พอดีผมไปอ่านเจอบทความข้างล่างมาน่ะครับ อยากถามความเห็นของพวกพี่ๆหน่อยครับว่ามันน่าจะเป็นความจริงรึเปล่าครับ
''เกรกอรี่ รัสปูติน'' พ่อมด หรือ นักบุญ
ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov dynasty) ได้ปกครองรัสเซียเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลายองค์ เช่น ปีเตอร์มหาราช คันทรีมหาราชินี แต่แล้วพอถึง ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ก็ต้องประสบกับโศกนาฏกรรมร้ายแรง ปิดฉากราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่ลง ความหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำสาปแช่งของบุรุษที่มีพลังอำนาจจิตสูงส่ง นาม รัสปูติน (Rasputin)!ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซาริน่าปกครองอาณาจักร อันไพศาลของรัสเซีย พิธีราชาภิเษกนั้นยิ่งใหญ่ กึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่ พระราชวังเครมลิน ประกอบด้วยเหล่าทหารองครักษ์ นับพัน มีการดื่มเฉลิมฉลองกันทั่วทั้งเมือง ผู้คนแก่งแย่งเบียร์และขนมปังที่นำมาแจกกันอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฎรทั้งชายหญิงและเด็กโดนเหยียบตายไปกว่าพันคน!
นับเป็นการเริ่มต้นรัชกาลใหม่ ที่น่าสยดสยองยิ่ง และหลอกหลอนความรู้สึก ของสมาชิกราชวงศ์ ทุกพระองค์ตลอดเวลาสิ่งปรารถนาอันใหญ่หลวง ของพระเจ้าซาร์นั้นก็คือเจ้าชายรัชทายาท ผู้จะเป็นประมุของค์ต่อไปของรัสเซีย แต่แล้วก็ทรงกลับไปได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย ซาร์และซาริน่าทรงไม่ละความพยายาม ทั้งสองพระองค์สวดอ้อนวอน ขอพรต่อเทพเจ้าให้ประทานพระโอรส และท้ายที่สุดก็สมพระทัย ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชาย
เรื่องนี้ ซาร์ทรงปิดเป็นความลับแก่โลกภายนอก ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาเยือนในพระราชวัง ยกเว้นผู้สนิทสนมใกล้ชิด เพียงไม่กี่คนระหว่างนั้น ทั้งพระองค์และ พระราชินี ก็ทรงเสาะแสวงหา หมอเก่งๆ มารักษาพระราชบุตร ด้วยเหตุ ทั้งสององค์ทรงฝักใฝ่ ในศาสนา ตลอดจนมนตร์วิชา ลี้ลับต่างๆ การเสาะหานี้จึงได้นำมาสู่ ความหายนะ แห่งราชวงศ์โรมานอฟหนึ่งในผู้ที่ทรงเชื้อเชิญ ให้มารักษา เป็น บุรุษลึกลับกลับจากป่าในไซบีเรีย นาม เกรกอรี่ รัสปูติน ตอนที่อเล็กซานดรานำ เขาผู้นี้มาในวัง อเล็กไซ เจ้าชาย
แต่จะอธิบายเหตุบังเอิญได้อย่างใด ในเมื่อการรักษาเยียวยานั้นเป็นไป อย่างได้ผลตลอดระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี เรียกว่า ถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลครั้งใด รัสปูตินก็สามารถช่วยไว้ได้ทุกครั้งซาริน่าทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับ พลังอำนาจพิเศษจากเทพเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามา พำนักอยู่ในพระราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลถวายการรักษาอเล็กไซอย่างใกล้ชิดและนี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่ง ซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียได้เข้าร่วม ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1914 พระเจ้าซาร์ทรงเห็นความสำคัญ ของศึกครั้งนี้ จึงทรงออก ร่วมในการบัญชาการ เป็นเหตุให้ต้องเหินห่างพระ ราชวัง เปิดโอกาสให้รัสปูตินได้กระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจหนักขึ้น ด้วยในขณะนั้น เขาเป็นที่โปรดปรานของ ซาริน่าอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังสายตาอันแข็งกล้าของเขา ก็ยังสยบผู้คนให้ตกอยู่ใต้ อำนาจได้อีกด้วย
นับเป็นก้าวย่างที่ราชวงศ์โรมานอฟ ถึงจุดเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า
?พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับ พระราชวงศ์โดยผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดถึงสิ่งใด พระนางก็จะทรง ปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้น เมื่อรัสปูตินแนะนำให้ตั้ง ใครดำรงตำแหน่งสูงๆ หรือขับไล่ผู้หนึ่งผู้ใดให้พ้นไปเสียจากวัง พระนางก็จะทรงทำตา มคำแนะนำของเขาทันทีเขา จึงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในพระราชวัง?
ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื้อพระ วงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งไม่อาจทนต่อไปได้ โดยเฉพาะเจ้าชาย ยูสโซปอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินให้มาเยือนวังของพระองค์ใน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แล้วล่อให้เขาลงไปยังห้องใต้ดิน จากนั้น ก็ให้รัสปูตินดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมที่ทรงเก็บไว้ และกินแป้งราดครีมอันโอชะ หากทว่าทั้งอาหารและไวน์นี้ได้เจือปน ไซยาไนด์ เพียบ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนสบายๆ
แต่รัสปูตินไม่ธรรมดา ทั้งดื่มทั้งกินสารพิษ ร้ายเข้าไปแล้วก็ยังมีทีท่าปกติ ยูสโซปอฟ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่ต้องเป็นอำนาจของปิศาจร้ายแน่ๆ ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายจึงชักปืนรีวอลเวอร์ ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ แน่ใจว่าหนนี้นักบวชชั่วคงตายแน่นอน ยูสโซปอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตา จ้องถมึงทึงพลางคำราม ?แกไอ้บัดซบ? ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น ?มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!?
ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตัวเองขึ้นได้ แต่รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซ ออกไปยังสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่ม ผู้วางแผนฯ วิ่งไล่ระดมยิงตามหลัง อย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนปืนไม่อาจปลิดชีพ ของนักบวชผู้มีพลังจิตนี้ได้ สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะ ทำฉันใด เหล่าเพชฌฆาต จำเป็นจึงจับร่างของรัสปูตินโยนลง ในแม่น้ำเนวาที่ไหล ผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำ บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง
ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน แต่เขาตายเพราะจมน้ำ!
ข่าวความตายอย่างหฤโหดของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร สร้างความโศกศัลย์แก่อเล็กซานดรายั่งนัก นอกจากนี้ยังทรงหวั่นไหวอย่างยิ่ง เนื่อง จากก่อนหน้าการตายไม่ นานนัก นักบวชผู้หยาบช้าได้เขียนบันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ไว้ว่า ?ขอให้ทรงรับรู้ว่า ถ้าหากเชื้อพระวงศ์องค์ใดทำให้หม่อมฉันตาย พระ องค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของประชาชนรัสเซีย? เกรกอรี รัสปูติน
มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือนหลังการตายของรัสปูติน กระแสแห่งการปฏิวัติหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันเข้ามาถวายฎีกาปรับปรุงระบบการบริหารประเทศ แต่องครักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์ก็จำต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็งแรง และถูกนำไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและกันดาร
โดยซารีน่าและเจ้าหญิงทั้ง สี่องค์ได้แอบซ่อนทองและ อัญมณีเอาไว้ในพระภูษาเป็นอันมาก หากทว่าไม่รอดพ้นมือ ของทหารปฏิวัติซึ่งขี้เมาและกักขฬะ
นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำยีทางเพศ จากทหารเหล่านี้เช่นกัน!นับเป็นชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลงมาต่ำสุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนักเมษายน 1918 ครอบครัวราชวงศ์ โรมานอฟ ถูกนำไปไว้ในบ้านหลังหนึ่ง แถบภูเขาอูรัล ถึงตอนนี้พระเจ้าซาร์ก็ทรง ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้า และไม่ได้ตระหนัก รู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ พระองค์ อีก บันทึกสุดท้ายของพระองค์คือ?อากาศอบอุ่นและสบาย ไม่มีข่าวใดจากภายนอก?ยามดึกของคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟกับบริพาร และแพทย์ผู้ดูแล รักษา ทั้งหมดถูกปลุกขึ้นและนำตัวลงไปยังห้องใต้ดิน ต่อหน้ากลุ่มนักโทษสูงศักดิ์ นายทหารผู้ควบคุมได้อ่านประกาศ?ด้วยเหตุที่วงศาคณาญาติของท่านดำเนินการโจมตีโซเวียตรัสเซีย คณะกรรมการบริหารแห่งอูรัล จึงตัดสินประหารท่าน?แถวทหารเพชฌฆาต 12 นาย ประทับปืนขึ้นยิงกราดยังกลุ่มนักโทษ พวกเขาร่วงผล็อยราวใบไม้ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารก้าวเดินสำรวจ เจ้าชายน้อยอเล็กไซยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ ยกปืนพกขึ้นยิงองค์รัชทายาท 2-3 นัด ก็เป็นอันปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟคำสาปของนักบวชอลัชชีผู้ทรงอำนาจจิตแรงกล้านั้น ได้สร้างความวิบัติแก่ราชวงศ์โรมานอฟอย่างน่าเศร้า และสยดสยองยิ่ง
เครดิตจาก http://www.mythland.org/html ครับ
โรคฮีโมฟีเลีย หรือโรคเลือดไหลไม่หยุด ในอดีตเป็นโรคที่น่ากลัวมาก ผู้ใดเป็นต้องระวังไม่ให้ร่างกายเกิดบาดแผล ไม่เช่นนั้นอาจถึงชีวิตได้ เรียกอีกชื่อว่า โรคผู้ดี เพราะเกิดในกลุ่มราชวงศ์ชั้นสูงของยุโรป มีพาหะมาจากพระราชินีวิกตอเรีย แห่งอังกฤษ เนื่องจากทรงส่งลูกหลานไปแต่งงานกับกษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูงมากมาย ทำให้โรคนี้แพร่ไปยังราชวงศ์ต่างๆของยุโรป โดยหญิงเป็นพาหะนำโรค และชายที่สืบเชื้อสายจากหญิงนั้นจะเกิดโรคเลือดไหลไม่หยุด หรือฮีโมฟีเลีย ซึ่งเป็นตลอดชีวิตรักษาไม่หาย แต่ปัจจุบันได้พบการรักษาโรคนี้แล้ว โดยการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรรมใหม่
ในภาพ คือ ควีนวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ต้นกำเนิดโรคฮีโมฟีเลียในราชวงศ์ยุโรป คะ
พระราชินีอเล็กซานดราแห่งรัสเซีย เป็นหลานยายของพระราชินีวิกตอเรียเป็นพาหะโรคนี้เช่นกัน โรคฮีโมฟีเลียมิได้ถ่ายทอดให้กับพระธิดา 4 พระองค์ก่อนหน้า แต่ปรากฏในพระโอรสองค์สุดท้าย ซึ่งมีผลเขย่าบัลลังค์โรมานอฟอย่างยิ่ง เพราะองค์อเล็กซิสคือมกุฏราชกุมารของรัสเซีย นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์กันว่า จุดนี้เองทำให้อเล็กซานดราทรงเข้าไปในวังวนอำนาจของรัสปูติน และยกย่องเขาอย่างมาก
แม้ว่ารัสปูตินจะกลายเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์และราชินีแล้ว กลับทำตัวเลวร้ายยิ่งขึ้น จากบันทึกประจำวันของรัสปูตินที่ถูกนำมาเปิดเผย ทำให้ทราบว่ารัสปูตินมีความสำพันธ์เชิงชู้สาวกับสตรีชั้นสูงมากมาย ซึ่งหญิงเหล่านั้นไม่ได้คิดว่าการเป็นชู้กับรัสปูตินจะเป็นสิ่งเสื่อมศีลธรรม เนื่องจากเชื่อว่ารัสปูตินคือบุคคลที่พระเจ้าส่งมา การหลับนอนกับเขา จึงเป็นการชำระบาปอย่างหนึ่ง ทำให้ร่างกายบริสุทธิขึ้น นอกจากนี้เขายังใช้อำนาจโยกย้ายเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของประเทศ
ในภาพ คือ รัสปูติน ในชุดนักบวช
ภาพต่อมา รัสปูติน แวดล้อมไปด้วยสานุศิษย์สาวๆมากมาย
ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อพระเจ้าซาร์ทรงนำทัพออกรบกับศตรู ซารินาทรงบริหารบ้านเมืองแทน รัสปูตินมีอำนาจในการแนะนำการรบให้กับซาร์นิโคลัสผ่านพระราชินี มีการเปลี่ยนตัวโยกย้ายนายทหารที่เก่งกาจของรัสเซียออกจากสนามรบ และเปลี่ยนแผนการรบ ทำให้รัสเซียประสบความพ่ายแพ้ต่อเยอรมัน
