********ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ ผู้ที่นับถือนะครับ แค่มีข้อคิดจากพระ รูปหนึ่งที่ผมถูกใจ เลยเอามาฝากกันครับ ***
ผู้เขียนเพิ่งกลับจากการจาริกแสวงบุญ ที่ประเทศินเดีย ดินแดนซึ่งถือกันว่าเป็นดั่ง "เรือนเพาะชำของศาสนา" หมายความว่า ศาสนาทั้งหลายในโลกเกือบทั้งหมด ล้วนถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ดังนั้นอินเดียจึงเป็นแผ่นดินที่มีเทพเจ้ามากที่สุด มากถึงขนาดเขาเชื่อกันว่าไม่น้อยไปกว่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาเสียอีก บรรดาเทพทั้งหลายที่คนไทยกำลังเห่อบูชากันอยู่ในเมืองไทย ก็ล้วนแล้วแต่นำเข้ามาจากอินเดียแทบทั้งสิ้น ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า "จตุคามรามเทพ" ก็เป็นหนึ่งในเทพเหล่านั้นด้วย
แต่ก็เป็นเรื่องน่าตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งๆ ที่อินเดียมีเทพเจ้ามากที่สุด ทว่ากลับเป็นดินแดนที่มีคนจนอาศัยอยู่มากที่สุด ยิ่งรัฐที่ถือกันว่าเป็นเมืองเทพเจ้าอย่างพาราณสี หรือ BANARAS ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมืองนี้เป็นอาณาจักรโบราณแต่กาลก่อนพระพุทธองค์อุบัติเสียด้วยซ้ำ ว่ากันว่าพาราณสีคือเมืองของพระศิวะเจ้า มองไปทางไหนจะเห็นแต่รูปพระศิวะกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ชาวเมืองก็มีความภูมิใจว่า ที่นี่เป็นนครศักดิ์สิทธิ์ แต่ทั้งๆ ที่เป็นเมืองของเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ก็ยังมีคนจน คนอดอยากอยู่มากมาย ขอทานกระจายกันอยู่แทบทุกหัวมุมถนน นอกจากเมืองพาราณสีแล้ว ยังมีเมืองที่จนที่สุดในอินเดียอีกเมืองหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ เมืองมคธ หรือรัฐพิหารในปัจจุบัน ว่ากันว่า รัฐพิหาร (มคธ) คือรัฐที่ยากจนที่สุดในอินเดีย ทั้งๆ ที่ในอดีตเมืองนี้คือศูนย์กลายความเจริญทุกรูปแบบ เพราะมีพระเจ้าพิมพิสาร, พระเจ้าอชาตศตรู และจอมจักรพรรดิอโศกเป็นผู้ครองนครสือต่อกันมา แต่ไฉนมาถึงยุคนี้มหานครที่เคยยิ่งใหญ่ กลายเป็นรัฐที่ยากจนที่สุดไปแล้ว ลองสอบถามไกด์ท้องถิ่นได้ความว่า สาเหตุของความยากจนก็คือ "คอร์รัปชั่น" ของนักการเมืองนั่นเอง
ทำไมแผ่นดินที่มีเทพเจ้ามากที่สุด กลายเป็นแผ่นดินที่มีขอทานอยู่มากมาย ทำไมนครรัฐมหาอำนาจที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุด 3 รัชสมัยติดต่อกันกลายเป็นรัฐที่ยากจนที่สุดในปัจจุบัน ตอบได้ว่า
(๑) ขอทานมีมาก แสดงว่าการขอหรือการบนบานบวงสรวง ฝากชีวิตไว้กับเทพเจ้าทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เพระหากอานุภาพของเทพเจ้ามีจริง แผ่นดินอินเดียคงไม่มีขอทาน เพราะทุกอย่างที่ประชาชนบนบานร้องขอ เทพเจ้าก็คงบันดาลให้ได้ทั้งหมด (หรือว่าเทพเจ้าเข้าเกียร์ว่างกันหมดแล้ว)
(๒) คนจนมีมาก นอกจากแสดงว่าเดชานุภาพของเทพเจ้าไม่มีจริง และเป็นเรื่องไร้สาระแล้ว ตัวซ้ำเติมทางกายภาพที่สำคัญก็คือ วัฒนธรรมคอร์รัปชั่นที่มีอยู่ในกล่มนักการเมืองนั่นเอง
เรื่องคอร์รัปชั่นในอินเดียนั้น ผู้เชียนและคณะผู้จาริกแสวงบุญพบด้วยตัวเองตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของอินเดียตั้งแต่วันแรกและวันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง โกงกันชนิดไม่อายแขกบ้านแขกเมืองกันเลยทีเดียว ทั้งวันแรกและวันสุดท้าย
