกปฏิบัติมีทั้งกลางวันและกลางคืน ในการทดสอบ
จะให้เข้าปฏิบัติโดยมีข้าศึกเพื่อทดสอบการตอบสนอง ของผู้ปฏิบัติ
ในการปฏิบัติงานจริง ผู้ที่ จะเป็นพลลาดตระเวนนำทางน้ำนั้น จะต้อง
มีประสบการณ์พอสมควร พูดง่ายๆว่าต้องเก๋า และเก่งพอสมควร เมื่อเรียนการปฏิบัติเป็นบุคคลจบ
คราวนี้ก็เป็นการฝึกภาคสนาม ภารกิจแรกเป็นการ ลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ
เกาะและพื้นที่ปากแม่น้ำ ซึ่งเป็นการลาดตระเวนกลางวัน และกลางคืน
โดยจะต้องไปตั้งฐานบนเกาะ ซึ่ง ช่วงนั้นฝนเจ้ากรรม ก็โปรยมา
อย่างต่อเนื่องในช่วงหัวค่ำ ตามด้วยความหนาวเป็นปกติอยู่แล้วในป่าบนเกาะ
ไม่ใช่อุปสรรดเท่าไร ผลการปฏิบัติ ไม่พบความเคลื่อนไหว
แต่การฝึกครั้งนั้นได้ฝึกการขับเรือ ทางยุทธวิธีตามลำน้ำ และการซ่อนเรือ
ในภารกิจต่อมา เป็นการสมมติสถานการณ์ว่า
หน่วยคอมมานโดจะต้องปฏิบัติการ เข้าตีโฉบฉวยต่อที่หมาย บนพื้นที่บนเกาะแห่งหนึ่ง
ที่หมายโดยจะต้องขับเรือยางจากท่าเรือของกองร้อยคอมมานโดไปขึ้นเรือลำเลียงพล
ที่สามารถขน เรือยางได้
และเดินทางไปยังจุดปล่อย เราเริ่มเดินทางในตอนเช้า การพยากรณ์อากาศบอกว่า
สภาพคลื่นลม ไม่ดีเท่าไรนัก คลื่นสูงมาก ลมแรง ซึ่งอยู่ในระดับที่
อาจจะต้องงดการฝึก ซึ่ง เป็นการเสี่ยงมากเพราะ เป็นการปฏิบัติการในเวลากลางคืน
ในทะเลลึก รวมทั้ง กำลังพลอาจจะยังไม่ชำนาญพอ
แต่ผู้อำนวยการฝึก ตัดสินใจให้ฝึกต่อ แน่นอนละครับ
หน่วยคอมมานโดไม่ใช่คนขับเรือข้ามฝาก คลื่นเริ่มแรงขึ้น
หลายคนเริ่มเมาเรือ แต่ยังต้องทำงานตามคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นการผูกมัดรัดตรึง
ของที่อยู่บนเรือของตัวเอง การจัดเตรียมยุทโธปกรณ์ที่จะใช้ในการปฏิบัติงาน
การปฏิบัติตามคำสั่งอื่นๆของครูฝึก
ตัวผมเอง อาเจียนไป ผูกเงื่อนไป พอมีโอกาสได้เดินไปที่เรือ
ทหารเรือเองที่เป็นลูกเรือลำนี้แท้ ก็อาเจียน
เมื่อความมืดมาเยือน ฝนเริ่มตก อุปสรรคประการสำคัญ ของผู้รับการฝึก คือ คือ
อุณหภูมิที่ต่ำ ซึ่งเป็นผลให้ในบางภารกิจ
มีผู้ป่วยจากโรค hypothermia
(สูญเสียความ ร้อน ในร่างกายมากเกินไป) จำนวน ๕
นาย โดยมี ๑ นาย ต้องส่ง รพ.เนื่องจากอาการหนัก
ซึ่ง เป็นที่น่าแปลก ทหารไทยไม่เป็นไรเลย และแล้วเมื่อ ถึงเวลาที่กำหนด
ต้องมีการนำเรือลงจากเรือใหญ่ ฝนยังคงตก Sea state code[1] = 3 คลื่นสูง ๓ ถึง๕ เมตร ชุดปฏิบัติการของไทย ก็ลงในเรือ
เรือยางลงน้ำเรียบร้อยคนขับเรือลงไปก่อน กำลังพลส่วนใหญ่ลงตามคลื่นแรงขึ้น
และทันใดนั้นเอง คลื่นใหญ่ ซัดบริเวณ หัวเรือใหญ่ที่เรือยางเกยอยู่
ทำให้เรือยางลอยขึ้นเล็กน้อยหลุดออกจากหัวเรือและพลิกคว่ำทันที
ทุกคนได้ปฏิบัติตามที่ฝึกมา ทันที บรรยากาศที่มีแต่คลื่นลม ความมืด โดยรอบ
ไม่เป็นอุปสรรคมากเพราะความเคยชิน รวมทั้งเราเชื่อฟังครูดีมากการผุกมัดสิ่งของการผูกมัดสัมภาระทุกอย่างไม่มีหายหลังจากที่เรากู้เรื่อขึ้นมาได้
และสามารถเดินทางต่อได้ อากาศในตอนนั้น รวมลมและน้ำ
ที่คอยพัดความร้อนจากร่างกายคงราวไม่เกิน ๕ องศา เซลเซียด เสื้อผ้าเปียกทุกซอกมุม
ถ้าดุหนังเรื่องไททานิค ตอนที่ แจ็ค พระเอกของเรื่องจมอยู่ในน้ำและปากสั่น
ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดี ทีเดียว
ในการฝึกปฏิบัติ จะแต่งตั้งให้ครูฝึกทำหน้าที่ควบคุม เรียกว่า officer in charge