ทำให้เชื่อกันว่า รัสปูตินร่วมมือกับพระนางเจ้าอเล็กซานดรา ซึ่งเป็นเจ้าหญิงเยอรมันโดยกำเนิด เป็นสายลับให้กับพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลี่ยมแห่งเยอรมัน ทำให้เยอรมันล่วงรู้แผนการรบของรัสเซียคะ
เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของรัสเซียคนหนึ่งถึงกับกล่าวว่า หากไม่มีรัสปูตินเสียคนหนึ่ง เลนินก็คงไม่ดังขึ้นมาได้ นั่นคือรัสปูตินนำรัสเซียไปสู่ความล่มจม ประชาชนเสื่อมความศรัทธาต่อราชวงศ์ ทำให้เกิดการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟ และพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเลนิน ขึ้นปกครองประเทศแทน
พระเจ้าไกเซอร์แห่งเยอรมัน มีบทบาทอย่างมากที่ทำให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย นอกจากกรณีรัสปูติน ที่ยังมีหลักฐานไม่แน่ชัดแล้ว เลนิน ซึ่งถูกเนรเทศออกนอกประเทศรัสเซียและพำนักในยุโรปตะวันตก ได้กลับประเทศได้สำเร็จโดยผ่านทางประเทศเยอรมัน เพื่อมาปลุกระดมล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งไกเซอร์น่าจะทรงรู้เห็นด้วยคะ
ขอตัวไปทานขนม + กาแฟ ก่อน เดี๋ยวกลับมาเล่าที่ค้างไว้คะ ท่านที่กำลังอ่านอยู่ เดี๋ยวจะชงกาแฟมาเผื่อด้วยนะคะ ^_^
ภาพกองทหารรัสเซียออกรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อ่านบทความเต็มที่นี่คะ http://www.marxists.org/glossary/events/w/ww1/russia.htm
จะรอกาแฟนะครับคุณOA ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับรัสปูตินครับเห็นว่าคนเขียนเป็นเลขาของรัสปูตินที่จำใจต้องมารับใช้รัสปูตินซึ่งเขายืนยันว่าทั้งหมดที่เค้าเขียนเป็นความจริงซึ่งอ่านแล้วรู้สึกว่ารัสปูตินนี่แหละคือผู้ขายชาติตัวจริง ที่รักษาเจ้าชายของพระเจ้าซาร์ได้รู้สึกว่าจะเพราะทุกๆวันเขาจะให้ปรุงยาชนิดหนึ่งลงในอาหารซึ่งจะทำให้ป่วยอยู่เรื่อยๆแต่ไม่ถึงชีวิตและเขาก็มียาแก้จะให้เจ้าชายอาการดีขึ้นเมื่อไรก็ได้ สุดท้ายรู้สึกจะถูกพวกรักชาติวางแผนเชิญรัสปูตินเข้างานโดยใส่ไซยาไนด์ลงไปในเหล้า แต่รัสปูตินกินเข้าไปกี่แก้วก็ไม่เป็นอะไร จนต้องให้คนใช้ปืนพกยิงจนหมดแม็ก ผมจำได้ประมาณนี้ละครับเพราะหนังสือนั้นอ่านที่ห้องสมุดครับแหะๆ
แม้ว่ารัสปูตินจะชั่วช้ามากเพียงไร แต่อำนาจพลังจิตอันแรงกล้าของเขาก่อให้เกิดปาฏิหารย์ต่อสายตาคนหมู่มากหลายครั้ง การที่รัสปูตินใช้พลังจิตรักษาอาการเลือดออกไม่หยุดขององค์มกุฏราชกุมารได้สำเร็จหลายต่อหลายครั้ง ได้รับการยอมรับจากหมอหลวงประจำพระองค์ซึ่งใช้วิธีสมัยใหม่ทางวิทยาศาตร์ว่า รัสปูตินสามารถรักษาโรคได้จริง แต่ไม่สามารถทราบได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีผู้พยายามค้นหาวิธีการรักษาของรัสปูติน เช่น นำไปเปรียบเทียบกับวิธีห้ามเลือดของชาวรัสเซียโบราณ ที่ใช้มืดนวดคลำใกล้บริเวณปากแผลแล้วทำให้เลือดหยุดไหลได้ แต่มีหลายต่อหลายครั้งที่รัสปูตินไม่ได้อยู่ใกล้องค์ราชกุมารขณะเจ็บป่วย แต่อยู่ไกลกันมาก และใช้วิธีส่งกระแสจิตสวดมนต์ภาวนา แต่องค์อเล็กซิสกลับหายป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ภาพถ่ายพระราชินีอเล็กซานดราและเจ้าชายอเล็กซิส เมื่อแรกประสูติ หกเดือนหลังการประสูติของมกุฏราชกุมาร
สวัสดีคะ คุณแทน ^_^ ทานกาแฟเสร็จแล้ว + ขนมเค๊กชอคโกเลต พุงกาง อิอิๆๆ .. แต่ขนมเค๊กนี่แบ่งให้ใครไม่ได้นะคะ หวงๆๆๆ ...
