หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


ไปทำบุญมาครับวันนี้ เอาบุญมาฝากพร้อมกับนิทานเรื่องนึง

โดยคุณ : BloodRoyal เมื่อวันที่ : 06/02/2007 13:52:28

วันนี้ไปทำบุญมาใหญ่เหมือนกันในความคิดผม ได้นั่งสนทนาธรรมกับพระท่านหนึ่งซึ่งผมกราบไหว้ตั้งแต่เด็กๆแล้ว เป็นพระที่ไม่มีชื่อเสียง

วันนี้ก็ได้มีโอกาสดี เพราะผมไปเพียงคนเดียวและท่านเองก็อยู่ลำพัง จึงได้มีโอกาสสนทนาธรรมต่างๆกัน สองต่อสอง

ท่านเองก็เล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟังให้ประยุกต์ใช้ได้ทุกเรื่อง แต่ผมจะนำมาดัดแปลงเพียงเล็กน้อย (เน้นว่าแทบจะไม่ได้ดัดอะไรเลยส่วนนึงด้วยซ้ำ แต่ก็ดัดแปลงเสริมแต่งให้เข้าใจง่าย และเสริมนิทานของผม)

พ่อค้า ก เป็นชาวสวนชาวไร่ธรรมดา บ้านปลูกทุเรียน และมะละกอ และรับนำผลไม้อื่นๆมาขายด้วยเช่นกัน

พ่อค้า ก ขายผลไม้นำของมาวางขาย บรรดาผู้คนก็แห่วิ่งไปรุมซื้อต่างๆนานา

พ่อค้า ก นำของมาขายมากมาย องุ่นสดไร้เมล็ดหวานฉ่ำ ส้มเขียวหวานหอมหวน ทุเรียนกลิ่นฉุนไม่หวาน กับมะละกอใกล้เน่า

ถามว่าชาวบ้านเขาซื้ออุดหนุนกันเยอะหรือไม่?

มันก็น่าจะเยอะ เพราะองุ่นเขาดีเลิศเลอ และมีส้มที่แสนอร่อย

ส่วนทุเรียนมันก็ธรรมดาซึ่งไม่ค่อยจะเข้าชาวบ้านก็อึดอัดนิดหน่อยแต่ก็ยังทนกลิ่นเข้าไปซื้ออย่างอื่น

สำหรับมะละกอ ชาวบ้านเขาก็เพิกเฉย เพราะเขาตั้งใจจะซื้อส้ม กับองุ่นกัน

 

คำถามสำหรับชาวบอร์ดนะครับ ชาวบ้านเขาทำท่ารังเกียจรังควานมั้ย? "ไอ้พ่อค้าบ้า แกเอาทุเรียนกับมะละกอของแกมาขายทำไม" ลองหลับตาแล้วนึกดูครับ ไม่มีชาวบ้านคนไหนด่า เพราะว่า "กรรม" ที่นำของไม่ดีมาขายจะตกมาสู่ตัวพ่อค้าเอง ซึ่งก็คือ "เอาของไม่ดีมาขาย ก็เท่ากับไม่มีคนซื้อ สุดท้ายก็เน่าเสียอยู่ดีและขาดทุนในค่าขนส่งต่างๆ รวมถึงเสียความน่าเชื่อถือไปบ้าง"

ถามว่ามีคนเอ่ยปากชมหรือไม่ ว่าองุ่นหวานจัง ส้มหวานจริง ก็คงมีบ้าง แต่ว่าจะชมหรือไม่สิ่งที่พิสูจน์คือพ่อค้าขายดีจริงๆ

ได้อย่างเสียอย่างเป็นสัจธรรม คนเราหากจะนำเรื่องที่ไม่ดีของผู้อื่น อันว่าด้วย มุสาวาทาเวรมณีสิขาปะทังสัมมาทิยามิ

ถามว่า มันจะเกิดผลดีหรือไม่? ดีชั่วตัดสินได้ด้วยตัวเอง เราจะซื้อของเขาหรือไม่ก็แค่นั้น เราซื้อของดีเขาได้แต่ก็ไม่ยอมซื้อของเสียจากเขาเป็นสิ่งที่เราพึงกระทำ หากแต่การไม่รับทั้งของดีและของเสียจากเขา เพราะว่าเขาขายมะละกอ กับทุเรียนน่า เราก็จะไม่มีโอกาสรับประทานส้มกับองุ่นหวานๆเลย

ถามว่าหากเราไปต่อว่าต่อล้อต่อเถียงอาจจะเกิดเป็นบาปกรรมอื่นๆขึ้นมาได้หรือไม่?