( OIC )
ซึ่งจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์
หรือมีความรู้ความชำนาญในเรื่องดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องเป็นนายทหารสัญญาบัตร OIC เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งยุติการฝึก, การเปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ OIC สามารถอยู่ได้ที่บนฝั่ง
และใน พื้นที่การฝึก ขึ้นอยู่กับชนิดของการฝึก ในกรณีที่ฝึกใน
พื้นที่ห่างไกลฝั่ง
และที่สำคัญที่สุดคือหน้าที่ในการดูแลเรื่องความปลอดภัยของกำลังพลในการฝึก
ก่อนการฝึกจะต้องกำกับดูแลการเตรียมพื้นที่การฝึก
การตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์
โดยจะต้องกำหนดจุดนัดพบ กับรถพยาบาลในการส่งผู้ป่วย
บนรถพยาบาลจะมีโทรศัพท์มือถือ (เคลื่อนที่) ใช้ในการติดต่อกับ รพ. และธุรการทั่วไป
ในที่สุดการฝึกสุดท้ายสิ้นสุดลงด้วยภารกิจสุดท้าย
ที่มีสภาพอากาศแบบเลวร้ายสุดๆจบลง ทุกคนปลอดภัยรอดกลับมา
โดยที่มีประสบการณ์เรือคว่ำ ติดมาด้วย ถึงแม้จะคว่ำ
เราก็สามารถปฏิบัติภารกิจต่อไปได้ โดยที่ยุทโธปกรณ์อยู่ครบทุกชิ้น
ทุกคนในทีมไม่มีอากรตกใจหรือตื่นกลัวใด ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย
ครูฝึกหลายคนก็ได้กล่าวชมพวกเราว่าสามารถปฏิบัติได้ดี หลังจากแทรกซึมกลับเอาเรือขึ้นจากน้ำ
งานที่ทำประจำหลัก การฝึก ก็คือ การปรนิบัติบำรุง
เรือ และเครื่องยนต์ รวมทั้ง ยุทโธปกรณ์ทุกชิ้น โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่
เราต้องดูแลเป็นพิเศษ จากให้เครื่องยนต์ติดเครื่อง
ในถังน้ำจืดเพื่อการทำความสะอาดนั้น
เป็นสิ่งที่ต้องทำในการที่จะถอดเครื่องยนต์เก็บ ที่โรงเก็บ เรือ
หลังจากทำงานดังกล่าวเกือบ ครึ่งวัน
เราก็ต้องเจอกับการการทดสอบข้อเขียน ยังรอคอยเราอยู่ การทดสอบ ครูฝึกให้เวลาเรามากกว่า
ทหารออสเตรเลีย ๓๐ นาที เพราะเหตุผลทางภาษา กำลังพลในชุดปฏิบัติการไทย
ก็ทำได้ผ่านทุกคน
การทดสอบทุกอย่างจบลง
ก่อนจะปิดการฝึกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการวิจารณ์การฝึก
หรือการทบทวนหลังการปฏิบัติ เป็นการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อหลักสูตร
และ ความเห็นของครูที่มีต่อนักเรียน ทั้งนี้ จะมีแบบสอบถามเพื่อประเมินผลของการจัดการฝึก
เพื่อนำไปปรับปรุงการฝึกในรุ่นต่อไป การปรุงหลักสูตร จะมีการกระทำอยู่ตลอด
ในส่วนพิธีการปิดการฝึกแบบง่าย
ง่ายกว่าพิธีการของกองทัพบกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก คนที่มีเป็นประธานในพิธีก็
ผู้อำนวยการฝึก ยศ พันตรี มากล่าว อะไรนิดหน่อย
และที่เป็นประเพณีนิยมของทหารออสเตรเลีย คือ บาร์บีคิว โดยจะมีเตา
และอาหารดิบ พวกหมู เนื้อ ไก่ที่หมักไว้
ไส้กรอก และผัก หัวหอม มะเขือเทศ และขนมปัง โดยมี เบียร์ และ น้ำอัดลมกระป๋อง
ทุกอย่างฟรี ในงานนี้ ทหารไทย ก็อิ่มตามระเบียบ
เราได้มีโอกาสฝึกภาษาไดมากก็ช่วงนี้ เพราะช่วงอื่นจะฟังซะมาก
การปฏิบัติที่ใช้เสียงน้อย เพราะ เป็นการใช้สัญญาณมือ ชุดปฏิบัติการของเราถือเป็น
ชุดปฏิบัติการกลุ่มแรกที่จบหลักสูตรนี้ ซึ่ง ก่อนหน้านี้ ก็มี
ทหารหน่วยรบพิเศษไทยมาฝึกแต่ เป็นหลักสูตร ผู้นำหน่วยคอมมานโด ซึ่ง จะเน้นการวางแผนการปฏิบัติและการฝึกแก้ปัญหา