ต้นฉบับหนังสือ รัสปูติน ของคุณบรรยงค์ บุญฤทธิ์ ที่สรุปมาให้อ่านกัน ก็เอ่ยถึงในเรื่องการวางยามกุฏราชกุมาร เช่นเดียวกันคะ หนังสือเล่มนี้ เสนอทั้งมุมมองฝ่ายรัสปูติน (ลูกสาวเขียนประวัติพ่อ) และฝ่ายผู้สังหารรัสปูติน ซึ่งจะนำรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มาให้ด้วย เผื่อว่าท่านใดสนใจคะ
เอ้อลืมไป .. เชิญคุณแทน ทานกาแฟคะ ^_^
แม้ว่ารัสปูตินโดยภายนอกจะแต่งกายและสวดมนต์ภาวนาอย่างเช่น พระในนิกายออโธดอกซ์ ทั่วไป แต่เชื่อกันว่าเขาเป็นพระนอกรีต มีพฤติกรรมเมาสุราเป็นอาจินต์และมั่วกามอย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่ารัสปูติน
นำความเชื่อในนิกายนอกรีต คือ นิกายคริสตี้ ซึ่งนิยมการมั่วโลกีย์เพื่อปลดเปลื้องบาป มาเป็นแนวทางในการสอนศาสนาของเขา
แต่ถึงแม้ว่ารัสปูตินจะมีข่าวฉาวโฉ่กับหญิงสาวมากหน้าหลายตา รวมไปถึงพระราชินีอเล็กซานดรา ประมุขสตรีสูงสุดของประเทศ แต่ข่าวลือบางข่าวก็ได้ถูกพิสูจน์ภายหลังว่าไม่เป็นความจริง เช่น ในกรณีสาวกหญิงคนสนิทของรัสปูติน ที่ชื่อ ท่านผู้หญิงแอนนา วิรูโบวา ซึ่งเป็นนางสนมใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระราชินีอเล็กซานดรา และเป็นผู้ชักนำให้รัสปูตินได้มาถวายการรักษาองค์มกุฏราชกุมาร
มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า ท่านผู้หญิงแอนนา ซึ่งดำรงตนเป็นสาวโสด กลับมีเบื้องหลังฉันท์ชู้สาวกับรัสปูติน ภายหลังการปฏิวัติรัสเซีย ท่านผู้หญิงแอนนาได้ขอให้แพทย์ตรวจร่างกายของเธอ เพื่อยืนยันความบริสุทธ์ และผลตรวจออกมาว่าเธอเป็นสาวพรมจารีย์ ไม่เคยมีการยุ่งเกี่ยวฉันท์ชู้สาวกับชายใดคะ
ภาพท่านผู้หญิงแอนนา วิรูโบว่า สาวกคนสนิทของรัสปูติน ในสมัยสาวๆ หลังรัสเซียเปลี่ยนการปกครอง ท่านผู้หญิงมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงปี ค.ศ. 1964 จึงเสียชีวิตลงในวัย 80 ปี คะ
ส่วนการสังหาร พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองและครอบครัวนั้น นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า คำสั่งประหารไม่ได้มาจากรัฐบาลกลางหรือเลนิน เพราะเลนินนั้นไม่เคยสังหารใครหากไม่จำเป็น ยกเว้นเจ้าชายองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์ ที่เลนินเป็นผู้สั่งประหารด้วยตนเอง โดยให้เหตุผลว่า โซเวียตไม่ต้องการนักประวัติศาสตร์ (สงสัยเลนินคงจะกลัวว่าถ้าเจ้าชายองค์นี้ หนีไปได้ คงไปเขียนประวัติเลนินแบบปู้ยี้ปู้ยำให้พวกตะวันตกอ่าน)
พวกคอมมิวนิสต์ (หรือที่เรียกกันว่าฝ่ายแดง)แถบยูรัล ซึ่งเป็นผู้ควบคุมตัวพระเจ้าซาร์และครอบครัวลงมือประหารเองโดยพละการ สาเหตุเนื่องมาจาก คนแถบยูรัลเกลียดชังราชวงศ์โรมานอฟ ทหารยูรัลซึ่งควบคุมพระองค์ท่านจึงไม่ให้ความสะดวกสบายใดๆกับราชวงศ์เลย ต่างจากที่ซึ่งราชวงศ์ถูกนำไปควบคุมตัวก่อนหน้านี้ จะมีชาวบ้านที่เคารพรักพระองค์มาถวายความจงรักภักดีและถวายอาหารเสมอๆ ประจวบกับในขณะนั้น กองทัพฝ่ายขาว (หรือฝ่ายที่ต้องการให้รัสเซียเป็นประชาธิปไตยและคงสถาบันกษัตริย์ไว้) กำลังรุกคืบเข้ามายังยูรัล จึงเกรงกันว่าจะมีการชิงตัวราชวงศ์โรมานอฟได้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้มีประชาชนเข้าร่วมกับฝ่ายขาวมากขึ้น เพราะผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์โรมานอฟยังมีอยู่อีกมากทั่วประเทศ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สอง พระราชินีอเล็กซานดราและโอรสธิดาจึงถูกสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมดังกล่าวคะ
ขอบคุณ คุณแทน สำหรับรายละเอียดคะ ดิฉันไม่แน่ใจว่าเล่มที่ดิฉันมีเป็นเล่มที่ตีพิมพ์ซ้ำ จากเล่มที่คุณแทนได้อ่านหรือปล่าวคะ หรือเป็นหนังสือใหม่ เพราะพึ่งวางจำหน่ายเร็วๆนี้เอง หาดูได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปคะ
ดิฉันเข้าไปค้นกองหนังสือในบ้านซึ่งรกมาก แต่หาหนังสือเล่มนี้ไม่เจอ อีตอนที่ไม่มีเรื่องสำมะคัญกลับมาวางโชว์ให้เห็นตรงหน้า แต่เวลาต้องการใช้ หาไม่เจอเฉยเลย ..แต่จะพยายามค้นต่อไปคะ ..สู้ๆ ...
กลับมาที่เรื่องราวของพ่อมดรัสปูตินคะ ....การวางแผนสังหารรัสปูตินมาจากบุคคลที่รักชาติกลุ่มเล็กๆนำโดยเจ้าชาย เฟลิกซ์ ยูสซูบอฟ ในขณะนั้นรัสปูตินมีศตรูรอบตัวเพราะความชั่วร้ายของเขา แม้กระทั่งนักบวชที่เคยเป็นมิตรและช่วยเหลือเขาในช่วงเข้าเมืองหลวงใหม่ๆ
ก็ยังพยายามลอบสังหารรัสปูตินหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
เจ้าชายเฟลิกซ์วางแผนลวงรัสปูตินมาฆ่าในวังของตนเอง โดยใช้มเหสี คือ เจ้าหญิงอิรินา เป็นเหยื่อล่อ ทั้งๆที่ขณะนั้นเจ้าหญิงเดินทางไปต่างเมือง ...รัสปูตินนั้นไม่ปฏิเสธคำชวนของหญิงสาวอยู่แล้ว จึงมาตามคำเชิญ แต่ในช่วงนั้นเอง ลางสังหรณ์อันแม่นยำของเขาบอกว่า เขาจะต้องถูกสังหารสิ้นชีพในไม่ช้า จึงเขียนหนังสือทูลพระเจ้าซาร์และพระราชินีว่า เขาจะต้องตายในไม่ช้า หากคนที่สังหารเขาเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ราชวงศ์โรมานอฟจะครองแผ่นดินรัสเซียไปอีกหลายร้อยปี ไม่มีเหตุใดต้องกังวล หากเขาถูกสังหารโดยพวกขุนนาง มือ
ของพวกเขาจะเปื้อนเลือดล้างไม่ออกไปชั่วชีวิต และแม่น้ำเนวาจะแดงฉานไปด้วยเลือดของขุนนางที่ถูกสังหารจนไม่เหลือระบบขุนนางในรัสเซียอีกต่อไป แต่หากเขาถูกสังหารโดยสมาชิกของราชวงศ์ บัลลังก์กษัตริย์จะถูกทำลาย และราชวงศ์โรมานอฟจะสูญสิ้นไปจากรัสเซีย
เจ้าชายเฟลิกซ์นั้นเป็นทั้งขุนนางชั้นสูงและเป็นสมาชิกของราชวงศ์โรมานอฟ ด้วยการสมรสกับเจ้าหญิงอิรินา ซึ่งเป็นพระธิดาของ พระขนิษฐา (พี่สาว) ของพระเจ้าซาร์ ดังนั้นพระองค์จึงเข้าไปเกี่ยวดองเป็นสมาชิกของราชวงศ์โรมานอฟด้วย คำทำนายของรัสปูตินมีเขียนไว้เป็นลายลักษ์อักษรชัดเจน และกลายเป็นความจริงทั้งหมดในเวลาต่อมาอย่างน่าสะพึงกลัว
ในภาพคือ เจ้าชายเฟลิกซ์และเจ้าหญิงอิรินา มเหสี ถ่ายภาพเมื่อปี 1914