ทั้งการบูชาเทพเจ้าอย่างอุ่นหนาฝาคั่งที่พบมาในอินเดีย และการคอร์รัปชั่นที่ทำให้รัฐมหาอำนาจกลายเป็นรัฐที่จนที่สุดในอินเดีย ไม่น่าเชื่อว่าทั้ง 2 สิ่งนี้หาพบได้ในเมืองไทยของเรานี่เอง เชื่อแล้วละว่าปาฏิหาริย์มีจริง
ด้วยเหตุดังนั้นกระแสการบูชา "จตุคามรามเทพ" ในเมืองไทยก็ดีวัฒนธรรมคอร์รัปชั่นในเมืองไทยก็ดี รวมทั้งการกำหนดชะตากรรมของประเทศ และชะตากรรมของรัฐธรรมนูญด้วยการฟังเสียง "หมอดู" เป็นหลักก็ดี 3 สิ่งนี้คือดัชนี ชี้วัดชะตากรรมของสังคมไทยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ บ้านเมืองของเราจะมีสภาพเป็นอย่างไร ขอทำนายล่วงหน้าว่า
(๑) ยิ่งคนบูชาเทพเจ้ามากขึ้น จำนวนคนจนจะเพิ่มมากขึ้น
(๒) เทพเทวดาจะย้ายจากอินเดีย เข้ามาประจำการอยู่ในไทยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
(๓) อาชีพที่มีความสำคัญในการกำหนดชะตากรรม ของประเทศคือ หมดดู
(๔) พระสงฆ์จะเสกวัตถุมงคลแบบโลกาภิวัฒน์คือ เสกวัตถุมงคลข้ามศาสนาอย่างไม่เห็นแก่หน้าพระพุทธเจ้า (แม้จะใช้คำว่า "เทวาภิเษก" แทน "พุทธาภิเษก" แต่ก็ยังไม่เหมาะสมอยู่นั่นเอง เพราะการ "เสก" ไม่ใช่กิจของสงฆ์)
(๕) สถิติคนงอมืองอเท้า หรือขอทานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(๖) วัฒนธรรมคอร์รัปชั่นจะลงลึกถึงไขกระดูกคนไทย
(๗) การโกงกินจะถูกทำให้เป็นเรื่องสามัญ เช่นเดียวกับเรื่องภาคใต้ที่วันไหนไม่มีเสียงปืนวันนั้น คือวันผิดปกติ
(๘) ถัดจากจตุคามรามเทพ จะมีการเปิดแคมเปญเทพองค์ใหม่ตามมาอีกหลายระลอก และนี่คือธุรกิจที่ทำง่าย แต่รับประกันว่ารวยแน่นอน เพราะคนไม่รู้อะไรในเมืองไทยยังมีอีกมหาศาล
(๙) มีความเป็นไปได้ว่า ทหารอาจต้องอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานต่อไป เพราะคนไทยยังเข้าใจว่า ประชาธิปไตย คือการเลือกตั้ง และนักเลือกตั้งเท่าที่เห็นก็แทบไม่มีสปิริตของนักการเมือง หากมีแต่นักธุรกิจการเมืองอยู่ทั่วไป
(๑o) ประเทศไทยอาจหยุดการพัฒนาเป็นเวลานาน หรือหากพัฒนาต่อไปก็คงจะล้มครืนลงอีกหลายครั้ง เพระรากฐานทางปัญญาของสังคมไทยอ่อนปวกเปียก ซ้ำยังไม่มีใครตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้อีกต่างหาก ชนชั้นนำมัวแต่ออกแบบรัฐธรรมนูญ แต่หลงลือการออกแบบพลเมืองของประเทศไทย รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด แต่อยู่ในมือของคนที่ขาดความรู้ และไม่เห็นคุณค่านั้นจะมีความหมายอะไร
จาก อินเทรนด์ อินธรรม
ของท่าน ว.วชิรเมธี wvmedhi@yahoo.com
ผมมีคนรู้จัก (อดีต....) ไปเรียนอยู่ที่นั่น เค้าบอกว่า ที่นั่นบูชาแม้กระทั่งต้นกระเพรา ที่เค้าปลูกไว้หลังบ้านเช่า -*-
ดูๆไป ชักคล้ายพี่ไทย ไหว้กล้วยแฝด วัวดั้งหัก -*-
ผมว่า ปัญหาจริง ๆ อยู่ที่ พระสงฆ์ มากกว่าครับ...
ฆราวาส ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ...ถ้า พระสงฆ์ ไม่บิณฑบาต หรือ โปรดสัตว์ โดยการทำเครื่องรางของขลัง....
พิธีปลุกเสก ก็เป็นพระสงฆ์ ครับ...ที่ทำพิธี...
ความศรัทธาของ ฆราวาสในบริเวณพื้นที่ใกล้วัด หรือ ผู้ที่เลื่อมใสวัดที่ตนเองทำบุญ....ก็อยากให้วัดมีโบสถ์ วิหาร ที่สวยงาม ใหญ่โต มีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง โดยเป็นการเลียนแบบ วัดหลวง (วัดหลวงจะไม่มีเมรุเผาศพ)....การจัดหาปัจจัยมาสร้างโบสถ์ วิหาร ก็โดยการทำวัตถุนิยม เครื่องรางของขลัง...