แต่คราวนี้เป็นหลักสูตรพื้นฐานที่คอมมานโดออสเตรเลียถือว่าเป็นหลักสูตรหลัก เพราะ
ประเทศออสเตรเลียเป็นเกาะ การใช้เรือหรือการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบก
มีความจำเป็นมาก หลังจากจบการฝึกในวันรุ่งขึ้น
ก็เป็นการ ปฏิบัติการในเมือง ไม่ใช่รบในเมืองนะครับ แต่
เป็นการเที่ยวในตัวเมืองซิดย์นีย์
เมืองที่ ทหารจนๆอย่างพวกเราใฝ่ฝันจะมา เที่ยวกับเขาบ้าง ในห้วงที่ผ่านมา
เราเห็น ทิวทัศน์ของเมือง แต่เวลากลางคืน จากในน้ำ พอผมไปเราว่า ผมขับเรือยาง
ชมเมืองซิดย์นีย์ หลายคนบอกว่าอิจฉา แต่มันไม่สนุกหรอกครับ ถ้าไม่บ้าอย่างพวกผม
เพราะ เรือยางไม่ใช่เรือยอรช์ มันไม่นิ่มเหมือน ดูในหนังหรอกครับ
การเที่ยวแบบพลเรือน เริ่มขึ้นทันทีในเช้าวันเสาร์ เราได้เรียนรู้การนั่งรถเมล์
ในฐานนะที่ผมเป็นเทียบเท่าหัวหน้าคณะ การดูงาน ( ทำงานด้วย ) ก็นำเที่ยว
เราศึกษาแผนที่ตั้งแต่ตอนกลางคืน ทุกอย่างมีการวางแผน ช่วงแรก
ทุกคนจะเดินทางด้วยกัน เพื่อแนะนำพื้นที่ขั้นตน หลังจากนั้น
ผมได้ปล่อยเดี่ยวเพื่อให้ลูกน้องผมได้ฝึกการใช้ภาษา บ้าง
แถบที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่ค่อยมีคนไทย
แต่เมื่อไปซิดนีย์ คนไทยเยอะ แต่ก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราไม่รู้จักใครเท่าไร ถ้าเป็นของฝาก จากออสเตรเลีย หนีไม่พ้น ครีม
เดวิดโจน ครีมรกแกะ กับ ตุ๊กตาหมีโคล่าแบบที่เป็นตัวหนีบ
ของถูกฝากได้หลายคน ซึ่งในการซื้อของฝากภาษาไม่เป็นปัญหาเพราะไปเจอเจ้าคนขายที่เป็นคนไทย
ส่วนตัวผม ก็ เดินทางทุกรูปแบบ นั่งเรือข้ามฝากไปต่อรถ เมล์ ลองนั่งแท็กซี่ดู บ้าง
ความสุขวันเสาร์อาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลักสูตรถัดไปจะเริ่ม ในวันจันทร์ นั่นคือ การใช้เชือกของหน่วยคอมมานโด ( ยังมีต่อ )คอมมานโดออสเตรเลียในการฝึกการใช้บันได
การใช้เชือกบนอาคารดูชุดเอาว่า ของประเทศไหนครับ
แต่สถานที่ เป็นที่ออสเตรเลีย
หน่วยปฏิบัติการพิเศษไทยกับคอมมานโดออสเตรเลีย
Thai & Aussies
Location : 4 RAR
เรื่องที่เอาลง อยู่ในหนังสือเล่มนี้ครับ
แต่คงหาซื้อไม่ได้เพราะ เป็นหนังสือที่ผมเขียนเอง เอาไว้ให้เพื่อนๆที่สนใจ ครับ
เนื้อหา ส่วนมาเขียนจากประสบการณ์, รวมกับการค้นคว้า ครับ
การฝึกการลงและขึ้น
ปกติการใช้เชื่อทั่วไปจะฝึกการลงอย่างเดียว แต่ นี่เป็นการฝึกกรณีที่ลงเลยจุดที่จะเข้าอาคารหรือ ต้องการขึ้น ไปในชั้นที่ต้องการ
ภาพหมู่
น่าสนใจมากเลยคะ ขอบคุณที่นำเรื่อง-ภาพมาฝากคะ
อยากจะขอแนะนำนิดคะ ... การย่อ-ขยายขนาดรูป ทำได้ง่ายๆ ส่วนตัวใช้โปรแกรม Paint ที่แสนง่าย จนไม่ค่อยมีใครสนใจ ในเครื่องคอมของเราที่ล่ะคะ หากไม่เคยใช้ ให้กดปุ่ม Start มุมซ้ายล่าง ไปที่ Program ---> Accessories ----> Paint คะ
วิธีย่อขยายรูป เปิดภาพที่ต้องการย่อขยาย ไปที่แถบ Image ด้านบน แล้วเลือกหัวข้อย่อยที่สอง Streych/Skew คะ แล้วไปเปลี่ยนตัวเลขตรง Horizonal (แนวนอน) และ Vertical (แนวตั้ง) ปรกติเวลานำภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลมาลงที่นี่ ส่วนตัวจะย่อจาก 100% เป็น 40% ซึงจะได้ภาพขนาดประมาณ 40-50 KB พอสบายๆคะ
