หน้าแรก    ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบคำถาม    เข้าสู่ระบบ      


มาช่วยกันจับผิด สปาย หมายเลขหกหน่อยครับ

โดยคุณ : โต้ง เมื่อวันที่ : 19/01/2007 09:08:44

ผมไปเจอใน Manager online เป็นข้อเขียนของผู้ใช้นามปากกาว่า สปายหมายเลขหก ซึ่งอ่านดูแล้วมีความรู้สึกว่าบางส่วนถูกต้อง บางส่วนผิด และบางส่วนผมไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด รบกวนเพื่อน ๆ สมาชิกช่วยกันตรวจสอบเพื่อให้เราได้รับข่าวสารที่ถูกต้องครับ

ขอเป็นประเด็นเฉพาะเรื่องข้อมูลทางทหารนะครับ พยายามเอามัน โดยการโยงไปในเรื่องการเมืองนะครับ

เรียน ท่านเว็บมาสเตอร์ ถ้าพิจารณาว่ากระทู้นี้ไม่เหมาะสม จะลบก็ได้นะครับ

เสียดายแผ่นดินแผ่นฟ้า-ให้ฝึกทหารสิงคโปร์อยู่ไปก็หนักเปล่า-ไล่ไปเสีย!
โดย สปาย หมายเลขหก 18 มกราคม 2550 17:40 น.
       เมื่อ ?สิงคโปร์? หอกข้างแคร่ของไทย หรืออาจจะเป็นมากกว่านั้น คือเป็น หนามยอกอก ของเราทีเดียว โดยหนามที่เข้ามายอกอกนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่มหามิตรของเขา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอำนาจ โดยระบอบทักษิณนั้นเกื้อกูลต่อสิงคโปร์เหมือนกับเอาประเทศไปวางไว้ข้างหน้าอย่างข้าทาส หรือเป็นทรัพย์สินของสิงคโปร์ในหลายๆ ด้าน แต่วันนี้ ?ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ? จะกล่าวถึงแต่ทางด้านของความมั่นคง ซึ่งน่าจะเป็นอันตรายอย่างสุดขีด เพราะจะมีอะไรที่อยู่เหนือความมั่นคงของชาติได้อีกเล่า?
       
        อย่างแรก-เทมาเส็ก ได้หุ้นจากชินวัตรไปหมด ก็เท่ากับว่า ดาวเทียม ?ไทยคม? ทุกดวงก็เป็นของสิงคโปร์ด้วย โดยสิทธิวงโคจรของดาวเทียมนั้นเป็นของชาติ มิใช่ของส่วนตัวที่หน้าเหลี่ยมจะขายได้ วงจรของดาวเทียมถูกกำหนดมาให้เป็นของแต่ละชาติว่าจะอยู่จุดใดในอวกาศ ช่องสัญญาณดาวเทียมสำหรับการสื่อสารนั้นก็เป็นของเทมาเส็ก รวมทั้งช่องสัญญาณเฉพาะสำหรับการสื่อสารทหารที่กรมสื่อสารทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ใช้และควบคุมเครือข่าย ก็ตกอยู่ในมือของเทมาเส็ก ชื่อเป็นของรัฐบาลสิงคโปร์ ?ศูนย์สื่อสารทหาร? ที่ทุ่งสีกัน ดอนเมืองนั้น จะเหลืออะไรอีกที่เป็นความลับทางทหาร และการใช้สัญญาณผ่านดาวเทียมนั้น ก็หมิ่นเหม่มากในเวลาฉุกเฉิน ที่อาจจะถูกตัดสัญญาณ หรือเกิดการขัดข้องทางเทคนิค แล้วเมื่อนั้นการติดต่อสื่อสารสั่งการ/บัญชาการ ก็จะเป็นอัมพาตหมดไปทุกเหล่าทัพ เพราะการสื่อสารนี้เป็นการสื่อสารแบบรวมการ
       
        แต่เรื่องนี้มีการพูดกันมามากแล้ว โดยแสดงความอุ่นใจว่า ถึงอย่างไรสถานีควบคุมสั่งการดาวเทียมก็ยังตั้งอยู่ในเมืองไทย ไม่ได้ย้ายไปสิงคโปร์
       
        ในการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ทหารได้เข้าควบคุมการปฏิบัติงานที่ศูนย์ดาวเทียม นนทบุรีด้วย และสามารถใช้สื่อสารทางทหารสั่งการได้ตลอดเวลา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติ ?ทักษิณ? นั้น

