เครดิต : หนังสือศิลปวัฒนธรรม
เล่าไว้ในวันก่อน
สมรภูมิบ้านพร้าว
เรื่อง
"สมรภูมิบ้านพร้าว" นี้คัดมาจากเรื่อง "วีรกรรมของกองพันทหารราบที่ ๒
กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ในอดีต"
ซึ่งลงพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราช
ทานเพลิงศพ พันเอกนิ่ม ชโยดม ท.ช., ท.ม. ณ เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
ขอขอบพระคุณคุณเครือวัลย์
ญาณนนท์ และพลเรือโทช่วย ญาณนนท์ ผู้เป็นทายาทของพันเอกนิ่ม ชโยดม
(ขุนนิมมาณกลยุทธ) มา ณ ที่นี่ด้วย
ที่ได้กรุณาส่งหนังสืออนุสรณ์เล่มดังกล่าวมาให้
เพื่อกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรมจะได้ใช้เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านต่อไป
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหาร
ราบที่
๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีเกียรติประวัติและวีรกรรมอันดีเด่นจากการได้รับชัยชนะในการสู้รบกับกองทหารต่างชาติในอินโดจีน
เมื่อครั้งสงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศสจนได้รับสมญานามว่า
"กองพันทหารเสือ" ซึ่งมีความเป็นมาดังนี้
กองพันทหารราบที่ ๒
กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในระหว่างสงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส
สมัยนั้นใช้ชื่อว่ากองพันทหารราบที่ ๓ มีพันตรี ขุนนิมมาณ
กลยุทธเป็นผู้บังคับกองพัน
ได้นำทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดรักษาดินแดนด้านทิศตะวันออกติดกัประเทศกัมพูชา
ตามแนวหลักเขตแดนที่ ๔๓ ถึง ๔๖ และได้รุกเข้าไปในเขตอินโดจีนฝรั่งเศส
"ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศไทยมาก่อน" ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช
๒๔๘๓
ณ สมรภูมิบ้านพร้าว ห่างจากดินแดนไทยเข้าไปในประเทศกัมพูชา
ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร "ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศไทยมาก่อนเช่นกัน" พันตรี
ขุนนิมมาณกลยุทธได้รับคำสั่งให้นำทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดยุทธภูมิแห่งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔
เมื่อนำกำลังเคลื่อนไปยังบ้านพร้าวนั้น
พบร่องรอยค่ายเก่าของทหารต่างชาติในอินโดจีนดัดแปลงเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
และไม่มีการต้านทานใดๆ เนื่องจากฝ่ายข้าศึกได้ถอนกำลังออกไปหมด
ปล่อยให้ฝ่ายเราเข้ายึดเพื่อจะทุ่มกำลังเข้าโจมตีทำลายล้างกองพันทหารราบที่
๓ ที่บ้านพร้าวนี้ในภายหลัง
จากการตรวจภูมิประเทศของพันตรี
ขุนนิมมาณกลยุทธ ผู้บังคับกองพัน เห็นว่าไม่ยึดที่บ้านพร้าว
เนื่องจากฝ่ายข้าศึกรู้เบาะแสแล้ว
และในตอนเย็นหลังจากนำกำลังเข้ายึดได้ถูกหน่วยลาดตระเวนของข้าศึกลอบยิง
จากการตรวจภูมิประเทศหน้าแนวแล้ว เห็นว่าเหมาะสมดีกว่า
จึงขออนุญาตเคลื่อนกำลังจากที่ตั้งเดิมออกไปอีก ๔ กิโลเมตร
ไปตั้งมั่นอยู่ที่ห้วยยางซึ่งเป็นลำห้วยไม่มีน้ำ
ภูมิประเทศคันคูง่ายแก่การดัดแปลงเป็นที่มั่นตั้งรับได้เป็นอย่างดี
สามารถยิงได้อย่างกว้างขวางและกองทหารต่างชาติได้ตัดถนนลำลองขึ้นสายหนึ่ง
จากทางเหนือตรงมายังบ้านพร้าว
ถนนสายนี้เป็นประโยชน์แก่การวางกำลังของฝ่ายเราอย่างดียิ่ง
โดยฝ่ายเราได้วางกำลังเป็นรูปตัวยูหรือรูปปากฉลามคร่อมถนนที่ห้วยยางไว้
ความเข้าใจของกองทหารต่างชาติ
เข้าใจว่าทหารไทยอยู่ที่บ้านพร้าว
แต่ที่จริงแล้วด้วยการวางแผนการยุทธ์อันแยบยลและลึกล้ำของพันตรี
ขุนนิมมาณกลยุทธได้นำกำลังมาตั้งมั่น
ที่ห้วยยางเสียแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ ด้วยความสงบเงียบ มีวินัยอย่างดีเยี่ยมตามคำสั่งผู้บังคับกองพัน
ในเวลาเช้ามืดของวันที่
๑๖ มกราคมนั่นเอง กองทหารต่างชาติได้ทุ่มกำลัง ๑ กรม มีกำลัง ๓ กองพัน
เข้าตีทำลายกองพันทหารราบที่ ๓ ในบังคับบัญชาของพันตรี ขุนนิมมาณกลยุทธ
ที่บ้านพร้าว โดยจัดฐานออกตีที่ห้วยยาง
เนื่องจากคิดว่าทหารไทยอยู่ที่บ้านพร้าวและไม่รู้ว่าฝ่ายเราได้เปลี่ยนแผนการยุทธ์เสียแล้ว