Night crocodile หรือ จระเข้ราตรี เป็นการฝึก ในระดับหน่วยในกรอบของกองร้อยคอมมานโด เพื่อให้กำลังพลมีประสบการณ์ในการปฏิบัติภารกิจในระดับกองร้อย ทบทวนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นและสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในตอนนี้ ถึงแท้การฝึกจะเป็นการฝึกหน่วยเล็ก แต่การสนับสนุนฝึกไม่เล็ก สถานการณ์การฝึกเขียนได้ดีมาก โดยที่เกี่ยวข้องในระดับปฏิบัติการคือ ภารกิจการปฏิบัติเป็นการลาดตระเวนค้นหา และทำลาย รวมทั้งการติดตั้ง เครื่องส่งสัญญาน นำวิถี(BECON DEVICE) ให้กับอาวุธของอากาศยาน ในวันแรกที่เดินทางถึงบก.ควบคุมการฝึก ที่ เมือง ทาวน์วิลส์ มลรัฐ ควีนส์แลนด์ ที่นั่นเป็น ฐานทัพอากาศของกองทัพอากาศออสเตรเลีย ซึ่งในอีกไม่กี่ปีต่อมาทหารไทยที่ไปติอมร์ตะวันออกผลัดแรกๆจะรู้จักที่นี่ดี ในการฝึกช่วงแรกจะเป็นการทบทวน การใช้อาวุธประจำกาย (ปลย.สตรายเออร์ ขนาด 5.56 มม., ปลย.เอ็ม 16 เอ 1,ปก.ระดับหมู่ มินนีมี่ ขนาด 5.56 อาวุธเสริม ปกม. เอช เค เอ็ม พี 5 เก็บเสียง (H&K MP5-SD) ต่อมาก็ทบทวนการฝึกการรบในพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง ตอนนี้เราเริ่มใช้เทคนิคเราเองมาผสมบ้าง บ้าง นอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติตามระเบียบการนำหน่วย คือการซักซ้อมการปฏิบัติต่างๆเช้นรูปขบวนการเดิน , การปฏิบัติเมื่อถูกซุ่มโจมตี การตั้งฐานลาดตระเวนเพราะที่นี่เราจะเป็นส่วนหนึ่งของหมวดคอมมานโด โดยผมเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการของไทย โดยมีหน่วย นกองพัน คอมมานโดที่ 1ซึ่งประกอบด้วย กองร้อยที่ 1และ2, กองร้อยสื่อสารที่ 126 ในขณะนั้น 4RAR ยังไม่เป็นหน่วยคอมมานโดโดยสมบูรณ์ ฝูงบิน C(ชาลี) กรมการบินทหารบกที่ ในห้วงแรกของการฝึกยังเป็นการทบทวนยังไม่เข้าสถานการณ์การฝึก ทางหน่วยเปิดโอกาสให้ออกไปสูดอากาศข้างนอกตอนกลางคืนได้ บรรยายกาศของ ที่นี่ตอนกลางคืน ไฮไลท์อยู่ที่พับ มากมาย กระจายทั่วไปเพราะเป็นเมืองชายทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ที่เรียกว่า Gold coast พับที่นี่ ก็คล้ายกับบ้านเรา สูสีแถวสุขุมวิท แต่ที่นี่เขาจะไม่นิยม สั่งเป็นขวดมาดื่ม ครับ จะมีเป็นแก้ว ส่วนการแต่งกายจะห้ามใส่รองเท้าผ้าใน รองเท้าสานรองเท้าแตะเข้า ในครั้งแรกที่มีการเปิดโอกาสให้ทหารได้ออกไปเที่ยวข้างนอกได้ในวันแรก ผมตัดสินใจที่จะไม่ไป แต่ คอมมานโดออสเตรเลีย ซึ่งตอนนี้หลายคนเริ่มสนิทกันบ้างแล้ว ก็ ชวน โดนบอกว่า พวกเขาจะจ่ายให้ทั้งหมด ก็เลยไม่ขัดศรัทธา เราออกจากค่ายราวทุ่มกว่า บรรยากาศ นั้นไม่ต่างจากพับบ้านเราเท่าใดนัก มืด ๆมีไฟแว๊บ เปิดเพลงสากล สาวๆก็ดูละลานตา ผมเข้าไปข้างในไม่นานก็มีเพื่อยกแก้วมาให้ ช่วงแรกก็เป็น เหล้าผสมโค้ก ต่อไปก็เป็นเครื่องดื่มที่แรงขึ้น ก็คือ ตากิล่า เพียว ( ถ้าเทียบก็เหมือนเหล้าโรงของไทย ) ตอนนี้ผมรู้สึกว่าถึงจุดที่ต้องหยุดเดี๋ยวจะเลยเถิด เมื่อมีการดื่มก็มีการเต้นรำ หรือดิ้น จะเรียก แดนซ์ ก็ไม่ผิด ผมรู้สึกว่า ภาษาอังกฤษของผมดีขึ้นหลายเท่า สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจคือคนดูแล พับ หรือคนคุมพับ ที่นี่เขาจะในสูท มีวิทยุ สื่อสารติดหู ไม่ดื่มเหล้า ตัวใหญ่ เขามักจะอยู่ตามมุมต่างๆของพับคอยดูแล แขกที่เมาควบคุมสติไม่ได้เขาก็จะไปเรียกแทกซี่ให้และพยุงออกไปส่ง ถ้าเป็นบ้านเราก็เป็นชุดเก็บแขกหรือเคลียร์ แต่จะสุภาพกว่าแต่ถ้ายึกยักเขามีมาตรการควบคุมตามลำดับ ช่วงนั้นผมไปเดินเข้าห้องน้ำกับ ทหารออสเตรเลีย จังหวะพอดีว่า ทหารออสซี่หกล้มในห้องน้ำหัวแตก คนคุมพับเดินเข้ามาดู สิ่งแรกที่เขาทำคือเข้าไปพยุง และ ทำตามขั้นตอนของการปฐมพยาบาล โดย ไม่ทันไร การด์อีกคนก็มาพร้อมด้วยชุดปฐมพยาบาล เป็นกระเป๋าพยาบาลขนาดเป้นักเรียนมัธยม การทำงานเข้ารวดเร็วมาก แต่บังเอิญว่า ทหารออสซี่คนนี้ก็กวนพอสมควร ก่อนที่ คนคุมพับที่มาช่วยจะยุ่งอะไรกับ แผล สิ่งแรกที่เขาถามคนที่เข้ามาช่วย คือ ?คุณผ่านการอบรมการพยาบาลมาหรือเปล่า ถ้าไม่ผ่านอย่ามายุงกับผม? พอดีแผลเขาไม่เป็นอะไรมาก มีเพื่อนๆทหารด้วยกันเขามาช่วยพยุงกลับ ที่พักและการท่องราตรีของเราก็จบลง
การฝึกต่อมาอีกช่วงเป็นการฝึกเตรียมการการส่งเรือยางทางอากาศ
และการกระโดร่มลงทะเล การส่งเรือยางทางอากาศมีหลายแบบครับ แต่แบบที่ทำการฝึกในครั้งนั้น
จะเป็นการส่งเรือยางที่สูบลมพร้อมเครื่อง และยุทโธปกรณ์ มัดติดกับร่มส่งของ
และทิ้งลงจากเครื่องบิน โดยที่กำลังพล จะโดดร่มตามและว่ายน้ำไปขึ้นเรือ
เพื่อใช้เรือแล่นสู่จุดหมายที่ต้องการ ต่อไป
ซึ่งการงเตรียมการจะมีการฝึกการแกะร่มออกจากตัว การกระโดดร่มลงน้ำทะเล
การซ้อมนี้เป็นการกระโดดร่มลงน้ำจริงๆแต่ไม่ปฏิบัติภารกิจต่อ
ผมคิดว่าผมจะเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ได้โดดร่มลงน้ำและว่ายน้ำชมทิวทัศน์ ของ Gold coast
ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด แต่พอไปจริงก็
ดูอะไรไม่ได้มาก
ในการฝึกครั้งนี้มีการปฏิบัติงานร่วม
กับ ชุด ลว.พิเศษ ของ SASR โดยเฉพาะในการยุทธบรรจบ มีโอกาส การฝึกการใช้ รถรบจู่โจม ( ASSAULT VECHEL ) ในการตีโฉบฉวย , การฝึกการบรรทุก
รถรบจู่โจม บน อากาศยาน C
-130
การฝึกการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณนำวิถี(BECON DEVICE) ให้กับระบบอาวุธของอากาศยาน ในภารกิจที่จะทำเป็นการติดตั้งระบบนี้สำหรับเครื่องบิน เอฟ๑๘ , ฝึกการเคลื่อนย้ายทางอากาศโดย อากาศยาน UH 1-D , CDH-4 ,C 130
นอกจากนี้ ยังได้เข้าไปดู การจัดที่ทำการ หรือที่บังคับการ ซึ่ง เป็นการจัดที่เน้นการปฏิบัติ จริงมากกว่าการรับตรวจ ซึ่งถ้าเรื่องความประณีตความสวยงามเรียบร้อยและพื้นที่ต้อนรับผู้บังคับบัญชาแล้ว แล้วสู้ประเทศไทยไม่ได้ ฝึกการนำเสนอข้อมูลของ ฝ่ายการข่าวด้วย
การฝึกเริ่มต้นขึ้นด้วย การให้สถานการณ์การฝึกของนายทหารฝ่ายการข่าว ตามด้วยการประสานของฝ่ายอำนวยการเจ้าหน้าที่ ต่างในการวางแผน และออกคำสั่งยุทธการให้กับหน่วย
Combat ready
วันที่ ๑ ของการฝึก เวลา 2100 กองร้อย รับคำสั่งยุทธการ และ เริ่ม การเตรียมการในภาษาทหารเขาจะเรียกว่า การปฏิบัติตามระเบียบการนำหน่วย [1]ส่วนการปฏิบัติการ คำสั่งยุทธการกับ หมวดคอมมานโด
วันที่ ๒ของการฝึก กองร้อยให้คำสั่ง หมวดให้ คำสั่งยุทธการกับชุดปฏิบัติการในตอนบ่าย การปฏิบัติของกำลังพลไทย เป็นทีมที่ 4 ของ มว.ที่ 1 ในการปฏิบัติภารกิจโดย มว. 1 ได้รับมอบในการปฏิบัติ ภารกิจ ลาดตระเวนค้นหาและทำลาย กำลังกองโจรที่จัดตั้งโดย หน่วยรบพิเศษ ของ SASR โดยให้ค้นหาใน พิกัด 2 ตารางกิโลเมตรที่กำหนดให้ โดยให้เวลา 5 วัน ( 21 ต.ค.- 25 ต.ค.40 ) โดยที่มีอีก ๑ หมวด ปฏิบัติภารกิจ ลาดตระเวนค้นหาและทำลายในอีกพื้นที่ปฏิบัติหนึ่ง การห่างประมาณ 3 กม.
