แต่ขอความกรุณา อย่าพูดเสียดสี โจมตี ให้ร้าย คนอื่นน่ะครับ และอย่าทะเลาะกันเองด้วยครับ อิอิ
เพื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา จะได้ ไอเดีย ใหม่ๆ ไปแก้ปัญหาภาคใต้ครับ
ขอบคุณทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือครับ
ผม แนะนำ หนังเรื่อง
2 คน 2 คม(Infernal Affairs)
http://www.movieseer.com/ReviewsBil.asp?moID=2776&rID=361&Channel=1
ไปหาดูน่ะครับ
อือ ผมทำรายงานเรื่องนี้ไว้ 24 หน้า ใครอยากจะเอาก็ MSN มาหรือ mail มาละกัน แต่คิดว่าคงมะมีเอิ้กๆ
หลักๆเลยมันคืองานมวลชลโดยแท้ จะให้จัดทัพจัดศึกไปรบคงไม่ได้ เพราะมันแยกไม่ออก
ตอนนี้ทำได้แต่เพียงอดทนรอคอย
ยึดหลักตามกฎธรรมชาติ ที่สูงต้องทำตัวต่ำต้อยก่วาที่ต่ำจึงจะปกครองได้
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ กลับมีสายน้ำไหลมาจากทั่วสารทิศ ทั้งน้ำตก ทั้งลำธาร มากมายไหลมาบรรจบเพราะอยู่ต่ำกว่า
แต่ขุนเขาที่แกร่งหนักแน่นก็จะอยู่ ยิ่งสูงใหญ่ยิ่งว้าเหว่ ยากซึ่งมีสิ่งมีชีวิตถ้อยทีถ้อยอาศัย
สถานการณ์ภาคใต้มันเจ็บปวดมานับสิบๆปีมาแล้วครับ
ปัญหาก็เช่นข้าราชการทั่วไปซึ่งประจำอยู่ตามส่วนต่างๆของประเทศ เมื่อกระทำผิด (โดยเฉพาะพวกสีกากี) จะถูกสั่งย้าย คงจะรู้จักคำนี้ดีนะครับ "สั่งย้าย" ซึ่งย้ายไปไหน?
ประจำที่ปักษ์ใต้ไงครับ ไปรังแกคนมุสลิมต่อ
เคยมีเหตุการณ์สองสามเหตุการณ์ยกตัวอย่างให้ฟังละกันนะครับ แต่ขออุบที่มา
1.นายตำรวจสั่งจับวัยรุ่นซึ่งขี่มอเตอร์ไซไม่ใส่หมวก (ก็นะ ยอมรับแหละว่าผิดกฎแต่ตำรวจทำเกินไป) และจากนั้นนายตำรวจผู้น้อยก็ได้ทำการจับเอาด้ามปืนทุบไปที่ข้างหลัง และจับเตะถีบใส่ทั้งคนทั้งมอเตอร์ไซ ทั้งด่าทอต่างๆนานา
2.มีข้าราชการบางคนไม่อยากจะเซ่ดเกิดขึ้นราวๆปี 2520-2530 (กลางๆเนี้ย เขาบอกเขาจำมะได้) มีข้าราชการผู้หนึ่ง เมาเหล้าเมายาแล้วไปหลับนอนในมัสยิด และแถมแหกปากต่างๆนานา (เหล้าหนึ่งหยด อัลเลาะห์ไม่รับบุญ60วัน แถมซดในมัสยิด คิดเอาเขาโกรธขนาดไหน)
3.อันนี้ผมเล่าด้วยความเจ็บปวดแทนสหายชาวมุสลิมนะ...ก็ข้าราชการเลวๆคนนึง ไปกินข้าวบ้านชาวบ้านคนหนึ่ง (กินฟรี ถูกต้อง!) ซึ่งบ้านหลังนั้นมีลูกชายกับลูกสาวอายุรุ่นๆกำลังโตๆ ข้าราชการเลวนี่ก็เห็นลูกสาวถูกใจจึงจับขืนใจในบ้านนั้น พร้อมข่มขู่พ่อแม่ว่าอย่ายุ่ง(ด้วยอาวุธอะไรคิดเอง) เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่นะครับ เพราะเขาไม่ยอมเลย ไปฟ้องร้องเรียนต่างๆที่โน่นที่นี่ ก็บอกจะรับๆ แล้วก็เงียบ ดองงงง ไว้ จนกระทั่งมากรุงเทพฯขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้เรื่องอะไรเล้ย
เป็นอย่างนี้มา ผมยกตัวอย่างแค่นี้นะ เอาละเข้าประเด็นละ
คิดว่าคนที่เจ็บปวดมีกี่คนต่อหนึ่งกรณีครับ?