เจ้าชายเฟลิกซ์นั้น ทรงมีประวัติเป็นไบเซ็กชวล (คือมีความสัมพันธ์ทางเพศได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง) เมื่อครั้งทรงไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ทรงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทั้งหญิงและชาย เจ้าชายเฟลิกซ์ทรงให้การหลังถูกจับได้ว่า ต้องการสังหารรัสปูตินเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง มิให้บุคคลผู้นี้กระทำการชั่วโฉดต่อประเทศและราชบัลลังก์ได้อีกต่อไป
เป็นที่น่าตระหนกว่า คณะสังหารได้วางยาพิษไซยาไนด์ในขนมเค๊กและไวน์ที่ให้รัสปูตินรับประทาน โดยที่ปริมาณยาพิษแรงถึงขนาดฆ่าคนได้หลายคน แต่รัสปูตินกลับไม่เป็นไร เพียงบ่นว่าเจ็บคอ (ซึ่งมีผู้วิเคราะห์ภายหลังว่าหมอที่ร่วมมือด้วยใจไม่ถึง จึงเปลี่ยนไซยาไนด์เป็นยาพิษชนิดที่อ่อนกว่า แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะคณะต้องการให้รัสปูตินสิ้นชีพในทันที หากรอดชีวิตไปได้ จะเป็นอันตรายต่อผู้ก่อการอย่างร้ายแรง) เจ้าชายเฟลิกซ์จึงตัดสินใจยิงรัสปูตินที่ศรีษะ แต่เขากลับลุกขึ้นได้อีกและพยายามวิ่งหนีออกจากวัง จึงถูกยิงซ้ำที่หลังอีกหลายนัด จากนั้นคณะได้นำศพรัสปูตินไปถ่วงน้ำ เมื่อมีการพบศพรัสปูตินนั้น ผลการชันสูตรศพออกมาว่าเขาเสียชีวิตเพราะจมน้ำ ไม่ใช่เพราะยาพิษและกระสุนปืน ศพของรัสปูตินยกแขนข้างหนึ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าในช่วงที่ร่างของเขาตกลงไปในน้ำ เขาได้ฟื้นคืนสติขึ้นและพยายามดิ้นรนหนีจากห่อที่มัดร่างไว้คะ
เจ้าชายเฟลิกซ์ทรงเขียนหนังสือชีวประวัติของตนเอง ชื่อ Lost Splendor ในเว็บไซด์ http://www.alexanderpalace.org/lostsplendor/I.html และเหตุการณ์ในคืนที่ได้ทรงร่วมสังหารัสปูตินอย่างละเอียด สามารถอ่านได้จาก บทที่ 23 เหตุการณ์ในห้องใต้ดิน วังมอยก้า ในคืนวันที่ 29 ธันวาคม (ที่ซึ่งรัสปูตินถูกลวงมาสังหาร) http://www.alexanderpalace.org/lostsplendor/xxiii.html และ บทที่ 24 คำให้การกับตำรวจเกี่ยวกับการตายของรัสปูติน http://www.alexanderpalace.org/lostsplendor/xxiv.html
ภาพหุ่นจำลองเหตุการ์ขณะรัสปูตินกำลังรับประทานขนมเค๊กผสมไซยาไนด์ในห้องรับรองใต้ถุนวังมอยก้า โดยมีเจ้าชายเฟลิกซ์ยืนอยู่ข้างๆ คอยลอบสังเกตุอาการของเขา
แต่มาเรีย รัสปูติน บุตรสาวของรัสปูติน ซึ่งได้ติดตามมาพำนักกับเขาในเมืองหลวง จนกระทั่งบิดาเสียชีวิต และเป็นผู้ชี้ศพบิดา ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการตายของรัสปูตินแตกต่างไปจากข้อเขียนของเจ้าชายเฟลิกซ์
มาเรียระบุว่าเจ้าชายเฟลิกซ์ทรงสเน่หารัสปูตินในเชิงชู้สาว แต่ผิดหวังที่รัสปูตินไม่ให้ความสนใจพระองค์ จึงต้องการสังหารเขาเสีย ในคืนสังหาร เจ้าชายได้ใช้มีดเฉือนอวัยวะเพศของรัสปูตินออกอย่างบ้าคลั่ง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง มาเรียยังระบุอีกว่า มีผู้ได้อวัยวะเพศของรัสปูตินซึ่งสตาฟเก็บใส่กล่องไว้อย่างดีไปรักษาไว้ด้วย นอกจากนี้ผู้ใกล้ชิดเจ้าชายเฟลิกซ์ยังกล่าวว่าเจ้าชายเคยบรรยายขนาดของอวัยวะเพศและความสามารถในกามารมณ์ของรัสปูตินได้ถูกต้องด้วย