วันที่ ๓ ของการฝึก แทรกซึมเข้าพื้นที่ปฏิบัติการ พื้นที่นี้เรียกว่า TULLY FALL อยู่ในมลรัฐ (QUEENSLAND)
ในส่วนของ บก.ควบคุมกองร้อย เคลื่อนที่เข้าไปวางตัวในจุดที่สามารถติดต่อกับหน่วยรองได้ โดยใช้วิทยุคลื่นความถี่สูง HF Radio ในการติดต่อ ในการปฏิบัติของ หมวดที่๑ ซึ่งเป็นหมวดที่มีชุดปฏิบัติการไทยอยู่ ในวันแรกแทรกซึมโดยอากาศยาน CH-47 D ไปยังจุดส่งลงและเดินทางไปยังฐาน ลว. ห่างจากจุดส่งลงประมาณ 500 ม. บริเวณพิกัด ซึ่งยังไม่เข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ทำการตั้งฐาน ลว. การปฏิบัติภายในฐาน ลว. วันแรกจะเป็นการฝึกให้คุ้นเคยกับสภาพป่า เพราะมีกำลังพลบางส่วน พึ่งจะได้เข้าปฏิบัติภารกิจในป่าเป็นครั้งแรก กำลังพลออสเตรเลียที่เพิ่งมาอยู่ในทีม มีความสนใจในการทำที่พักชั่วคราวของ ชุดปฏิบัติการของไทย เป็นพิเศษ ในเรื่องของการใช้เปลประกอบผ้ากันฝน ( แบบของออสเตรเลีย ) สภาพป่าพื้นที่ที่เราเข้าไปปฏิบัตินั้น เป็นพื้นที่ป่าขั้นที่ 2 คือมีพืชประเภทหวาย เถาวัลย์ เป็นป่าที่ค่อนข้างทึบ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินสลับเป็นห้วง ๆ บางช่วงต้องใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้เล็กค่อยๆเจาะช่อง บางคนอาจจะถามว่าทำไมไม่ใช้มีดสปาต้า คำตอบคือ เสียงครับ ถ้าใช้มีดถางจะเสียงดังมาก การลาดตระเวน ของคอมมานโดมีพื้นฐานเดียวกับ เอสเอเอส จะมีความประณีตมาก ช้าแต่ปลอดภัย ในพื้นที่ที่เราไม่แน่ใจ การมองตรวจการณ์ นอกจากพื้นดิน ทาง ซ้าย ทางขวา แล้วยังต้องหมั่นตรวจการณ์ด้านบนด้วย การพูดระดับเสียงที่เราใช้คุยกันตามปกติห้าม ต้องกระซิบข้างหูเท่านั้น ดูโรแมนติกนะครับ แต่ส่วนมากจะใช้ทัศนะสัญญานเท่านั้น การพูดจะใช้เมื่อต้องสื่อคำสั่งที่ซับซ้อนขึ้น เราเดินได้ช้ามาก ทุกย่างก้าวระมัดระวังมากเพราะ มีข้าศึกสมมติ ที่เป็นหน่วยรบพิเศษ ๘ศึกสมมติเป็น ชุดปฏิบัติการรบพิเศษ ไปตั้งค่ายฝึกกองโจรขนาดเล็กอยู่ ตั่งอยู่จริงๆครับ แต่ ในปัญหาเขาจะไม่บอกพิกัดที่แน่นอน ในเวลากลางคืนมีฝนตกประมาณ 1 ชม. ทัศนวิสัยเวลากลางคืนที่ที่ ต่ำมาก การจัดเวรตอนกลางคืน จะเข้าอย่างน้อย หนึ่งในสาม ของกำลังพล โดยที่จะต้องมีระดับผู้บังคับชุดปฏิบัติการจะต้องตื่นเสมอ
วันที่ ๔ ของการฝึก มว.1 ทำการลาดตระเวนโดยการแยกเป็นชุด เราเดินลาดตระเวนอย่างระมัดระวัง มาก ด้วยความหวังที่จะเจอร่องรอยของกองโจรแต่ก็ยังไม่เจออะไร จนถึง ๑๗๐๐ ที่เริ่มปฏิบัติการตั้งฐาน ลว.ที่เรียกตั้งฐาน ไม่ได้ไปก่อสร้างลงหลักปักฐานอะไรหรอกครับ แต่ศัพท์ทางทหารหมายถึงเป็นการปฏิบัติทำเพื่อให้สามารถหยุดหน่วยพักผ่อนได้อย่างปลอดภัยโดยเมื่อก่อนถึงที่ที่เราจะเลือกเป็นที่พัก จะต้องหยุดนิ่งฟังประมาณ ๑๕ นาที จึงจะเริ่มทำการวางกำลังต่อไป การพูดกันภายในฐาน ลว. ให้ใช้การกระซิบเท่านั้น เคลื่อนที่ด้วยความระมัดระวัง, ไม่รีบการเคลื่อนที่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่แบบช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง ในเวลาสิ้นแสงทางพลเรือนซึ่งในวันนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑๘๓๐ ซึ่งเป็นช่วงที่หน่วยจะข้าสู่การเตรียมพร้อม ๑๐๐ % หรือ Stand to คือจะเตรียมพร้อมทุกนายไม่มีการพูดคุยหันหน้าออกนอกฐานหลังจากการเตรียมพร้อม โดยจะเลิกการเตรียมพร้อม ๑๐๐ % หลังจากสิ้นแสงประมาณ ครั้งชั่วโมง โดยหลังจากนั้น มีการเข้า เวร โดยผลัด ละ 1 ชม. ในระหว่างวัน ไม่มีการพูดคุยกันเลย เป็นความรู้สึกที่แปลกๆพอสมควร