ตัวเขาที่โดนรังแกน่ะเจ็บชัวร์ 1 คนละ แล้วพ่อแม่เขาละ? พี่น้อง? ข้างบ้าน?(มุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน) แล้วเพื่อนๆละครับ?
และผมถามว่า หากมีคนที่เจ็บปวด ถึง 2 กรณี แล้วคนที่เจ็บปวดที่เกี่ยวข้องสองคู่นี้มีโอกาสมาได้ "แลกเปลี่ยนระบายความเจ็บปวด" คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ?
ฉนั้นในส่วนตัวความคิดของผมนั้น ผมไม่เห้นด้วยจะใช้นโยบายรุนแรง หรือความรุนแรงมากขึ้น แต่ต้องอดทน(ซวยทหารน่ะแหละ เซ็ง แต่ต้องทำใจ) เราต้องอดทนต่อไป ต้องเน้นช่วยเหลือมวลชลจริงๆ ต้องไม่โกรธทุกอย่าง ต้องอภัย (ใช่ผมอาจจะดีแต่พูด) เรื่องเหล่านี้เราทุกคนผิดอย่างที่ผมพูดไป ประชาธิปไตยทุกคนมีสิทธิ์จะระงับเหตุการณ์แต่ไม่ทำกัน (ไม่ช่วยมุสลิมที่ซวย แต่วางเฉยกัน เขามากรุงเทพฯก็ไม่มีใครเคลื่อนไหว)
ไอเดียตอนนี้ใหม่ๆ คงหาได้ยาก มีแต่ต้องกระทำให้จริงจังมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญเรื่องการอุ้มแพะในอดีต จับอุ้มโต๊ะครูต่างๆ ในอดีตถือเป็นจุดอ่อนจิงๆ เพราะตอนนี้เขาใช้นโยบายที่เราเคยทำมาเล่นงานพวกเราด้วยการส่งสตรีคลุมหน้ามาปิดถนน ปิดทางต่างๆ (ซึ่งน่าปวดหัวจริงๆ)
การประสานงานไปทางมาเลเซียหลายคนอาจจะคิดว่า จะเข้าทางมาเลเซีย ผมขอยืนยันปฏิเสธ เพราะทางรัฐบาลมาเลเซียก็ปวดกบาลเรื่องนี้เช่นกัน ผมยืนยันได้ เพราะหากว่าแยกรัฐปัตตานีได้สำเร็จ มาเลเซียตอนบนก็จะเสียดินแดนไปส่วนนึง เชิญหาข้อมูลแผนที่ในอดีตของรัฐปัตตานีได้เลยนะ
มีนักวิชาการหลายท่านที่สนิทสนมกับราชวงศ์ของทางมาเลเซียกลันตัน ซึ่งก็ได้มีการไปพบปะขอคำปรึกษากันอยู่ตลอด ซึ่งก็ยังหาแนวทางไม่ได้
เรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลาครับ ผมคิดว่าคงยากมากๆเลยตอนนี้
ในความคิดพวกเขาแค้นจัดแค้นถึงขนาดที่แค้นๆๆๆๆ ผสมโรงกับมีการใช้คำสั่งสอนทางศาสนาที่ผิดๆ ซึ่งผมเองก็มีข้อมูลตรงจุดนี้อีกนะครับ (จะอ่านก็ขอมาเด้อ)
ผมขอกำชับแทนให้ไอเดียใหม่ละกันครับ
"อะไรชอบอะไรไม่ชอบ" นี่คือสิ่งที่ทุกคนควรรู้กันในสังคม
ชาวมุสลิมปักษ์ใต้เกลียดสถาบันอะไรมากที่สุดครับ? ผมพูดตรงๆเลย เอ้า "พวกสีกากี" และพวกเขารักเคารพสถาบันอะไรมากสุดครับ แหม่ง่ายๆ "ศาสนา"
ต้นเหตุเป็นไงก็ช่างครับ แต่มันเป็นไปแล้วทีนี้มาดูกันว่าจะทำเยี่ยงไรให้เขาหันมาเข้าใจว่าเรารู้สึกผิดจริงๆ อยากกลับมาอยู่ร่วมกันเหมือนดังก่อน?