กลยุทธ์ของฝ่ายเราได้กำหนดให้ฟังสัญญาณการยิงฉากจากปืนกลของร้อยตรียง ณ
นคร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม โดยฟังคำสั่งจากร้อยเอกอัมพร
เสือไพฑูรย์
ครั้นเมื่อเวลา ๓ นาฬิกา ของวันที่ ๑๖ มกราคม
เริ่มได้ยินเสียงยานยนต์ของข้าศึกมาแต่ไกลหลายคัน
แสดงถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายข้าศึก จนกระทั่งเวลา ๔ นาฬิกา
กองทหารต่างชาติได้ส่งลาดตระเวนห่างทหารไทยราว ๒๐ เมตร
ตรวจการณ์อยู่ประมาณ ๕ นาที
ฝ่ายเราก็สงบนิ่งอยู่ด้วยความใจเย็นและมีวินัยอย่างดีเยี่ยม
ถึงแม้สุนัขที่มากับข้าศึกจะวิ่งเข้ามาในแนวทหารไทยและดมทหารไทยคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง
แต่ก็ไม่เห่า ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่เห่า
จากนั้นพลลาดตระเวนนำและสุนัขข้าศึกจึงได้กลับไป
โดยคิดว่าไม่มีทหารไทยอยู่ที่ห้วยยาง ทั้งๆ ที่มีกำลังอยู่ทั้งกองพัน
อีก
๑ ชั่วโมงต่อมา คือเมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา นาทีระทึกใจก็ได้อุบัติขึ้น
เมื่อกรมทหารราบที่ ๕ กองพันที่ ๓ ของกองทหารต่างชาติ
ซึ่งมีประวัติการรบอย่างโชกโชนและเป็นหน่วยกล้าตายชั้น ๑
ที่มีกิตติศัพท์การรบอันเกรียงไกรมาแล้วในอินโดจีน
ได้เคลื่อนกำลังเข้ามาเป็นขบวนตามเส้นทางที่ฝ่ายเราวางกำลังไว้
ปล่อยให้กำลังส่วนหน้าของข้าศึกเลยแนวรบไปด้วยความใจเย็น
เมื่อกำลังส่วนใหญ่เข้ามาอยู่ในพื้นที่สังหารแล้ว
สัญญาณการยิงฉากจากปืนกลของร้อยตรียง ณ นคร จึงได้ระเบิดขึ้น
พร้อมกับเสียงคำรามของปืนทุกกระบอกของกำลังฝ่ายเราทั้งกองพัน
สู้รบถึงขั้นตะลุมบอนกันด้วยดาบปลายปืนอย่างทรหดจนถึงเวลา ๗ นาฬิกา
เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดและเสียงสั่งการดังลั่นไปทั่วยุทธภูมิ
ด้วยยุทธวิธีของกองพันทหารราบที่ ๓ ในบังคับบัญชาของพันตรี
ขุนนิมมาณกลยุทธ ในครั้งนี้สามารถบดขยี้ฝ่ายข้าศึกเสียชีวิตไปประมาณ ๔๐๐
นาย ถูกจับเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก
ตัวผู้บังคับกองพันของกองทหารต่างชาติเสียชีวิตในที่รบ
ยึดธงชัยเฉลิมพลของข้าศึก ซึ่งประดับเหรียญกล้าหาญครัวเดอแกร์ไว้ได้
กองทหารเขมรและทหารญวนที่ติดตามมาอีก ๒ กองพันแตกกระจัดกระจายไป
นับว่ากองทหารต่างชาติซึ่งผ่านการรบอย่างโชกโชนมาแล้วได้พินาศย่อยยับเกือบทั้งหมดทั้งกองพัน
ด้วยพิษสงของทหาร
ไทยทั้งกองพันทหารราบที่ ๓
ในบังคับบัญชาของพันตรี ขุนนิมมาณกลยุทธ สำหรับฝ่ายเราเสียชีวิตในที่รบ ๑
นาย คือพลทหารจอน ปรีพงศ์ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ๒ นาย
พันตรี
ขุนนิมมาณกลยุทธ ผู้บังคับกองพันซึ่งสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่
จนกองพันทหารราบที่ ๓ ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญประดับธงชัยเฉลิมพล
และได้รับสมญานามว่า "กองพันทหารเสือ" นั้น แต่เดิมท่านมีชื่อว่า
พันตรีนิ่ม ชโยดม ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนิมมาณกลยุทธ
ในโอกาสที่กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ
ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนป้องกันประเทศบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับหน่วยนี้ได้สร้าง
วีรกรรมไว้ในอดีตเมื่อเดือนกันยายน
พุทธศักราช ๒๕๒๖ ถึงเดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๗
เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการสู้รบแก่กำลังพลในหน่วย
จึงได้อัญเชิญนามบรรดาศักดิ์ของท่านคือ "นิมมาณกลยุทธ" อันมีความหมายว่า
"ผู้วางแผนการยุทธ์อันล้ำเลิศ"
มาเป็นชื่อฐานปฏิบัติการเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของท่านและกระตุ้นเตือนให้กำลังพลทุกนายได้ประพฤติปฏิบัติตามตัวอย่างอันดีงาม
ดังเช่นวีรชนในอดีตของหน่วยได้กระทำมาแล้ว
ความคิดเห็นที่ 1
บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ
ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา
หน้าที่เรารักษาสืบไป
โดยคุณ
min_linkin เมื่อวันที่
10/02/2007 14:56:33