ถามว่าหากเราเพิกเฉย ปล่อยให้เขารับกรรมให้ผลไม้เขาเน่าจนขาดทุนนั้นจะดีกว่ามานั่งกลัดกลุ้มยึดติดว่า "มันน่าจะเอามะละกอดีๆ กับทุเรียนดีๆมาให้กิน นี่มันอยากจะขายของตัวเองนี่หว่า" ซึ่งทำให้เรานั้นเกิดจิตร้ายต่างๆนานา ผลที่ได้คือบาป คือกรรม เพราะอะไร? เพราะเราเก็บไว้ในใจ และเกิดความทุกข์

ทุกวันนี้สังคมเรามองกันเป็นทฤษฎีต่างๆนานา แต่กลับมองเรื่องใกล้ตัวที่เป็นเรื่องชาวบ้านๆ ที่สามารถจะนำมาสั่งสอนเราได้ดีซะได้ เชื่อแต่เพียงทฤษฎีต่างๆที่ทำให้เรามุ่งสู่กิเลสได้ แต่หนทางสู่การดับทุกข์ และพอเพียงกลับไม่มองแลหา หรือยอมรับ

หากท่านผู้อ่านเป็นชาวคริสต์หรือมุสลิม ข้าพเจ้าก็ทำได้เพียงแค่ให้อ่านเพื่อเตือนสติในการใช้ชีวิต แต่สำหรับชาวพุทธข้าพเจ้าก็อยากให้พวกท่านพิจารณาไตร่ตรองให้ดีเสียว่า "ทำไปแล้วได้สิ่งใดกับตัวเราเอง"

หากแต่การที่ไปฆ่าตัวตายเพราะเสียสิ่งที่ตนรักอาทิเช่น ผู้หญิงที่รัก บุตรธิดา บิดามารดา วีรชนที่เคารพ อุดมการณ์ที่รัก

ถามว่าคนเหล่านี้ตกอยู่ในห้วงแห่งกิเลสกรรมหรือไม่? จนกระทั่งทำร้ายใครมิทำร้ายง่ายเกินทำร้ายตัวเอง

ดังกระทำดีนั้นช่างยากแท้เสีย แต่การกระทำชั่วนั้นกลับง่ายดาย และการกระทำชั่วด้วยการฆ่าผู้อื่นกับฆ่าตัวตายนั้น สิ่งใดมันจะยากง่ายกว่ากันฤ เพียงแค่เดินไปกระโดดตึกก็สามารถที่จะกระทำได้แล้ว

จิตเหล่านั้นทำให้ยึดติด เจ็บปวดทั้งกาย เจ็บปวดทั้งใจ กลายเป็นบาปกรรมอันหนักหน่วง ยากแท้จะหลุดพ้นจากความทุกข์

 

ก็ฝากๆกันไปนะครับ ถือว่าผมไถ่โทษเรื่องกระทู้การเมืองบ่อยๆ ผมให้ข้อคิดไปละกันนะครับ

อย่าลืมนะครับ การปกครองต่างๆ หลักการ อุดมการณ์ต่างๆ มิใช่ศาสนา...แต่อาจจะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ และถามว่าอุมดการณ์จะเป็นเครื่องมือในการกระทำการยึดครองนั้นเป็นไปได้หรือไม่ พิจารณากันเองครับไม่พูดมากกันแล้ว

สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาในวันนี้ทั้งหลาย ได้แผ่ไปถึงเหล่าบรรดาผองเพื่อนพี่น้องร่วมชาติสยาม ชาติไทย ไม่ว่าจะศาสนาใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมิตรสหาย หรือว่าจะเป็นผู้อาฆาตกับข้าพเจ้า ขอให้จงได้รับผลบุญนี้ด้วยเทอญ เพื่อความสุขความเจริญในชีวิต ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม

สาธุ