       
        สิงคโปร์-ผู้หักหลังไทยกรณี ?ทักษิณ? ไปใช้สิงคโปร์เป็นเวทีสำหรับการกล่าวร้ายต่อรัฐบาลไทยอย่างชัดเจน เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองและก่อให้เกิดผลทางการเมืองในไทย รวมทั้งการใช้สิงคโปร์เป็นเวทีสำหรับการล้างคราบโสมม โดยสิงคโปร์เป็นผู้ให้น้ำและสบู่, สิงคโปร์ทำเหมือนกับว่าหน้าเหลี่ยมผู้นี้ คือผู้ที่เขายอมรับ และเป็นผู้วางอำนาจอย่างชั่วคราว สิงคโปร์เหยียบเรือสองแคม จับปลาสองมือ และมีเล่ห์เหลี่ยมมากพอๆ กับ ?ทักษิณ? จึงคบกันได้อย่างมหามิตร หรือถ้าไม่เป็นมหามิตร ก็ต้องเป็นผู้รับใช้ที่ว่านอนสอนง่าย ใช้ไทยเสมือนเป็นดินแดนหรือเมืองออกของสิงคโปร์
       
        แทนที่สิงคโปร์จะเกลียดชัง หรือรังเกียจที่คนผู้นี้ขายหุ้นให้แล้วก็เกิดความเสียหายในหุ้นที่ซื้อไปนับแสนล้านบาท คือมากกว่าราคา 7 หมื่น 3 พันล้านที่ซื้อ (แต่ยังจ่ายไม่หมด) กลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าจะช่วยเหลือหรือให้โอกาสสำหรับการกลับมาสู่อำนาจ เพื่อที่จะแก้ตัวหรือแก้ไขปัญหานั้น สิงคโปร์มองว่า-ทักษิณยังมีประโยชน์อยู่สำหรับสิงคโปร์ในอนาคต จึงต้องขุนไว้ และให้เชื่องยิ่งกว่าเก่า
       
        สิงคโปร์เป็นประเทศทะเยอทะยาน คิดอะไรเล็กๆ ไม่เป็น คือต้องคิดใหญ่ไว้ก่อนแบบ THE MAGIC OF THINKING BIG ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเกาะเล็กๆ ขนาดนั้น ความคิดทางทหารของเขาในการป้องกันประเทศ เพื่อป้องกันเศรษฐกิจความมั่งคั่ง การสร้างเสริมความมั่นคงของเขาจึงทำอย่างเต็มที่ให้น่าเกรงขาม เป็นประเทศเดียวในย่านนี้ที่มีเครื่องบินลาดตระเวนระยะสูงในการตรวจจับเป้าหมายภาคพื้นดิน แบบที่เราเคยเห็นจากภาพในสงครามของสหรัฐฯ ที่ใช้เครื่องบินโบอิ้งทั้งลำติดอุปกรณ์ตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์ไว้เต็มลำ มีจานเรดาร์ขนาดใหญ่ตรึงติดอยู่หลังเครื่องบิน ที่สามารถใช้ระบบ MULTI-SENSOR FUSION และ AUTOMATIC TAROET RECOGNITION (ATR) ที่ส่งภาพเป้าหมายที่เกิดขึ้นจริงไปยังศูนย์บัญชาการได้, รวมทั้งโครงการเฮลิคอปเตอร์ไร้นักบิน แต่สามารถใช้อาวุธโจมตีที่หมายได้ ซึ่งกองทัพสหรัฐฯ กำลังอยู่ในการดำเนินการขั้นที่ 3 สำหรับโครงการที่มีชื่อว่า UCAR ทางสิงคโปร์ก็เข้าประกบแล้วที่จะได้มาประจำการ
       
        สิงคโปร์มีเรือดำน้ำ 3 ลำ มีกองเรือขนาดเล็กแต่เป็นเรือติดขีปนาวุธทั้งสิ้น เรือยามฝั่งของสิงคโปร์ติดอาวุธดีกว่ากองเรือตามฝั่งของสหรัฐฯ ด้วยซ้ำไป, สิงคโปร์มีกำลังทางบก คือทหารบกอยู่ 4 กองพล มีปืนใหญ่แต่ไม่มีรถถัง เพราะมาเลเซียที่เป็นเพื่อนบ้าน (ซึ่งเคยรวมเป็นประเทศเดียวกันด้วยซ้ำ เมื่อได้เอกราชจากอังกฤษใหม่ๆ) ได้ยื่นคำขาดว่า ปืนใหญ่นั้นคุณมีได้ เพราะใช้เป็นอาวุธรักษาฝั่ง แต่ถ้าหากว่ามีรถถัง มียานเกราะ ก็จะถือว่า เป็นการจัดอาวุธเชิงรุกต่อมาเลเซียโดยตรง
       
        สิงคโปร์จึงหันไปหนักทางกองทัพอากาศ ถือว่าเป็นกองทัพใหญ่สุด และลงทุนมากที่สุด
       
        ทั้งกองทัพบกและกองทัพอากาศนั้น สิงคโปร์เป็นผู้พึ่งพาประเทศไทยมากที่สุด (เพราะหันไปพึ่งพาคนอื่นไม่ได้แล้ว) เนื่องจากประเทศเป็นเกาะขนาดเล็ก พื้นที่สำหรับการฝึกของทหารบก และทหารอากาศไม่มีเพียงพอ สิงคโปร์ใช้แผ่นดินเพื่อการค้าโดยตัวเองเป็นประเทศนายหน้าค้ากำไร ต้องมาขอใช้ดินแดนประเทศไทย ที่เขาคิดว่าเป็นของ ?ทักษิณ? ทั้งหมด สำหรับการทหาร
       
        เป็นเวลานานแล้ว-ประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา กองทัพบกสิงคโปร์ได้ขอใช้พื้นที่การฝึกสำหรับทหารของเขาที่กาญจนบุรี พื้นที่ฝึกอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นเขตยึดครองของกองทัพกะเหรี่ยงอิสระ ที่มี พล.ต.โอลิเวอร์ เป็นผู้บัญชาการ บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านกะเหรี่ยงโตถะ บ้านหนองศรีมงคล บ้านห้วยน้ำขาว อยู่ในเขตอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ใช้พื้นที่เดียวกับที่โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษใช้ในการฝึกหลักสูตรจู่โจม (ภาคป่าภูเขา) และหลักสูตรการรบ การดำรงชีพในป่า โดยศูนย์สงครามพิเศษ มีค่ายฝึกชื่อ ค่ายเพ่งผล ตั้งอยู่ที่นั่น บริเวณริมแควน้อยใกล้กับปราสาทเมืองสิงห์ ค่ายของสิงคโปร์แยกออกต่างหาก ชาวบ้านเรียกกันว่า ?ค่ายสิงคโปร์? อาวุธกระสุนที่ใช้ในการฝึกเป็นของเขาทั้งหมดที่ส่งมาจากสิงคโปร์ ในปีหนึ่งๆ มีการฝึกรวม 3 รุ่น รุ่นหนึ่งใช้เวลา 2 เดือน หรือบางปีก็มีถึง 4 รุ่น
       
        นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงของสิงคโปร์ มียศทางทหารเป็นพลจัตวา ผู้บัญชาการทหารบกสิงคโปร์ก่อนจะมาเป็นทายาททางการเมืองต่อจากลีกวนยูผู้พ่อ, เขาเป็นทหารผู้มีประสบการณ์สูง คือหลังจากที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกอังกฤษ ที่เซ็นเฮิร์ส เขามียศร้อยโทได้เข้ารับการเรียนหลักสูตร ?จู่โจม? ที่โรงเรียนสงครามพิเศษพร้อมกับเพื่อนนายทหารสิงคโปร์ อีกคนหนึ่งจนจบหลักสูตรครบทั้งภาคที่ตั้งภาคสนาม ภาคป่าภูเขา ภาคทะเล เมื่อ พ.ศ. 2509
       
        เมื่อประมาณ พ.ศ. 2535 หลังจากที่กองบิน 2 โคกกระเทียม ลพบุรี ได้ปรับเปลี่ยนกำลังทางอากาศ โดยให้กองบิน 2 เป็นที่ตั้งของอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) โดยเฉพาะ กองทัพอากาศสิงคโปร์ได้ขอใช้กองบิน 2 เป็นที่ฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งสิงคโปร์ใช้ ฮ.ของพูม่า ฝรั่งเศส อย่างเต็มหลักสูตร ก่อนหน้านั้น ก็เคยขอใช้มาแล้วเป็นระยะสั้นๆ ในบางห้วงเวลา โดยจัด ฮ.และครูฝึกตลอดจนชุดซ่อมบำรุงมาเอง ไทยสนับสนุนเรื่องการใช้อาคารสถานที่ อุปกรณ์ช่วยฝึกบางประเภท หอบังคับการบิน และการกู้ภัย
       
        สำหรับการใช้ไทยเป็นที่ฝึกทหารครั้งสำคัญ คือการขอร่วมใช้ กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี และ สนามบินน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นสนามบินที่สหรัฐฯ สร้างไว้สมัยสงครามเวียดนามเป็นฐานฝึกของเครื่องบินขับไล่ F-16 แบบ AB และ CD การนำเครื่องบิน F-16 เข้ามานี้ เป็นไปตามข้อตกลงในสมัยระบอบทักษิณ เมื่อ 2 ปีก่อน
       