ด้วยความคิดเห็นส่วนตัว นี่น่าจะเป็นจุดที่เปลี่ยนความคิดทางการปฏิบัติของพระสงฆ์ ทำให้เกิดการเน้นวัตถุนิยม มากกว่า การสร้างจิตที่ดี ในการดำรงชีวิต....
ทำให้ผมไม่ได้ใส่บาตรมา 4 - 5 ปีแล้ว เพราะบริเวณที่ผมทำงาน มีคนใส่บาตรกันล้นบาตร และพระสงฆ์บางรูปยืนสงบนิ่ง อยู่หน้าร้านขายข้าวใส่บาตร...และผมคิดว่า ผมไม่ใส่สัก 1 คน ข้าวในบาตรก็น่าจะยังคงเหลือเป็นเศษอาหารแน่ ๆ....บางครั้งบริษัท ทำบุญสังฆทาน ผมก็เห็นเครื่องสังฆทานของคนก่อน ๆ ที่มาทำบุญก่อนผม ฝุ่นจับเขรอะ คิดว่าของในถังน่าจะหมดอายุแล้ว...
ผมเลยเปลี่ยนการทำบุญโดยการ บริจาคทุนโรงพยาบาลศิริราช กับ โรงพยาบาลรามาธิบดี แทน...มีหลายกองทุนให้บริจาค ทั้ง กองทุนเด็กที่ติดเชื้อเอดส์ ผู้ป่วยอนาถา เครื่องมือแพทย์ และทุนการศึกษาแพทย์....ครั้งละ 100-5,000 แล้วแต่ศรัทธา ถ้าถูกหวย ก็เยอะหน่อย...
ตอนนี้เริ่มมีเป้าหมายใหม่ที่บริจาคทำบุญเพิ่มอีกคือ โรงพยาบาลเด็กราชวิถี กับบ้านเด็กกำพร้ารังสิต....
แต่ปัจจุบันผมก็ยังบูชาพระพุทธรูป หรือพระผง (หลวงปู่ทวด ติดไว้บนจอคอมฯ ที่เรานั่งทำงาน เพราะถือว่าเป็นเครื่องทำมาหากินและเลี้ยงชีวิตเราและครอบครัว) ที่ผู้ใหญ่ให้ไว้กับผม ด้วยวัตถุประสงค์ที่ดีที่มอบให้เรา แต่วัตถุประสงค์ให้การสวดมนต์และบูชา คือสร้างความมั่นใจ ว่าเราจะแก้ปัญหาในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามเจตนา...
ผมเลยคิดว่า เราควรจะพัฒนา พระสงฆ์ ก่อนเป็นอันดับแรก น่าจะดีที่สุดครับ...และน่าจะช่วยสร้างความเจริญให้ชาติได้ดีครับ...
เอกภพนี้ทุกอย่างดุลย์ด้วยสมการ...............ข้อนี้แม้นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกก็ยืนยัน ทุกทฤษฎี ทุกกฎแสดงออกด้วยสมการ(แม้เรื่องไทม์แมชชีนที่ยังไม่ถูกสรุปเป็นทฤษฎีก็แสดงด้วยค่าสมการ)...............ก็เมื่อทุกอย่างดุลย์เป็นตาช่างด้วยเครื่องหมายเท่ากับ เหตุนี้มีหรือจะมี"สิ่งที่ได้มาฟรีๆ"...............ถ้าไม่หนาพอจะมีใจเอนเอียงในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด .................. เราสร้างอะไรทำอะไรมาแต่หนหลังหามีใครรู้............ซึ่งถ้าคล้อยตามเรื่องของสมการ คงให้เห็นว่าดีชั่วโชคดีร้ายในวันนี้ ล้วนเป็นผล ของเหตุในอดีต ............."ไม่มีคำว่าฟลุ๊คในเรื่องของกรรม"......................เมื่ออดีตผ่านไปไม่ทำให้หวน ก็มิไยเมื่อปารถนาจะได้แต่สิ่งดี จึงมิเพียรทำดีในปัจจุบันนี้เล่า.............. ทาน บารมีนำสู่ความสะดวก ศีล บารมีนำสู่ความไม่ตกต่ำทารุนสาหัส.....................และเมื่อปารถนาถึงที่สุด ภาวนา บารมีที่จะเป็นทางสู่วิมุต............... อย่างเราปุถุชน ทานเป็นเรื่องที่เห็นได้พอทำได้................แต่จะให้ลึกล้ำกว่า ลองน้อมเข้าหาศีลเป็นบารมีบ้างสิ ใจจะสงบกันลงบ้าง.....................หรือจะให้บรรเจิด เอาภาวนา เป็นทุนในกระเป๋า ชาติหน้าหนหน้าอาจไม่ต้องได้เกิดมาเห็นหน้ากันอีก..........................