ใช้กำลัง? ก็ได้สนุกแบบอิรัก อัฟกันแน่นอน กี่ปีจะจบ?
ง้อ? ก็ต้องโหดกว่าง้อแฟนแน่นอนครับ เพราะสาเหตุที่ทำให้เลิกกับแฟนคนนี้เพราะ "เราฆ่าเขาไว้เยอะ อุ้มเขาไว้เยอะ"
ไม่ใช่เพียงฆ่าคนไม่กี่คนนะ แต่คนไม่กี่คนคือ "พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย"
ซึ่งมันทวีคูณความเจ็บแค้น หากผมฆ่าพ่อแม่ของคุณแล้วผมของ้อคืนดีด้วยนี่ ก็ลองเดาดูครับกี่ปีคุณจะให้อภัย? เผลอๆ ชาติหน้ายังโกรธกันเลย
ที่สำคัญหน่วยงานทางสารสนเทศต้องไปถึงตัวประชาชน อาทิเช่น เรื่องของการชี้แจงการบิดเบือนทางศาสนาซึ่งละเอียดอ่อนมาก อาจจะทำให้เขาคิดได้ว่า "เฮ้ย เอ็งรู้ดีกว่าข้ารึไง?" จึงควรจะใช้หลักเหตุผล ทำเอกสารแจกไปตามมัสยิดแปะไว้หน้ามัสยิดประกาศไปว่า หลักคำสอนส่วนใดถูกหรือไม่ พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการอิสลามต่างๆในระดับสากล ให้เข้ามายืนยันในการตีความหลักศาสนา (ขอทางสายสุหนี่น๊า ชีอะห์ในปักษ์ใต้มีน้อย)
ไม่ใช่ว่าพูดๆออกข่าวทีวีครับ มันเหมือนดูถูกเขา เขาจะไม่เข้าใจครับ อันนี้ฝากอีกอันละกัน -*-
และอีกเรื่องคือเหล่าบรรดาพี่ๆทหารที่เข้าพื้นที่ ก็ต้องมีระเบียบวินัยให้เคร่งครัดสุดๆ เพราะผมได้ข่าวมาจากวงในบางแห่งว่า ชุดหนึ่งที่ส่งไปนั้น ไปติดพันเรื่องพฤติกรรมชู้สาวจนเกิดเรื่องขึ้นมา ถือว่าเรื่องใหญ่นะครับสำหรับชาวมุสลิม
ฉนั้นพี่ๆทุกคนต้องไม่ลืมตนเองนะครับ รวมถึงเหล้าต่างๆอย่าดื่มน๊า
สุดท้ายนี้ ผมขอให้พี่ๆทหารรวมทั้งชาวมุสลิมทั้งหลาย ปลอดภัยจากระเบิด กระสุนของแต่ละฝ่ายไปจนกว่าจะยุติเหตุการณ์นี้ด้วยเถิด...
300 ปี ที่ไม่เคยสงบ...