วันที่ ๕ ของการฝึก ตอนเช้าเริ่มด้วยการเตรียมพร้อม (Stand to) 100 % ตั้งแต่เริ่มแสงทางทหาร ประมาณ 1 ชม.และเวลาประมาณ ๐๗๐๐ หมวดจะ แบ่งออกเป็น 3 ชุด ชุดที่ ๑ ไปสำรวจ จุดที่ซ่อนน้ำดื่ม ตามที่หน่วยเหนือได้ติดต่อกับพลพรรคและได้ซ่อนไว้
ชุดที่ ๒,๓ ทำการ ลาดตระเวนค้นหาข้าศึก ชุดปฏิบัติการของไทย เตรียมการรับการส่งกำลังทางอากาศ หลังจากทำการรับของทางอากาศ ซึ่งความลำบากอยู่ที่ไม่มีพื้นที่โลงเลยและต้นไม้สูง ๕ - ๑๐ เมตร ร จึงต้องใช้การลอดตัวและทิ้งของลง ซึ่งในการให้สัญญาณกับอากาศยานหรือเฮลิคอปเตอร์นั้น ต้องใช้ระเบิดควัน ซึ่งหากใช้ลูกระเบิดควันบนพื้น ควันจะขึ้นไม่ตรงที่ต้องกาเทคนิคการใช้ ลูกระเบิดควัน ในการแสดงตำแหน่งที่อยู่ตนเองในป่าทึบนั้น จะต้องนำลูกระเบิดควันขึ้นไปผูกบนยอดไม้ การส่งน้ำจากเฮลิคอปเตอร์นั้นจะเป็นการทิ้งลงโดยไม่ใช่ร่ม สิ่งที่ใช้บรรจุน้ำนั้น ลักษณะคล้ายสายดับเพลิงใส่น้ำเต็มปิดหัวท้ายด้วยการพับและ สายรัดพลาสติกก็ถือว่าเป็นการช่างดัดแปลงของออสเตรเลียเนื่องจากงบประมาณการฝึกของออสเตรเลียนั้นน้อยกว่าอเมริกัน( แต่มากกว่าไทยแน่นนอน ) ตอนกลางคืนยังคงมืดสนิท ฝนยังตกเหมือนเดิม อากาศเย็นลง มาก ความหนาวเย็นความเปียกเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากของทหารโดยเฉพาะทหารรบพิเศษ
วันที่ ๖ ของการฝึกภารกิจค้นหาและทำลายยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง พวกเราหาแถบผลิกแผ่นดิน แต่ก็ไปเร็วมากไม่ได้เนื่องจากความทึบของป่า ในการปฏิบัติภารกิจในวันดังกล่าวยังคงม่พบค่ายฝึกของข้าศึกซึ่งเป็นที่หมาย จึงกลับมายังบริเวณที่ซ่อนเวลาประมาณ ๑๗๐๐ทำการเข้าฐานลาดตระเวนเหมือนทุกวัน การฝึกคงไม่ตื่นเต้นเหมือนหนังสือนิยายเท่าไรนักแต่ว่าเนื่องจากคนคุมข้าศึกสมมตินั้นค่อนข้างเก่ง การเสียหน้าในการฝึกเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ ถ้าพลาดเพราะการหลับเวร มีการวาง ลวดสะดุดรอบฐานโดดที่เป็นระเบิดปลอมแต่ก็ให้เสียงดังพอสมควร ซึ่งนั่นถ้าเกิดเสียงถือว่าข้าศึกตาย
วันที่ ๖ ของการฝึก ตอนเช้าออกเดินทางไปยังจุดประสานงานของกองร้อย ( Company RV ) ซึ่งอีกศัพท์อีกคำหนึ่งที่ใช้คือจุดนัดพบ โดยจุดนี้จะเป็นจุดที่เราต้องไปรวมกันเป็นหน่วยใหญ่ และ ขึ้นเครื่องบินกลับ แต่แล้วเราในระหว่างการเดินทางได้ปะทะกับข้าศึก แต่ว่าเป็นแค่เป็นชุดหาน้ำของกองโจรที่ เอสเอเอส จัดตั้งขึ้นถึงแม้ ไม่ใช่ตัว เอส เอเอส ก็ยังดี หมวดคอมมานโดไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า ชุดปฏิบัติการได้ดำเนินการเข้าสู่จุดประสานของกองร้อย และไปยังจุดรับกลับตามเวลาที่กำหนด แทรกซึมกลับโดยเครื่องบิน คาริบู ซึ่งเจ้าเครื่องนี้ยังคงใช้การได้ดี ในประเทศ ไทยต้องไปถามนักบินตำรวจ หรือตำรวจพลร่ม ไม่มีใครที่ไม่รู้จัดเจ้าเครื่องบินลำนี้
หลังจากกลับไปเรามีเวลาพักแค่ ๑ วัน ก็รับการแจ้งว่าจะต้องปฏิบัติอีกภารกิจ คือภารกิจการเข้าตีโฉบฉวยต่อ
ห้องทดลองอาวุธนิวเคลียร์และติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณสำหรับอาวุธจากอากาศยาน โดยใช้ ๑ หมวดแทรกซึมเข้าทางเรือ อีกหมวดปฏิบัติการยึดสนามบินใกล้พื้นที่ข้าศึก ซึ่งหน่วยมีเวลาเตรียมการประมาณ ๒ วัน