... แต่ข่าวการเฉือนอวัยวะเพศของรัสปูตินก็เป็นข่าวลืออีกเช่นกัน เพราะในเวลาต่อมา เมื่อมีการโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟ กลุ่มทหารคอมมิวนิสต์ที่เฝ้าวังได้พากันไปขุดค้นหลุมศพของรัสปูติน ซึ่งพบว่าใบหน้าศพมีสีดำคล้ำส่งกลิ่นเหม็นประหลาด จากนั้นทหารที่คึกคะนองได้ใช้อิฐวัดขนาดอวัยวะเพศรัสปูติน (เพราะเรื่องขนาดอวัยวะของรัสปูติน ได้กลายเป็นข่าวโจษจันในหมู่ผู้เกลียดชังเขา และต้องการรู้เรื่องคาวฉาวโฉ่ของราชวงศ์กับรัสปูตินเช่นกัน) ก่อนที่จะเผาทำลายศพด้วยความเกลียดชัง ดังนั้นการที่มาเรียกล่าวว่าเจ้าชายเฟลิกซ์เฉือนอวัยวะเพศรัสปูตินจึงไม่เป็นความจริง
ภาพหน้าปกหนังสือ ประวัติ มาเรีย ลูกสาวรัสปูตินคะ RASPUTIN'S DAUGHTER by Robert Alexander มีรูปของเธอปรากฏอยู่บนหน้าปก
ภายหลังเจ้าชายเฟลิกซ์ทรงสารภาพว่าได้ร่วมกับแกรนด์ยุก ดมิตรทรี และบุคคลอื่นจักจำนวนหนึ่ง สังหารรัสปูตินจริง พระเจ้าซาร์ทรงพิโรธมากแต่ไม่กล้าลงโทษผู้ก่อการอย่างรุนแรง เนื่องจากประชาชนต่างพากันมาแสดงความยินดีกับผู้ก่อการอย่างล้นหลามจนกลายเป็นฮีโร่ของชาติ จึงทรงทำได้เพียงเนรเทศเจ้าชายเฟลิกซ์ออกจากเมืองหลวง ไปยังวังซึ่งอยู่ส่วนกลางของประเทศ
แต่การที่เจ้าชายถูกเนรเทศกลับเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อเกิดการปฏิวัติพระองค์และครอบครัวหลบหนีออกมาได้ทัน (หากอยู่เมืองหลวงก็จะถูกจับกุมตัวได้ง่าย) และลี้ภัยไปพำนักในต่างประเทศพร้อมพระชายา และทรงมีอายุยืนยาวจนถึงวัยชรา
นำภาพประวัติศาสตร์อีกภาพมาให้ชมคะ มาเรีย รัสปูติน (ซ้าย) เยี่ยม เจ้าหญิงอนาสตาเซีย โรมานอฟ (ตัวปลอม - หญิงชราที่นั่งกลางภาพ)
เรื่องราวของ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย โรมานอฟ กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานเกี่ยวกับราชวงศ์โรมานอฟ เนื่องจากศพของอนาสตาเซีย และอเล็กซิส มกุฏราชกุมาร สูญหายไปจากหลุมศพ ทำให้เชื่อกันว่าทั้งสองพระองค์รอดชีวิต
แอนนา แอนเดอร์สัน คือ หญิงสาวที่อ้างตัวว่า คือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ที่รอดชีวิตมาได้ แต่ภายหลังได้มีการสืบประวัติทำให้ทราบว่าเป็นตัวปลอม นอกจากนี้เมื่อทำภาพเชิงซ้อน กระโหลกศรีษะของเจ้าหญิงอนาสตาเซีย และแอนนา พบว่าเป็นคนละคนกัน
แต่แอนนานั้นแสดงบุคลิกนิสัยแบบเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ทั้งยังมีใบหน้าละม้ายเป็นเค้าเดียวกับเจ้าหญิง จนมีคนมากมายที่ยังเชื่อว่าเธอคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียตัวจริง แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้วคะ
นำภาพเปรียบเทียบมาให้ชม ภาพมุมบนซ้าย เป็นภาพเจ้าหญิงอนาสตาเซียตัวจริง ถ่ายภาพเมื่อครั้งซาร์ยังทรงปกครองประเทศคะ อีก 3 ภาพ (ขวาบน ซ้ายล่าง ขวาล่าง) เป็นภาพนางแอนดา แอนเดอร์สัน ในช่วงวัยต่างกัน