ใครมีความเหงอะไรยังไงผมรออ่านนะครับ ผิดพลาดประการใดผมขออภัยและน้อมรับความผิดมา ณ ที่นี้ครับ
ปล.คนญี่ปุ่นมักไม่อายในทฤษฎีของตน และมักจะพยายามเผยแพร่ให้ทั่วถึงกันเพื่อให้พัฒนากันร่วมกัน คนไทยจึงควรเอาเยี่ยงอย่าง อย่างกความรู้อย่าอายที่จะผิด และก้าวเดินไปให้ถูกทางด้วยเหตุผล
ทำให้ประชาชนเป็นฝ่ายเรา
ผมพูดก็ง่าย แต่มันคือสิ่งที่ทำยากที่สุดในเหตุการณ์นี้
ผมว่าไทยน่าจะลองนำ UAV ไปใช้งานในภาคใต้ดูนะครับ ขอแนะนำ RQ-8 Fire Scout (แต่ ทบ.ยังไม่มี UAV เลยนี่) แต่ก็ลองเสนอดูครับ
น้องเพื่อนผมโดน ยิงที่ ตูด (ขอโทษนะที่ใช้คำนี้)
เพื่อนน้องผมเขาไปดูแลความปลอดภัยแถวๆ มัสยิด ตอนหลังโดนลอบยิง แบบหมาหมู่มันมากันเป็นสิบเลยเขาบอกว่าจังหวะนั้นถ้าไม่คอยยิงคุ้มกัน เพื่อนอีกคนที่ใช้วิทยุไปขอกำลังเสริม แล้วละก็คงหลบมาได้แน่นอน (ตัวคนเดียวคงหนีทัน) แต่สุดท้ายเพื่อนก็โดนยิง หลังจากนั้นเขาก็โดนรุมเละเลย
โชคดีมากที่ไม่ตาย เขาบอกว่าทีแรกก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นมันรู้ได้ไงว่ามีกันมากี่คน (เขาว่าเหมือนโจรมันจะรู้ว่าเราทำอะไร, ที่ไหน, มีกี่คน) แต่เขาจำได้ว่า เห็น อาสาสมัครคนหนึ่งมาร่วมถล่มด้วย ก่อนที่เขาจะหมดสติไปจากแผลกระสุน และมีกำลังเสริมมาช่วยได้ทัน ไม่ได้สติอยู่หลายวัน พอรู้สึกตัว ญาติที่มาเฝ้าก็มาถามเขาว่า
บังเอิญไปได้ยินไอ้อาสาสมัครนรกคนนั้นคุยอยู่กับพยาบาล (ซึ่งพยาบาลคนนี้เป็นแฟนของอาสาสมัครนรก)
ถามว่าเขาตายหรือยังก็เลยสงสัย เขาก็บอกไปว่าไอ้นี่แหละก็มาร่วมถล่มเขาด้วย
พอจะเอากำลังไปจับ มันไหวตัวทันหนีไปก่อน
โจรมาอยู่ในคราบอาสาสมัคร คอยส่งข่าว
นางพยาบาลก็เป็นแฟนโจรคอยช่ายเหลือกัน
และอีกมากมายที่เราไม่รู้
เห็นใจทหารบางคนต้องเลี้ยงดู พ่อ แม่ และลูกเมีย ต้องมาตายก่อนในวัยอันควร
บางคนเหมือนเพื่อนน้องผมคนนั้นดูท่าจะพิการ ขาไร้ความรู้สึก
เราคงต้องช่วยกันทั้งประเทศเพื่อให้เรื่องมันจบซะทีครับจะได้ไม่ต่องมีใครมาตายอีก มุสลิมที่ดีก็ไม่ด่างพร้อยด้วย
คงต้องเอามวลชนมาเป็นของเราให้มากๆ และแยกคนดีกับคนร้ายให้ได้
คนที่ให้ข่าวมาเป็นข้าราชการคนหนึ่งที่สามีรับราชการตำรวจครับ
แล้วตัวเขาเองก็เป็นคนปักษ์ใต้แต่กำเนิดแต่เป็นคนพุทธครับ ซึ่งเหตุความไม่สงบทำให้เขาลาออกจากอาชีพเดิมซึ่งเป็นข้าราชการท้องถิ่นคนนึง
ฉนั้นที่ผมเล่ามันคงเกินจริงบ้างแต่คงไม่มากเท่าไหร่หรอกครับ
ที่สำคัญ หน้าบ้านผมก็ปักษ์ใต้ ข้างบ้านทางขวาก็ปักษ์ใต้(แต่สันดานเสียไอ้เวงนี่)
เยื้องหน้าซอยก็สนิทกันดีคนยะลาไปมากรุงเทพฯบ่อยๆ (บ้านทำอาชีพค้าขาย)
จะถูกผิดหรืออย่างไร แต่อย่างน้อยๆช่างตัดผมที่ผมไปตัดประจำก็เป็นมุสลิมปักษ์ใต้ที่เคยไปอยู่กับมุสลิมกลุ่มที่จับปืนต่อสู้กับรัฐบาลในอดีตกาลยุค ผกค โน่น แล้วกันครับ...