โดยในการปฏิบัติใช้เวลาๆม่ถึง ๑๘ ชั่วโมง โดยเริ่มจาก แทรกซึมเข้าโดยทางอากาศโดยเครื่องบิน ซี๑๓๐ บรรทุกพลร่มคอมมานโด และเรือยางพร้อมเครื่องยนต์ ผูกติดกับร่มส่งของ เครื่องบินบินผ่านทะเล มหาสุมทร แปซิฟิกตอนใต้ เมื่อถึงจุดที่เราต้องลง เริ่มด้วยการเปิดท้ายเครื่องบิน ผลัก เอาเรือยางลง หลังจากนั้นหกเราก็กระโดดตาม โดดร่มลงน้ำในการทิ้งร่มนี้ จะต้องห่างจากฝั่งอย่างน้อย 12 ไมล์ (ไกลกว่าเส้นขอบฟ้า ) เมื่อลงสู่พื้นน้ำ เราก็ปลดร่มว่ายน้ำเข้าสู่เรือของตนเอง ส่วนร่มจะมีส่วนสนับสนุนตามเก็บ เมื่อรวมกันได้ หมวดคอมมานโดก็นำกองเรือ ( ยาง ) เข้าสู่ฝัง เมื่อเข้าใกล้ฝั่ง เราต้องส่ง ส่วนตระเวนนำที่เราเรียกว่า swimmer Scout ทำการติดต่อกับ มว.3 หมวดลาดตระเวนซึ่งมาวางตัวอยู่ก่อนแล้ว ทำการซ่อนเรือ และเคลื่อนที่ไปยังจุดประสาน กับชุดปฏิบัติการของคอมมานโดอีกชุดหนึ่ง ได้รับการสนับสนุนยานรบจู่โจม จำนวน 2 คัน เคลื่อนย้ายโดย c - 130 ไปลงยังสนามบินใน พื้นที่ข้าศึก โดยมีชุดของ SAS ได้ รปภ.สนามบินไว้ สนามบินห่างจาก ที่หมายที่จะเข้าตีโฉบฉวยประมาณ 26 เมตร เวลาในการเข้าตีคือ 0130 ของวันที่ 30 ต.ค.40 เริ่มเปิดฉากด้วยกำลังของ มว.2 (บนยานรบจู่โจม)
หมวดของเราเป็นหมวดเดินเท้าที่ทำการเข้าสู่ ที่หมาย.และปฏิบัติการเพื่อติดตั้งอุปกรณ์นำวิถีให้กับระบบอาวุธของอากาศยานการปฏิบัติคอนข้างจะสมจริงมาก ชุดปฏิบัติการไทย สามารถค้นพบที่เก็บหัวรบอาวุธนำวิถีระยะกลางตามที่กำหนดให้ได้ ซึ่งที่หมายเป็นอาคาร มีหลายห้อง ซึ่ง ต้องใช้ความระมัดระวังในการกวาดล้าง เพราะถ้าเคลื่อนที่เข้าไม่ดี ผลจะออกมาตอนวิจารณ์การฝึก ในขณะที่ ชุดของไทยพบหัวรบ อีกชุดก็จับตัวนักวิทยาศาสตร์ได้ และมีอีกชุดมารับตัวไปทันที ทุกส่วนถอนตัวออกโดยการเคลื่อนย้ายไปยังจุดรับกลับ ซึ่งมีเฮลิคอปเตอร์มารอรับ โดยเฮลิคอปเตอร์ จะไปส่งยังสนามบิน และที่สนามบินหลังจกที่เราลงไม่นานก็มีเครื่องบินลำเลียงซี๑๓๐ ลงมารับในเวลาไม่กี่นาที นับว่าเป็นการประสานการวางแผนที่ต้องใช้การประสานงานการซักซ้อมอย่างมาก ทุกอย่างปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและเงียบ มีการฝึกการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ การขนย้ายผู้บาดเจ็บ ออก ทุกอย่างจบลงด้วยดี การฝึกการปฏิบัติการพิเศษ ของหน่วยคอมมานโดครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติภารกิจจริงในอีกไม่กี่ปีต่อมา อาจจะไม่เหมือนทั้งหมด การควบคุมบังคับบัญชาการใช้งานคอมมานโดร่วมกับ เอสเอเอส ซึ่งเป็น รูปแบบที่คล้ายกับการใช้งานเดลต้าฟอรซ์ กับเดลต้า ซึ่ง ไม่ใช่เรื่องงายในการใช้งานแต่ก็ไม่ยากถ้ามีการฝึกปฏิบัติ ความคิดที่ อาจจะไม่ชอบขี้หน้าของกำลังพล ในคอมมานโด กับเอสเอเอส ก็เหมือนกับที่จู่โจมไม่ชอบเดลต้า ดังนั้น กองทัพออสเตรเลียจึงพยามใช้ คนของเอสเอเอสมาเป็นเจ้าหน้าที่โครง เป็นผู้บังคับกองร้อย แต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อยครับ ที่ไม่ชอบแบบจริง ส่วนมากเป็นการแหย่เล่นมากกว่า ซึ่งตัวคอมมานโดเองบางส่วนก็เข้าใจรูปแบบการทำงาน และหลายคนก็ยังไปขอสมัครเพื่อเข้ารับการฝึกคัดเลือกเข้าเป็น หน่วยรบพิเศษ เอสเอเอส ล่าสุดในปี๒๐๐๔ ในการฝึกร่วมกับหน่วยรบพิเศษผมได้พบกับครูที่เคยอยู่หน่วยคอมมานโด ซึ่งตอนที่ อยู่หน่วยคอมมานโดเขายังเป็นแค่สิบเอก ตอนที่พบเขาเป็นผู้บังคับกองร้อย ซึ่งพึ่งกลับจากอิรักไม่นาน เขาเองได้เล่าเรื่องหลายอย่างในการปฏิบัติการในอิรักให้ผมได้ฟังถ้ามีโอกาสจะมาเล่าต่อในเล่มหน้าแล้วกัน
[1] ระเบียบการนำหน่วย เป็นขั้นตอน ที่ผู้บังคับหน่วยทุกระดับต้องปฏิบัติในการหน่วย เช่น การรับคำสั่ง การออกคำสั่งเตรียม การวางแผนขึ้นต้น ฯลฯ