        สิงคโปร์มี F-16 อยู่ 5 ฝูง และจะมีการจัดหาเพิ่มเติมอีก 2 ฝูงในปีหน้า เครื่องบินดังกล่าวได้สับเปลี่ยนกันเข้ามาอยู่ในไทยครั้งละฝูง โดยที่กองบิน 23 อุดรธานีนั้น กองทัพอากาศไทยมีแต่เครื่องบินรบแบบอัลฟ่า เจ็ต ที่ชาวอุดรธานี และขอนแก่นเห็น F-16 บินฉวัดเฉวียนอยู่นั้นเป็นของกองทัพอากาศสิงคโปร์ทั้งสิ้น แต่มาใช้น่านฟ้าไทย
       
        นอกจากจะใช้ไทยเป็นที่ฝึกบินหาความชำนาญ หรือการบินทางยุทธวิธีแล้ว F-16 ของสิงคโปร์ยังใช้แผ่นดินของเราเป็นสนามใช้อาวุธทางอากาศอีกด้วย ในการใช้สนามใช้อาวุธทางอากาศที่น้ำพอง ขอนแก่น และที่บ้านม่วงค่อม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี อาวุธที่ใช้แผ่นดินไทยเป็นสนามทดสอบฝีมือนั้น มีทั้งการใช้ปืนกลอากาศ จรวดแบบต่างๆ และลูกระเบิด
       
        ตารางการบินและการใช้อาวุธทางอากาศของ F-16 สิงคโปร์นั้น เต็มแน่นตลอดทั้งปี มีความถี่ในการขึ้นบินมากกว่า F-16 ของไทย ที่นครราชสีมา (กองบิน 1) และตาคลี นครสวรรค์ (กองบิน 4 ด้วยซ้ำ)
       
        สิงคโปร์ไม่มีพื้นที่พอสำหรับการฝึกบิน ทั้งการหาความชำนาญ และยุทธวิธี เมื่อเครื่องบินวิ่งขึ้นก็แทบจะพันเกาะแล้ว ทางด้านเหนือเป็นพื้นที่ปิดอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นน่านฟ้าของมาเลเซีย ส่วนทางตะวันตกก็เป็นพื้นที่แคบน่านฟ้าไม่มากนัก เพราะเป็นน่านฟ้าของอินโดนีเซีย
       
        ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวจึงต้องมาใช้พื้นที่การฝึกในประเทศไทย
       
        สิงคโปร์มีการฝึกร่วมทางอากาศกับไทยปีละครั้ง คือการฝึกแอร์ไทย-ลิงค์ และสิงคโปร์ได้เข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ ซึ่งเป็นการฝึกร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ด้วยความยินยอมของไทย ที่ให้สิงคโปร์เข้าฝึกร่วมด้วยได้ สิงคโปร์ส่งทหารบกและอากาศเข้าร่วมฝึกทั้งในส่วนการฝึกการบังคับการ และการฝึกภาคสนาม โดยมี F-16 เข้าร่วมการฝึกทางยุทธวิธีกับกองทัพอากาศไทย-สหรัฐฯ
       
        มีการฝึกเติมน้ำมันกลางอากาศ จากเครื่องบิน KC แทงเกอร์ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งโอกาสที่จะได้รับการฝึกเช่นนี้มีน้อยมาก สิงคโปร์ก็ได้รับการฝึกรับน้ำมันกลางอากาศโดย F-16 ด้วย
       
        จะเห็นได้ว่าไทยเอื้ออารีต่อสิงคโปร์ และมีบุญคุณอยู่กับสิงคโปร์มิใช่น้อยทางด้านการทหาร การสร้างความมั่นคงให้กับประเทศสิงคโปร์
       