มีอีกหลายอย่างฮะ รวมถึงไอ้กระผมเองก็ลงพื้นที่ไปเมื่อราวๆกลางปีที่แล้วเช่นกันหนึ่งอาทิตย์ (กึ่งเที่ยวกึ่งหาข้อมูลซึ่งเสียวดีจิงๆ ไปกับรุ่นพี่ชาวมุสลิม)
ฉนั้น ผมว่าข้อมูลผมก็คงไม่มั่วนักหรอกครับ ในฐานะที่ผมเองก็เรียนคณะรัฐศาสตร์ปกครองคนนึง
อ้ะ ขออภัยครับลืมเสริมอีกนิดนะครับ
บางครั้งเรื่องของภาษานี่ก็สุดๆจะปวดหัวนะครับ
ข้าราชการที่มาซ่านี่มันก็มีทุกที่แหละครับ แต่ส่วนใหญ่พวกตัวแสบจิงๆจะถูกสั่งลงปักษ์ใต้แหละครับ
พวกนี้ถามว่าพูดยาวีรู้เรือ่งไหม? เวลาเขามาติดต่ออะไรต่างๆพูดยาวีแล้วก็ไล่ตะเพิดออกไปนี่ มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วนะครับ
ทางอีสานซ่าอย่างน้อยคนกรุงเทพฯยังพอฟังรู้เรื่องเลย แต่ถามว่ายาวีนี่ คุณเดาภาษาออกมั้ยครับ? และถามว่าระดับความรุนแรงเวลากระทำกันนี่มันต่างกันนะ
คนพูดไทยทำร้ายคนพูดไทย กับคนพูดไทย ไปทำร้ายคนพูดยาวี นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งทางด้านจิตวิทยาครับ
เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขออัญเชิญพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสำหรับมณฑลปัตตานี 6 กรกฎาคม 2466 นะครับ
1.ระเบียบหรือวิธีปฏิบัติอย่างใดเป็นทางให้พลเมืองรู้สึก หรือเห็นไปว่าเป็นการเบีบยดเบียนกดขี่ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกหรือแก้ไขเสียทันทีการใดจะจัดขึ้นใหม่ก็อย่าให้ขัดกับลัทธินิยมของอิสลาม หรือยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสนามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี
2.การกะเกณฑ์อย่างใดๆก็ดี การเก็บภาษีอาการหรือพลีอย่างใดๆ ก็ดี เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมเทียบกัน ต้องอย่าให้ยิ่งกว่าพลเมืองในแว่นแคว้นของประเทศราชของอังกฤษ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกันนั้นต้องเกณฑ์ต้องเสียอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพิจารณาเทียบกันแต่เฉพาะอย่างต้องอย่าให้ยิ่งหยอ่นกว่ากันจนถึงเป็นเหตุเสียหายในการปกครองได้
3.การกดขี่บีบคั้นแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาล เนื่องแต่การใช้อำนาจในทางที่ผิดไม่เป็นธรรมก็ดี เนื่องแต่การดูหมิ่นลู่ดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยฐานที่เป็นคนต่างชาติก็ดี เนื่องแต่การหน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าที่เป็นเหตุให้รากฎรเสียความสะดวกในทางเลี้ยงชีพก็ดี พึงต้องแก้ไขระมัดระวังมิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรับผลตามความผิดโดยยุติธรรม ไม่ใช่สักแต่ว่าจัดการกลบเกลื่อนให้เงียบไปเสีย เพื่อจะไว้หน้าสงวนศักดิ์ของข้าราชการ
4.กิจการใดทั้งหมดอันเจ้าพนักงานจะต้องบังคับแต่ราษฎรต้องระวังอย่าให้ราษฎรต้องขัดข้องเสียการในทางหาเลี้ยงชีพของเขาเกิดสมควร แม้จะเป็นการจำเป็นโดยระเบียบการก็ดี เจ้าหน้าที่พึงสอดส่องแก้ไขอยู่เสมอเท่าที่สุดจะทำได้
5.ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไปประจำตำแหน่งในมณฑลปัตตานี พึงเลือกแฟ้นแต่คนที่มีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้เต็มตำแหน่งหรือส่งไปเป็นการลงโทษเพราะเลว
เมื่อจะส่งไปต้องสั่งสอนชี้แจงให้รู้ลักษณะทางการอันพึงประพฤติระมัดระวังโดยหลักที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 1 ข้อ 3และ ข้อ 4 ข้างบนนั้นแล้วผู้หใญ่ในท้องที่พึงสอดส่องฝึกฝนอบรมกันต่อๆ ไปในคุณธรรมเหล่นั้นเนืองๆ ไม่ใช่แต่คอยให้พลาดพลั้งลงไปก่อนแล้วจึงว่ากล่าวลงโทษ
6.เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ หรือบังคับการอย่างใดในมณฑลปัตตานี อันเป็นทางพาดพานถึงสุขทุกข์ราษฎรควรฟังความเห็นสมุหเทศาภิบาลก่อน ถ้าสมุหเทศาภิบาลขัดข้องก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง ถ้าไม่เห็นด้วยว่ามีมูลขัดข้องก็ควรหารือกระทรวงมหาดไทย แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวงก็พึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย
ฝากๆให้ยึดแนวทางนะครับ จะสังเกตุได้ว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่เละๆนี่เกิดจาก ไม่ระวังข้อ 3 กันเล้ย...โดยเฉพาะย้ายคนเลวไปปฏิบัติงานบรรจุตำแหน่งเนี่ย เศร้าใจๆ
อีกอย่างต้องเปลี่ยนความคิดของคนไทยบางส่วนด้วย ซึ่งข้างบ้านผมบางคนก็น่าตบกะโหลกจิงๆ ไปสอนลูกเขาเด็กๆ 10 ขวบ ว่าพวกแขกเลวๆมันฆ่าพวกเรา เฮ้อ ให้ตายเหอะ...
เฮ้อ........พิมพ์แสดงความเห็นอยู่เกือบชม. พอส่งหายเกลี้ยง แต่ผมคิดไม่เหมือนท่าน Blood Royal กับท่าน X-1 ที่อยู่ในกระทู้ก่อนเลย แต่เฮ้อขี้เกียจพิมพ์แล้ว..........