        แต่สิงคโปร์ไม่ได้ตอบแทนอะไรแก่เราเลยในยามฉุกเฉิน หรือแม้แต่การแสดงน้ำใจ
       
        เช่นครั้งหนึ่ง กองกำลังบูรพา ที่ผันการประชิดของทหารญวนและเขมรฝ่ายเฮงสัมรินไว้ เมื่อครั้งญวรส่งทหาร 7 กองพลมาจ่อที่ชายแดนด้านอรัญประเทศและตาพระยา กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 ของกองกำลังบูรพา เจ้าของชายา ?บูรพาพยัคฆ์? ได้ใช้อำนาจการยิงของปืนใหญ่ 155 มม. ข่มการเคลื่อนไหวของยานเกราะฝ่ายตรงข้ามไว้นานหลายชั่วโมง การศึกครั้งนั้น คาดว่าจะต้องใช้กระสุนปืนใหญ่มากเกินอัตราที่มีอยู่ในกองพัน ป. 102 จึงมีการขอสนับสนุนกระสุนปืนใหญ่จากหน่วยปืนใหญ่ต่างๆ ทั้งที่กรุงเทพฯ ปราจีนบุรี ลพบุรี แม้แต่นครราชสีมายังต้องขนกระสุนปืนใหญ่ 155 มม. มาสำรองไว้ ปรากฏว่าการใช้กระสุนปืนใหญ่ในครั้งนั้น ต้องยิงอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง อัตราสำรองของกระสุนปืนใหญ่ที่มีเหลืออยู่ต่ำกว่าเกณฑ์แล้ว และหากว่ามีความจำเป็นตามสถานการณ์จะต้องใช้ปืนใหญ่อีก กระสุนปืนใหญ่ขาดแคลนแน่นอน ได้มีการติดต่อสายด่วนไปยังประเทศเพื่อนบ้านมี อินโดนีเซีย ตอบรับมาเป็นประเทศแรก ว่าจะลำเรียงกระสุนปืนใหญ่ 155 มม. มาเสริมให้ แต่ปรากฏว่า ปืนใหญ่ของกองทัพบกอินโดนีเซียเป็นอีกแบบหนึ่งใช้กับปืนใหญ่ของเราไม่ได้ อินโดนีเซียก็ตอบกลับมาว่า ถ้าหากมีปัญหาเช่นนั้น เขาจะส่งทั้งปืนใหญ่และกระสุนของเขาเต็มอัตรามาให้ ต่อมา, ทางไทยได้ขอขอบคุณไป เพราะ มาเลเซีย ได้แสดงน้ำใจตอบมาว่า กระสุนปืนใหญ่ของเขาที่มีอยู่ใช้กับของไทยได้เพราะเป็นปืนใหญ่แบบเดียวกัน ขอให้ไทยหาทางลำเรียงกระสุนปืนใหญ่มาทางมาเลเซียได้ นำออกจากคลังมารอไว้แล้ว กองทัพอากาศได้ใช้ เครื่องบินลำเรียงซี-130 บินไปมาเลเซีย และบรรทุกขนกระสุนปืนใหญ่มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา แล้วลำเรียงต่อไปที่อรัญประเทศโดยรถยนต์ การขนกระสุนปืนใหญ่ทางอากาศเช่นนี้ ถือเป็นอันตรายมาก ไม่มีใครเขาทำกัน แต่ไทยต้องทำ โดยคิดว่ามีบินออกจากมาเลเซียก็อยู่เหนือทะเลอ่าวไทย มาที่สนามบินอู่ตะเภาก็อยู่ชายทะเล เส้นทางบินไม่ผ่านเมืองหรือบ้านเรือนผู้คน หากจะระเบิดกลางอากาศก็เป็นอันตรายเฉพาะทหาร ในขณะเดียวกัน ร.ล.ช้าง ซึ่งเป็นเรือลำเรียงของกองทัพเรือก็ออกเรือทันที ข้ามอ่าวไทยไปบรรทุกกระสุนปืนใหญ่กลับมา
       
        สิงคโปร์ซึ่งใช้ปืนใหญ่แบบเดียวกับของไทย มีแต่ความเงียบ ในยามฉุกเฉินเช่นนั้น
       
        การที่สิงคโปร์แสดงออกต่อไทยในกรณี ?ทักษิณ? ครั้งนี้ ก็เหมือนกับจะเป็นการซ้ำเติมในช่วงที่ไทยอยู่ในภาวะไม่ปกติเช่นกัน

       
        มาตรการตอบโต้ที่ว่า ไทยงดกรอบการประชุมในโครงการความร่วมมือระหว่างพลเรือนไทย-สิงคโปร์ ยกเลิกการประชุมในวันที่ 29-31 มกราคมนี้ และถอนคำเชิญที่เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ ที่จะมาประชุมดังกล่าว เป็นมาตรการที่อ่อนไปสำหรับสิงคโปร์
       
        ควรจะต้องยกเลิกค่ายฝึกสิงคโปร์ที่กาญจนบุรี ยกเลิกการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ที่กองบิน-2 ลพบุรี และให้ถอนกำลังนำเครื่องบิน F-16 ออกไปจากกองบิน 23 อุดรธานี และสนามบินน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ทันทีจึงจะสาสมกับการกระทำครั้งนี้ หากว่าชาตินี้ ?ทักษิณ? ได้กลับมามีอำนาจใหม่ค่อยกลับมาใหม่-แต่จะได้กลับมาหรือ?