ขอ MSN หน่อยจิคับ มาแลกเปลี่ยนฟามรู้กับมุมมองกัน
ส่วนตัวนะ น่าจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือ คุมเข้มตลอดแนวชายแดน ไทย-มาเลย์เชีย และตั้งด่านตรวจทุกเส้นทางก่อนเข้าพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อที่จะดูว่าไม่มีพวกขบวนการค้าและส่งอาวุธเถื่อนให้กับพวกก่อความไม่สงบ พออาวุธเริ่มหมดแล้วพวกเขาจะทำไรได้
มันก็อยากอยู่เหมือนกันที่เราจะทำอย่างไรที่จะเอามวลชลมาได้ จะไปจัดลูกเสือชาวบ้านก็กลัวระเบิด แต่พวกโจรมันปลูกฝังพวกเด็กๆเมื่อเด็กเขาเรียน เรียนแต่ปอเนาะคือเขาเรียนแต่ศาสนา ทำให้โตมาก็ไม่รู้จะทำอาชีพไร?ทำให้ว่างเพราะ ไม่รู้ภาษาไทยก็ทำให้เด็กถูกชักจูงง่าย ไม่แน่โจรพวกนี้อาจทำเป็นอาชีพ......และปัจจุบันอินเตอร์เน็ตก็เข้าง่าย...เช่นเว็บผู้ก่อการร้ายมันไม่อยากที่เขาจะติดต่อกับเครือค่ายผู้ก่อการร้ายก็อปออกมาก็เป็นคู่เมือการทำระเบิด*-*
ก็ขอให้เวลาและหลายๆสิ่งไปเปลี่ยนแปลงเถอะ
ข้อสำคัญที่สุดอันดับแรกในการแก้ปัญาคือ เราต้องได้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้ามาก่อน หลังจากนั้นการตั้งสมมุติฐานที่ถูกต้องจึงเป็นความจำเป็นอย่างมากในข้อถัดมา
ถ้าได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด ก็จะตั้งสมมุติฐานของสาเหตุต่างๆที่ผิดพลาด นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ผิดพลาด
ผมมีเพื่อนอยู่ในพื้นที่เจ้าปัญหา 2-3 คน มีข้อมูลในมุมมองของชาวบ้านที่เขาไม่กล้าพูดต่อนักข่าว เจ้าหน้าที่บ้านเมือง (พอเพื่อนมันรู้ว่าผมมีญาติและเพื่อนเป็นทหารเท่านั้นครับ หุบปากเงียบเรื่องพวกนี้หมด เลี่ยงที่จะคุย นี่ขนาดอยู่กันในกทม.นะครับ แล้วถ้าอยู่ในพื้นที่จะกลัวกันขนาดไหน)
ดูจากข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์และรายการต่างๆแล้ว ข้อมูลบางข้อก็ยังไม่น่าจะถูกต้อง แต่ผมยังไม่แน่ใจจนกว่าตนเองจะไปอาศัยอยู่ในพื้นที่จริงๆเลย แต่ผมว่าเราตั้งสมมุติฐานบางเรื่องกันผิดนะครับ เช่น ตั้งสมมุติฐานว่ารัฐบาลทอดทิ้งและยากจน จึงถูกชักจูงให้เข้าขบวนการ หรือตั้งสมมุติฐานว่าเพราะชาวบ้านด้อยการศึกษาจึงถูกชักจูงได้ง่าย หรือตั้งสมมุติฐานว่าชาวไทยมุสลิมถูกรังแกจากเจ้าหน้าที่แต่ฝ่ายเดียว จึงระเบิดออกมาเป็นการต่อต้าน ในขณะที่เพื่อนผมกลับบอกว่า แม่ของเขาเองยังบอกให้ลูกหัดมานับถือศาสนาอิสลามบ้างก็ดีเพื่อจะเข้ากับพวกนั้นได้ และไทยพุทธหลายคนต้องแต่งตัวแบบเดียวกับชาวไทยมุสลิมในพื้นที่เพื่อให้รอดจากการถูกเล่นงาน มีอีกเยอะมากที่พร่างพรูออกมาจากหัวอกคนในพื้นที่จริงๆ ซึ่งตอนนี้พ่อแม่เพื่อนๆผมนั้นให้ลูกๆทุกคนขึ้นมาปักหลักกันในกทม.หมดแล้ว ส่วนพ่อแม่พวกเขาขอตายบนแผ่นดินเกิดครับ
มาถึงตรงนี้รู้แล้วนะครับว่าหลายต่อหลายคนในขบวนการนั้น มีการศึกษาที่ดีมากๆในระดับป.ตรี และอีกหลายๆคนในแกนนำนั้นมีฐานะที่ดีมากๆ ดังนั้นข้อมูลหลายๆเรื่องที่รับมาจากสื่อมวลชนเองก็ไม่ได้ถูกต้องเลยด้วยซ้ำครับ เพราะนักข่าวเองที่ทำข่าวก็ไม่ได้เป็นคนในพื้นที่
มีเรื่องเปรียบเทียบเล่าให้ฟังนะครับ เพื่อให้เปรียบเทียบกับการที่ชาวบ้านให้ข้อมูลแก่นักข่าว
ผัวเมียคู่หนึ่งมีฐานะดีโดยได้มรดกจากพ่อแม่ มีที่ดินแปลงหนึ่งสวยมากๆ แต่ทั้งคู่นั้นไร้ปัญญาจะเริ่มต้นทำธุระกิจในที่ดินนั้นให้ประสบความสำเร็จ สุดท้ายจึงได้ให้คนอื่นเช่าทำมาค้าขาย
นายเอได้เข้ามาเช่าพื้นที่ดินนั้นเพื่อค้าขายทำธุรกิจสวนอาหาร ปรกฎว่าธุระกิจประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้ผัวเมียเจ้าของที่ตาลุกวาวและมุ่งมั่นว่าพวกตนจะต้องไล่ที่นายเอเพื่อเอาทำสวนอาหารแทนนายเอ พูดง่ายๆว่าจะฮุบกิจการนายเอ ดังนั้นทั้งคู่จึงเริ่มอ้างเหตุผลปัญหานานับประการมาทะเลาะกับนายเอ เช่น ทิ้งขยะมูลฝอยรบกวนเพื่อนบ้าน กลิ่นจาการทำอาหารรบกวนเพื่อนบ้าน เป็นต้น ในที่สุดการทะเลาะนั้นถึงขั้นแทบจะลงมือลงไม้กัน และเป็นเหตุอ้างที่จะไม่ต่อสัญญากับนายเอ เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงผัวเมียทั้งคู่จึงขับไล่นายเอออกไปสำเร็จแล้วดำเนินกิจการแทนนายเอทันที
เมื่อเพื่อนๆของผัวเมียคู่นี้มาเยี่ยมเยียนและเพื่อดูความก้าวหน้าของผัวเมียคู่นี้ คนเป็นเมียได้ออกมาต้อนรับเพื่อนๆแล้วอวดความสำเร็จของตนเองว่าตนเก่งกว่านายเอ ที่นายเอออกไปเพราะดำเนินกิจการเจ้ง แต่ตนกลับเห็นว่านายเอมีจุดบกพร่องในบางเรื่งจึงได้แก้ไขเมื่อนายเอออกไปจากพื้นที่ของตนแล้ว ดังนั้นตนจึงประสบความสำเร็จ ขณะที่เมียกำลังโอ้อวดนั้น ผัวซึ่งอยู่หลังบ้านไม่ได้มาฟังด้วยก็โผล่มาที่หน้าบ้านทักทายเพื่อนๆ และเพื่อนก็ถามว่าทำไงถึงทำกิจการสำเร็จ ผัวซึ่งไม่ได้เตี๊ยมกับเมียมาจึงเผลอพูดออกไปว่า
ง่ายจะตาย นายเอคนก่อนมันทำเอาไว้ดี ผมก้แค่หาเรื่องทะเลาะกับเขาเสียแล้วพาลไม่ต่อสัญญาซะและก็ยึดกิจการมันมาซะเลย
เมียได้ยินผัวเผลอพูด ดังนั้นด้วยความกลัวเสียหน้าจึงได้ลากผัวกลับเข้าไปในบ้านแล้วเขกกระบาลผัว พร้อมกับด่าว่า ทำไมต้องไปบอกความจริงที่ทำให้ตนเองดูเลวร้ายแลดูไร้ปัญญาเล่า ก็โกหกเข้าไปสิ เพื่อนๆจะได้เชื่อและยกย่องว่าเราดี เก่ง ถูกต้อง.........
เพื่อนบ้านรอบๆบ้านสองผัวเมียนี้ได้ยินเข้า ก็ทำหน้าเบ้อยากอ๊วก แต่ไม่มีใครกล้าเล่าความจริงให้เพื่อนๆของสองผัวเมียที่มาเยี่ยม เพราะกลัวว่าสองผัวเมียนี้จะเอาคืนในภายหลังเนื่องจากมีตัวอย่างให้ดูมาแล้ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนมักจะโกหกเสมอเมื่อตนต้องให้ข้อมูลแก่สาธารณะชน ดังนั้นข้อมูลในหลายๆเรื่องนั้นต้องไปขุดมาจากพื้นที่และผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายๆคนและจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น